ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ‘ผศ.ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล’ สื่อมวลชนอาวุโส เก็บไว้ในใจมานานหลายปี และไม่เคยได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้ใครได้ฟัง โดยท่านได้เล่าถึงอดีตสมัยที่ตนได้เคยเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ต้องจำลาจากอาชีพดังกล่าว ซึ่งเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝัน รัก และมุ่งมั่นอยากจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ โดยเชื่อมโยงไปถึงประเด็น ‘จรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาฯ’ กับ สิ่งที่ตนเป็นในสมัยนั้น จนนำไปสู่สถานการณ์จำใจลาออกจากการเป็นอาจารย์ในช่วงปี 2528 ผ่านรายการโลกยามเช้า EP.221 ออกอากาศทาง FM 96.5 เมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 โดย ผศ.ดร.สมเกียรติ ได้เปิดเรื่องด้วยการนำเอกสารที่ระบุอ้างอิงถึงจรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาลงกรณ์ มาเกริ่นก่อนที่จะพาไปพบกับชนวนเหตุในอดีต ไว้ดังนี้...
ผศ.ดร.สมเกียรติ เล่าว่า โดยหลักการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว จะต้องวางตนให้เป็นสถาบันแห่งการแสวงหาความรู้ สร้างสรรค์ จรรโลง และถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนประยุกต์วิชาการใหม่ ๆ เพื่อบ่มเพาะบัณฑิตให้ออกไปสร้างประโยชน์สุขต่อมวลมนุษย์และสังคมตามแต่ความรู้ภายใต้คุณธรรมกำกับ และนั่นก็ทำให้จุฬาฯ มีปณิธานเพื่อสร้างสมและส่งเสริมเชิดชูความรู้คู่ขนานไปกับคุณธรรมไว้ให้เป็นหน้าที่สำคัญที่แก่อาจารย์ทุกท่านที่จะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งได้มีการประกาศเป็นจรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้คร่าว ๆ ดังต่อไปนี้...
>> จรรยาบรรณข้อ 1. อาจารย์พึงอุทิศเวลาและเสียสละให้กับงานสอนด้วยความรับผิดชอบ ต้องอุทิศเวลาและเสียสละให้กับงานสอนด้วยความรับผิดชอบ หรือก็คือ ต้องให้เวลาแก่นิสิตอย่างเต็มที่ ให้เกียรติและปฏิบัติต่อสิทธิอย่างวิญญูชนมีจิตใจกว้างขวางยอมรับความคิดเห็นของศิษย์และผู้ร่วมงานปฏิบัติต่อศิษย์แบบกัลยาณมิตร ให้ความยุติธรรมและเสมอภาคแก่ศิษย์ จัดเตรียมการสอนจัดทำประมูลรายวิชาเข้าสอนและตรวจงานส่งคืนตามกำหนด
>> จรรยาบรรณข้อ 2. อาจารย์พึงสอนศิษย์อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ ภายใต้แนวปฏิบัติดังนี้…
2.1 จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศิษย์อย่างมุ่งมั่นและตั้งใจวางแผน โดยเตรียมสอนล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ
2.2 พัฒนาเทคนิควิธีการเรียนการสอนที่แปลกใหม่ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอน
2.3 มีความรับผิดชอบและปฏิบัติงานเต็มที่ไม่ทิ้งงานกลางคัน
2.4 สอนศิษย์ทุกคนโดยไม่ปิดบังหรือเลือกที่รักมักที่ชัง
>> จรรยาบรรณข้อ 3. อาจารย์พึงช่วยเหลือและปฏิบัติต่อศิษย์อย่างเป็นธรรม อาจารย์ต้องมีความรับผิดชอบเกื้อกูลต่อศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ สร้างความรู้สึกเป็นมิตร เป็นที่พึ่งพาและไว้วางใจของศิษย์ทุกคน ตอบสนองข้อเสนอของศิษย์และการกระทำของศิษย์ในทางสร้างสรรค์ตามสภาพปัญหาความต้องการและศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน เสนอแนะแนวทางพัฒนาศิษย์ทุกคนตามความถนัดความสนใจและศักยภาพของศิษย์ รักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริม ละเว้นการกระทำให้ศิษย์เกิดความกระทบกระเทือนจิตใจ สติปัญญาอารมณ์ และสังคมของศิษย์ ละเว้นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์ ละเว้นการกระทำที่สกัดกั้นพัฒนาการทำสติปัญญาอารมณ์จิตใจของและสังคมของศิษย์
>> จรรยาบรรณข้อ 4. อาจารย์พึงเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ โดยแนวปฏิบัติ คือ พึงปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีสอดคล้องกับคำสอนของแต่ละวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ส่งเสริมและผดุงเกียรติแห่งความเป็นอาจารย์ ส่งเสริมความก้าวหน้าซึ่งกันและกันด้วยเหตุผลและไม่เล่นพรรคเล่นพวก ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับหน้าที่ของอาจารย์ พูดจาสุภาพและสร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับศิษย์และสังคม พึงปฏิบัติตนให้เป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไป อาจารย์พึงหมั่นศึกษาค้นคว้าจรรยาบรรณ
>> จรรยาบรรณข้อ 5. อาจารย์พึงหมั่นศึกษาค้นคว้าติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการของตนให้ทันต่อเหตุการณ์เสมอ แนวปฏิบัติก็คือ อาจารย์มุ่งมั่นในการพัฒนาศาสตร์ของตนอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ใฝ่รู้อยู่เสมอ ติดตามความรู้ใหม่ ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิตใฝ่หาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองและงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่เสมอ
>> จรรยาบรรณข้อ 6. อาจารย์พึงเป็นนักวิจัยที่มีจรรยาบรรณและจรรยาบรรณนักวิจัยของสำนักงานและคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
>> จรรยาบรรณข้อ 7. อาจารย์พึงสร้างและส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะและมีส่วนร่วมในการพัฒนามหาวิทยาลัยโดยส่วนร่วมก็แปลความว่า อาจารย์ควรพึงปฏิบัติตนด้วยความรับผิดชอบต่อผู้อื่นสังคมและประเทศชาติ
สุดท้าย ต้องปฏิบัติตนต่อผู้อื่นอย่างเป็นกัลยาณมิตร
จากนั้น ผศ.ดร.สมเกียรติ ก็ได้เริ่มเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ ระบุว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2528 แต่ผมจะขอย้อนไปในช่วงปีที่ผมได้รับบรรจุเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี 2516 หลังจากจบปริญญาตรีและโทรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเดลี ประเทศอินเดีย โดยช่วงนั้นผมก็มาสมัครเป็นอาจารย์ โดยต้องสอบข้อเขียนแข่งกับเพื่อนที่มาแข่ง ผมถูกชื่นชมว่าเขียนเก่ง ซึ่งผมก็บอกว่า ไม่ได้เก่ง แต่แค่ผมไปอยู่ที่อินเดีย ไปเรียนที่นั่น 5 ปี อาจารย์อินเดียเขาจะสอนให้ผมเขียนเยอะ ๆ แล้ว ทั้งที่ จุฬาฯ และ เดลี ก็ใช้ข้อสอบข้อเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ไม่เอาภาษาไทยด้วย...
“การได้เข้าเป็นครูเป็นความฝัน เพราะในอดีตที่บ้านของผม ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เขาก็มีการพูดถึงฐานะที่บ้านของผม ซึ่งไม่ดี ต้องไปเป็นครูจะดีกว่า เงินเดือน 650 บาทเลี้ยงพ่อแม่ได้แล้ว…ขอนอกเรื่อง สมัยนั้นที่มีคนแถวบ้านมาบอก คือ ช่วงปี 2507 ซึ่งเงิน 650 ใช้พอต่อเดือนนะครับ...
“หลังจากนั้น อีก 2 ปีถัดมา ผมก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เพื่อไปเรียนปริญญาเอก ซึ่งช่วงที่ผมลาไปเรียนต่อนั้นจะได้รับเงินเดือน 5 ปีเดือนละ 3,500 บาท ที่สำคัญการไปเรียนที่ฮาร์เวิร์ด ผมไม่ต้องมาชดใช้ทุนคืนด้วย แต่สิ่งที่ผมได้ คือ องค์ความรู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของเอเชียศึกษา ที่ได้รับการศึกษาเพิ่มเติมอย่างจริงจัง แล้วก็ได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่มีความชำนาญที่สุดในประเทศไทยในยุคนั้นเกี่ยวกับเอเชียใต้ศึกษาอย่างจริงจัง”
ผศ.ดร.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า “อันที่จริงเรื่องรัฐศาสตร์แขนงนี้ ไม่ว่าจะตอนเรียนที่เดลี หรือฮาร์วาร์ด มักจะไม่มีคนไทยคนไหนอยากไปเรียนสักเท่าไร แต่ที่ผมได้เรียนทั้งอินเดียและสหรัฐอเมริกา มันทำให้เรากลายเป็นอาจารย์คนไทยคนเดียวในระบบมหาวิทยาลัยไทย ที่มีความรู้ด้านเอเชียใต้ศึกษาและสอนเรื่องนี้ได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งผมก็ทำงานด้วยความขยันและให้ความรู้กับคนไทยทั้งนิสิตนักศึกษาอย่างเต็มที่ รวมถึงให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านงานเขียนหนังสือต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าไม่บกพร่องต่อจรรยาบรรณใด ๆ ในการเป็นอาจารย์”
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.สมเกียรติ ก็ได้เล่าต่อว่า “ช่วงชีวิตของทุกคนก็ย่อมต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ในขณะนั้น เงินเดือนที่ได้รับอยู่ 4,000 บาท อาจจะเริ่มไม่พอกับคนหนุ่มที่กำลังมีไฟจะมีความมั่นคงในชีวิต อยากมีบ้าน มีรถยนต์ และเมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีลูก ซึ่งรายได้เท่านี้ในช่วงปี 2518 ดูจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด”
นั่นจึงทำให้ ผศ.ดร.สมเกียรติ เริ่มทํางานพิเศษ โดยได้มีโอกาสไปทํารายการคลื่นวิทยุ 96.5 และด้วยความที่เป็นคนพูดแล้วน่าฟัง ก็มีคนให้โอกาสเชิญไปเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ที่ช่อง 9 อสมท. ชื่อรายการ ‘ความรู้คือประทีป’
ผศ.ดร.สมเกียรติ บอกว่า ตอนนั้นตนมีรายได้เดือนนึงประมาณ 20,000 กว่าบาท บวกกับเงินเดือนที่ได้ก็เริ่มทำให้ขยับขยายอนาคตชีวิตได้ดียิ่งขึ้น แล้วงานด้านสื่อก็เริ่มไหลเข้ามาอีก โดยมีโอกาสทำรายการช่วงดึกชื่อ ‘ข่าวทันโลก’ กับช่อง 9 อสมท.เพิ่ม ช่วงนั้นทำให้มีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน อีกทั้งยังมีรายการโทรทัศน์เพิ่ม รายการวิทยุเพิ่ม เช่น รายการโลกยามเช้า ซึ่งเบ็ดเสร็จทำให้ ผศ.ดร.สมเกียรติ มีรายได้ระดับ 80,000 บาทต่อเดือน (ยังไม่นับรวมศูนย์ข่าวแปซิฟิกในช่วงเวลาถัดมา)
ชื่อเสียงของ ผศ.ดร.สมเกียรติ โด่งดังอย่างมากในยุคนั้น ดังขนาดที่ว่ามีโอกาสได้รับรางวัลดังอย่างรางวัลเมขลา ได้ยืนประกบอยู่เคียงข้างดารามากมาย และนี่ก็เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่พอใจต่อใครบางคน
ในช่วงปี 2528 เป็นช่วงที่ชื่อเสียงและงานด้านการสื่อสารของ ผศ.ดร.สมเกียรติ โดดเด่น แต่จากจุดนั้นเองก็กลายเป็นภัยสู่ตน เพราะที่นั่น (คณะที่สอน) มี ‘บัตรสนเทห์’ (จดหมายที่เขียนกล่าวโทษผู้อื่น โดยไม่ลงชื่อ หรือไม่ลงชื่อจริงของผู้เขียน) ส่งไปยังคณบดีของคณะฯ ที่สะท้อนถึงความไม่พอใจต่อบทบาทของ ผศ.ดร.สมเกียรติ
“ผมเองก็ไม่ได้อ่านบัตรสนเทห์เหล่านั้น แต่เหมือนในบัตรสนเท่ห์นั้นจะมีการแจ้งมาว่า ดร.สมเกียรติ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยยังเร่ร่อนไปทําโทรทัศน์ เป็นนักข่าว เป็นนักสัมภาษณ์ เป็นพิธีกร แล้วอยู่กับพวกดารารางวัลเมขลา คือ ผมไม่รู้รายละเอียดว่าเขาต่อว่าผมยังไงด้วยบัตรสนเท่ห์นะครับ แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนอาจารย์ในคณะรัฐศาสตร์ หรือจะเพื่อนอาจารย์จากส่วนไหนก็ไม่ทราบได้ น่าจะส่งไปยังคณบดี ซึ่งขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์จรูญ สุภาพ ซึ่งจริงท่านก็มีคอลัมน์ลงสื่อเช่นกัน...
“วันนั้นผมจำได้ดีว่า ศาสตราจารย์จรูญ สุภาพ คณบดี เรียกผมไปสอบสวนสอบถามแบบกันเองแบบพี่น้องนะครับ โดยวันนั้นไม่มีภาพถ่าย ไม่มีการอัดเสียงใด ๆ ซึ่งท่านก็พูดเช่นเดียวกันกับที่จดหมายและบัตรสนเท่ห์เหล่านั้นต่อว่าตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ผม ว่าทำตัวไม่เหมาะสมที่เป็นอาจารย์รัฐศาสตร์จุฬาฯ เพื่อน ๆ เค้าไม่พอใจ You เป็นอาจารย์ไม่พอ ยังไปเป็นนักข่าว ไปออกทีวี มันดูไม่ดี...
“ผมก็เถียงท่านว่า ทีพวกหมอหรือทันตแพทย์ เขาก็ออกไปเปิดคลินิกได้ วิศวกรก็มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างเองได้ อาจารย์ภาควิชาสถาปัตย์เขาก็รับงานออกแบบ ซึ่งก็มีกันทั้งนั้น ส่วนผมเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์ ได้ไปทำรายการวิทยุโทรทัศน์ ไม่ได้หรือ ผมก็อยากมีรายได้สร้างครอบครัวของผม ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ ไม่รู้จะทำยังไง เพราะมีบัตรสนเท่ห์มาเป็นปึกเลย...
“ผมจึงบอกท่านว่า ขอผมดูหน่อยได้มั้ย ท่านก็บอกว่าไม่ได้ แต่ถามแค่ว่า แล้วผมจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง?...
“แน่นอนว่าผมก็อึดอัด ผมจึงตัดสินใจว่า ผมออกดีกว่าพี่ อยู่ไปก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครที่เขาไม่ชอบเรา มันอาจจะทั้งหมดทุกคนก็ได้ หรืออาจจะมี 2-3 คน แต่แบบนี้คือไม่รู้ว่ามีใครที่เกลียดเราบ้าง เพราะถึงต่อให้เราไม่ผิดจริยธรรม มันก็คงจะอยู่มองหน้ากันลำบาก”
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.สมเกียรติ ได้สะท้อนต่อว่า สิ่งที่เขาได้รับมาจากทั้งมหาวิทยาลัยในอินเดียและที่สหรัฐอเมริกา คือ ความรู้ และเงินทุนที่ต่างชาติอุดหนุนหลายล้านบาท ถือเป็นการลงทุนให้คน ๆ หนึ่งได้กลายเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องเอเชียตะวันออกเอเชียใต้ และได้กลับมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน สร้างประโยชน์ให้กับวงการศึกษา รวมถึงสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป
นี่จึงเป็นสิ่งที่ ผศ.ดร.สมเกียรติ รู้สึกไม่เข้าใจว่า การที่คน ๆ หนึ่งแสวงหาโอกาสในด้านการงานเพื่อความมั่นคงแก่ชีวิต แต่ก็สามารถธำรงไว้ซึ่งหน้าที่และจรรยาบรรณของความเป็นอาจารย์อย่างไม่บกพร่องไปพร้อม ๆ กันนั้น ทำไมถึงต้องถูกทำลายด้วยบัตรสนเท่ห์ ที่ไม่รู้ว่ามาจากใคร และความรู้สึกตรงนั้น ก็ทำให้ความชัดเจนบังเกิด แม้ว่ายังมีคนในจุฬาฯ เองที่ยังชื่นชมและอยากให้ ผศ.ดร.สมเกียรติ อยู่ทำงานสอนต่อไป แต่ความฝันในการดิ้นรนมาตั้งแต่เด็กของ ผศ.ดร.สมเกียรติ และเส้นทางที่ยากลำบากที่ผ่านมา ก็พลันต้องจำใจให้จบลงเพียงเท่านี้
ในช่วงท้าย ผศ.ดร.สมเกียรติ ได้ฝากถึง อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล และอาจารย์คนอื่น ๆ ที่มักจะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่าอยากให้คิดให้ดีกับสถานภาพที่เป็นอยู่ หากต้องเจอการทักท้วงเรื่องจรรยาบรรณทางวิชาชีพบ่อย ๆ ก็ต้องลองชั่งใจไว้ว่า ชีวิตข้างหน้าต่อไปจะเป็นเช่นไร โดย ผศ.ดร.สมเกียรติ เองก็ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เลือกในวันนั้น คือ ความผิดพลาด แต่ถ้ามีโอกาสได้มีชีวิตหลังเกษียณ มีเงินบำนาญมาหล่อเลี้ยงจนถึงวันนี้ วันที่อายุครบ 76 ปีพอดี และมีโอกาสได้แสวงหาความสุขตามควรแก่อัตภาพ ก็คงจะดีไม่น้อย