Friday, 30 May 2025
NewsFeed

'พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ' แจ้งเตือนประชาชน หลังมีมิจฉาชีพปลอมเฟซบุ๊กชื่อตนมาใช้หลอกลวง

(12 ก.พ. 67) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เปิดเผยกรณีมีผู้แอบอ้างชื่อของตนไปตั้งบัญชีทางโซเชียลมีเดีย ว่า...

"แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ครับ ขณะนี้มิจฉาชีพ ได้ปลอมเฟซบุ๊ก โดยใช้ชื่อกระผม พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณขึ้นมา และนำไปหลอกลวงประชาชนทั่วไป ขอเรียนให้พ่อแม่พี่น้องทราบครับว่า ผมไม่มีเฟซบุ๊ก และไม่เคยใช้ หากจะติดต่อผม สามารถติดต่อผมได้ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้นครับ"

'ตะวัน' โพสต์แจง 4 ข้อ ปมขบวนเสด็จฯ  ยัน!! เป็นความจริง เชื่อหรือไม่ก็ตามแต่

(12 ก.พ.67) น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 20 ปี สมาชิกกลุ่มทะลุวังและนักกิจกรรมอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Tawan Tantawan' ระบุว่า...

ความจริง คือ...

1. วันนั้นเราเพิ่งกลับจากงานศพ และมีธุระจะไปทำแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

2. เราไม่ได้รู้ว่าจะมีขบวนเสด็จ และไม่ได้มีความตั้งใจจะไปป่วน รวมถึงไม่ได้ขวางขบวนตามที่เป็นข่าว เพราะหากใครดูคลิปจริงๆ ก็จะรู้ว่าเราไม่ได้ขวางขบวนหรือปาดหน้าขบวนตามที่สื่อหลายช่องบอก แต่เพียงขับรถเร็วและไม่ระมัดระวังจริงๆ เพียงเพื่อจะรีบไปให้ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตามที่เราจะไปทำธุระ

3. เราทบทวนเหตุการณ์นั้น และคิดได้ว่าการขับรถเร็วและไม่ระมัดระวังแบบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ จึงได้ขอโทษในส่วนนี้ไป และจะนำไปปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก

4. เรายังคงยืนยันในสิทธิและเสรีภาพในการตั้งคำถามแบบที่เราได้ถามไปตามไลฟ์โดยที่เราเรียกตำรวจว่าพี่และ 'ตัวเรา' ไม่ได้พูดคำหยาบใดๆ กับตำรวจ มีเพียงการตั้งคำถามเท่านั้น

นี่คือความจริงทุกตัวอักษร จะเชื่อหรือไม่เป็นสิทธิของทุกคน 

ที่มีคนบอกว่าเราขวางหรือขับรถตามขบวนเสด็จ ไม่เป็นความจริง

ขอบคุณค่ะ
ทานตะวัน ตัวตุลานนท์
11 ก.พ. 2567

‘นักเรียนนายร้อย จปร.’ นับพันคน ตบเท้าแสดงจุดยืน จัดกิจกรรมถวายกำลังใจ ‘ทูลกระหม่อมอาจารย์’ วันนี้

เมื่อวานนี้ (11 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมโฆษกกองทัพบก แจ้งกำหนดการทำข่าวสื่อมวลชนในกรุ๊ปไลน์นักข่าวว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ขอเรียนเชิญสื่อมวลชนร่วมทำข่าว กิจกรรม ‘ถวายกำลังใจ ทูลกระหม่อมอาจารย์’ พลเอกหญิงสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี โดยมีกำลังพลของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนปิยชาติพัฒนา ร่วมทำกิจกรรม ในวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15.30 น. ณ หอประชุมโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า อ.เมือง จ.นครนายก”

แหล่งข่าว โรงเรียนจปร. ระบุว่า สำหรับการจัดกิจกรรมในวันที่ 12 ก.พ.ของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อเป็นการให้กำลังใจต่อหน้า พระบรมฉายาลักษณ์ทูลกระหม่อมอาจารย์ พลเอกหญิงสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ภายในห้องประชุม โดยจะมีข้าราชการ นักเรียนจปร. 1,600 นาย รวมถึงมวลชนในพื้นที่

“ยอมรับว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าว มีสาเหตุมาจากกรณีขบวนของทูลกระหม่อมอาจารย์ พลเอกหญิงสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ถูกนักกิจกรรมบีบแตรและพยายามชับรถแทรกขบวนในระหว่างเสด็จฯ พระราชดำเนินพระราชกรณียกิจในช่วงที่ผ่านมา” แหล่งข่าวโรงเรียนจปร. ระบุ

‘เพจดัง’ แชร์เสียงสะท้อน นทท.ต่างชาติใช้บริการสนามบินสุราษฎร์ฯ เจอ ‘มาเฟียแท็กซี่’ โกงค่าโดยสาร แถมขู่-ทำร้าย หากเรียกใช้ Grab

(12 ก.พ.67) เพจ ‘Around SURAT THANI Update’ ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพที่สะท้อนความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้ใช้บริการสนามบินสุราษฎร์ธานี โดยระบุว่า…

“แอดมินเข้าไปอ่านรีวิวสนามบินสุราษฎร์ฯ เจอรีวิวจากชาวต่างชาติชื่นชมกันเต็มเลยจ้า โดยเรื่องหลัก ๆจะเป็น #มาเฟียสนามบิน 😥

ปล. เป็นระบบแปลอัตโนมัติของ Google บางประโยคอาจจะแปลงงๆหน่อยนะครับ 😊🙏🏻”

สำหรับเสียงสะท้อนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้ใช้บริการสนามบินสุราษฎร์ธานี มีดังนี้

-พวกเขาจะหลอกคุณ บอกคุณว่า Grab ผิดกฎหมาย และหลอกให้คุณใช้รถของพวกเขา และจะคิดค่าโดยสารแพงมาก คนพวกนี้เป็นมาเฟียแท็กซี่สนามบิน

-พวกเขามีกลุ่มมาเฟียที่ประกอบไปด้วยคนเลวและอันธพาลล้อมรอบแท็กซี่และขาเข้าเมือง พวก
เขาข่มขู่ จ้องมอง และมีความรู้สึกไม่มั่นคงอยู่ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงถ้าเป็นไปได้

-พวกเขาจะหลอกคุณให้บอกว่า Grab Car ผิดกฎหมาย แล้วให้คุณไปกับแท็กซี่มาเฟียเพื่อคิดราคาค่าเดินทางสูง

-หนึ่งในสนามบินที่แย่ที่สุดที่ฉันเคยผ่านมา ไม่มีการเชื่อมต่อสาธารณะใดๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มมาเฟียของคนขับแท็กซี่ท้องถิ่นที่เสนอบริการรับส่งคุณไปยังเมืองอุดรธานีในราคาที่สูงกว่าเที่ยวบินของสายการบิน!!!! ถ้าคุณพยายามคว้า Grab หรืออะไรก็ตาม มันจะโจมตีคุณทุกวิถีทาง Grab ของฉันจะต้องไปที่ชั้น 2 โดยย้อนกลับเข้าจากทางออก..ออกจากสนามบินนี่เหมือนฝันร้าย ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง!!

-จัดการมาเพียแท็งซี่หน่อยครับ ปล่อยปะละเลยกันจริงๆ

-มีสัตว์ประหลาดแท็กซี่ตัวน้อยรอหลอกคนและบังคับให้คนขึ้นแท็กซี่ เขาก้าวร้าวมากกว่าส่วนสูง
ของเขามาก เขามากับสมาชิกแก๊งเพื่อทำให้คนขับของเราตกใจ เราโชคดีที่คนขับรอเราอยู่ที่ทางเข้า
ทางหลวง ห่างออกไปเพียง 1 กม. กรุณาเดิน 1 กม. เพื่อจ่ายให้กับ สัตว์ประหลาดตัวน้อยเหล่านี้

- ระวังแท็กซี่สนามบิน!! มีมาเฟียอยู่ข้างหลัง (คนขับแท็กซี่บอกเรา) เราจองแท็กซี่กับ Grab แล้วพอมาถึงก็มี 2 คน ทำร้ายคนขับแท็กซี่ชาวไทย ข่มขู่เธอ และยังขู่เราด้วยว่าถ้าเราไปแท็กซี่จะไล่เราด้วยก้อนหิน Grab คิดค่าโดยสาร 330 บาท ขณะที่เขาขอ 600/700 บาท

คะแนนสนามบินของฉันคือ 0 เนื่องจากบริษัทต้องมั่นใจในความปลอดภัยของผู้โดยสารและต้องแก้ไขปัญหาแท็กซี่นี้ ไม่มีตำรวจทั้งขาเข้าและขาออก

พอเดินออกจากทางออกก็เจอรปภ.บอกมีคนขับแท็กซี่ไล่เราอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง! เที่ยวทั่วไทยไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับเราเลย มาเฟียแท็กซี่สุดก้าวร้าวที่ทำลายชื่อเสียงของชาติ
ไทย สนามบิน และแม้กระทั่งเมือง

-เช่นเดียวกับสนามบินอื่นๆ แต่ระวังคนขับแท็กซี่ที่อยู่ด้านหน้าด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณลงเครื่องตอนดึก พวกเขารับมิกค์ไป และไม่ยอมถอย เพราะสนามบินอยู่ไกลออกไป แล้วดูเหมือนคนขับ Grab เข้าไม่ได้? อาจจองรถแท็กซี่ล่วงหน้าหากคุณ ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม

-เป็นสนามบินขนาดเล็กที่ใช้สำหรับเรือข้ามฟากไปยังเกาะต่าง ๆ เป็นหลัก ทิ้งรีวิวนี้ไว้ให้ระวังคนอื่นเรื่องม็อบแท็กซี่ เราพยายามจอง Grab 2x และพวกเขาก็ไม่หยุดเพราะพวกเขากลัวกลุ่มแท็กซี่ที่หมุนเวียนอยู่ข้างนอกและพยายาม คิดราคาทางดาราศาสตร์ หนึ่งในนั้น ก้าวร้าวและตะโกนใส่เราว่า Grab ไม่
ได้ทำงานที่นี่ อีกทั้งตำรวจ/หน่วยรักษาความปลอดภัยภายนอกก็ไม่ได้ทำอะไรมากเช่นกัน เราพักที่นั่นหนึ่งคืนที่โรงแรมใกล้เคียงเพื่อขึ้นเรือข้ามฟาก ในเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้นพยายามต่อราคาอย่างหนักเพื่อลดราคา! หรือเดินไปถนนสายหลักเพื่อจอง Grab

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมในพิธีกดปุ่มเปิดกิจกรรมอบรม ‘’ ผู้นำการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 3 (Climate Action Leaders #3 )

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภาในฐานะ Keynote speaker ของโครงการ ได้รับเชิญขึ้นร่วมในพิธีกดปุ่มเปิดกิจกรรมอบรม ‘’ ผู้นำการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 3 (Climate Action Leaders #3 )  องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ห้องบอลรูม สโมสรราชพฤกษ์ กรุงเทพ

โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณเป็นประธานกล่าวเปิด 

โดยในหลักสูตร 6 สัปดาห์นี้ มีผู้ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการอบรมจากองค์กรชั้นนำในไทยจำนวน 69 คน เช่น เลขาธิการกลต. ประธานบริษัทเชลล์ ประเทศไทย เลขาธิการบีโอไอ เลขาธิการกฤษฎีกา ประธาน เชฟรอน ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปลัด กทม. เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอาบูดาบี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น

’หนุ่มใหญ่‘ ชี้ ‘คาร์บอนเครดิต’ คือ ‘เรื่องจริง’ ที่ ‘ลวงโลก’ กลวิธีของ ’นายทุน‘ ที่ผูกขาดผลประโยชน์ตัวเอง

เมื่อวานนี้ (11 ก.พ.67) ช่องติ๊กต็อก ‘วาริช ออร์แกนิค ฟาร์ม’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘คาร์บอนเครดิตของจริงหรือลวงโลก?’ เพื่อแชร์มุมมองเกี่ยวกับกระแสคาร์บอนเครดิตในปัจจุบัน โดยระบุว่า…

’คาร์บอนเครดิต‘ มันคือ ‘เรื่องจริง’ ที่เอาไป ‘ลวงโลก’ ซึ่งแปลว่าวันนี้คาร์บอนเครดิตเป็นเรื่องจําเป็นกับโลก แต่มนุษย์โลกที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็เอาเรื่องนี้ไปค้าขายหาความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับตัวเองและก็อ้างว่าได้ช่วยโลก ที่จริงคาร์บอนเครดิตภาคอุตสาหกรรมมันทําตัวยิ่งใหญ่ และที่จริงแค่อัฐยายซื้อขนมยายคนหนึ่ง อย่างมือซ้ายเราปล่อยคาร์บอนฯ ส่วนมือขวาเราลด แล้วก็เลยขายของมือซ้ายให้มือขวาแค่นั้นเอง และก็เมินเฉยต่อคาร์บอนภาคป่าไม้ที่ดูดคาร์บอนไดออกไซด์กลับมา ซึ่งที่จริงโลกนี้ก็ต้องการคาร์บอนไดออกไซด์กลับมา ไม่ใช่แค่หยุดการปลดปล่อยเช่นกัน

แต่กระแสที่เกิดจากระบบทุนและคนที่ปล่อยคาร์บอนก็บอกว่าการลดถือว่าเป็นสิ่งที่สูงสุด ซึ่งก็ผูกขาดความถูกต้องของตัวเองไป ทําให้คนอื่นไม่มีความหมาย และที่สําคัญเขาสําคัญที่สุด เนื่องจากว่าเขาเป็นคนจ่ายตังค์ เขาเลือกที่จะจ่ายตังค์ให้กับตัวเอง โดยมือซ้ายของตัวเองที่จะจ่ายให้กับมือขวา หรือจะจ่ายให้กับคนตุนต้นไม้ซึ่งคือคนอื่น 

แล้วเผอิญว่าคุณปลูกต้นไม้จํานวนหนึ่ง ไม่ได้นิ่งกับการปลูกต้นไม้จริง แต่คิดเพ้อฝันไปว่าจะได้เงินจากคาร์บอนเครดิต ซึ่งจริง ๆ แล้วมูลค่าต้นไม้ที่เอาเข้าแบงก์ได้ เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ หรือการขายเนื้อไม้ได้ มันสูงกว่าคาร์บอนเครดิตเยอะมาก แต่เราไม่ทํากันเท่านั้นเอง

จึงขอสรุปว่าคนที่ไปหลงกับกระแสคาร์บอนเครดิต ทําตัวให้อินเทรนด์ทันสมัย แต่สยบยอมกับการถูกโกหกถูกลวงโลก

‘รัดเกล้า’ ซัด ‘ก้าวไกล’ อย่าหนุนคนทำผิดกฎหมาย-ละเมิดสถาบัน เชื่อคนรุ่นใหม่อีกมากไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ ‘ตะวัน’

(12 ก.พ. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี ในฐานะรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ขณะนี้คนพรรคก้าวไกลพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า นำประเด็นการเมืองมาคละรวมกับการก่อเหตุก่อกวนขบวนเสด็จฯ โดยใช้วาทกรรมหลักการคนเท่ากัน สิทธิและเสรีภาพ และคนรุ่นใหม่ สร้างข้ออ้างให้คนทำผิด ชักนำให้สังคมมองผิดเป็นถูก และสร้างสภาวะแตกแยกในประเทศ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติตั้งข้อสังเกตในคำให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าทำไมถึงเจาะจงพูดถึงคนรุ่นใหม่ เป็นหลัก ทั้งๆ ที่การก่อกวนขบวนเสด็จนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรการในการอารักขาบุคคลสำคัญโดยเจตนา เป็นการใช้อารมณ์ขับเคลื่อนการกระทำจนสร้างความเสี่ยงให้กับผู้อื่นที่ร่วมใช้ท้องถนนของคนรุ่นใหม่เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการของคนรุ่นใหม่ทั้งประเทศ เพราะยังมีคนรุ่นใหม่อีกมากที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้

นอกจากนั้น ที่นายพิธาระบุว่ากังวลใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองและอนาคตของคนรุ่นใหม่ ทั้ง ๆ ที่คนทุกรุ่นนั้นควรที่จะมีความสำคัญเท่ากันหมด ทุกคนมีสิทธิ ความเชื่อ และความศรัทธาที่หลากหลาย หากแต่มีเพียงคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่เอาความเชื่อของตนเป็นใหญ่ อ้างคำว่าหลักการคนเท่ากันเพื่อนำสิทธิในการแสดงออกของตนมาเบียดเบียนสิทธิผู้อื่น ละเมิดสถาบันอันเป็นที่ศรัทธาของคนส่วนให้

รองโฆษก รทสช. กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวมีประเด็นหลัก ๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ไม่มากไปกว่านั้น และการที่ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาแก้ต่างให้กับคำพูดของนายพิธาว่ามีเจตนาที่จะเชิญชวนให้สังคมมองกรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรมทางการเมือง และเหตุการณ์ขบวนเสด็จฯ โดยไม่แยกขาดจากการเมืองภาพใหญ่ ในประเด็นนี้ต้องขอให้ น.ส.ภคมน และสมาชิกพรรคก้าวไกลทั้งหมดกลับไปทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบในการเป็นนักการเมืองที่เป็นผู้นำทางความคิดให้แก่คนในสังคม เจอคนทำผิดก็ต้องกล้าพูดตรง ๆ ว่าผิด วอนขอให้เลิกฉุดรั้งนำประเด็นการเมืองที่พรรคของตนอยากผลักดันเข้ามาสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ผิด

นางรัดเกล้า กล่าวว่า ตราบใดที่คนในการเมืองยังใช้วาทกรรมเพื่อชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อชักนำกรอบความคิดสังคมให้หลุดออกจากประเด็นหลัก แล้วเอาประเด็นการเมืองมาผูกเป็นข้ออ้างให้พฤติกรรมผิดกฎหมายเยี่ยงนี้ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และสังคมจะเดินหน้าไปสู่ความแตกแยก อย่าอ้างถึง สังคมไทยที่ยังไม่มีพื้นที่ให้คนเห็นต่างพูดคุยเพื่อหาทางออก เพราะไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ อีกทั้งคนกลุ่มนี้ก็ใช้พื้นที่ในการแสดงออกมาตลอด ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็แสดงความคิดเห็นที่ขัดกับกฎหมายแล้วโดนดำเนินคดีมาโดยตลอดนั้น ถือเป็นการใช้พื้นที่อย่างไม่เหมาะสมมากกว่า ไม่ใช่ประเด็นว่าไม่มีพื้นที่

“และสุดท้ายอย่าใช้คำว่านิติสงครามกดปราบผลักไสอีกฝ่ายเป็นคนไม่รักชาติ ประเด็นแรก คนไทยทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน บางกลุ่มเลือกที่จะมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและละเมิดสถาบันที่เป็นความมั่นคงของชาติ บางคนทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในระดับที่รุนแรง ในขณะที่ประชาชนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ใต้กฎหมาย ไม่ได้เห็นว่ากฎหมายคืออาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม ฉะนั้น คุณจะเรียกสิ่งนี้ว่านิติสงครามไม่ได้ และประเด็นที่สองคนจะตีความว่าประชาชนคนไหนรักหรือไม่รักชาตินั้น อยู่ที่การกระทำของตนเอง ไม่มีใครผลักไสใครทั้งนั้น” รองโฆษก รทสช. ระบุ

'ชทพ.' หนุน 100% ยื่นญัตติด่วนถวายอารักขาขบวนเสด็จฯ  ชี้!! ถ้าอยากเรียกร้องรักษาสิทธิ ก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น 

(12 ก.พ.67) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเตรียมเสนอญัติด่วนเกี่ยวกับเรื่องการถวายอารักขาขบวนเสด็จ ว่า…

ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าว่าแต่ในประเทศไทยเลย เพราะในทุก ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ขบวนของประธานาธิบดีจะมีการอารักขา มีการปิดถนนอย่างแน่นหนามาก หากมีผู้ใดแทรกแซงเข้ามา ซึ่งตนเองเคยเห็นกับตา บวกกับในสารคดีก็จะเห็นว่าบุคคลผู้นั้น หรือยานพาหนะนั้น จะถูกปาดจนตกถนน หรือโดนล็อกตัวออกไป ดังนั้นประเทศไทยก็เช่นกัน การถวายอารักขาให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรานั้น ตนถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

“พรรคชาติไทยพัฒนาทำงานไม่ได้หลับหูหลับตา เราเห็น เราสัมผัสด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการทำงานถวายพระบรมวงศานุวงศ์ ในสถาบันนั้น ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาต่อประเทศไทยมากน้อยแค่ไหนเพียงใด ดังนั้นบางครั้ง การที่เราจะเรียกร้องให้มีการรักษาสิทธิของบุคคลต่าง ๆ นั้น แต่ละคนก็ต้องเข้าใจในการที่จะไม่ละเมิดสิทธิคนอื่นเช่นกัน ดังนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาเราสนับสนุนญัตตินี้ร้อยเปอร์เซ็นต์” นายวราวุธ ระบุ

'เมืองโบราณ-ช้างเอราวัณ-ปราสาทสัจธรรม' บันทึกอดีต-รากเหง้าสยามประเทศ จากความฝันชาวจีนผู้ได้มาพึ่งพิงพระบรมโพธิสมภาร...'เล็ก วิริยะพันธุ์’

(12 ก.พ.67) ผู้ใช้เพจบุ๊ก ‘Nunthidej Titi Phatanachinda’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ผู้ชายคนหนึ่งที่เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน เรียกได้ว่าเป็นคนรวยอันดับต้น ๆ ของประเทศ ในฐานะเจ้าของเครือบริษัท #ธนบุรีประกอบยนต์ ผู้ทำให้เบนซ์กลายเป็นรถยนต์อันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของ #วิริยะประกันภัย ประกันภัยรายใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ และผู้สร้าง #เมืองโบราณ ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งใหญ่ที่สุดในโลก

คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ หรือเสี่ยเล็ก เกิดเมื่อ พ.ศ. 2457 เป็นบุตรชายของนายชีเซ็ง เจ้าของร้านขายยาเทียนแชตึ๊ง ย่านสำเพ็ง ทางบ้านส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มหานครที่ได้ชื่อว่าเป็น ปารีสแห่งตะวันออก และสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้

ในเวลานั้นคุณเล็กมีโอกาสท่องเที่ยวและศึกษาไปยังแหล่งศิลปวัฒนธรรมและได้สั่งสมความรู้ ความเข้าใจ ในด้านศิลปะ ศาสนา ปรัชญาและวัฒนธรรมต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก จนเมื่อกลับมาสานต่อธุรกิจเดิมของครอบครัวที่ประเทศไทย จึงเริ่มเรียนรู้และรู้สึกเข้าใจความหมายศิลปะของชาติมากขึ้น

เมื่อสำเร็จการศึกษาได้กลับมาช่วยดูแลกิจการที่บ้าน และได้แต่งงานกับคุณประไพ วิริยะพานิช ลูกสาวคหบดีเมืองแปดริ้ว เจ้าของน้ำมันทาไม้ตราปลาตะเพียน และยาสมุนไพรไทยหลายขนาน

นักเรียนที่จบการศึกษาจากต่างประเทศในเวลานั้น ส่วนใหญ่จะรับราชการ มีไม่กี่คนที่เป็นนักธุรกิจ คุณเล็ก นักเรียนนอก จึงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่นาน ในปี พ.ศ. 2490 เขาได้ก่อตั้งบริษัทอาเซียพานิชยการ แผนกประกันภัย และต่อมาเจริญก้าวหน้าเป็นบริษัท #วิริยะประกันภัย ยักษ์ใหญ่แห่งบริษัทประกันภัยรถยนต์อันดับต้น ๆ ของอาเซียน

แต่การก้าวกระโดดในชีวิตครั้งสำคัญ คือการเข้าซื้อหุ้นของ #บริษัทธนบุรีพานิช ทั้งหมดในปีพ.ศ. 2492 จากหุ้นส่วนคนอื่นที่ประสบปัญหาการเงิน

บริษัทธนบุรีฯ ในเวลานั้นเป็นบริษัทอิมพอร์ตเอ็กพอร์ตขนาดใหญ่ของประเทศ ดำเนินกิจการสั่งรถยนต์เข้ามาจำหน่ายอาทิ รถ Chrysler, Renault ฯลฯ ตู้รถไฟ เครื่องฉายภาพยนตร์ สารเคมีนานาชนิด เครื่องจักรอุตสาหกรรม ยา เวชภัณฑ์ ไปจนถึงตั๋วเครื่องบิน ขณะที่ส่งออก ข้าว ยางพารา ดีบุก และไม้สัก

ต่อมาคุณเล็ก พยายามติดต่อเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ Benz เขาใช้ความพยายามมาก และตัดสินใจตั้งบริษัท #ธนบุรีประกอบรถยนต์ เพื่อผลิตรถหรูสัญชาติเยอรมนีอย่างครบวงจร จนต่อมารถยนต์ยี่ห้อดาวสามแฉก กลายเป็นรถราคาแพงขายดีที่สุด ครองใจเศรษฐีคนไทยมาตลอดจนถึงปัจจุบัน

ธุรกิจที่คุณเล็กทำประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เขากลายเป็นเสี่ย เป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 เวลานั้นคนใหญ่คนโต คนมีอำนาจ คนแวดวงชั้นสูง ไม่มีใครไม่รู้จักเสี่ยเล็ก มีผู้คนเข้าเยี่ยมคำนับ ขอเข้าพบตลอดเวลา

แต่เสี่ยเล็กไม่ได้ตั้งใจทำธุรกิจ ขยายกิจการแสวงหากำไรมากขึ้นเพียงอย่างเดียว เขามีโลกอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นโลกที่สะท้อนตัวตนของเขามากที่สุด

ช่วงปี 2500 นายห้าง ภรรยาของเสี่ยเล็ก ค่อย ๆ สะสมผืนนาที่ชาวบ้านนำมาขายแถวบางปู สมุทรปราการ เพราะแถวนั้นเป็นน้ำกร่อย ทำนาไม่ค่อยได้ผล จนต่อมากลายเป็นที่ดินแปลงใหญ่พันกว่าไร่

มีเรื่องเล่าว่า ตอนแรกเสี่ยเล็กมีไอเดียบรรเจิดอยากทำสนามกอล์ฟ แต่จะสร้างสนามแบบใหม่ คือคนเล่นจะตีกอล์ฟผ่านไปเมืองโบราณจำลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ช่วงเวลานั้น เสี่ยเล็กสนใจสะสมวัตถุโบราณ ของเก่า และเมื่อจะทำเมืองโบราณจำลอง ก็ลงมือศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง เพราะเป็นคนมีนิสัยเมื่อลงมือทำอะไรต้องรู้ให้จริงจังก่อนจะทำ และเป็นจุดเริ่มที่เขาได้รู้จักนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงหลายคน เพื่อไปขอความรู้และกลายเป็นสหายร่วมเดินทางไปเก็บข้อมูลทั่วประเทศ

เสี่ยเล็กใช้เวลาหลายปีลงพื้นที่ไปยังชนบท ท้องถิ่นทุรกันดาร ไปค้นหาหลักฐาน ซากวัตถุโบราณ เพื่อทำความเข้าใจกับอดีตของแผ่นดินนี้

ยิ่งนานเข้า เขาเริ่มรู้สึกถึงภารกิจใหม่ในชีวิต เขาเคยบันทึกว่า... 

“... จงอย่าได้เสียเวลาและชีวิตของท่าน ไปสั่งสมแต่สิ่งที่จะกลายเป็นผุยผงในกาลต่อไป จงพยายามแสวงหาอุดมคติไม่ใช่วัตถุ มีแต่อุดมคติเท่านั้น ที่จะทำให้ชีวิตเรามีความหมาย... ”

เสี่ยเล็กจึงเปลี่ยนความคิดในการสร้างสนามกอล์ฟโดยสิ้นเชิง แต่ตั้งใจสร้างเมืองโบราณ ให้เป็นที่รวบรวมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี เพื่อปรารถนาให้คนไทยได้เข้าใจรากเหง้าของตัวเอง
ตอนแรกใครๆ ก็คิดว่า คงสร้างเป็นเมืองจำลองขนาดเล็กๆ  แต่พอทำไปทำมา คุณเล็กแก้ไขงานสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้อง หรือได้ข้อมูลหลักฐานอันน่าเชื่อถือกว่าหลายครั้ง กระทั่งกลายเป็นเมืองโบราณ ขนาดใกล้เคียงกับของเดิม จนต่อมากลายเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

คุณเล็กเป็นคนมีความรู้ จะสร้างหรือทำอะไรด้วยข้อมูลและหลักฐาน และการออกไปดูให้เห็นของจริงด้วยตัวเอง จึงทำให้เขาต้องเดินทางไปดูโบราณสถานทั่วประเทศ เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ทั้งยากลำบาก เสี่ยงอันตราย

เสี่ยเล็ก มหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศ กลายเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่งตัวเรียบง่าย มีอะไรก็กิน ค่ำไหนนอนนั่น ไม่มีพิธีรีตองใดๆ

เขาทำตัวโลว์โพรไฟล์ ไม่ออกงานสังคม ไม่จำเป็นไม่พบปะผู้คน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่เพื่อสร้างเมืองโบราณที่ไม่เคยสิ้นสุดการก่อสร้างจนถึงทุกวันนี้

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนี่งเขามาตรวจงานที่บริษัทขายรถเบนซ์แต่เช้าตรู่ ปรากฏว่าถูกยามไล่มา เพราะแต่งตัวเหมือนอาแป๊ะแก่ ๆ สุดท้ายผู้จัดการบริษัททราบข่าว ต้องรีบมาขอโทษ

คุณพิชัย วาศนาส่ง อดีตพิธีกรและสถาปนิกชื่อดังผู้เคยเป็นที่ปรึกษาให้เสี่ยเล็ก เคยเล่าให้ฟังว่า…

“ผมเห็นคนรวยมามาก คนที่ไม่เคยทำอะไรให้สังคมก็เยอะ คนรวยที่ชอบทำบุญ บริจาคให้วัดก็เยอะ แต่คนรวยที่คิดทำอะไรเพื่อสังคม ขณะเดียวกันก็สนใจศิลปะ วัฒนธรรมอย่างเป็นวิชาการ มีปรัชญาในตัวเสร็จ ผมไม่เคยเห็นคนไหนเป็นอย่างนี้ เขาสนใจทุกอย่าง โบราณคดี จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรมแล้วเข้าใจทุกอย่าง…เข้าใจอย่างลึกซึ้ง อะไรที่ไม่รู้ หาหนังสือมาอ่าน หาผู้รู้มาถก จนรู้…”

ในบรรดาโบราณสถานนับร้อยแห่งในเมืองโบราณที่ก่อสร้างขึ้นมา พระที่นั่งศรีสรรเพชญปราสาท คือตัวอย่างของความพยายามอันไม่สิ้นสุด เพื่อสร้างพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยาที่ถูกพม่าเผาทำลายไปเหลือแต่ฐานให้กลับคืนขึ้นมาใหม่

เสี่ยเล็กและทีมนักวิชาการได้ค้นคว้าหาหลักฐานด้วยความยากลำบากจากจดหมายเหตุ พงศาวดาร ตำนานต่าง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ต่อจิ๊กซอว์บรรจงสร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นมาจนสำเร็จ

คุณพิชัย วาศนาส่ง เล่าให้ฟังว่า…“กระเบื้องหลังคา คุณเล็กลงทุนเอาดีบุกผสมตะกั่วรีดเป็นแผ่น เพราะมีกล่าวในจดหมายเหตุขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมว่า หลังคาเป็นดีบุก”

ในปีพ.ศ. 2515 พระที่นั่งศรีสรรเพชญปราสาท เคยเป็นที่ต้อนรับสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธแห่งประเทศอังกฤษ เมื่อครั้งเสด็จมาทอดพระเนตรเมืองโบราณ ท่ามกลางผู้คนระดับวีไอพีที่มารอรับเสด็จจำนวนมาก

แต่เสี่ยเล็กผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่ปรากฏตัวให้เห็น เล่ากันว่า เขาแต่งกายชุดธรรมดา แทรกตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้านที่ออกมายืนต้อนรับบริเวณด้านนอกพิธี

ครั้งหนึ่งเมื่อมีแขกคนสำคัญมาเยือน และมีหมายกำหนดการจะมาชมเมืองโบราณ คุณเล็กได้ระดมคนงานหลายร้อยคน ถักทอดอกไม้เป็นพรมยาวเหยียดต้อนรับอาคันตุกะจากแดนไกล แต่พอใกล้เวลา เกิดฝนตกหนัก ดอกไม้พรมที่อุตส่าห์ประดิษฐ์ประดอยกันทั้งวันทั้งคืน เสียหายยับเยิน

คุณเล็กนิ่งเงียบไม่ได้ตกอกตกใจอะไร กล่าวคำโบราณของจีนสั้น ๆ ว่า

“ความพยายามเป็นของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นของฟ้าดิน”

เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีก่อน คุณเล็กมีความฝันอยากจะสร้างปราสาทไม้สักขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเชิดชูความสำคัญของศาสนาต่าง ๆ ในฐานะเป็นเครื่องค้ำจุนโลก ผ่านงานศิลปะต่าง ๆ และถ่ายทอดออกมาเป็นข้อเขียนว่า

“จินตนาการที่ริมขอบฟ้า
สูงตระหง่านดั่งภูเขา
ที่บรรจงสลักเสลา
จากวัสดุเดียวคือ ไม้
ตั้งแต่ปลายฐานจนถึงปลายฟ้า
ยิ่งใหญ่ดุจภูผา”

ต่อมาได้มีการก่อสร้างปราสาทสัจธรรม ขึ้นที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในปีพ.ศ. 2524 เมื่อคุณเล็กมีอายุได้ 67 ปี คุณเล็ก อยากสร้างปราสาทสูงนับร้อยเมตร ติดทะเล และก่อสร้างแบบไทยโบราณสถาปัตยกรรมไม้แกะสลักขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อสื่อแสดงถึงแก่นแท้ของศาสนา สะท้อนความเท่าเทียมของทุกสิ่งเป็นการเชื่อมโยงจิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์ เทพเทวดา และจักรวาลซึ่งล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียว

ปราสาทแห่งนี้ก่อสร้างด้วยไม้เนื้อแข็งทั้งชิ้น เช่น ไม้ตะเคียนทอง ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้สักทอง ด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ คือการเข้าเดือย ตอกสลักตอกลิ่ม และเข้าหางเหยี่ยว ปราสาทแห่งนี้สร้างโดยไม่ใช้ตะปู และปูน

ระหว่างการก่อสร้าง คุณเล็กมีจินตนาการออกแบบงานสถาปัตยกรรมเอง เป็นการผสมผสานความเชื่อทางศาสนาหลายศาสนาเข้าด้วยกัน จนอาจเรียกว่าเป็นงานศิลปะสกุลช่างของคุณเล็กเอง ทุกวันนี้
ปราสาทหลังนี้กลายเป็นความภูมิใจของคนไทย และดึงดูดคนจากทั่วโลก มาดูความมหัศจรรย์ของสถาปัตยกรรมแห่งนี้ แม้เวลาจะผ่านไปร่วมสี่สิบปี แต่ปราสาทสัจธรรมจึงคล้ายปราสาทที่ไม่เคยสร้างเสร็จ เพราะมีการต่อเติมเสริมแต่งตลอดเวลา

หากใครมีธุระไปแถวสำโรง หรือขับรถขึ้นไปทางด่วนสายสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมหากไม่เคยไปแถวนั้นอาจจะตกใจเมื่อเห็นช้างสามเศียรยักษ์ สิ่งนั้นคือ อาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ สูง 43 เมตรผลงานชิ้นสุดท้ายของคุณเล็กในวัย 80 ปี

ตอนแรกคุณเล็กมีแนวคิดบรรเจิดจะสร้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งโลกและโรงเรียนช่างสิบหมู่ขึ้นบนพื้นที่ 1,000 ไร่ริมแม่น้ำบางปะกง ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีการออกแบบขนาดอาคารสูง 70 ชั้น หรือ 210 เมตร และมีประติมากรรมช้างเอราวัณยักษ์ขนาดสูง 90 เมตรตั้งอยู่ข้างบน และมีอาคารบริวารล้อมรอบเหลือคณานับ

แต่สุดท้ายไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะมีปัญหาเรื่องคนบุกรุกที่ดินและไม่ยอมย้ายออกไป คุณเล็กจึงเลิกล้มโครงการ และลดทอนลงเหลือเพียงตัวช้างเอราวัณ เพื่อเป็นที่จัดแสดงวัตถุโบราณของมีค่าที่สะสมมาตลอดชีวิต

คุณเล็กเป็นคนออกแบบช้างเอราวัณกับทีมช่างเมืองโบราณ เป็นช้างสามเศียรอยู่ท่าเคลื่อนไหวส่ายเศียร ยืนอยู่เหนือยอดโดมของอาคาร ราวกับช้างตัวนี้เหยียบโลก

เมื่อแบบนี้ถูกส่งต่อไปให้สถาปนิก พวกเขาถึงกับ ‘มึนตึ๊บ’ เพราะตอนแรกคิดว่าเป็นอาคารคล้ายรูปทรงช้าง คล้ายอาคารช้างแถวสี่แยกรัชดาตัดกับลาดพร้าวที่มีรูปทรงเป็นเหลี่ยม ๆ ไม่คิดว่าจะเป็นช้างทั้งตัวจริง ๆ และหุ้มด้วยทองแดงทั้งหลัง สายล่อฟ้าชั้นดี ทั้งการออกแบบและการก่อสร้างยากมาก

สิบปีผ่านไป ประติมากรรมช้างยักษ์ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา สนิมสีเขียวของทองแดงทำให้ช้างเอราวัณเปล่งประกายดูขลังและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา บริเวณท้องช้างนอกจากจะเป็นที่จัดแสดงวัตถุโบราณแล้ว ภายในอาคารยังมีสี่เสาหลักบรรจุเรื่องราวของศาสนาคริสต์ พุทธ อิสลาม และฮินดู คุณเล็กเคยบอกคนใกล้ชิดว่า... 

“โลกเต็มไปด้วยการต่อสู้แก่งแย่ง ทำสงครามกัน ไม่มีอะไรหยุดความอยาก ความโลภของมนุษย์ได้ นอกจากศาสนา เพราะศาสนาสอนให้คนทำดี จึงเป็นแนวคิดของเสาสี่เสา เป็นตัวแทนศาสนาต่างๆ ที่ค้ำจุนโลก”

ทุกวันนี้พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณกลายเป็นสถานท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประติมากรรมช้างใหญ่ที่สุดในโลก และกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยไปกราบไหว้อย่างล้นเหลือ

คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ทุ่มเทชีวิตและเงินทองมหาศาลหลายพันล้านบาทเพื่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ด้วยความวิจิตรพิสดาร เพื่อให้ผู้คนในสังคมหันมาสนใจอดีตและรากเหง้าของตนเอง โดยใช้ศิลปะเป็นเครื่องนำทาง เบื้องหลังสิ่งก่อสร้างในเมืองโบราณร้อยกว่าแห่ง คือหยาดเหงื่อ ชีวิตเลือดเนื้อและวิญญาณของผู้สร้าง ที่ต้องการงานศิลปะอันทรงคุณค่าอันงดงามที่สุด

ทุกวันนี้คนไปเที่ยวเมืองโบราณ อดสงสัยไม่ได้ว่า ใครคือคนสร้างและเอาแรงบันดาลใจมากจากไหน ไม่รวมถึงปราสาทสัจจธรรม ปราสาทไม้สักหลังใหญ่ที่สุดของโลก และพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ใช้เทคนิคการเคาะโลหะขึ้นรูปด้วยมือแห่งแรกของโลก จนแทบจะเรียกได้ว่าสิ่งที่คุณเล็กทุ่มเทแรงกายแรงใจ อีกทั้งกำลังทรัพย์สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคปัจจุบัน น้อยคนจริงๆ ที่สร้างฝันให้เป็น…

** ขอขอบคุณ คุณอำนวย มีทิศ เพื่อนรักที่กรุณาแบ่งปัน เรื่องราวดีๆ มีสาระมาให้กัน

ชื่นชม!! นักเรียน ป.5 กำพร้าแต่ใจสู้ หารายได้เลี้ยงตัวเอง ขายนมเปรี้ยวตามสี่แยกตอนเลิก ฝัน!! อยากเป็นหมอช่วยคน

ทุกวันในช่วงเย็นถึงค่ำมืด ผู้ใช้รถใช้ถนนที่ผ่านมาจอดติดไฟแดงบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง จะเห็นเด็กผู้ชายสวมชุดนักเรียน เดินหิ้วถุงนมเปรี้ยวขายที่บริเวณแยกไฟแดง ซึ่งลักษณะท่าทางของเด็กชายนั้นมาในลักษณะที่สุภาพอ่อนโยน ไม่ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถ จะซื้อหรือไม่ซื้อ พ่อค้าตัวน้อยคนนี้ก็จะโค้งคำนับอย่างนอบน้อม จึงเป็นภาพที่ติดตาผู้ขับขี่ที่สัญจรอยู่บริเวณนี้เป็นประจำ หลายคนที่เห็นกริยามารยาทก็อดที่จะเปิดกระจกลงมา ถามไถ่ ทักทายและช่วยอุดหนุน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อค้าตัวน้อยจะขายได้ทุกวัน บางวันขายไม่ได้เลยก็มี 

(12 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวได้ติดตามตรวจสอบ จนพบว่าเด็กนักเรียนชายคนนี้ คือ เด็กชายพรพิพัฒน์ ด้วงนาม ชื่อเล่น น้องแม็ก อายุ 13 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสำนักกะท้อน ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง มีพี่สาวร่วมบิดามารดา 1 คน ชื่อ นางสาวณัฐธิดา แก้วตา ชื่อเล่นน้องตอง อายุ 17 ปี บิดา ชื่อนายปรีชา ใจสุข เสียชีวิตตั้งแต่น้องแม็กยังเด็ก ส่วนมารดาชื่อนางสาวประหยัด ด้วงนาม เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อปี พ.ศ 2564 น้องแม็กจึงเป็นเด็กกำพร้าบิดามารดา ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากพี่สาวก็ไปอยู่กับญาติ ส่วนตัวแม็กได้มาขออาศัยอยู่กับนางสมหมาย วิเชียรวัฒน์ อายุ 41 ปี หรือ น้าแอน เพื่อนของแม่ ที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่แม่ยังมีชีวิตอยู่ น้าแอนเลี้ยงดูน้องแม็กเหมือนลูกหลาน แต่น้องแม็กเป็นเด็กมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ เมื่อมาอาศัยอยู่ก็ไม่ได้อยู่ฟรีๆ น้องแม็กตัดสินใจจ่ายค่าเช่าเดือนละ 300 บาท ค่ากินอยู่วันละ 40 บาท ซึ่งได้มาจากการขายนมเปรี้ยวทุกวันหลังเลิกเรียน 

ชีวิตประจำวันของน้องแม็ก จะตื่นนอนแต่เช้าตรู่ อาบน้ำ หลังจากนั้นตนเองต้องเดินไปโรงเรียนเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร เมื่อเลิกเรียนต้องรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมตัวไปรับจ้างขายนมเปรี้ยว น้องแม็กจะเดินเร่ขายนมเปรี้ยวตามสี่แยกไฟแดง เพื่อนำเงินมาเลี้ยงชีพตนเองและเก็บไว้สำหรับการเรียนต่อในอนาคต ซึ่งในแต่ละวันขายได้ประมาณวันละ 10 ถุง จะได้ค่าจ้างถุงละ 20 บาท แต่บางวันก็ขายไม่ได้เลย ซึ่งวันจันทร์-ศุกร์ จะเร่ขาย ถึง 3 ทุ่ม และ ในช่วงวันหยุดจะขายนมตั้งแต่บ่ายจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม 

ครูที่โรงเรียนทุกคน ยอมรับว่า น้องเป็นเด็กที่มีหัวใจแกร่งมาก ทั้งเรียนดี ขยันและอดทน ซึ่งทางโรงเรียนก็พยายามหาทางช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษา เพราะเรียนที่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่อนุบาลและเคยได้รับทุนการศึกษา แต่พอมาปีนี้ ไม่มีรายชื่อ ไม่รู้ว่าหลุดไปได้อย่างไร ก็พยายามขอจากหน่วยงานอื่นให้อีกแต่ผลยังไม่ออก

ด้านนางสมหมาย วิเชียรวัฒน์ อายุ 41 ปี เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดู บอกว่า เลี้ยงดูน้องแม็กเหมือนลูก ตั้งแต่บิดามารดาเสียชีวิตไป นิสัยของน้องแม็กเป็นคนน่ารักอัธยาศัยดี รักเพื่อน รักพี่น้อง เป็นคนขยันอดทนทำงานหนักได้ ช่วยทำงานบ้าน ล้างจาน

ด้านเด็กชายพรพิพัฒน์ หรือ น้องแม็ก ยอมรับว่า ทุกวันเกิดความเหงา เพราะคิดถึงแม่ แต่ก็อดทน เวลาไปขายของก็ขายได้ไม่มาก แต่ก็ยังมีรายได้มาจุนเจือเลี้ยงตัวเอง เพราะต้องจ่ายค่ากินวันละ 40 บาท แต่ก็กินได้ทั้งวัน ส่วนค่าที่อยู่อาศัย จ่ายเป็นค่าน้ำไฟเดือนละ 300 บาท บางเดือนขายของไม่ได้ ก็ติดไว้ก่อน พอขายได้ค่อยเอามาจ่าย อนาคตอยากเป็นหมอเพราะอยากรักษาคนจะได้ไม่เป็นเหมือนแม่ สิ่งที่ฝันอยากได้ตอนนี้คือเงินมาเป็นทุนการศึกษา ส่งตัวเองเรียนหมอ หากได้เป็นหมอจะได้รักษาผู้ป่วยได้บุญได้ช่วยเหลือผู้อื่น

สำหรับผู้ใจบุญ ต้องการช่วยเหลือทุนการศึกษา บัญชี ธ. ออมสิน ชื่อ เพื่อการศึกษา เด็กชายพรพิพัฒน์ ด้วงนาม เลขที่ 020433381769


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top