Tuesday, 3 June 2025
NewsFeed

'ชวน' ถาม ‘เศรษฐา' ปมย้าย 'อุเทนถวาย' นักศึกษา ‘เก่า-ใหม่’ จะไปเรียนที่ไหน?

นักศึกษาเก่า-ใหม่จะไปเรียนที่ไหน?! ‘ชวน’ ทวงถามปม ‘อุเทนถวาย’ เตรียมคืนพื้นที่ให้ ‘จุฬาฯ’ ตามคำพิพากษาศาลฯ ด้าน ‘นายกฯ’ รับห่วงปัญหา ‘ศึกวิวาท 2 สถาบัน’ กำชับฝ่ายมั่นคงดูแลเป็นพิเศษ รับปากดูแล-ยกระดับ-จัดหาสถานที่ให้เหมาะสม ขณะที่ ‘รมว.อว.’ เปิด ‘4 พื้นที่รองรับ’ ยันยังเปิดรับนศ.ปี 1 แต่ปรับแผนรองรับไปที่วิทยาเขตอื่น เร่งผนึกหน่วยเกี่ยวข้องจัดทำงบฯ

(8 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสด โดยนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง และน.ส.ศุภมาส อิสรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรณีข้อขัดแย้งระหว่างสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย กับสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันว่า แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากแนวความคิดการให้สัมภาษณ์ของน.ส.ศุภมาส เกี่ยวพันถึงนายกฯ ซึ่งตนเคยมีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุน 2 สถาบันนี้ มาตั้งแต่สมัยตนเป็นรมว.ศึกษาธิการ จนตนมาเป็นนายกฯ ก็ได้แก้กฎหมายยกระดับจากที่มีการสอนในระดับปวช. ปวส. มาเป็นการสอนในระดับอุดมศึกษา ตนภูมิใจว่าสถาบันทั้ง 2 นี้เป็นสถาบันหลักของชาติ เป็นผลผลิตด้านการช่างจนถึงระดับวิศวกรให้ประเทศ ทำหน้าที่ให้กับบ้านเมืองตลอด ดังนั้นเราจะต้องไม่ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนไม่กี่คน ทำลายชื่อเสียงของสถาบันทั้ง 2

“ปัญหาที่เกิดขึ้นจากคำให้สัมภาษณ์ของ รมว.การอุดมศึกษาฯ ที่ได้มีคำสั่งงดรับนักศึกษาใหม่ อาจจะเพื่อต้องการให้จำนวนนักศึกษาลดน้อยลง เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง 2 สถาบันได้ง่ายขึ้น แต่ผลที่ตามมาคือ สถาบันการศึกษาจะไม่สามารถรับนักศึกษาใหม่ประมาณ 600 คนเข้ามาเรียนได้ จะเป็นการสูญเสีย นอกจากนี้ผมอยากเรียนไปยังนายกฯ ว่าในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีคำสั่งงดรับนักศึกษา ไม่ว่าสถานการณ์ชาติบ้านเมืองจะมีสงครามหรือเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น อย่างมากที่สุดคือ ส่งไปเรียนในที่ที่ไม่มีปัญหา ดังนั้นประเด็นที่รมว.การอุดมศึกษาฯ ให้สัมภาษณ์ไปนั้นทำให้เกิดความสับสนขึ้นพอสมควร แต่หลังจากสมาคมนักศึกษาฯ ยื่นหนังสือเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยต้องเปิดรับนักศึกษาใหม่ รัฐมนตรีจึงเปลี่ยนแปลงคำสั่งว่าสามารถให้อุเทนถวายรับนักศึกษาใหม่ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องส่งนักศึกษาที่รับไปศึกษาที่อื่น ผมจึงขอถามว่า ตกลงจะรับนักศึกษาใหม่หรือไม่ ต้องไปเรียนที่ไหน และนักศึกษาปี 2 ปี 3 ปี 4 และปี 5 จะต้องไปศึกษาที่ใด นอกจากนี้การย้ายสถานที่ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่อุเทนถวายต้องย้ายออก และคืนพื้นที่ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เตรียมสถานที่ใหม่ รวมถึงงบประมาณแล้วหรือไม่” นายชวน กล่าว

ด้านนายเศรษฐา ชี้แจงว่า ในฐานะที่เป็นพ่อคน ตนเห็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างสถาบันทั้ง 2 ที่มีการทะเลาะวิวาทตีกัน จนส่งผลกระทบไปถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ประสบเหตุ เรื่องนี้เป็นเรื่องสะเทือนใจ รัฐบาลจะให้ความสำคัญต่อไปในการแก้ไขปัญหานี้ที่เรื้อรังมานาน ยืนยันว่ารัฐบาลสนับสนุนในแง่ของการที่สถาบันได้ผลิตบัณฑิตที่ตรงกับสายงานที่มีความต้องการกับแรงงานมาหลาย 10 ปี ให้ประโยชน์กับประเทศอย่างเหลือล้น โดยเฉพาะด้านช่าง ด้านวิศวกร ประเทศเรามีความต้องการสูงจากการที่รัฐบาลต้องเจรจาเพื่อชักชวนต่างชาติมาลงทุน หากไม่มี 2 สถาบันนี้บัณฑิตของเราก็จะไม่ตรงกับสายงานที่ตลาดต้องการ

“จากปัญหาความขัดแย้งของ 2 สถาบันที่อยู่ใกล้กัน เราพยายามจะย้ายวิทยาเขตตรงนี้ ทางรมว.การอุดมศึกษาฯ ได้หารือกับรมช.คลังที่กำกับกรมธนารักษ์ เพื่อจัดหาพื้นที่รองรับที่จะมีการย้ายออกต่อไป ส่วนที่นักศึกษา 2 สถาบันตีกัน เราได้มีการตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุเฝ้าระวังระงับเหตุร้ายในสถาบัน ผมเองก็ได้กำชับฝ่ายความมั่นคง ให้ดูแลเป็นพิเศษ เพิ่มกำลังเป็นพิเศษในวันที่เราคาดการณ์ว่าจะมีการทะเลาะกัน ยอมรับว่า มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงมาตรการป้องกัน แต่ไม่ได้แก้ที่วัฒนธรรมความเชื่อของนักศึกษาที่สืบทอดกันมาเป็นค่านิยม ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เรายืนยันว่า เป็นค่านิยมที่ผิด ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง เราต้องตัดปัญหาโดยการย้ายสถานที่ ลดการกระทบกระทั่ง ปรับลดค่านิยมรุ่นพี่แกนนำปลูกฝังรุ่นน้อง ตัดวงจรวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้อง ก็จะได้กำชับให้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ดำเนินการต่อไป” นายกฯ กล่าว

ขณะที่ รมว.การอุดมศึกษาฯ ชี้แจงประเด็นที่มีการงดรับนักศึกษาใหม่ของอุเทนถวายว่า ยืนยันว่าอุเทนถวายยังคงเปิดรับนักศึกษาใหม่เหมือนเดิม แต่ให้มีการบริหารจัดการการเรียนการสอนให้สอดรับกับแผนการย้ายไปยังสถานที่ใหม่เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฯ ที่จะต้องย้ายออก และคืนพื้นที่ให้จุฬาฯ และเปิดรับนักศึกษาใหม่ในวิทยาเขตอื่นๆ แทน ซึ่งทางอุเทนถวายได้ทำแผนการย้ายเข้าที่ประชุมที่มีตนเป็นประธาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และมีข้อเสนอร่วมกันให้อุเทนถวายย้ายสถานที่ไปยัง 1.วิทยาเขตบางพระ จ.ชลบุรี 2.วิทยาเขตจักพงษภูวนารถ ถนนวิภาวดีรังสิต กทม. 3.พื้นที่ที่มีผู้ที่สนใจจะบริจาคให้ บริเวณมีนบุรี และ 4.พื้นที่ราชพัสดุ ในจ.สมุทรปราการ ขณะที่ในเรื่องงบประมาณ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ประสานกับอุเทนถวายจัดทำรายละเอียดในการจัดทำคำของบฯ และประสานสำนักงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือสนับสนุนด้านต่างๆ รวมถึงประสานกับจุฬาฯ ในด้านการจัดการศึกษา รวมถึงการชำระค่าเสียหายจากการขนย้ายสถานที่อีกด้วย

ขณะที่นายกฯ ลุกขึ้นกล่าวอีกครั้งว่า ตนขอบคุณนายชวน ที่ได้ย้ำให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาไทย ยืนยันว่า รัฐบาลต้องการยกระดับการศึกษา และจะพยายามจัดหาสถานที่เรียนอย่างเหมาะสม ที่ผู้ดูแลโดยกรมธนารักษ์ ซึ่งตนในฐานะรมว.คลัง จะรับไปดูให้เป็นพิเศษ ตนขอขอบคุณทุกข้อเสนอแนะ และข้อเตือนใจทุกข้อ

สรุป 8 ข้อท้วงติงจาก ป.ป.ช. ส่อ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' เสี่ยง 'ทุจริต-ผิดกฎหมาย'

‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต’ ถือเป็นนโยบายเรือธงของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ด้วยการกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยการใช้จ่ายใกล้บ้านด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัล นอกจากนี้ยังเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว

แต่ดูเหมือนว่าจะติดขัดในเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งทางด้าน ป.ป.ช. ก็ได้ออกมาท้วงติง และชี้ให้เห็นช่องโหว่หลาย ๆ ด้าน วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 8 ข้อท้วงติงมาให้แล้ว จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

‘อ.อุ๋ย ปชป.’ แนะ!! นายกฯ สานต่อ ‘คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน’  แทนการผลักดันเงินดิจิทัล ที่ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไรและเสี่ยงผิดกม. 

(8 ก.พ.67) จากกรณีที่ ป.ป.ช. ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงการเงินดิจิทัลของรัฐบาลนายกเศรษฐา ว่าต้องระมัดระวังด้านข้อกฎหมายหลายประการ ซึ่งมีโอกาสจะทำให้โครงการเงินดิจิทัลต้องล่าช้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย อดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นว่า ตนเพิ่งได้ลงพื้นที่สำรวจกิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับฐานรากในพื้นที่เขตบางกะปิ เช่น บริเวณตลาดนัดการกีฬาแห่งประเทศไทย ซอยมหาดไทย (รามคำแหง 65) และย่านการค้าหน้าและหลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของประชาชนคือ การขาดเงินหมุนเวียนระยะสั้นเพื่อนำมาจับจ่ายใช้สอย บวกกับหนี้ครัวเรือนที่พุ่งขึ้นสูง ทำให้ต้องจำกัดการใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เช่น อาหารการกินราคาประหยัด ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ ทำให้สินค้าและบริการอย่างอื่นขายแทบไม่ได้เลย ต้องทยอยปิดตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดการว่างงานเพิ่มมากขึ้น 

ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากโดยเร็ว หากจะรอให้โครงการเงินดิจิทัล ซึ่งยังติดขัดข้อกฎหมายอีกหลายประการ ยังขาดความชัดเจนว่าจะเริ่มได้เมื่อไหร่ ก็อาจจะไม่ทันการกับความต้องการของประชาชน ตนจึงเสนอให้รัฐบาลสานต่อโครงการคนละครึ่ง ซึ่งทำให้เกิดภาระทางการคลังน้อยกว่าเพราะรัฐบาลออกเงินเพียงครึ่งเดียวของราคาสินค้าและบริการ นำเม็ดเงินเข้าสู่ผู้ประกอบการโดยตรงและพุ่งเป้าไปที่คนที่ต้องการใช้เงินจริงๆ นอกจากนี้ระบบต่างๆ ของโครงการคนละครึ่งได้ถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ปรากฏข้อติดขัดทางกฎหมาย พร้อมใช้งานได้ทันที ดีกว่าที่จะรอโครงการเงินดิจิทัล ซึ่งไม่รู้จะได้ใช้เมื่อไหร่ และต้องเสียเวลากับการออกแบบโครงสร้างระบบอีก 

นอกจากนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งรัฐบาลคิดจะฉลองยาวถึง 21 วัน ตนก็คิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะสานต่อโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายส่งเสริม Soft Power ที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่เช่นกัน 

ทั้งนี้ตนเชื่อว่าหากนายกเศรษฐาและรัฐบาลสานต่อทั้งสองโครงการของรัฐบาลชุดที่แล้ว จะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายอย่างแน่นอน เพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยึดถือประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศเป็นสำคัญอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

'ทายาทอภัยวงศ์' เผย 'แม่พิธา' โทรมาเคลียร์ สรุปลูกชายอาจเข้าใจผิดเรื่อง 'บ้านคุณยาย'

(9 ก.พ.67) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม ชี้แจงกรณีที่เคยโพสต์ภาพบ้าน เจ้าพระยาอภัยบูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา พร้อมข้อความว่า เป็นบ้านของคุณยายที่เคยอาศัยอยู่เมื่อประมาณ 100 ปีก่อน จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กลับมาที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450

ล่าสุด อาจารย์ตรีดาว อภัยวงศ์ ทายาทตระกูลอภัยวงศ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Threedow Aphaiwongs ระบุว่า 

ขออนุญาตเรียนแจ้งข้อมูล กรณีที่เกี่ยวข้องกับ ‘บ้านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร’ ที่พระตะบอง และโพสต์ของคุณพิธาที่เกี่ยวข้องกับ สกุล อภัยวงศ์ นะคะ

สืบเนื่องจากกรณีที่เป็นประเด็นและข้อสงสัยว่าคุณยายของ คุณพิธา เป็นใคร เหตุใดจึงเคยอาศัยอยู่ในบ้านของ เจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ทั้งๆ ที่บ้านหลังนั้น ตกเป็นของรัฐบาลกัมพูชาไปตั้งแต่ ปี 2450 แล้ว วันนี้ขออนุญาตสื่อสารข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้ประเด็นส่วนตัวไม่กระทบกับคนส่วนมาก ดังนี้ นะคะ

คุณแม่ของคุณพิธา ท่านได้โทรศัพท์มาปรับความเข้าใจและพูดคุยกับผู้ใหญ่ในสกุล อภัยวงศ์ แล้วเมื่อวานนี้

ทางครอบครัวอภัยวงศ์เข้าใจได้ว่า การที่คุณพิธาฟังคำบอกของญาติที่เล่าต่อกันมา อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ ทั้งนี้ คุณอนุศรี ซึ่งเป็นคุณยายของคุณพิธาเองก็เคยเป็นสะใภ้ของสกุล อภัยวงศ์ ในช่วงหนึ่ง

เราขอเรียนว่าเราเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของคุณพิธา ที่ไปเยือนพระตะบองและจะระลึกถึงคุณยายและสถานที่ ที่เคยได้ทราบมาในสมัยยังเด็ก ซึ่งสถานที่นั้นมีส่วนเชื่อมโยงกับสกุล อภัยวงศ์ ทางสายตระกูลเราขอขอบคุณที่ระลึกถึงเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เราก็เป็นคนร่วมชาติเดียว#กัน

ขอบคุณค่ะ

ทั้งนี้ มีนรายงานจากท็อปนิวส์ ระบุว่า ยายของนายพิธามีชื่อว่า ‘อนุศรี อนุรัฐนฤผดุง’ เคยสมรสกับ นายเกษม อภัยวงศ์ จริง ซึ่งนายเกษมเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) กับหม่อมละม้าย 1 ในภรรยา 24 คนของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน แต่ภายหลัง อนุศรี และนายเกษม ได้หย่าร้างกันไป ต่างฝ่ายต่างไปมีครอบครัวใหม่

ทั้งนี้ นายเกษม ย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เมื่อครั้งตามเจ้าพระยาอภัยภูเบศรกลับมาที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 และใช้ชีวิตในเมืองไทย เสียชีวิตเมื่ออายุ 63 ปี หรือ เมื่อ 49 ปีที่แล้ว และพบว่าอนุศรี อนุรัฐนฤผดุง ได้สมรสใหม่และมีบุตรสาว ซึ่งเป็นมารดาของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (นางลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์)

ปลัดแรงงาน 'ไพโรจน์' เปิดการเสวนาระดับสูง เนื่องในโอกาสวันแห่งความยุติธรรมทางสังคมสากล ประจำปี 2567

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14.00 น. นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้รับมอบหมายจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการเสวนาระดับสูง เนื่องในโอกาสวันแห่งความยุติธรรมทางสังคมสากล ประจำปี 2567 ในหัวข้อ “มุ่งสู่ความยุติธรรมทางสังคมสำหรับทุกคนในโลกแห่งการทำงาน”ณ ห้อง Ballroom ชั้น 12 โรงแรมวี กรุงเทพฯ  โดยมีคุณกิลเบิร์ท เอฟ โฮงโบ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ คุณชิโฮโกะ อาซาดะ มิยากาวะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ผู้แทนรัฐบาล องค์กรนายจ้าง และองค์กรลูกจ้างในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เอกอัครราชทูต ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม ร่วมงาน

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การเสวนาในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้แลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ถึงประเด็นที่จะต้องดำเนินการร่วมกัน เพื่อมุ่งสู่ความยุติธรรมทางสังคมสำหรับทุกคนในโลกแห่งการทำงาน เนื่องจาก ขณะนี้โลกแห่งการทำงานเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบใหม่ ซึ่งการที่จะแก้ไขปัญหาความท้าทายดังกล่าวนี้ และนำไปสู่ความยุติธรรมทางสังคมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในรูปแบบพหุภาคีจากนานาประเทศ การทำงาน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างรายได้ และรับประกัน ความเป็นอยู่ที่ดี โดยผู้คนจะสามารถเข้าถึงงานที่ดีและมีคุณค่าได้จำเป็นที่จะต้องมีความยุติธรรมในสังคม ซึ่งการจะสร้างความยุติธรรมทางสังคมได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย

“ ประเทศไทยขอแสดงความชื่นชม ท่านผู้อำนวยการใหญ่และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่ได้ริเริ่มเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศว่าด้วยความยุติธรรมทางสังคม หรือ Global Coalition for Social Justice ซึ่งจะเป็นกลไกในการผสานความพยายามร่วมกันระหว่างหุ้นส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความยุติธรรมในสังคม และขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเสวนาระดับสูงในวันนี้ จะสร้างแรงบันดาลใจให้ภาคีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศว่าด้วยความยุติธรรมทางสังคม สร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถสร้างโลกที่มีความยุติธรรมทางสังคมให้เป็นความจริงได้อย่างแน่นอน ” นายไพโรจน์ โชติกเสถียร    กล่าว

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในระดับพหุภาคีไม่ได้เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เป็นกลไกที่มีความสำคัญยิ่งยวดในการสร้างอนาคตที่เป็นธรรม และเท่าเทียม ประเทศไทยจะร่วมกับนานาประเทศในการผลักดันความยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะในโลกแห่งการทำงาน ภายใต้วิสัยทัศน์ “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” โดยการกำหนดนโยบายที่ครอบคลุม ส่งเสริมความหลากหลาย และรับประกันว่า ทุกภาคส่วนในสังคมจะได้รับส่วนแบ่งและผลประโยชน์จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม 

‘บอสณวัฒน์’ ประกาศขึ้นค่าตัว ‘อิงฟ้า’ 1 มี.ค.นี้ หลังเปิดตัวเล่นซีรีส์ กระแสตอบรับล้นหลาม

หลังจากที่ อิงฟ้า วราหะ ได้ร่วมเงินเปิดตัวซีรีส์เรื่องใหม่ของ OneD Original 2024 ในเรื่อง ‘บางกอกคณิกา’ ซึ่ง อิงฟ้า วราหะ ได้รับบทเป็น ‘กุหลาบ’ โสเภณีสาวสวยในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกได้ว่ากระแสการเปิดตัวปังมากและมีเสียงชื่นชมในโลกโซเชียลกันอย่างมากมาย มีแฟนคลับที่ไปซัปพอร์ตอย่างล้นหลาม

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (8 ม.ค. 67) ณวัฒน์ อิสรไกรศีล บอสใหญ่แห่งมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ก็ได้ประกาศขอปรับค่าตัว อิงฟ้าวราหะ โดยระบุว่า “ปังมาก MGI ขอปรับขึ้นค่าตัว อิงฟ้า สำหรับงานอีเวนต์และพรีเซนเตอร์ของอิงฟ้า เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคมนี้เป็นต้นไปครับ ใครได้เรตปัจจุบันต้องคอนเฟิร์มภายในสิ้นเดือนนี้ครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ”

'ลอรี่' ชี้!! ป่วนขบวนบุคคลสำคัญในต่างแดน โทษระดับก่อการร้าย หากไปทำคล้ายๆ กันที่ 'สหรัฐฯ' เสี่ยงรับโทษจำคุกตลอดชีวิต

(9 ก.พ. 67) จากเหตุการณ์ เยาวชนที่เป็นผู้ต้องหา คดี 112 แต่ยังขับรถไปป่วนขบวนเสด็จ สมเด็จพระเทพฯ บีบแตร และมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามากั้น โดยการเสด็จนี้ใช้เวลาสั้นเพียงไม่กี่วินาที และไม่ได้เป็นการปิดถนนการจราจรทั้งเส้นแต่อย่างใด

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำระรานคนอื่น แต่เปรียบตัวเองเป็นฮีโร่ สร้างบรรทัดฐานสังคมผิดๆ ยัดเยียดความรุนแรงในสังคม โดยใช้เสรีภาพคำกล่าวอ้าง เป็นใบผ่านทาง พร้อมระบุว่า...

เยาวชนท่านนี้ ควรเอาเวลาไปเรียนให้จบ จะได้ตาสว่างอย่าเป็นเบี้ยของใครง่ายๆ โดยเฉพาะเครือข่ายต่างๆ กลุ่มการเมืองที่จ้องดิสเครดิตสถาบันฯ เพราะน้องทำวันนี้ เพื่อเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม หรือด้วยค่าขนม แต่โทษอาญาติดอยู่กับเราไปตลอดชีวิต หมดอนาคต กว่าจะรู้ก็สาย...

บ้านเมืองเราที่น้องๆ โดนกล่อมอยู่ตลอด ว่าไร้สิทธิเสรีภาพ ไม่ทราบว่า เคยรู้หรือไม่ว่ากฎหมายของเราเปิดพื้นที่ให้แสดงออกมากกว่า และโทษต่อประมุขของรัฐ ยังเบากว่า ประเทศเสรีอย่างฝรั่งเศส หรือ สหรัฐอเมริกา

ถ้าน้องทำรูปแบบเดียวกัน คือขับรถโฉบซิ่งเข้าไปป่วนขบวนประธานาธิบดีสหรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่อยากจะนึก อาจจะไม่ได้อยู่รอดปลอดภัย เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสามารถลงมือรุนแรงเพื่อป้องกันภัยได้

โดยข้อหาที่เกิดขึ้นของไทย อาจเข้าข่ายเดียวคือก่อความไม่สงบ กฎหมายอาญา “มาตรา110 กระทําการประทุษร้ายต่อกษัตริย์ วงศาคณาญาติ มีโทษจําคุกตั้งแต่ 16-20 ปี”

ส่วนถ้าน้องไปก่อเรื่องนี้ในสหรัฐอเมริกา น้องจะเสี่ยงโดนจำคุกตลอดชีวิต จาก 4 ข้อหานี้ รวมกัน

1. ขัดขวางการทำงานจนท.รัฐ (Obstruction of official duties) ผิดกฎหมายระหว่างรัฐ จำคุก 5 ปี

2. คุกคาม/ ประทุษร้าย (Assualt) จำคุก 2 ปี

3. จราจล/ ก่อความไม่สงบ (Disorderly Conduct) จำคุก 6 เดือน

4. เข้าข่ายก่อการร้าย (Terrorism) หากเป็นการกระทำที่มีแรงจูงใจทางการเมือง หรือสร้างภัยต่อความมั่นคงชาติ โทษจำคุกตลอดชีวิต

จึงอยากเตือนสติน้องๆ การเรียกร้อง และแสดงสิทธิเสรีภาพ ต้องตั้งอยู่บนกรอบ การเรียกร้องความสนใจ จนเกินเลยขอบเขตกฎหมายเช่นนี้ สร้างความเกลียดชัง และเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่รุนแรง อย่างที่เห็นคดีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธจนถึงแก่ความตาย ขณะที่สื่อมวลชนทั้งหลายควรนำเสนอข้อมูลด้วยจรรยาบรรณสากล ว่าด้วยเรื่อง 'No Notoriety' ไม่สร้างตัวตนฮีโร่กับผู้ก่อเหตุ และขอให้กำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่เข้ากำกับดูแลความเรียบร้อยด้วยความใจเย็นทุกคน

แม่ทัพภาคที่ 3 ร่วม แถลงผลงานไฟป่าหนึ่งเดือน จุดความร้อนลดลงอย่างเห็นได้ชัด คุณภาพอากาศดีขึ้นต่อเนื่อง

จังหวัดเชียงใหม่ แถลงผลงานไฟป่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จุดความร้อนลดลงต่อเนื่อง ค่าคุณภาพอากาศดีขึ้น 93 เปอร์เซ็นต์ เผยปีหน้าเตรียมปรับแผนบริหารจัดการจุดโม่ข้าวโพดไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้าง 

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ ห้องประชุม ตะวัน กังวานพงศ์ ชั้น 4 อาคารยุทธศาสตร์ สำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 /ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการไฟป่ากองทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พลตรี วิทยา แก้วพรม รองแม่ทัพภาคที่ 3/ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานภาค 3 /รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการไฟป่ากองทัพภาคที่ 3 ,พลตรี ธีระ ผดุงสุนทร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33/ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานมณฑลทหารบกที่ 33 ร่วมกันประชุมคณะกรรมการแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 แบบบูรณาการ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วมประชุม จากนั้น ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมดังกล่าวแล้ว ได้มอบหมายให้ นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน 

โดยในปีนี้จังหวัดเชียงใหม่ได้ปรับแผนการดำเนินงานจากปีที่ผ่านมาให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่โดย แบ่งพื้นที่การดำเนินงานเป็น 7 กลุ่มป่า และ 1 พื้นที่ป่าพิเศษ เพื่อจัดทำแผนป้องกันไฟป่าและบริหารจัดการเชื้อเพลิง ขณะเดียวกันได้มีการปรับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในที่โล่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 30 เมษายน 2567 ให้สามารถเผาได้หากมีความจำเป็น โดยผู้ที่มีความประสงค์จะเผาต้องลงทะเบียนขอรับบริหารจัดการเชื้อเพลิงผ่านระบบ Fire-D และต้องได้รับการอนุมัติจากศูนย์บัญชาการระดับอำเภอก่อน ประกอบกับการปฏิบัติการเชิงรุก “เดินเข้าหาไฟ” เป็นการดึงเชื้อเพลิงออกจากแปลงเกษตรลดการเผา ด้วยวิธีการไทยกลบหรือการรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตร เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนด้วยหลัก เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 

จากการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์หมอกควันไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่ ในห้วงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 8 กุมภาพันธ์ 2567 เกิดจุดความร้อนเพียง 111 จุด ลดลงจากปี 2566 มากถึง 747 จุด ลดลงถึง 87 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ค่าคุณภาพอากาศที่เกินมาตรฐานคือ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงจาก 30 วัน เหลือเพียง 2 วัน เท่านั้น หรือลดลงมากถึง 93 เปอร์เซ็นต์  ถือว่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน สอดคล้องกับจำนวนสถิติผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจก็ลดลงด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงที่สถานการณ์จะรุนแรงมากที่สุดนั้น นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงใหม่ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือโดยการให้ทุกหน่วยเข้มงวดกวดขันในการลาดตระเวนเฝ้าระวังในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่า เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านว่างจากการทำการเกษตรมักจะเข้าป่า เพื่อหาของป่าตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน ขณะเดียวกันให้ในช่วงที่จะมีการเผาซังข้าวโพดนั้นได้สั่งการให้เกษตรจังหวัดเข้าไปควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งในปีถัดไปจะมีการควบคุมการโม่ข้าวโพดอย่างเข้มข้นขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ซังข้าวโพดลุกลามไปในวงกว้าง 

เปิดปาก!! มือเปิดประตูฉุกเฉินเครื่องการบินไทยกลางรันเวย์ อ้าง!! หวาดกลัวองค์กรใต้ดินตามทำร้าย จึงพยายามหลบหนี

หนุ่มจีนสัญชาติแคนาดาที่ก่อเหตุเปิดประตูเครื่องการบินไทยกลางรันเวย์สนามบินเชียงใหม่ยอมเปิดปาก อ้างลงมือก่อเหตุเนื่องจากความหวาดกลัว ถูกองค์กรใต้ดินติดตามปองร้ายตั้งแต่ไปเที่ยวเวียดนาม จึงต้องพยายามหลบหนี ขณะที่ตำรวจคุมไปตรวจหาสารเสพติดในร่างกายแต่ไม่พบ เบื้องต้นแจ้งดำเนินคดี 2 ข้อหาหนัก

ความคืบหน้ากรณีเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 67 ที่ผู้โดยสารในเที่ยวบิน TG121 เส้นทาง เชียงใหม่-สุวรรณภูมิ ของสายการบินไทย ก่อเหตุเอะอะโวยวายและเปิดประตูเครื่องบินระหว่างที่เครื่องบินเตรียมที่จะทำการวิ่งขึ้น ทำให้เบาะสไลด์กาง จนส่งผลให้อากาศยานไม่สามารถทำการบินได้ และจอดค้างอยู่กลางทางวิ่ง (Runway) ทั้งนี้ส่งผลให้เที่ยวบินอื่นๆ ไม่สามารถทำการขึ้น-ลง ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ชั่วขณะ โดยมีเที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบ 13 เที่ยวบิน และผู้โดยสารทั้งสิ้น 2,296 คน 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบทราบว่าผู้โดยสารที่ก่อเหตุชื่อ นาย Wong Sai Heung อายุ 40 ปี เชื้อชาติจีน สัญชาติแคนาดา ซึ่งหลังจากที่ก่อเหตุแล้วทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการควบคุมตัวนำส่งสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ โดยจากการค้นในตัวพบยารักษาโรคจำนวนหนึ่ง ขณะที่ช่วงสายวานนี้ (8 ก.พ. 67) พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวทำการสอบสวนผ่านล่าม เบื้องต้นทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ อ้างว่าก่อเหตุเนื่องจากหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย เนื่องจากถูกองค์กรมืดติดตามล่าตัวและจะทำลายเครื่องบินที่ตนเองนั่ง จึงพยายามจะเปิดประตูเครื่องบินเพื่อหลบหนี

รายงานข่าวแจ้งว่า ล่าสุดช่วงบ่ายวานนี้ (8 ก.พ. 67) ที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนาย Wong Sai Heung ออกจากห้องขัง นำไปตรวจสอบหาสารเสพติด อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าไม่พบสารเสพติดในร่างกายแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ระหว่างที่ถูกควบคุมตัวไปนั้น นาย Wong Sai Heung เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ก่อเหตุ โดยยืนยันว่ากระทำไปเนื่องจากเกิดความหวาดกลัวว่าถูกติดตามจะทำร้าย จากการที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศเวียดนามแล้วเกิดเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าถูกคุกคามและปองร้ายจากกลุ่มองค์กรใต้ดิน ซึ่งติดตามจะมาทำร้ายตัวเอง และจะทำลายเครื่องบินลำที่ตัวเองโดยสาร จึงเกิดความหวาดกลัวและพยายามจะหลบหนีด้วยการวิ่งไปเปิดประตูเครื่องบินดังกล่าว

ขณะที่ พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ น้อยสอน รองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนทำการแจ้งข้อหา 2 ข้อหาหนักต่อผู้ต้องหารายนี้ ได้แก่ ข้อหากระทำด้วยประการใดๆ ให้อากาศยานอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคล ตาม ป.อาญา มาตรา 232(1) และข้อหาเป็นผู้อยู่ในอากาศยานระหว่างการบินฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยาน ซึ่งสั่งในนามผู้ควบคุมอากาศยาน (เปิดประตูฉุกเฉินเครื่องบินโดยไม่มีเหตุอันควร) ที่สั่งเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่อากาศยานหรือแก่บุคคลหรือทรัพย์สินในอากาศยาน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มาตรา 7 วรรค 2 อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีกเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอากาศยาน ซึ่งรอผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ นอกจากนี้ในส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน และเที่ยวบินทั้ง 13 เที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบนั้น ทางสายการบินแต่ละแห่งอาจจะมาดำเนินการแจ้งความเพิ่มเติมอีก

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้นั้น เบื้องต้นข้อมูลระบุว่าเป็นคนเชื้อชาติจีน สัญชาติแคนาดา ประกอบอาชีพเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ โดยเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 ก่อนที่จะเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ และในช่วงที่ก่อเหตุกำลังจะเดินทางด้วยเที่ยวบินดังกล่าวจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ เพื่อต่อเครื่องบินกลับประเทศ

'วุ้นกะทิสด' ของเซ่นไหว้เจ้าตรุษจีน ลดปัญหา 'หมู-ไก่' ราคาแพง

(9 ก.พ.67) นางนงนภัส สภานุช เจ้าพนักงานสาธารณสุขโรงพยาบาลตรัง หารายได้เสริมด้วยการทำวุ้นกะทิสดรูปมังกร รูปหัวหมู ไก่ต้ม เป็ดต้ม หมูย่าง ขนมเทียน ขนมเข่ง สิ่วท้อ ส้มและผลไม้มงคลต่างๆ ออกขายในเทศกาลตรุษจีน

โดยมีลูกค้าขาประจำและลูกค้ารายใหม่สั่งซื้อเข้ามาจนทำแทบไม่ทัน เพราะนอกจากจะหวานน้อย ดีต่อสุขภาพและอร่อยถูกปากคนเกินแล้ว ยังถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่รายได้น้อย ที่จะเลือกซื้อไปเป็นของเซ่นไหว้แทนเนื้อสัตว์ที่มีราคาแพงในช่วงเทศกาลตรุษจีน

โดยปีนี้เป็นปีมังกรทอง ทำให้มีวุ้นมังกรเขียวและมังกรแดงออกจำหน่ายด้วย น้ำหนักปอนด์ครึ่งราคา 300 บาท ส่วนวุ้นกะทิสดรูปเป็ด ไก่ หัวหมูและหมูย่าง น้ำหนัก 1 ปอนด์ ขายปอนด์ละ 200 บาท หากเป็นเซ็ตซึ่งมีครบทั้งขนมเข่ง ของไหว้ ผลไม้มงคลรวม 10 ชนิดขายราคาเซ็ตละ 200 บาท ส่วนชุดเล็กมีหัวหมูต้ม เป็ดพะโล้ เนื้อหมูขายชุดละ 70 บาท 

ซึ่งทุกเซ็ตจะมีคำอวยพรเป็นภาษาจีนแถมมาให้ด้วย ทำให้แต่ละปีในช่วงดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท หรือประมาณ 35,000-40,000 บาทเลยทีเดียว โดยทำมาเป็นปีที่ 10 แล้ว ผลตอบรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นงานทำมือ สวยแปลกตาและเหมือนจริงมากที่สุด

นางนงนภัส สภานุช เจ้าของไอเดียวุ้นกะทิสดของเซ่นไหว้กล่าวว่า ราคาหมูต้น เป็ดพะโล้จะอยู่ที่เซ็ตละ 70 บาท โดยมีคำมงคลของจีนแปะมาให้ด้วย ซึ่งปีนี้เป็นปีมังกรก็ได้ทำมังกรทาด้วยทองที่ทานได้ เป็นทองที่ใช้ทำอาหารและขนม 

ส่วนชุดมังกรแดงและมังกรเขียว น้ำหนัก 1 ปอนด์ ราคา 300 บาท หมูและไก่ไซส์จัมโบ้ขนาด 1 ปอนด์ ขาย 200 บาท ส่วนชุด 10 ช่องมีของคาว ของหวาน ผลไม้ครบ ชุดนี้ขายดีลูกค้าจะสั่งไปฝากผู้ใหญ่ตลอด ผลตอบรับปีนี้จะเป็นลูกค้าเก่าที่สั่งกันมาหลายปี ส่วนลูกค้าใหม่ก็มีสั่งเข้ามาเรื่อย ๆ เพราะราคาจะอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับขนาดของขนม โดยปีที่แล้วสร้างรายได้ประมาณเกือบ 40,000 บาท ส่วนใครสนใจสามารถติดต่อได้ที่เพจ วุ้นไออุ่น วุ้นแฟนซีตรังหรือ FB นงนภัส สภานุช โทร 093 654 4422 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top