Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

ปตท. ฉลองการนำเข้า ‘ก๊าซปิโตรเลียมเหลว’ ‘15 ปี 15 ล้านตัน’ ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และนายวรจักร สถาพรภิญโญ นายอำเภอศรีราชา ร่วมงานฉลองการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว 15 ปี 15 ล้านตัน สายงานแยกก๊าซธรรมชาติ ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา ปตท. จ.ชลบุรี เพื่อร่วมแสดงความยินดีในโอกาสที่คลังก๊าซเขาบ่อยา ปตท. ได้พัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) แก้วิกฤตการณ์ความต้องการที่เพิ่มสูงตั้งแต่ปี 2551 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลา 15 ปี ด้วยปริมาณถึง 15 ล้านตัน

ทั้งนี้ คลังก๊าซเขาบ่อยา เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2528 และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ ปตท. ในการนำเข้า เก็บสำรอง และเป็นศูนย์กลางในการกระจาย LPG สู่ภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมพันธกิจ ปตท. ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

‘อาร์เจนตินา’ เผชิญวิกฤต ‘เงินเฟ้อ’ หนัก!! หลังเงินเปโซอ่อนยับ 'ฉุดประเทศ-ประชาชน' ดำดิ่งสู่ภาวะยากจนอย่างแสนสาหัส

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ช่องยูทูบ ‘ทันโลกกับ Trader KP’ ได้เชิญ ‘คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ’ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ (Chief Economist) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินของประเทศอาร์เจนตินา ว่าเพราะเหตุใด สกุลเงิน ‘เปโซ’ ของประเทศอาร์เจนตินา ถึงอ่อนค่าลงจนทำให้เงินเปโซไร้ค่าเช่นนี้ และปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้เข้าสู่ภาวะยากจนอย่างหนัก โดยคุณบุรินทร์ได้ให้มุมมองไว้ว่า…

แบงค์ชาติของประเทศอาร์เจนตินา ได้มีการปรับค่าเงินเปโซ ซึ่งเป็นค่าเงินทางการของประเทศ จาก 287 เปโซต่อดอลลาร์ เป็น 350 ต่อดอลลาร์ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เป็นการ ‘ลดค่าเงิน’ ประมาณ 18% ที่สําคัญมากกว่านั้นคือ ธนาคารกลางอาร์เจนตินากลัวเกิดภาวะ ‘เงินไหลออก’ จึงปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปรับขึ้นจาก 97% เป็น 118%

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ค่าเงินของทางการนั้นไม่มีใครใช้อยู่แล้ว และไม่มีใครเชื่อถือ เพราะในตลาดมืดหรือตลาดของจริง 1 ดอลลาร์ ควรจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 690 เปโซ แต่ทางรัฐบาลได้ออกมาแจ้งว่า 1 ดอลลาร์เท่ากับ 350 เปโซ ซึ่งสวนทางกับในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะในตลาดของจริงนั้น 1 ดอลลาร์ มีค่าเท่ากับ 690 เปโซ หรือสูงเทียบเท่ากับครึ่งนึงของค่าเงินที่รัฐบาลได้แจ้งไว้

ซึ่งสิ่งนี้เกิดจากการที่รัฐบาลอาร์เจนตินา มีความพยายามที่จะปิดกั้นไม่ให้เกิดภาวะเงินไหลออก ซึ่งหากคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อมีการตรึงราคาค่าเงินไว้ แล้วราคาไม่ได้สะท้อนกับกลไกทางตลาดหรือความเป็นจริง จะส่งผลทำให้เกิดการซื้อขายกันนอกตลาด หรือนอกระบบขึ้น

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับประเทศอาร์เจนตินา? ประเทศอาร์เจนตินาได้มีการเลือกตั้ง และปรากฏว่า ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ (Javier Milei) นักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เสรีนิยมอาร์เจนตินา ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน และในที่สุดเขาก็สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้

ซึ่งแนวคิดของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่ง อีกทั้งเขายังได้ออกมาบอกว่า “พวกนักการเมืองเป็นโจร” และเขายังกล่าวอีกด้วยว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดีเขาจะเผา (ยกเลิกระบบ) ธนาคารกลางให้หมด เพราะนโยบายต่าง ๆ ของเขาค่อนข้างที่จะมีความ ‘สุดโต่ง’ เป็นอย่างมาก เช่น เขาประกาศจะลดภาษี และจะปรับค่าเงินทำให้เงินดอลลาร์กลับไปเท่ากับค่าเงินเปโซ หรืออาจเปลี่ยนมาใช้ค่าเงินดอลลาร์ในประเทศแทน ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางการห้ามใช้เงินดอลลาร์ และการหาเงินดอลลาร์นั้นได้ทำได้ยากมาก

อีกทั้งเงินเฟ้อของอาร์เจนตินาก็สูงมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (ปี 2022) สมมติราคาสินค้าอยู่ที่ 100 ตอนนี้อาจจะขึ้นมาเป็น 200 ซึ่งถือว่าสูงขึ้นประมาณ 110% เพราะฉะนั้น คนในประเทศจึงไม่สามารถแบกรับภาระตรงนี้ได้

ต้องบอกว่าตอนนี้ เศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินาอาการหนักมาก โดยประชากร 40% ในประเทศ อยู่ในภาวะ ‘ยากจน’ อย่างหนัก คือ ‘ต่ำกว่าเส้นความยากจน’ (Below Poverty Line) ซึ่งตอนนี้อาจจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 เหรียญ แปลว่าคนในประเทศไม่มีเงินพอใช้ ดังนั้น จึงกลายเป็นว่า เกิดปัญหามีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้น มีคนไร้บ้านมานอนอยู่ที่สนามบินกันเต็มไปหมด เรียกได้ว่า เป็นประเทศที่น่าสงสารมาก

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสามารถวิเคราะห์กันได้ว่า การที่ประเทศอาร์เจนตินาได้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งถือเป็น ‘ตัวเต็ง’ ที่สุดในบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเขาไม่ได้มีพรรคการเมืองใหญ่คอยหนุนหลัง และถึงแม้นโยบายของเขาจะค่อนข้างสุดโต่ง แต่นี่อาจเป็น ‘ความหวังใหม่’ ของคนอาร์เจนตินา เพราะในตอนนี้ประชากร 40% หรือเกือบครึ่งของประเทศ อยู่สภาวะยากจน ประชาชนไม่มีจะกิน ไม่มีบ้านอยู่ เกิดปัญหาคนไร้บ้าน เพราะฉะนั้น ประชาชนจึงต้องหาทางออก

ซึ่งสิ่งนี้มีความคล้ายคลึงกับการเกิด ‘เงินเฟ้อขั้นรุนแรง’ (Hyperinflation) ขึ้นที่ประเทศเยอรมนี หลังการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนเป็นเหตุทำให้ประเทศเยอรมนีเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ส่งผลให้คนเยอรมันหาทางออกจากปัญหาข้าวยากหมากแพง โดยการเลือก ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (Adolf Hitler) ซึ่งเป็นนักการเมืองเยอรมันเชื้อชาติออสเตรีย หัวหน้าพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘พรรคนาซี’ เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1933-1945

ซึ่งนโยบายของฮิตเลอร์นั้น เขาให้คำมั่นสัญญากับชาวเยอรมันว่า “ผู้คนจะต้องมีงานทำ” แต่วิธีการจัดการของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่งอยู่พอสมควร เขาได้ทำการจัดการคนที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ออกไป และทำการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ในประเทศ

กลับมาที่ประเทศอาร์เจนตินา จริงๆ แล้ว อาร์เจนตินา เป็นประเทศที่น่าสนใจมาก หลายๆ คนอาจจะไม่ทราบว่า เมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อนนั้น อาร์เจนตินา เป็นหนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก ในตอนนั้นรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศ หรือ GDB ต่อหัวของประชากรในประเทศนั้น สูงเทียบเท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา สูงกว่าประเทศฝรั่งเศส และเบลเยียมเสียอีก

แล้วเหตุใด ประเทศอาร์เจนตินาจึงมาถึงจุดนี้ได้? จริงๆ แล้วมีเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง เนื่องจากการดําเนินนโยบายผิดไปในหลายเรื่อง เปรียบเหมือนกับการลงทุน ที่เราไม่ควรจะทุ่มจนหมดหน้าตัก แต่ ณ ขณะนั้น อาร์เจนตินาลงทุนทุ่มจนหมดหน้าตัก โดยในช่วงเวลานั้น อาร์เจนตินาได้ทำการค้ากับประเทศอังกฤษ ทุกอย่างจะส่งออกให้กับประเทศอังกฤษทั้งหมด เพราะเขามีแนวคิดว่า อังกฤษเป็นประเทศมหาอํานาจ ดังนั้น เขาจึงคิดว่า สามารถทำการค้ากับประเทศอังกฤษแค่ประเทศเดียวก็เพียงพอแล้ว

แต่ในเวลาต่อมา ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น จึงทำให้ประเทศอังกฤษไม่ได้ทำการค้าขายอาร์เจนตินา เป็นเวลากว่า 4 ปี ทำให้เศรษฐกิจของอาร์เจนตินาล้มทั้งระบบ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ดันเกิดสงครามโลกที่ 2 ตามมาซ้ำเติมสถานการณ์ในประเทศอาร์เจนตินาให้ยิ่งวิกฤตมากขึ้นไปอีก

ในสมัยนั้น ของขึ้นชื่อของประเทศอาร์เจนตินา คือ ‘เนื้อวัว’ ดังนั้น เนื้อสเต๊กจึงถือเป็นสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศไปยังประเทศในทวีปยุโรป เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้คนยุโรปหันไปซื้อเนื้อสเต๊ก และพวกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางการเกษตรจากสหรัฐอเมริกาแทน

ทำให้หลังสงครามโลกจบลง ‘ฆวน เปรอน’ (Juan Domingo Perón) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของอาร์เจนตินาในขณะนั้น ได้ดำเนินนโยบาย ‘ประชานิยม’ อย่างเข้มข้น เขาได้ประกาศลดภาษี ลดราคาสินค้าต่าง แจกทุกอย่างฟรี ไปจนถึงแจกเงินแก่ประชาชนอีกด้วย

ปรากฏว่า นโยบายของเขานั้นทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น เนื่องจากเขาแจกประชาชนไปหมดแล้ว อีกทั้งยังลดภาษีต่างๆ ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินทุนสำรองมากเพียงพอในการบริหารประเทศต่อ จึงทำให้ประเทศประสบกับสภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น

ในตอนนี้ อาร์เจนตินากลับมาเผชิญกับวิกฤตนี้อีกครั้ง ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้นั้น ช่างสวนทางกับการที่อาร์เจนตินาเพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในศึก ‘FIFA World Cup 2022’ ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานนี้อย่างสิ้นเชิง

อาร์เจนตินานับเป็นประเทศที่ทนทุกข์ทรมาน กับการเผชิญปัญหาการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลมาโดยตลอด ทำให้อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ติดหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เยอะที่สุด เมื่อปี 2018 อาร์เจนตินาเพิ่งทำการกู้เงิน IMF ไปกว่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนทำให้อาร์เจนตินาเรียกได้ว่าเป็น ‘ลูกค้าหลัก’ ของ IMF เลยก็ว่าได้ อีกทั้ง ในปี 2021 รัฐบาลปิดนัดชำระหนี้ IMF เมื่อปี 2021 ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้ประชาชนต่างพากันลุกฮือ ออกมาประท้วงรัฐบาลกันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของอาร์เจนตินา คือ ‘การขาดความน่าเชื่อถือ’ เนื่องจากเมื่อปี 2001 อาร์เจนตินาได้รับการจารึกว่าเป็นประเทศที่ผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยประกาศว่าจะไม่จ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้ จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2005 และปี 2010 อาร์เจนตินาได้ยื่นข้อเสนอจ่ายคืนหนี้ให้บางส่วน โดยเจ้าหนี้ร้อยละ 93 ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ไม่มีใครกล้ามาลงทุนในประเทศอาร์เจนตินา และไม่มีใครกล้าให้ยืมเงินลงทุน จนท้ายที่สุด อาร์เจนตินาก็ต้องหันหน้าไปพึ่ง IMF จนเกิดเป็นปัญหาหนี้สินของประเทศ ที่ต้องตามชำระกันต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น

นี่จึงถือเป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้ประเทศอาร์เจนตินา หนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก กลับกลายเป็นประเทศลูกหนี้รายใหญ่ และต้องเผชิญกับการอ่อนตัวลงของค่าเงินในประเทศ จนเกิดสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัฐบาล

ทำให้ตอนนี้ ชาวอาร์เจนตินาต้องหวังพึ่งรัฐบาลใหม่ ภายใต้การบริหารจากผู้นำที่มีแนวคิดสุดโต่งอย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป…

‘อี้ แทนคุณ​’ จี้ ‘กสม. - พม.’ ตรวจสอบคนพรรคก้าวไกล หลังมีเหยื่อแฉ ถูกคนในพรรคล่วงละเมิดทางเพศ

(4 ก.ย. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ ​รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​ กล่าว​ถึง​กรณี​นาย​เกรียง​ไกร อดีตผู้สมัคร สส. พรรคก้าวไกล ได้ละเมิดทางเพศโฆษกหญิงของพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งเป​็นเรื่องน่าเศร้าใจที่พรรคนี้กระทำผิดซ้ำ ๆ และไม่มีความจริงใจ​ในการออกมาขอโทษ รวมทั้งไม่มีความรับผิดชอบ​ใด ๆ ต่อการกระทำที่เกิดขึ้น​ โดยเฉพาะ​ความรับผิดชอบ​ต่อสังคมของพรรคก้าวไกล

จึงขอเรียกร้องให้นายชัยธวัช ตุลาธน ในฐานะเลขาธิการพรรคก้าวไกลที่อ้างมาตลอดว่าจะตรวจสอบ​การกระทำผิดของคนในพรรค นับตั้งแต่​คดี สส. ทำร้ายแฟนสาว การใช้เด็กเป็น​เครื่องมือ​ การสนับสนุน​การเคลื่อนไหว​ของกลุ่มทะลุวัง โดยเฉพาะ​ความเสียหายต่อเด็กและเยาวชน​ที่เกิดขึ้น ยังไม่นับรวมกรณี ‘หมออ๋อง’ ที่กระทำผิดกฎหมาย​จนโดนปรับเป็นเงิน 50,000 บาท แต่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในตำแหน่ง​ต่อไปอย่างไม่ละอายใจใด ๆ และล่าสุดกรณีการละเมิด​ทางเพศ​ต่อโฆษกหญิงของพรรคการเมืองหนึ่ง

หากนายชัยธวัช​จริงใจจริงควรเชิญคณะกรรมการ​สิทธิมนุษยชน​แห่งชาติ (กสม.) และ พม. ได้เข้ามามีส่วนร่วม​ในการตรวจสอบการ​ละเมิดทางเพศ ละเมิดสิทธิเด็ก การทำร้ายร่างกายผู้หญิง​ของคนของก้าวไกล เนื่องจาก​ที่ผ่านมาไม่ได้​มีผลการสอบวินัยใดออกมาเลยทุกเรื่​องล้วนเงียบหมด เพื่อให้การช่วยเหลื​อเหยื่อที่ถูกคนของพรรคตัวเองทำร้ายซ้ำ ๆ จนมีข่าวอื้อฉาวไม่เว้นแต่ละอาทิตย์​ ทั้งผิดกฎหมายอาญาหลายครั้ง ไม่ต้องพูดถึง​จริยธรรม​ที่พรรคนี้มีการกระทำผิดเป็น​ปกติ โดยสังคมไทยควรตื่นตัวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังและไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป เพราะ ‘การละเมิด​ทางเพศ​ไม่ใช่​เรื่อง​ส่วนตัวแต่​เป็น​ปัญหาสังคม’ ที่เกิดจากอำนาจนิยมที่พรรคก้าวไกลผลิตซ้ำจาก สส. ผู้สมัคร สส. จนสังคมเชื่อว่ากลายเป็น​อัตลักษณ์​ของคนของก้าวไกลไปแล้ว

โดยตนอยากฝากไปถึง กสม. และกระทรวง​การพัฒนา​สังคม​และ​ความมั่นคง​ของ​มนุษย์​ (พม.) ให้แสดงออกถึงหน้าที่ในการแก้ไขปัญหา​เด็กและเยาวชน ผู้หญิงที่ถูกละเมิดทางเพศ และถูกปลูกฝังความก้าวร้าวรุนแรง เหมือน​หลาย ๆ ประเทศ​ที่เริ่มตระหนักถึงพิษภัยเนื้อหาในโซเชียล​มีเดียที่มีทั้งการปลุกเร้ากามารมณ์​ ความรุนแรง การหลอกลวง การบูลลี่ และอบายมุขและสิ่งเสพติด​อีกมากมาย จนต้องทบทวนกระบวนการ​ป้องกันมิให้เนื้อหาไม่ดีดังกล่าว​เข้าถึงเด็กเยาวชน​ได้ง่าย เพื่อที่เยาวชน​ไม่ต้องตกเป็น​เหยื่อ​ของพรรคบางพรรคและเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา​ว่าด้วย​สิทธิ​เด็ก​ที่ไทยเคยลงนามไว้ ‘รัฐต้องป้องกันการแสวงหาประโยชน์​ทางการเมืองต่อเด็กและเยาวชน​ทุกรูปแบบ’ ไทยควรตระหนัก​เรื่องนี้เหมือน​ในหลายประเทศที่ยกระดับการเฝ้าระวังและให้ความรู้​แก่ผู้ปกครอง​อย่างจริงจังเพื่อป้องกัน​การใช้ประโยชน์​ทางการเมือง​ต่อไป

‘ห้างร้านอเมริกา’ โอดครวญ!! เหตุ ‘แก๊งขโมย’ อาละวาดหนัก  ต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้า บางแห่งถึงขั้นเหนื่อยใจยอมปิดสาขาหนี

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ปัญหาโจรขโมยของที่กำลังเกิดขึ้นอย่างชุกชุม ส่งผลให้ห้างร้านต่างๆ ในอเมริกาต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างยาสีฟัน ช็อกโกแลต ผงซักฟอก และบางห้างกระทั่งตัดสินใจปิดสาขาในย่านที่แก๊งโจรอาละวาดหนัก

ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ทและทาร์เก็ต ตลอดจนเชนร้านขายยาดัง ซีวีเอส และ วอลกรีนส์ รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับการตกแต่งต่อเติมบ้านอย่างโฮมดีโป และร้านรองเท้าฟุต ล็อกเกอร์ คือห้างร้านค้าปลีกส่วนหนึ่งในสหรัฐฯ ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาโจรลักขโมยข้าวของเอาไว้ในรายงานผลประกอบการล่าสุดของพวกตน โดยชี้ว่าปัญหานี้ซึ่งผู้ก่อเหตุมีทั้งพวกลักเล็กขโมยน้อย และโจรที่รวมตัวเป็นแก๊งลักข้าวของ กำลังระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบางทีก็เกิดเหตุการณ์รุนแรง

ลอเรน โฮบาร์ต ประธานบริหาร ดิ๊กส์ สปอร์ตติ้ง กู๊ดส์ กล่าวระหว่างการประชุมผ่านทางโทรศัพท์ว่า พวกแก๊งลักขโมย และการขโมยข้าวของโดยภาพรวม กำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อห้างหลายแห่งมากขึ้น ในกรณีของ ดิ๊กส์ นั้น การขโมยของ ส่งผลกระทบต่อสินค้าคงคลังของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในผลประกอบการไตรมาส 2 และการคาดหมายสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านไบรอัน คอร์เนลล์ ประธานบริหาร ทาร์เก็ต เผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีการขโมยของในห้างแบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงหรือขู่ใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 120% และเสริมว่า เวลานี้ ความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังสืบเนื่องจากปัญหานี้ อยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ในระยะยาวแล้ว

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยของอเมริกาพุ่งจากเกือบ 0% เป็น 5.5% ในระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี เนื่องจากผู้วางนโยบายพยายามต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กระทบต่อการกู้เงินเพื่อซื้อสินค้าชิ้นใหญ่หรือขยายธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลลบถึงผู้บริโภคเช่นกัน

จากการสำรวจด้านความปลอดภัยของการค้าปลีก ของสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2021 พวกห้างค้าปลีกเสียหายราว 94,500 ล้านดอลลลาร์จากสิ่งที่เรียกว่า ‘shrink’ ซึ่งหมายถึงความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังอันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การยักยอกของพนักงาน การขโมยของ หรือความผิดพลาดในการจัดการ

ผลสำรวจยังพบว่า ห้างค้าปลีกเผชิญปัญหาจากแก๊งโจรเพิ่มขึ้น 26.5% โดยที่ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่รายงานว่า วิกฤตโรคระบาดทำให้ความเสี่ยงนี้เพิ่มสูงขึ้น

ผลลัพธ์คือห้างหลายแห่งค่อยติดตั้งแผ่นพลาสติกใสพร้อมกุญแจล็อกครอบชั้นวางสินค้า หรือล่ามโซ่คล้องกุญแจสายยูล็อกตู้เย็น และมีปุ่มกดเรียกสำหรับพนักงานกระจายอยู่ตามทางเดิน

ส่วนชั้นวางที่ไม่มีการป้องกันจะวางสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อจำกัดการถูกขโมย

อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันดังกล่าวไม่ได้ผลเสมอไป เป็นต้นว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีชายคนหนึ่งสวมแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ดและหน้ากาก และใช้เครื่องพ่นความร้อนละลายแผ่นพลาสติกใสที่ครอบชั้นวางสินค้าในห้างวอลกรีนส์ ในย่านควีนส์ ของนครนิวยอร์กท่ามกลางสายตาลูกค้าและพนักงานร้าน ก่อนโกยของไปจากชั้น

ผู้อยู่อาศัยในย่านควีนส์ยังร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยในร้านขายยาซีวีเอสหลายสาขา ซึ่งตามรายงานของสื่อนั้น บางสาขาขอให้พนักงานอย่าเข้าไปขัดขวางการขโมยของหรือแจ้งตำรวจ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

บางห้างกำลังพิจารณาปิดสาขา เช่น ไจแอนต์ที่กำลังชั่งใจปิดซูเปอร์มาร์เก็ตในนิวยอร์กที่ขโมยชุมและมีเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น

วอลล์กรีน ได้ปิดสาขา 5 แห่งในซานฟรานซิสโกในปี 2021 จากปัญหาเดียวกัน และวอลมาร์ทปิด 4 สาขาในชิคาโกในปีนี้ โดยให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่า ไม่มีกำไร

นอกจากนั้นผู้ใช้ออนไลน์ยังรายงานเหตุการณ์ ‘flash rob’ ที่แก๊งโจรใช้คนกรูกันเข้าไปในห้างและฉกสินค้าที่คว้าได้ก่อนวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมในร้านนอร์ดสตรอม ที่ลอสแองเจลิส กลุ่มคนสวมหน้ากากราว 30 คนเข้าไปกวาดสินค้าหรูมูลค่า 300,000 ดอลลาร์ และใช้สเปรย์ไล่หมีฉีดใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

‘เศรษฐา’ แจง!! หลังถูกสังคมวิจารณ์พฤติกรรม เผยปากกาหมึกหมด กลัวจดไม่ทัน ไม่ได้เจตนาโยน รับปากจะระวังมากขึ้น

‘เศรษฐา’ แจง!! ไม่ได้โยนปากกา หลังถูกสังคมวิจารณ์ เผยหมึกหมด-กลัวจดสิ่งที่หารือไม่ทัน รับปาก ต่อไปจะระวังมากขึ้น โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในจังหวะที่ นายเศรษฐาได้พบปะพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยระบุว่า...

“พี่น้องคนไทยหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง-ไรเดอร์ที่เป็นเหมือนเส้นเลือดฝอย เชื่อมต่อการเดินทางไปยังเส้นเลือดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า ช่วยหล่อเลี้ยงและมีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล

เราจึงต้องดูแลคนกลุ่มนี้อย่างเหมาะสม สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดจอดรถ การบริหารจัดการใบอนุญาต การดูแลสวัสดิการ แพลตฟอร์ม การบังคับใช้กฎหมาย การมีเจ้าภาพดูแลอย่างชัดเจน ตลอดจนการสนับสนุนให้สามารถเปลี่ยนไปใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้

วันนี้มีโอกาสพูดคุยได้ทราบถึงมุมมองจากพี่น้องผู้ประกอบอาชีพ ก็ขอให้มั่นใจว่าเราให้ความสำคัญกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์-ไรเดอร์ และผมได้ฝากให้ท่านสุริยะไปดูแลต่อไปครับ”

‘ฮุน เซน’ หวนใช้เฟซบุ๊กอีกครั้ง หลังถูกระงับบัญชี 6 เดือน  เหตุโพสต์คลิปขู่ดำเนินคดี-ทำร้ายคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศว่าจะกลับมาใช้งานเฟซบุ๊ก แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมในประเทศกัมพูชาอีกครั้ง โดยอ้างว่าเฟซบุ๊กได้ ‘มอบความยุติธรรม’ ให้กับเขา โดยการไม่สั่งระงับบัญชีผู้ใช้งานของเขา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ ได้โพสต์ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขา

สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้โพสต์ข้อความว่า เฟซบุ๊กได้ปฏิเสธคำแนะนำจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตา บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ให้มีการระงับบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้นี้เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากที่เขาโพสต์วิดีโอข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขาเมื่อเดือนมกราคม ว่าจะถูกดำเนินคดีและตีด้วยไม้ หากกล่าวหาว่าพรรคการเมืองของสมเด็จฯ ฮุน เซน โกงการเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ของเขาคว้าชัยชนะไปอย่างถล่มทลายจนส่ง ‘พลเอกฮุน มาเนต’ บุตรชายคนโตของเขาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้สำเร็จ

คำแนะนำดังกล่าวจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ทำให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่พอใจอย่างมาก จนเลิกใช้งานเฟซบุ๊ก พร้อมกับขู่ว่าจะปิดกั้นการเข้าถึงเฟซบุ๊กในประเทศกัมพูชา รวมถึงแบนตัวแทนของเฟซบุ๊กจากประเทศกัมพูชา และขึ้นบัญชีดำสมาชิกคณะกรรมการดังกล่าวกว่า 20 คน

หลังการประกาศกลับมาใช้งานเฟซบุ๊กอีกครั้ง สมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุอีกว่า กระทรวงโทรคมนาคมกัมพูชาจะอนุญาตให้ตัวแทนของเฟซบุ๊กกลับเข้ามาทำงานในประเทศอีกครั้ง แต่ยังคงไม่นำชื่อของสมาชิกคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาออกจากบัญชีดำ

‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ประกาศขายบ้านหรู ในกรุงเทพฯ ลั่น!! รู้สึกเสียดายมาก แต่ต้องจำใจเพราะไม่มีเวลาดูแล

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 เป็นนักร้องสาวชื่อดังที่มาพร้อมความสามารถ และหาเงินเก่ง ทำงานเพื่อครอบครัวมาตลอด สำหรับนักร้องลูกทุ่งสาว ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ หรือ ‘เจนนี่ รัชนก’ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้ซื้อบ้านหลังแรกในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกสาวคนแรก ‘น้องยูจิน’ เมื่อช่วงปลายปี 2021

ล่าสุด ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ได้โพสต์ไอจีสตอรี่ ประกาศขายบ้านหลังดังกล่าว โดยว่า "ปล่อยขายบ้านหลังนี้นะคะ ตัดสินใจนานมากกว่าจะขายเพราะเสียดาย ชอบหลังนี้สุดๆ ตรงข้ามคลับเฮาส์ ตรงข้ามสระว่ายน้ำและสวนของโครงการ แต่เสียดายไม่มีเวลาดูแลน้องเลย ใครสนใจ 093-5153618 นะคะ"

ซึ่งงานนี้ สาวเจนนี่ ก็ได้เผยเหตุผลของการขายบ้านหลังนี้ เพราะไม่มีเวลาดูแลนั่นเอง แต่อย่างทราบกันดีว่าเธอนั้นมีบ้านหลายหลัง แต่ละหลังนั้นราคาแพง แถมซื้อสดด้วยเงินเก็บของตัวเอง งานนี้เรียกว่าปังมากๆ

‘จีน’ เผย ภาคการผลิตยานยนต์ครึ่งปีแรกโตต่อเนื่อง เพิ่มมูลค่าทางอุตสาหกรรม ดันรายได้-กำไรพุ่ง!!

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน รายงานว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2023 (มกราคม-มิถุนายน) อุตสาหกรรมการผลิตรถยานยนต์ของจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการผลิต รายได้ และผลกำไร

รายงานระบุว่า มูลค่าเพิ่มทางอุตสาหกรรมของภาคการผลิตยานยนต์ในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดของประเทศอยู่ 8.9 จุด

รายได้จากการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทในภาคส่วนนี้แตะที่ 4.49 ล้านล้านหยวน (ราว 21.86 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวปริมาณกำไรรวมของกลุ่มบริษัทในภาคส่วนนี้อยู่ที่ 2.17 แสนล้านหยวน (ราว 1.05 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

'บอย เอ็นเตอร์เทน' เตือน!! ดาราไทยเสี่ยงตกงาน ค่าตัวแพงสวนคุณภาพ รายการทีวีเริ่มขอลดค่าตัว

ไม่นานมานี้ 'บอย เอ็นเตอร์เทน' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'boyentertain' ระบุว่า...

ดาราไทยกำลังตกงาน ล่าสุดละครลดการผลิต รายการทีวีขอลดค่าตัวดาราหันไปหาอาชีพใหม่หนีตายแล้ว ไม่ดังอยู่ยาก เรื่องเยอะก็ไม่จ้าง

ดาราไทยมูลค่าการตลาดสูงลิ่ว ค่าตัวแพงสวนทางคุณภาพ พัฒนาแค่เรื่องหล่อสวย แต่ขาดความยั่งยืนเรื่องฝีมือ หรือจะเรียกว่ามีตัวจริงไม่กี่คนก็ได้

‘สืบสวนภาค 9’ ปฏิบัติการจับกุม ‘บ่าว ศรีชุมพวง’ มือปืนรับจ้างบัญชีดำ พบ ‘ปืน-กระสุน’ ในบ้านพักเพียบ

(4 ก.ย. 66) มีรายงานว่าเมื่อเวลา 13.00 น. เมื่อ 3 กันยายน ตำรวจชุดสืบสวนภาค 9 ร่วมกับชุดสืบสวนภาค 8 นำโดย พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส.ภ.9, พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รอง ผบก.สส.ภ.9  พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส. 3 ภ.9 พ.ต.อ.กองทัพ เสนาทิพย์ ผกก.ปพ.สส.ภ.9 สนธิกำลังตำรวจชุดสืบสวนทั้งจากภาค 9 และภาค 8 พร้อมอาวุธครบมือ

ปฏิบัติการจู่โจมเข้าจับกุม นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว มือปืนรับจ้าง และผู้ต้องหาลำดับที่ 186 ตามปฏิบัติหมายจับหรือแบล็คลิสต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ จ.22/2561 ลง 12 ก.พ.61 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองและร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์

ขณะกบดานอยู่ที่บ้านพักในสวนยางพารา พื้นที่บ้านน้ำนิ่ง ต.บ้านลำนาว อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช และสามารถรวบตัวเอาไว้ได้โดยไม่ได้ต่อสู้หรือขัดขืน

จากการตรวจค้นในบ้านพักพบของกลางเป็นยาบ้าเปียกน้ำจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืน 4 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ประกอบด้วย, อาวุธปืนพกสั้น แบบออโตเมติก ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .45 จำนวน 27 นัด, อาวุธปืนสงคราม คาร์บิน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .30 คาร์ไบน์ จำนวน 21 นัด, อาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยว 1 กระบอกพร้อมกระสุนปืนลูกซอง, อาวุธปืนลูกกรดยาว .22 จำนวน 2 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .22 จำนวน 30 นัด

โดยเฉพาะอาวุธปืนคาร์บินนั้น ต้องสงสัยว่าเคยถูกใช้ก่อเหตุมาแล้วในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อปี 2560 ซึ่งคนร้ายใช้อาวุธปืนคาร์บินในการก่อเหตุ และเป็นคดีที่นายนิพนธ์ ร่วมก่อเหตุและถูกออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ได้ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 เพื่อดูว่าตรงกับปลอกกระสุนปืนที่ใช้ก่อเหตุในคดีนี้หรือไม่

เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาตามหมายจับ 3 ข้อหา คือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง, และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์ คุมตัวส่งพนักงานสอบ สภ.สะเดา จ.สงขลา พื้นที่เกิดเหตุที่เคยก่อเหตุและถูกออกหมายเพื่อดำเนินคดี

สำหรับประวัติของ นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว เป็นหนึ่งในมือปืนรับจ้าง หนึ่งในคดีดังที่เคยก่อเหตุคือ รับงานฆ่านายอาคม พรมโสภา อายุ 56 ปี หัวหน้าฝ่ายผลิตของโรงงานหาดใหญ่รับเบอร์ เสียชีวิตในบ้านพัก ซึ่งเปิดเป็นร้านขายชำ ที่ ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา โดยใช้อาวุธปืนคาร์บินยิงถล่มจนตายคาบ้าน เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 18 ธันวาคม 2560

คดีนี้มีผู้ถูกออกหมายจับทั้งหมด 5 คน และจับกุมได้แล้ว 3 คน มีนายน้อย สัจจมาตย์ อายุ 52 ปี ชาว อ.สะเดา ผู้จ้างวาน นายอาดัม หมัดเลียด อายุ 54 ปี ชาว อ.สะเดา จ.สงขลา คนดูต้นทาง และนายสมใจ แก้วแหร้ อายุ 53 ปี ชาว อ.สิงหนคร จ.สงขลา คนจัดหามือปืนและจัดหาอาวุธปืนคาร์บิน และหลบหนีอีก 2 คน คือนายกมลชัย หรือบรรณ สูงศักดิ์ อายุ 54 ปี ชาว อ.หาดใหญ่ คนจัดหารถยนต์เก๋งที่ใช้ในการก่อเหตุ และนายนิพนธ์ หรือบ่าว ศรีชุมพวง อายุ 35 ปี ชาว อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นมือปืนที่เป็นผู้ลงมือสังหาร

พล.ต.ท.รณศิลป์ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุมาจากความขัดแย้งเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบและธุรกิจมืด ระหว่างนายน้อย ผู้จ้างวาน กับนายอาคม ผู้ตาย จึงได้ว่าจ้างทีมมือปืนทั้งหมดมายิงนายอาคม ในราคา 2 แสนบาท มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งขณะลงมือก่อเหตุและการหลบหนี โดยส่งคนไปเฝ้าจับตา นายอาคม ก่อนที่จะประสานทีมมือปืนขับรถเก่งมายิงถล่มจนเสียชีวิต รวมทั้งการเปลี่ยนรถอีกคันมารับตัวมือปืนหนีไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top