Monday, 2 June 2025
NewsFeed

‘KTC’ ร่วมส่งท้ายมาตรการ ‘Easy E-Receipt’ มอบสิทธิพิเศษ เอาใจนักช็อปออนไลน์สินค้าไอที

เคทีซีมอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตรเคทีซี ที่ช็อปสินค้าไอทีผ่านร้านค้าพันธมิตรออนไลน์ชั้นนำ รับสิทธิพิเศษลดหย่อนภาษีจากการเข้าร่วมมาตรการ ‘อีซี่ อี-รีซีท’ (Easy E-Receipt) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี พร้อมรับความคุ้มค่า 2 ต่อ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567

(9 ก.พ. 67) นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากภาครัฐออกมาตรการ ‘อีซี่ อี-รีซีท’ เพื่อให้ประชาชนสามารถนำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มาลดหย่อนภาษีออนไลน์สูงสุดถึง 50,000 บาท ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 พบว่า การใช้บัตรเครดิตเคทีซีในการซื้อสินค้าในหมวดไอทีเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งน่าจะเป็นผลจากมาตรการดังกล่าวที่สอดรับกับความต้องการของประชาชน รวมถึงโปรโมชันที่สนับสนุนให้สมาชิกได้รับความคุ้มค่าจากสิทธิพิเศษควบคู่กันไปถึง 2 คุ้ม 

-คุ้มที่ 1 ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืน/ส่วนลด เมื่อมียอดผ่อน
ชำระ 3 เดือนขึ้นไป 

-คุ้มที่ 2 ใช้คะแนน KTC FOREVER ตั้งแต่ 1,000 คะแนนขึ้นไป เพื่อแลกรับเครดิตเงินคืน เพิ่มสูงสุดอีก 20% เมื่อชำระเต็มจำนวนหรือผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเคทีซีตามยอดใช้จ่ายที่กำหนด ณ ร้านค้าไอทีชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่ Advice, J.I.B., IT City, Asus, HP, Lenovo, Acer, BaNANA, Studio7, iStudio by Copperwired, .life, iStudio by SPVI และ iStudio by Uficon หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/itonline

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ 

ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี 

‘รร.พิบูลวิทยาลัย’ จ.ลพบุรี เปิดแนวคิดพัฒนาคุณภาพนักเรียน ยก 3 เรื่องเด่น ‘วิชาการ-ศิลปะ-กีฬา’ พาเด็กๆ มุ่งสู่ระดับประเทศ

(9 ก.พ.67) โลกในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ในศตวรรษที่ 21 ระบบการศึกษาของไทยต้องมีการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จในเรื่องดังกล่าวฯ อยู่ที่งานวิชาการ มีหัวใจหลักอยู่ที่การพัฒนาคุณภาพวิชาการ โดยหลักการนี้เป็นแนวคิดของ รร.พิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี ที่ได้นำมาบูรณาการ จนสามารถนำนักเรียนมุ่งหน้าสู่ความเป็นเลิศในระดับประเทศได้ แนวคิดนี้น่าสนใจอย่าง ไรต้องลองมาศึกษากันดู 

นายธรรมวิทย์ ธรรมพิธี ผู้อำนวยการ รร.พิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี เปิดเผยว่า “นโยบายหลักในการจัดการศึกษาของโรงเรียน คือเน้นเรื่องความเป็นเลิศหรือความเก่ง พร้อมกับการเป็นคนดีมีคุณธรรม ในด้านของความเก่งนั้น ทางโรงเรียนได้แบ่งเป็น 3 เรื่องคือ 1.) เก่งแบบโรงเรียนมาตรฐานสากล คือนักเรียนต้องมีความเป็นเลิศทางวิชาการ มีความสามารถในการสื่อสารด้านภาษา ล้ำหน้าทางความ คิด ต้องผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ และสามารถร่วมกันดูแลสังคมโลกได้ 2.) เก่งทางด้านศิลปะ และ 3.) เก่งทางด้านกีฬา 

โดยในด้านภาษาทางโรงเรียนมีการสอนในทุกแผนการเรียนถึง 5 ภาษา ได้แก่ ภาษา อังกฤษ, ภาษาจีน, ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส และภาษาพม่า ส่วนด้านศาสนานั้นทาง รร.จะมุ่งเน้นไปที่การมีคุณธรรมและเป็นคนดี มีการจัดกิจกรรมโดยกำหนดคุณธรรมอัตลักษณ์ อาทิ การมีระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ ซึ่งสอดคล้องกับคำขวัญของ รร.ที่ว่า ‘มานะ วินัย ซื่อสัตย์ สามัคคี’ ซึ่งเป็นกิจกรรม รร.วิถีพุทธ มีการจัดกิจกรรมวัดในโรงเรียนทุกวันอังคาร การนั่งสมาธิหน้าเสาธงก่อนขึ้นเรียนทุกวัน เป็นต้น  

“ผมคิดว่างานวิชาการนั้น คือตัวชี้วัดความสำเร็จของการจัดการศึกษาของโรงเรียน และอนาคตของเด็ก รวมถึงความเจริญของประเทศชาติ ซึ่งหัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือการศึกษา ซึ่งทาง รร.จะสามารถช่วยได้ก็คือการพัฒนาคุณภาพวิชาการ โดยปัจจุบัน รร.พิบูลวิทยาลัย มีนักเรียนประมาณ 3,000 คน ประกอบด้วย ระดับมัธยมปลายชั้นละ 26 ห้องเรียน แบ่งเป็นแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ 13 ห้อง, แผนการเรียนด้านภาษา 7 ห้อง และแผนการเรียนทั่วไป (ศิลปะ, ดนตรี, กีฬา, อาชีพ) 6 ห้อง โดยมีนักเรียนเดินทางมาเรียนจาก 34 จังหวัด ถือเป็นโรงเรียนยอดนิยม จุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ของเด็กคือต้องการสอบติดคณะแพทย์, เตรียมทหาร และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถิติที่อยู่ในลำดับต้นๆ ของโรงเรียน”   

ด้าน ดร.รัตนา แซ่เล้า ผู้รับพระราชทานทุนอานันทมหิดล แผนกธรรมศาสตร์ ประจำปี 2549 ได้กล่าวว่า “รร.พิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี เป็นโรงเรียนที่มีความเป็นเลิศของภาคกลาง เพียบพร้อมทั้งในด้านวิชาการ มีนักเรียนสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ ทั้งหมอ, พยาบาล, วิศวะ, รัฐศาสตร์ ฯลฯ รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆ ที่ได้รับรางวัลระดับประเทศ ทั้งนี้เป็นเพราะคุณภาพของคุณครู ที่ได้ทุ่มเทตั้งใจมอบความรู้ให้กับนักเรียน มีความเข้มแข็ง สามัคคี การทำงานแบบทีมเวิร์ก รวมถึงผู้อำนวยการโรงเรียนก็มีการฝึกฝนให้นักเรียน สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในสังคมอย่างมีความสุข การมาที่ รร.แห่งนี้ ทำให้ได้พบว่าปัจจุบันโลกได้เปิดกว้าง และมอบพื้นที่ให้กับคนที่มีความสามารถมากมาย สื่อมวลชนหรือนักการศึกษาจึงควรสนับสนุน และส่งเสริมเรื่องราวดีๆ ที่ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาของประเทศไทยให้มากกว่านี้ ไม่ใช่นำเสนอข่าวแต่ในด้านลบ เพราะยังมีสิ่งดีๆ อีกมากมาย เราต้องหันมาช่วยกันเพื่อผลักดันเพิ่มพลังบวกให้เกิดขึ้นในสังคมไทยค่ะ” 

สำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องดังกล่าวฯ สามารถเข้าไปชมคลิปการสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในรายการ 1 ในพระราชดำริ ตอน ความฝันอันสูงสุด กล้าฝันเพื่อวันใหม่ ซึ่งสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ร่วมกับมูลนิธิอานันทมหิดล ได้จัดทำขึ้น

โดยสามารถคลิกที่ลิงก์ https://www.youtube.com/watch?v=UWNDWOLYQqU&t=933s ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 

‘ดร.หิมาลัย’ ยัน!! รทสช. ไม่เกี่ยวข้องพฤติกรรม ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ชี้!! ‘ถูก-ผิด’ ต้องว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

(9 ก.พ. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ TOP NEW Talk กรณีนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก เข้าไปพัวพันกับขบวนการตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคลของคุณเจ๋ง ดอกจิก ซึ่งทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่มีเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่มีข่าวลือว่าตนเป็นคนชักชวนเจ๋ง ดอกจิก เข้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งนี้หากคนที่ติดตามการเมืองมาตลอด จะทราบว่า เจ๋ง ดอกจิก อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง และเมื่อช่วงใกล้จะเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทางเจ๋ง ดอกจิก ได้เข้ามาที่พรรคฯ เพื่อขอร่วมงานทางการเมืองด้วยกันกับทางพรรค โดยได้ยกประเด็นเรื่องการสลายสีเสื้อเพื่อความสมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งตรงกับแนวทางนโยบายของพรรคพอดี

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า กรณีที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีคนของพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อพรรค เนื่องจากเป็นการกระทำส่วนตัว และที่สำคัญคือพรรครวมไทยสร้างชาติ และ ท่านพีระพันธุ์ สารีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคฯ ได้เน้นย้ำเสมอถึงความซื่อสัตย์สุจริต แม้แต่โครงการต่าง ๆ ที่สส.ของพรรคต้องการผลักดัน ถ้าโครงการนั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ท่านก็จะให้ดำเนินการตามระเบียบของราชการ หากกฎเกณฑ์เป็นอย่างไรก็ให้ทำตามนั้น

ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวหาว่า ท่านพีระพันธุ์ ปลด เจ๋ง ดอกจิก จากคณะทำงาน เพื่อช่วยเหลือให้ได้รับโทษน้อยลงนั้น ดร.หิมาลัย ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะท่านพีระพันธุ์ เป็นคนทำงานเที่ยงตรงและโปร่งใส แต่ทางคุณเจ๋งเอง ที่ได้มาขอลาออกก่อนหน้านี้ เพราะไม่สะดวกที่จะเดินทางไปทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัด พร้อมทั้งได้แนะนำให้แต่งตั้งพิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือคุณการ์ตูน แทนตนเอง โดยให้เหตุผลว่าเคยเป็นผู้สมัครสส.ของพรรคมาก่อน อย่างไรก็ดี หนังสือแต่งตั้งที่ท่านพีระพันธุ์ ลงนามไปนั้น เป็นเพียงร่างคำสั่งแต่งตั้งเท่านั้น และคำสั่งนั้นก็ยังอยู่บนโต๊ะเจ้าหน้าที่ ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะท่านลงนามในช่วงเที่ยง ๆ จากนั้นเวลาประมาณบ่ายสองโมง ก็มีข่าวเรื่องตบทรัพย์ออกมา จึงมีการระงับร่างคำสั่งนั้นไว้ก่อน

“การที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าท่านพีระพันธุ์ ปลดคุณเจ๋ง ดอกจิก ออกจากคณะทำงาน เพื่อช่วยให้รับโทษน้อยลง เรื่องนี้ผมยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะจากการทำงานกับท่านพีระพันธุ์ มาหลายปี ผมบอกได้เลยว่าท่านเป็นคนทำงานตรงไปตรงมา เปรียบดังไม้บรรทัดก็ว่าได้ ทุกอย่างยึดตามหลักเกณฑ์ตามตัวอักษรเป๊ะ ๆ เพราะฉะนั้นหากคุณเจ๋ง ทำผิดจริง ท่านไม่มีทางช่วยคนผิดอย่างแน่นอน และในวันที่เกิดเรื่อง ทางคุณเจ๋งจะเข้ามาลา แต่ท่านก็ไม่ให้เข้าห้องทำงาน แต่ท่านออกมาพบข้างนอก พร้อมกับบอกให้ไปต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย และอธิบายให้สังคมฟัง จากนั้นก็ได้ให้เชิญทั้ง 2 ท่านนี้ออกจากที่ทำงานของท่านทันที” 

อนุ กมธ.พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร สผ. แถลงสรุปผลการศึกษา แนะวางมาตรการดูแลสภาพปัญหารอบด้าน

8 ก.พ.67 - อนุ กมธ.พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร สผ. แถลงสรุปผลการศึกษา เผยคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แนะ 3 แนวทางลดปัญหาการลงทุนของรัฐ พร้อมวางมาตรการดูแลสภาพปัญหารอบด้าน ขณะเตรียมนำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ต่อ กมธ.วิสามัญฯ พิจารณาต่อ

นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ อนุกรรมาธิการ ในคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ แถลงถึงสรุปผลการพิจารณาศึกษา โดยกล่าวว่า อนุ กมธ. ได้ดำเนินการพิจารณาศึกษาถึงผลกระทบทั้งเชิงบวก เชิงลบ รวมถึงแนวทาง และมาตรการการป้องกันและการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจรในภาพรวม โดยพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นใน 6 ด้าน 

ได้แก่ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การศึกษา และด้านศาสนาและจริยธรรม สำหรับรูปแบบของการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ การหารายได้เข้ารัฐ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น รวมถึงเพื่อแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมาย ซึ่งการลงทุนต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงอาจมีปัญหาด้านงบประมาณที่รัฐจะต้องจัดหามาใช้ในการลงทุนดังกล่าว 

ดังนั้น แนวทางที่จะช่วยลดปัญหาในการลงทุน จึงอาจมีได้ใน 3 แนวทาง คือ รัฐเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งอาจอาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณของประเทศได้ แต่ข้อดีคือรัฐสามารถจะควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานได้เองทั้งหมด หรือรัฐดำเนินงานร่วมกับเอกชนในรูปแบบการลงทุนร่วมกัน กรณีนี้รัฐอาจจะไม่ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงในการลงทุนเองทั้งหมด และยังสามารถจะควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานได้เองอีกด้วย หรือการให้สัมปทานหรือให้ใบอนุญาตกับเอกชนตามระยะเวลาที่กำหนด กรณีนี้ รัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงในการลงทุนเองทั้งหมด ส่วนการควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานอาจต้องกำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดต่าง ๆ รวมถึงขั้นตอนการตรวจสอบไว้ในใบอนุญาตให้รัดกุม

ทั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ต่อกรณีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร คาสิโน และการพนันออนไลน์ ซึ่งประชาชนโดยส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ก็มีบางส่วนที่ยังมีข้อกังวลใจอยู่บ้าง เช่น ยังมีเว็บพนันออนไลน์เถื่อนเกิดขึ้นมากมาย จะมีมาตรการป้องกันอย่างไร ซึ่งคณะอนุกรรมการได้ศึกษา เพื่อเป็นการป้องกันและปิดกั้นเว็บพนันออนไลน์เถื่อนซึ่งมีอยู่ในปัจจุบัน และอาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต จึงเสนอแนะให้นำเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม Ai Machine Learning 

เพื่อใช้ในการค้นหาและทำการปิดกั้นเว็บพนันออนไลน์เถื่อนเชิงลึกอย่างจริงจัง อีกทั้งศึกษาให้นำเอาเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม มาช่วยในการคัดกรองผู้เข้าเล่น และจัดการควบคุมเรื่องด้านการเงิน และจัดเก็บภาษีให้กับประเทศ ซึ่งการพิจารณาศึกษาดังกล่าว คณะอนุกรรมาธิการ ได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มจำนวน 10 ข้อต่อกรณีนี้ พร้อมเห็นว่า หากจะมีการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ควรจะมีมาตรการดูแลสภาพปัญหาต่าง ๆ 

โดยเฉพาะปัญหาทางด้านสังคม มีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบเชิงวัฒนธรรม รวมถึงบริบทของการดำรงวิถีชีวิตและวิถีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในพื้นที่ ตลอดจนการใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางสังคม เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยมองถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในภาพรวม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม คณะอนุ กมธ. จะได้นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ ให้กับ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ สภาฯ ได้พิจารณา ต่อไป

สส.มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ 24 หน่วยงานจัดการพื้นที่สีเขียวสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง กักเก็บคาร์บอนได้กว่า 12,000 ตันต่อปี

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) จัดพิธีมอบโล่รางวัล ยกย่องเชิดชูเกียรติ 24 หน่วยงาน ที่มีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดูแลรักษา และบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ สร้างแรงจูงใจและขยายผล สร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง ขับเคลื่อนสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2567) นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยหลายพื้นที่ประสบกับปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมรุนแรงและบ่อยขึ้น หรือในพื้นที่ติดชายฝั่งประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งเพราะน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมลงมือปฏิบัติในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการดูดกลับหรือกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ 

โดยประเทศไทยได้มีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ ร้อยละ 55 ภายในปี พ.ศ. 2580 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจะช่วยเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้การดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2566 ได้ขับเคลื่อน

กิจกรรมการบริหารจัดการและเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ยั่งยืน ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ สถานศึกษา ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว พร้อมทั้งดูแลรักษาและบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการส่งเสริมให้เครือข่ายเกิดการจัดการพื้นที่สีเขียว และมีการตรวจประเมินมอบคำรับรอง เพื่อให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ โดยเกณฑ์ประเมินที่ครอบคลุมประเด็น ด้านสัดส่วนพื้นที่สีเขียว องค์ประกอบพืชพรรณ บทบาทหน้าที่พื้นที่สีเขียว การบริหารจัดการ การมีส่วนร่วม ตลอดจนข้อมูลพื้นที่สีเขียวและนวัตกรรม ซึ่งผลจากการดำเนินงานมีหน่วยงานผ่านเกณฑ์ประเมิน จำนวน 24 แห่ง 

แบ่งเป็น ระดับดีเยี่ยม 19 แห่ง ระดับดีมาก 2 แห่ง ระดับดี 3 แห่ง รวมพื้นที่ กว่า 700 ไร่  สามารถกักเก็บคาร์บอนได้กว่า 12,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี  ดังนั้น เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับหน่วยงานดังกล่าว จึงได้จัด “พิธีมอบโล่รางวัลการจัดการพื้นที่สีเขียว” ให้แก่หน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน รวมถึงมีการเสวนา ในหัวข้อ “พื้นที่สีเขียว ไม่ใช่ควรมี แต่ต้องมี” โดยผู้แทนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดพิษณุโลก ผู้อำนวยการโรงเรียนสบปราบพิทยาคม จังหวัดลำปาง ผู้แทนจากกองบริหารกองทุนสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 

ซึ่งมีผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ เข้าร่วมจำนวน 200 คน สำหรับพิธีมอบโล่รางวัลในวันนี้ นอกจากจะเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติเครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมกันพัฒนาพื้นที่สีเขียว เพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีและรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว และยังได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านพื้นที่สีเขียว พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจ ตลอดจนขยายผลไปสู่หน่วยงานอื่นๆ นำไปปรับใช้กับพื้นที่ของตนเอง รวมถึงเกิดเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งและยั่งยืน นำไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ต่อไปได้

‘ปูติน’ ลั่น!! รัสเซียไม่คิดขยายวงสงครามไปประเทศอื่น เผย เกือบปิดดีลยูเครนสำเร็จ แต่อีกฝ่ายถอยทัพไปก่อน

เมื่อไม่นานนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอเมริกันเป็นครั้งแรก ของ ประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ แห่งรัสเซีย ได้กล่าวยืนยันว่า รัสเซียจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด แต่เขาไม่สนใจที่จะขยายวงสงครามยูเครนไปยังประเทศอื่นๆ อย่างโปแลนด์ หรือลัตเวีย

บทสัมภาษณ์ผู้นำรัสเซีย ความยาวกว่า 2 ชั่วโมง โดย ‘ทัคเกอร์ คาร์ลสัน’ อดีตพิธีกรรายการทอล์กโชว์แนวการเมืองชาวอเมริกัน ผู้เคยจัดรายการ Tucker Carlson Tonight ทางช่องฟ็อกซ์นิวส์ ที่คาร์ลสันเดินทางมาสัมภาษณ์ที่กรุงมอสโก ของรัสเซีย เมื่อวันอังคารที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่นำออกอากาศทาง tuckercarlson.com เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. ในช่วงหนึ่ง ปูตินกล่าวว่า ผู้นำตะวันตกตระหนักดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความปราชัยทางยุทธศาสตร์ให้กับรัสเซีย และกำลังสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนที่ปูตินจะกล่าวต่อไปว่า “เราพร้อมสำหรับการเจรจา”

เมื่อถูกคาร์ลสันถามถึงฉากทัศน์ที่ผู้นำรัสเซียจะส่งกองทหารรัสเซียเข้าไปยังโปแลนด์ ซึ่งเป็นชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) หรือไม่ ปูตินกล่าวตอบว่า “มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น หากโปแลนด์โจมตีรัสเซีย ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเราไม่มีความสนใจโปแลนด์ ลัตเวีย หรือที่อื่นใด”

ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ที่ปูตินพูดเป็นภาษารัสเซียและถูกพากย์ทับเป็นภาษาอังกฤษนั้น ปูตินเริ่มต้นด้วยการร่ายยาวถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับยูเครน โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ และใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการคร่ำครวญว่า ยูเครนใกล้จะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามแล้ว ในการเจรจาที่นครอิสตันบูลเมื่อเมษายนปี 2022 แต่อีกฝ่ายกลับถอยไป เมื่อทหารรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่ใกล้กรุงเคียฟ

ปูตินยังกล่าวถึงสหรัฐอเมริกาว่า มีประเด็นเร่งด่วนภายในประเทศที่ต้องกังวล

“จะดีกว่าไหมถ้าเจรจากับรัสเซีย? ทำข้อตกลง ได้เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังพัฒนาไปในขณะนี้แล้ว โดยตระหนักว่ารัสเซียจะสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด”

นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังกล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุข้อตกลงในการปล่อยตัว ‘นายอีแวน เกิร์ชโควิช’ นักข่าวอเมริกันของหนังสือพิมพ์เดอะ วอลสตรีทเจอร์นัล ที่ถูกจับกุมในประเทศรัสเซีย เมื่อเกือบ 1 ปีก่อนและกำลังรอการพิจารณาคดีในข้อหาจารกรรม โดยปูตินเปิดเผยว่า หน่วยปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียและสหรัฐฯ กำลังหารือกันในคดีเกิร์ชโควิชอยู่ ซึ่งมีความคืบหน้าอยู่บ้าง

นับเป็นการให้สัมภาษณ์สื่อสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกของปูตินนับจากปี 2021 และก่อนที่สงครามรุกรานยูเครนของรัสเซียจะเปิดฉากขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

‘ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล’ เล่าย้อน ‘จรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาฯ’ บรรทัดฐานที่ย้อนแย้งกับปุถุชน จนต้องจำนนลาจากสิ่งที่รัก

ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ‘ผศ.ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล’ สื่อมวลชนอาวุโส เก็บไว้ในใจมานานหลายปี และไม่เคยได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้ใครได้ฟัง โดยท่านได้เล่าถึงอดีตสมัยที่ตนได้เคยเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ต้องจำลาจากอาชีพดังกล่าว ซึ่งเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝัน รัก และมุ่งมั่นอยากจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ โดยเชื่อมโยงไปถึงประเด็น ‘จรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาฯ’ กับ สิ่งที่ตนเป็นในสมัยนั้น จนนำไปสู่สถานการณ์จำใจลาออกจากการเป็นอาจารย์ในช่วงปี 2528 ผ่านรายการโลกยามเช้า EP.221 ออกอากาศทาง FM 96.5 เมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 โดย ผศ.ดร.สมเกียรติ ได้เปิดเรื่องด้วยการนำเอกสารที่ระบุอ้างอิงถึงจรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาลงกรณ์ มาเกริ่นก่อนที่จะพาไปพบกับชนวนเหตุในอดีต ไว้ดังนี้...

ผศ.ดร.สมเกียรติ เล่าว่า โดยหลักการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว จะต้องวางตนให้เป็นสถาบันแห่งการแสวงหาความรู้ สร้างสรรค์ จรรโลง และถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนประยุกต์วิชาการใหม่ ๆ เพื่อบ่มเพาะบัณฑิตให้ออกไปสร้างประโยชน์สุขต่อมวลมนุษย์และสังคมตามแต่ความรู้ภายใต้คุณธรรมกำกับ และนั่นก็ทำให้จุฬาฯ มีปณิธานเพื่อสร้างสมและส่งเสริมเชิดชูความรู้คู่ขนานไปกับคุณธรรมไว้ให้เป็นหน้าที่สำคัญที่แก่อาจารย์ทุกท่านที่จะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งได้มีการประกาศเป็นจรรยาบรรณของอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้คร่าว ๆ ดังต่อไปนี้...

>> จรรยาบรรณข้อ 1. อาจารย์พึงอุทิศเวลาและเสียสละให้กับงานสอนด้วยความรับผิดชอบ ต้องอุทิศเวลาและเสียสละให้กับงานสอนด้วยความรับผิดชอบ หรือก็คือ ต้องให้เวลาแก่นิสิตอย่างเต็มที่ ให้เกียรติและปฏิบัติต่อสิทธิอย่างวิญญูชนมีจิตใจกว้างขวางยอมรับความคิดเห็นของศิษย์และผู้ร่วมงานปฏิบัติต่อศิษย์แบบกัลยาณมิตร ให้ความยุติธรรมและเสมอภาคแก่ศิษย์ จัดเตรียมการสอนจัดทำประมูลรายวิชาเข้าสอนและตรวจงานส่งคืนตามกำหนด

>> จรรยาบรรณข้อ 2. อาจารย์พึงสอนศิษย์อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ ภายใต้แนวปฏิบัติดังนี้…

2.1 จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศิษย์อย่างมุ่งมั่นและตั้งใจวางแผน โดยเตรียมสอนล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ
2.2 พัฒนาเทคนิควิธีการเรียนการสอนที่แปลกใหม่ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอน
2.3 มีความรับผิดชอบและปฏิบัติงานเต็มที่ไม่ทิ้งงานกลางคัน
2.4 สอนศิษย์ทุกคนโดยไม่ปิดบังหรือเลือกที่รักมักที่ชัง

>> จรรยาบรรณข้อ 3. อาจารย์พึงช่วยเหลือและปฏิบัติต่อศิษย์อย่างเป็นธรรม อาจารย์ต้องมีความรับผิดชอบเกื้อกูลต่อศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ สร้างความรู้สึกเป็นมิตร เป็นที่พึ่งพาและไว้วางใจของศิษย์ทุกคน ตอบสนองข้อเสนอของศิษย์และการกระทำของศิษย์ในทางสร้างสรรค์ตามสภาพปัญหาความต้องการและศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน เสนอแนะแนวทางพัฒนาศิษย์ทุกคนตามความถนัดความสนใจและศักยภาพของศิษย์ รักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริม ละเว้นการกระทำให้ศิษย์เกิดความกระทบกระเทือนจิตใจ สติปัญญาอารมณ์ และสังคมของศิษย์ ละเว้นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์ ละเว้นการกระทำที่สกัดกั้นพัฒนาการทำสติปัญญาอารมณ์จิตใจของและสังคมของศิษย์

>> จรรยาบรรณข้อ 4. อาจารย์พึงเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ โดยแนวปฏิบัติ คือ พึงปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีสอดคล้องกับคำสอนของแต่ละวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ส่งเสริมและผดุงเกียรติแห่งความเป็นอาจารย์ ส่งเสริมความก้าวหน้าซึ่งกันและกันด้วยเหตุผลและไม่เล่นพรรคเล่นพวก ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับหน้าที่ของอาจารย์ พูดจาสุภาพและสร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับศิษย์และสังคม พึงปฏิบัติตนให้เป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไป อาจารย์พึงหมั่นศึกษาค้นคว้าจรรยาบรรณ

>> จรรยาบรรณข้อ 5. อาจารย์พึงหมั่นศึกษาค้นคว้าติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการของตนให้ทันต่อเหตุการณ์เสมอ แนวปฏิบัติก็คือ อาจารย์มุ่งมั่นในการพัฒนาศาสตร์ของตนอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ใฝ่รู้อยู่เสมอ ติดตามความรู้ใหม่ ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิตใฝ่หาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองและงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่เสมอ

>> จรรยาบรรณข้อ 6. อาจารย์พึงเป็นนักวิจัยที่มีจรรยาบรรณและจรรยาบรรณนักวิจัยของสำนักงานและคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

>> จรรยาบรรณข้อ 7. อาจารย์พึงสร้างและส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะและมีส่วนร่วมในการพัฒนามหาวิทยาลัยโดยส่วนร่วมก็แปลความว่า อาจารย์ควรพึงปฏิบัติตนด้วยความรับผิดชอบต่อผู้อื่นสังคมและประเทศชาติ

สุดท้าย ต้องปฏิบัติตนต่อผู้อื่นอย่างเป็นกัลยาณมิตร

จากนั้น ผศ.ดร.สมเกียรติ ก็ได้เริ่มเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ ระบุว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2528 แต่ผมจะขอย้อนไปในช่วงปีที่ผมได้รับบรรจุเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี 2516 หลังจากจบปริญญาตรีและโทรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเดลี ประเทศอินเดีย โดยช่วงนั้นผมก็มาสมัครเป็นอาจารย์ โดยต้องสอบข้อเขียนแข่งกับเพื่อนที่มาแข่ง ผมถูกชื่นชมว่าเขียนเก่ง ซึ่งผมก็บอกว่า ไม่ได้เก่ง แต่แค่ผมไปอยู่ที่อินเดีย ไปเรียนที่นั่น 5 ปี อาจารย์อินเดียเขาจะสอนให้ผมเขียนเยอะ ๆ แล้ว ทั้งที่ จุฬาฯ และ เดลี ก็ใช้ข้อสอบข้อเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ไม่เอาภาษาไทยด้วย...

“การได้เข้าเป็นครูเป็นความฝัน เพราะในอดีตที่บ้านของผม ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เขาก็มีการพูดถึงฐานะที่บ้านของผม ซึ่งไม่ดี ต้องไปเป็นครูจะดีกว่า เงินเดือน 650 บาทเลี้ยงพ่อแม่ได้แล้ว…ขอนอกเรื่อง สมัยนั้นที่มีคนแถวบ้านมาบอก คือ ช่วงปี 2507 ซึ่งเงิน 650 ใช้พอต่อเดือนนะครับ...

“หลังจากนั้น อีก 2 ปีถัดมา ผมก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เพื่อไปเรียนปริญญาเอก ซึ่งช่วงที่ผมลาไปเรียนต่อนั้นจะได้รับเงินเดือน 5 ปีเดือนละ 3,500 บาท ที่สำคัญการไปเรียนที่ฮาร์เวิร์ด ผมไม่ต้องมาชดใช้ทุนคืนด้วย แต่สิ่งที่ผมได้ คือ องค์ความรู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของเอเชียศึกษา ที่ได้รับการศึกษาเพิ่มเติมอย่างจริงจัง แล้วก็ได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่มีความชำนาญที่สุดในประเทศไทยในยุคนั้นเกี่ยวกับเอเชียใต้ศึกษาอย่างจริงจัง”

ผศ.ดร.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า “อันที่จริงเรื่องรัฐศาสตร์แขนงนี้ ไม่ว่าจะตอนเรียนที่เดลี หรือฮาร์วาร์ด มักจะไม่มีคนไทยคนไหนอยากไปเรียนสักเท่าไร แต่ที่ผมได้เรียนทั้งอินเดียและสหรัฐอเมริกา มันทำให้เรากลายเป็นอาจารย์คนไทยคนเดียวในระบบมหาวิทยาลัยไทย ที่มีความรู้ด้านเอเชียใต้ศึกษาและสอนเรื่องนี้ได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งผมก็ทำงานด้วยความขยันและให้ความรู้กับคนไทยทั้งนิสิตนักศึกษาอย่างเต็มที่ รวมถึงให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านงานเขียนหนังสือต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าไม่บกพร่องต่อจรรยาบรรณใด ๆ ในการเป็นอาจารย์”

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.สมเกียรติ ก็ได้เล่าต่อว่า “ช่วงชีวิตของทุกคนก็ย่อมต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ในขณะนั้น เงินเดือนที่ได้รับอยู่ 4,000 บาท อาจจะเริ่มไม่พอกับคนหนุ่มที่กำลังมีไฟจะมีความมั่นคงในชีวิต อยากมีบ้าน มีรถยนต์ และเมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีลูก ซึ่งรายได้เท่านี้ในช่วงปี 2518 ดูจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด”

นั่นจึงทำให้ ผศ.ดร.สมเกียรติ เริ่มทํางานพิเศษ โดยได้มีโอกาสไปทํารายการคลื่นวิทยุ 96.5 และด้วยความที่เป็นคนพูดแล้วน่าฟัง ก็มีคนให้โอกาสเชิญไปเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ที่ช่อง 9 อสมท. ชื่อรายการ ‘ความรู้คือประทีป’

ผศ.ดร.สมเกียรติ บอกว่า ตอนนั้นตนมีรายได้เดือนนึงประมาณ 20,000 กว่าบาท บวกกับเงินเดือนที่ได้ก็เริ่มทำให้ขยับขยายอนาคตชีวิตได้ดียิ่งขึ้น แล้วงานด้านสื่อก็เริ่มไหลเข้ามาอีก โดยมีโอกาสทำรายการช่วงดึกชื่อ ‘ข่าวทันโลก’ กับช่อง 9 อสมท.เพิ่ม ช่วงนั้นทำให้มีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน อีกทั้งยังมีรายการโทรทัศน์เพิ่ม รายการวิทยุเพิ่ม เช่น รายการโลกยามเช้า ซึ่งเบ็ดเสร็จทำให้ ผศ.ดร.สมเกียรติ มีรายได้ระดับ 80,000 บาทต่อเดือน (ยังไม่นับรวมศูนย์ข่าวแปซิฟิกในช่วงเวลาถัดมา)

ชื่อเสียงของ ผศ.ดร.สมเกียรติ โด่งดังอย่างมากในยุคนั้น ดังขนาดที่ว่ามีโอกาสได้รับรางวัลดังอย่างรางวัลเมขลา ได้ยืนประกบอยู่เคียงข้างดารามากมาย และนี่ก็เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่พอใจต่อใครบางคน

ในช่วงปี 2528 เป็นช่วงที่ชื่อเสียงและงานด้านการสื่อสารของ ผศ.ดร.สมเกียรติ โดดเด่น แต่จากจุดนั้นเองก็กลายเป็นภัยสู่ตน เพราะที่นั่น (คณะที่สอน) มี ‘บัตรสนเทห์’ (จดหมายที่เขียนกล่าวโทษผู้อื่น โดยไม่ลงชื่อ หรือไม่ลงชื่อจริงของผู้เขียน) ส่งไปยังคณบดีของคณะฯ ที่สะท้อนถึงความไม่พอใจต่อบทบาทของ ผศ.ดร.สมเกียรติ

“ผมเองก็ไม่ได้อ่านบัตรสนเทห์เหล่านั้น แต่เหมือนในบัตรสนเท่ห์นั้นจะมีการแจ้งมาว่า ดร.สมเกียรติ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยยังเร่ร่อนไปทําโทรทัศน์ เป็นนักข่าว เป็นนักสัมภาษณ์ เป็นพิธีกร แล้วอยู่กับพวกดารารางวัลเมขลา คือ ผมไม่รู้รายละเอียดว่าเขาต่อว่าผมยังไงด้วยบัตรสนเท่ห์นะครับ แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนอาจารย์ในคณะรัฐศาสตร์ หรือจะเพื่อนอาจารย์จากส่วนไหนก็ไม่ทราบได้ น่าจะส่งไปยังคณบดี ซึ่งขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์จรูญ สุภาพ ซึ่งจริงท่านก็มีคอลัมน์ลงสื่อเช่นกัน...

“วันนั้นผมจำได้ดีว่า ศาสตราจารย์จรูญ สุภาพ คณบดี เรียกผมไปสอบสวนสอบถามแบบกันเองแบบพี่น้องนะครับ โดยวันนั้นไม่มีภาพถ่าย ไม่มีการอัดเสียงใด ๆ ซึ่งท่านก็พูดเช่นเดียวกันกับที่จดหมายและบัตรสนเท่ห์เหล่านั้นต่อว่าตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ผม ว่าทำตัวไม่เหมาะสมที่เป็นอาจารย์รัฐศาสตร์จุฬาฯ เพื่อน ๆ เค้าไม่พอใจ You เป็นอาจารย์ไม่พอ ยังไปเป็นนักข่าว ไปออกทีวี มันดูไม่ดี...

“ผมก็เถียงท่านว่า ทีพวกหมอหรือทันตแพทย์ เขาก็ออกไปเปิดคลินิกได้ วิศวกรก็มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างเองได้ อาจารย์ภาควิชาสถาปัตย์เขาก็รับงานออกแบบ ซึ่งก็มีกันทั้งนั้น ส่วนผมเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์ ได้ไปทำรายการวิทยุโทรทัศน์ ไม่ได้หรือ ผมก็อยากมีรายได้สร้างครอบครัวของผม ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ ไม่รู้จะทำยังไง เพราะมีบัตรสนเท่ห์มาเป็นปึกเลย...

“ผมจึงบอกท่านว่า ขอผมดูหน่อยได้มั้ย ท่านก็บอกว่าไม่ได้ แต่ถามแค่ว่า แล้วผมจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง?...

“แน่นอนว่าผมก็อึดอัด ผมจึงตัดสินใจว่า ผมออกดีกว่าพี่ อยู่ไปก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครที่เขาไม่ชอบเรา มันอาจจะทั้งหมดทุกคนก็ได้ หรืออาจจะมี 2-3 คน แต่แบบนี้คือไม่รู้ว่ามีใครที่เกลียดเราบ้าง เพราะถึงต่อให้เราไม่ผิดจริยธรรม มันก็คงจะอยู่มองหน้ากันลำบาก”

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.สมเกียรติ ได้สะท้อนต่อว่า สิ่งที่เขาได้รับมาจากทั้งมหาวิทยาลัยในอินเดียและที่สหรัฐอเมริกา คือ ความรู้ และเงินทุนที่ต่างชาติอุดหนุนหลายล้านบาท ถือเป็นการลงทุนให้คน ๆ หนึ่งได้กลายเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องเอเชียตะวันออกเอเชียใต้ และได้กลับมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน สร้างประโยชน์ให้กับวงการศึกษา รวมถึงสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป 

นี่จึงเป็นสิ่งที่ ผศ.ดร.สมเกียรติ รู้สึกไม่เข้าใจว่า การที่คน ๆ หนึ่งแสวงหาโอกาสในด้านการงานเพื่อความมั่นคงแก่ชีวิต แต่ก็สามารถธำรงไว้ซึ่งหน้าที่และจรรยาบรรณของความเป็นอาจารย์อย่างไม่บกพร่องไปพร้อม ๆ กันนั้น ทำไมถึงต้องถูกทำลายด้วยบัตรสนเท่ห์ ที่ไม่รู้ว่ามาจากใคร และความรู้สึกตรงนั้น ก็ทำให้ความชัดเจนบังเกิด แม้ว่ายังมีคนในจุฬาฯ เองที่ยังชื่นชมและอยากให้ ผศ.ดร.สมเกียรติ อยู่ทำงานสอนต่อไป แต่ความฝันในการดิ้นรนมาตั้งแต่เด็กของ ผศ.ดร.สมเกียรติ และเส้นทางที่ยากลำบากที่ผ่านมา ก็พลันต้องจำใจให้จบลงเพียงเท่านี้

ในช่วงท้าย ผศ.ดร.สมเกียรติ ได้ฝากถึง อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล และอาจารย์คนอื่น ๆ ที่มักจะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่าอยากให้คิดให้ดีกับสถานภาพที่เป็นอยู่ หากต้องเจอการทักท้วงเรื่องจรรยาบรรณทางวิชาชีพบ่อย ๆ ก็ต้องลองชั่งใจไว้ว่า ชีวิตข้างหน้าต่อไปจะเป็นเช่นไร โดย ผศ.ดร.สมเกียรติ เองก็ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เลือกในวันนั้น คือ ความผิดพลาด แต่ถ้ามีโอกาสได้มีชีวิตหลังเกษียณ มีเงินบำนาญมาหล่อเลี้ยงจนถึงวันนี้ วันที่อายุครบ 76 ปีพอดี และมีโอกาสได้แสวงหาความสุขตามควรแก่อัตภาพ ก็คงจะดีไม่น้อย

‘ลูกพญาแร้ง’ จาก ‘พ่อป๊อก-แม่มิ่ง’ ลืมตาดูโลกแล้ว ถือเป็นตัวแรกในรอบ 30 ปี ของป่าห้วยขาแข้ง

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 67 นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีและถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ต้องจดบันทึกเอาไว้ เพราะ ความพยายามของนักวิจัยพญาแร้ง ในประเทศไทย ที่พยายามฟูมฟักผสมพันธุ์พญาแร้ง หลังจากที่พญาแร้งในป่าธรรมชาติของประเทศไทยสูญพันธุ์ไปกว่า 30 ปี โดยในตอนเช้าวันนี้ ‘มิ่ง’ พญาแร้งเพศเมีย ได้เจาะไข่ หลังจากวางไข่มาได้สักพักหนึ่งแล้ว

“นักวิจัยดีใจกันสุดขีดที่มองจากกล้องวงจรปิดแล้วเห็น เจ้าลูกพญาแร้งตัวน้อยออกมาจากไข่ ถือเป็นความสำเร็จ และความหวังครั้งใหญ่ สำหรับการฟื้นฟูประชากรแร้ง โดยก่อนหน้านี้ นักวิจัยได้นำเอา ‘ป๊อก’ พญาแร้งเพศผู้จากสวนสัตว์โคราช และ ‘มิ่ง’ พญาแร้งเพศเมียจากสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มาใช้ชีวิตอยู่ในกรงฟื้นฟูซึ่งพยายามทำให้มีความใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุดในพื้นที่หน่วยพิทักษ์ป่าซับฟ้าผ่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยทั้ง 2 ใช้ชีวิตร่วมกันราว 2 ปี ซึ่งนักวิจัยก็พยายามสร้างบรรยากาศ กระตุ้น และทำทุกวิถีทางให้ทั้งคู่ได้ผสมพันธุ์กัน ซึ่ง ทั้งสองได้เริ่มมีการผสมพันธุ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 และมีการผสมพันธุ์หลังจากนั้นอีกอย่างน้อย 3 ครั้ง จนถึงวันนี้ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ภาพจากกล้องวงจรปิดได้จับภาพขณะ เจ้าลูกน้อยได้กะเทาะเปลือกไข่ออกมาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกแล้ว” นายอรรถพร กล่าว

นายอรรถพร กล่าวว่า หลังจากนี้ นักวิจัย จะปล่อยให้แม่มิ่งเลี้ยงลูกเองตามธรรมชาติ โดยไม่ไปทำอะไร แต่จะคอยสังเกตอย่างใกล้ชิดจากกล้องวงจรปิด

‘Miami Hotel’ โรงแรมสุดวินเทจกลางกรุง อายุเกือบ 60 ปี หมุดหมายถ่ายทำซีรีส์ดัง ‘The Serpent’ จาก Netflix

เมื่อปลายปี 2022 (พ.ศ. 2565) ศาลสูงเนปาลได้ประกาศปล่อยตัว ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ ฆาตกรต่อเนื่อง 30 ศพ เจ้าของฉายา ‘นักล่าอสรพิษ’ และ ‘นักฆ่าบิกินี’ ผู้ถูกคุมขังเกือบ 20 ปี ออกจากเรือนจำเนปาลด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ

การประกาศปล่อยตัวครั้งนี้ทำให้ผู้คนนึกย้อนถึงวีรกรรมสุดเหี้ยมโหดของชายที่ชื่อ ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ ที่ครั้งหนึ่งเคยเข้ามาในประเทศไทย และก่อเหตุฆาตกรรม มีเหยื่อเคราะห์ร้ายกว่า 14 ราย เท่านั้นยังไม่พอยังได้ลงมือฆาตกรรมเหยื่อในประเทศอื่น ๆ เช่น เนปาล อินเดีย มาเลเซีย ฝรั่งเศส อัฟกานิสถาน ตุรกี และกรีซ คาดว่ามีเหยื่อทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 30 ราย

เรื่องราวของ ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ ถูกนำมาทำละคร นวนิยายหลายครั้ง ในปี 2563 ก็ได้ถูกหยิบยกมาทำเป็นซีรีส์ในชื่อ ‘The Serpent’ หรือ ‘นักฆ่าอสรพิษ’ ออกฉายทาง Netflix มีจำนวน 8 ตอน โดยสถานที่ถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ส่วนใหญ่อยู่ใน ‘ประเทศไทย’

วีรกรรมของ ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ ในประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 ทำให้กองถ่าย The Serpent ต้องคัดเลือกโลเคชันถ่ายทำอย่างพิถีพิถัน เพื่อภาพที่ฉายออกมาจะได้ทำหน้าที่พาผู้ชมย้อนเวลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หนึ่งในโลเคชันสวย ๆ ในซีรีส์ The Serpent ก็คือโรงแรม ‘Miami Hotel’ โรงแรมยุค Mid Century Vintage ตั้งอยู่ซอยสุขุมวิท 13 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ ซึ่งมีหลายฉากหลายซีนที่ถ่ายทำกันที่โรงแรมแห่งนี้ ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า แต่ละฉากที่ออกมา สวยงาม และสมจริงสุด ๆ ส่วนจะมีฉากไหนบ้าง ต้องตามไปดูใน Netflix กันนะ

ภาพระหว่างถ่ายทำซีรีส์ในปี 2563

สำหรับ ‘Miami Hotel’ ก่อตั้งโดยคุณบัญชา และคุณมาลี แซ่ตั้ง (ตัณศิริชัยยา) เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) ส่วนเหตุผลที่ใช้ชื่อว่า ‘Miami Hotel’ ก็เพราะในช่วงนั้นมีชาวต่างชาติเริ่มเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งทหารอเมริกันที่เดินทางมาพักผ่อนที่ไทยก่อนจะไปปฏิบัติภารกิจในสงครามเวียดนาม (ยุคสงครามเวียดนาม) เจ้าของกิจการโรงแรมในสมัยนั้นจึงนิยมหยิบชื่อเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐฯ มาตั้งเป็นชื่อโรงแรม จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการต้อนรับลูกค้าต่างชาติ และก็ง่ายต่อการจดจำด้วย

แต่เหตุผลไม่ได้มีเพียงเท่านี้ อีกสาเหตุก็คือ ในปีที่เปิดดำเนินกิจการโรงแรม ได้มีการจัดประกวดนางงามจักรวาลที่หาดไมอามี่ สหรัฐฯ และในปีนั้นนางงามตัวแทนประเทศไทยคือ ‘อภัสรา หงสกุล’ ซึ่งสามารถคว้ามงกุฎนางงามจักรวาลคนแรกของประเทศไทยด้วย ทำให้ชื่อเสียงประเทศไทย และไมอามี่ กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ โลโก้ของโรงแรมยังได้แรงบันดาลใจมาจากมงกุฎนางงามจักรวาลอีกด้วย

แม้ว่า ‘Miami Hotel’ จะเปิดให้บริการมายาวนาน ผ่านยุคสมัยและกาลเวลามาเกือบ 60 ปี แต่ในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินกิจการ ต้อนรับลูกค้าอยู่ แต่การตกแต่งภาย วัสดุ สี และบรรยากาศยังใกล้เคียงกับโรงแรมเมื่อแรกสร้าง มีการบำรุงรักษา และต่อเติมอาคาร ให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของอาคารสาธารณะ แต่ก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าทางสถาปัตยกรรม 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ ‘Miami Hotel’ ได้รับเลือกเป็น 1 ในงานอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมและชุมชน จาก สมาคมสถาปนิกสยาม ปี 2563 ด้วย

สำหรับใครที่อยากไปตามรอยซีรีส์ The Serpent หรือกำลังมองหาโรงแรมเก๋ๆ พักผ่อนช่วงวันหยุด ก็สามารถโทรสอบถาม-จองห้องได้ที่เบอร์ 02 253 5611 หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/thaimiamihotel

การได้เห็นสถานที่ในประเทศไทย กลายเป็นหมุดหมายถ่ายทำภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่างชาติ ก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อย หนึ่งสิ่งที่ชัดเจนคือดีใจที่ประเทศไทยในมุมต่าง ๆ ได้เผยโฉมสู่สายตาชาวโลก แม้จะถูกดัดแปลง ตกแต่ง เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทถ่ายทำก็ตาม แต่เชื่อหาก เมื่อชาวต่างชาติ หรือแม้แต่คนไทยด้วยกันเห็น ก็คงต้องกลับมาเยือนกันสักครั้งเป็นแน่

‘มูเตลู’ ศาสตร์แห่งเวทมนตร์คาถา ของวิเศษเปื้อนกิเลส ที่คนกำลังงมงาย

(10 ก.พ. 67) จากช่องยูทูบ ‘Nomad Media Thailand’ โดยคุณวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN ได้นำเสนอเนื้อหาในหัวข้อ ‘มูเตลูเลือด แลกชีวิต หยุดบ้า… อยากสมหวังในความรัก ฟังทางนี้’ ระบุว่า…

จากข่าวของ ‘น้องพร’ จากกรณี #ฆ่าหนุ่มโรงงาน ที่เป็นประเด็นร้อนอยู่ตอนนี้ เพราะมีคนเสียชีวิต ซึ่งก็คือ สามีของเธอเอง เป็นข่าวที่กําลังทําให้สังคมนั้นไขว้เขว เนื่องจากมีข่าวในลักษณะเชิงว่า มีการคบซ่อน มีชู้หลายคน ออกมา อีกทั้งสื่อและสังคมยังไปให้ความสนใจกับ ‘ของ’ ที่อยู่ในตัวเธอ ซึ่งเป็น ‘ไสยศาสตร์’ เป็นสิ่งที่ตอนนี้กำลังฮิตกัน กับคําว่า ‘มูเตลู’ ซึ่งในช่องของเราก็ได้พูดกันหลายครั้งแล้วว่า คําว่า ‘มูเตลู’ นั้น ถ้าเกิดคุณไหว้สิ่งที่เป็น ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์, สิ่งที่เป็นเทพ’ หรือแม้แต่การเข้าวัดของศาสนาพุทธ เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ห้ามใช้คําว่า ‘มูเตลู’ เด็ดขาด

คุณทราบไหมครับว่า ‘มูเตลู’ นั้น มันมาจากคําสองคํา ใช้คําว่า ‘มู’ หรือ ‘สายมู’ จนฮิตกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง จนติดเป็นแฮชแท็ก ‘#สายมู’

เหล่าสายมูตัวแม่ สายมูตัวพ่อ ถ้ารู้ความหมายแล้วจะยังกล้าใช้อีกหรือไม่?

‘มูเตลู’ มาจากคําสองคํา เป็นภาษาอินโดนีเซีย คือคำว่า ‘อิลมู’ (ilmu) แปลว่า ‘วิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์’ (Science) ส่วน ‘เตลู’ (Tehlu) คือ ‘ไสยศาสตร์ หรือมนต์ดํา’ (Witchcraft) นั่นเอง

บรรดาเกจิอาจารย์ต่างๆ ที่นําเอาศาสตร์เหล่านี้เข้ามาทําหากิน ยังกล้าใช้คําว่า ‘พุทธคุณ’ กับสิ่งเหล่านี้ ที่เป็นมนต์ดํา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดและอย่าได้ไปหลงเชื่อ จนทําให้ชีวิตของพวกเราทุกคนพังเด็ดขาดเลยนะครับ

ข่าวของ ‘น้องพร’ ที่เกิดขึ้นเรื่องและกำลังเป็นประเด็นในสังคมอยู่ขณะนี้ พวกสื่อได้ไปให้น้ำหนักในเรื่องของ ‘ลายสัก’ ที่ทําเพื่อให้คนหลงจนโงหัวไม่ขึ้น อีกทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์เธอว่า หน้าตาก็ไม่ได้ดูดีขนาดนั้น ทําไมผู้ชายถึงหลงกันได้ขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนว่า สังคมของเรา ‘ป่วย’ นะครับ

เวลาไปดูดวงหรือไปทําของเหล่านี้ มันทำให้คุณวนเวียน จดจ่ออยู่แต่กับเรื่องเดิมๆ เช่น เรื่องของคู่ครอง เรื่องของความรัก เรื่องของความสมหวัง หรือแม้แต่เรื่องของหน้าที่การงาน แต่มันไม่มีอะไรที่ได้มาภายในชั่วข้ามคืนหรอกนะครับ ของวิเศษเหล่านี้ไม่มีจริง การรับเอาสิ่งเหล่านี้เข้ามา ก็คือการให้ ‘ผี’ มาครอบงำจิตใจของคุณ จนบางครั้งอาจดลบันดาลให้คุณไปทำในสิ่งต่างๆ ที่มันไม่ใช่ ‘ปกติวิสัย’ ของมนุษย์ ดังเช่นเคสนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด นี่คือ ‘มูเตลูเลือด’ ซึ่งแลกมาด้วยชีวิต…

แล้วเราจะยังหลงทางกับสิ่งเหล่านี้อยู่อีกหรือ?

การกราบไหว้ ‘เทพ’ เราสามารถกราบไหว้ได้นะครับ อย่างในกรณีของ ‘พระแม่ลักษมี’ ที่คนชอบไปขอเรื่องของคู่ครองกัน ซึ่งนี่ก็ถือว่าผิดนะครับ ท่านประทานพรเรื่องความรัก ใช่ครับ แต่เมื่อคุณพบกับความรัก ซึ่งจะเข้ามาเมื่อถึงเวลาที่สมควร เข้ามาเมื่อชะตาชีวิตคุณลิขิตไว้ให้เป็นเช่นนั้นนะครับ เมื่อเวลานั้นมาถึง คุณก็จะได้พบกับคนรักเอง ไม่ใช่ไปขอคู่ครอง เพราะทำเช่นนั้น หากได้คู่ครองมาก็ไม่จีรังยั่งยืนหรอกครับ เมื่อของหมดฤทธิ์ คู่รักของคุณก็จากไป เพราะฉะนั้น การที่คุณไปไหว้พระแม่ลักษมีกันนั้น ก็ควรจะไหว้ให้ถูกต้องด้วย

และเมื่อคุณมีความรักแล้ว ก็ควรขอให้ความรักของคุณยั่งยืน มีครอบครัวที่อบอุ่นสมบูรณ์ มั่งมี เจริญสุข แต่ถ้ายังไม่เจอคู่รัก ก็ไม่ควรไปขอคู่จากพระแม่ลักษมี ควรทำเพียงแค่ขอพรจากท่านว่า ถ้าในชีวิตของเราบนโลกนี้มีคู่ครอง เมื่อถึงเวลาก็ขอให้เราและเขาได้พบกัน

เราต้องทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน อย่าได้เข้าใจผิด อย่าได้หลงทาง ว่าของวิเศษเหล่านี้มีจริง สิ่งเหล่านั้นเป็นมนต์ดําทั้งนั้นนะครับ และอาจารย์ต่างๆ ที่นําเอาสิ่งเหล่านี้เข้ามาในสังคมไทย แม้กระทั่งพระที่มาปลุกเสก อ้างเรื่องนู้นเรื่องนี้ โชว์พลังวิเศษ ไปเอาของจากพม่า จากเขมรเข้ามา จงรู้ไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ มันกําลังกัดกร่อน และทําลายคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทย อย่าได้หลงงมงายกับสิ่งเหล่านี้ เตือนด้วยความปรารถนาดีนะครับ

เทพไหว้ได้ พลังเหนือธรรมชาติมีอยู่จริง แต่ก็ต้องมาในทางที่ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน ทุกอย่างเริ่มต้นที่การกระทําของคุณ และของพวกเราเอง ลงมือปฏิบัติ ลงมือทําในสิ่งที่เราอยากจะให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ตั้งหน้าตั้งตาทํามาหากิน ตั้งใจทํางาน ตั้งใจเรียน ตั้งใจดํารงชีวิต ทําความดี และไม่เบียดเบียนใคร

และการขอพร ขอพลังจากสิ่งที่เป็นพลังเหนือธรรมชาติ ที่เราไหว้กันอยู่ ก็คือ ‘เทพ’ แม้แต่การเข้าวัดไทย วัดพุทธ เพื่อไปขอสิ่งเหล่านู้น เหล่านี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนะครับ เพราะเราก็ทราบกันดีว่า พระพุทธเจ้านั้นนิพพาน ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้ว และสอนให้เราละสิ้นกิเลส ดังนั้น การเข้าวัดเพื่อไปขอนั่นขอนี่ จึงเป็นเรื่องที่ผิด และไม่ควรทำนะครับ

เพราะฉะนั้น ตั้งสติกันใหม่นะครับ ขอเตือนด้วยความหวังดี อย่าได้หลงงมงายไปกับสิ่งของที่เป็นสิ่งวิเศษเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นลายสัก หรืออะไรก็ตาม การสักเพื่อความสวยงามก็ควรระวังนะครับ การไปรับของอะไรเข้ามาจากอาจารย์ที่เป็นผู้สักให้ ซึ่งมุ่งแต่จะทํามาหากินจนไม่ได้แคร์ในเรื่องของชีวิต ของมนุษย์เลย บางทีสิ่งที่น้องพรทำลงไปนั้น อาจจะไม่ได้เป็นตัวตนของเธอ อาจจะทำโดยไม่ได้มีสติ หรือโดนผีครอบงําอยู่ จนดลบันดาลให้ทําในสิ่งต่างๆ ที่เธอทําลงไปก็เป็นได้

ตั้งสติกันให้ดีนะครับ ไม่มีอะไรได้มาภายในชั่วข้ามคืน ไม่มีของวิเศษที่เสกสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากเป็นวิชามาร เป็นวิชาของผี

ถ้าเชื่อในพลังธรรมชาติ ก็ขอให้มั่นใจในความสามารถของตัวเอง และลงมือปฏิบัติ และมีสติในการขอพร ขอพลังจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาท่านก็จะบันดาลให้เองครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top