Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

‘เศรษฐา’ ฟิต!! ยกทัพลุย ‘พังงา’ รับฟังผู้ประกอบการ ‘ด้านท่องเที่ยว’ พร้อมผลักดันสร้างสนามบินแห่งใหม่ หวังกระตุ้นเม็ดเงินเข้าประเทศ

(26 ส.ค.66) ที่รร.มอริซี เขาหลัก พังงา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบายพรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพท. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.พังงา เพื่อพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว มีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผวจ.พังงา และ นายกฤษ สีฟ้า อดีตผู้สมัครสส.พังงาพรรคพท.โดยผู้ประกอบการได้เสนอให้มีการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ จัดระบบขนส่งมวลชนให้มีคุณภาพ เพื่อรับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้จ.พังงาและจังหวัดใกล้เคียง และขอให้รัฐบาลช่วยจัดกิจกรรมดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในช่วงโลซีซัน

จากนั้นนายเศรษฐา กล่าวว่า แปลกใจไม่มีนายกฯ มาถึงจ.พังงาถึง 10 ปี เพราะทราบกันดีว่าพื้นที่โซนนี้เป็นแหล่งรายได้ที่มีอนาคต ทำรายได้ให้ประเทศ พรรคพท.ไม่มีสส.ในพื้นที่ ต้องขอบคุณนายกฤษ รวมถึงนายพร้อมพงษ์ที่ดูแลพื้นที่ไม่เหน็ดเหนื่อยแม้เพื่อไทยไม่มีสส. แต่ตนก็จะมาพื้นที่อีก แม้เราไม่มีสส.แต่เพื่อไทย ไม่ยึดเรื่องการเมืองแต่ยึดคนไทยทั้งประเทศ เราดูองค์รวมการพัฒนาประเทศเป็นหลัก วันนี้เศรษฐกิจตกต่ำมาก เราต้องเพิ่มรายได้ซึ่งการเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน คือเรื่องของการท่องเที่ยว เรารับฟังการสร้างสนามบินใหม่ ขอให้มั่นใจสนามบินใหม่รับเที่ยวบินขนาดใหญ่ได้แน่นอน และโครงการต่างๆ ที่มีการพูดถึงแม้หากดูรายโครงการอาจคุ้มทุนช้า แต่ถ้าดูองค์รวมผลตอบแทนน่าจะคุ้ม หากรัฐบาลพท.ผ่านการถวายสัตย์แล้วจะไม่ดูแยกโปรเจกต์ แต่จะดูองค์รวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่พังงา ภูเก็ต จะไปดูถึงระนอง รวมถึงจะไปดูเรื่องหลังบ้านเรื่องสิ่งแวดล้อมต้องทำควบคู่ไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ การดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่ก็สำคัญเช่นกัน สำหรับการท่องเที่ยวด้านสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะมีการพักอาศัยระยะยาวและมีค่าใช้จ่ายที่ดี แต่ถ้าหลายจังหวัดเปิดพร้อมกันอาจขาดแคลนบุคลากร รัฐบาลก็จะให้ความสำคัญในส่วนนี้ด้วย สำหรับเรื่องของอีวีบัส ผู้ว่าการท่าฯ ระบุติดต่อได้เลยพร้อมทำได้เลย เรื่องครม.สัญจร อาจแยกเป็นครม.เศรษฐกิจ หรือครม.มั่นคงเป็นกลุ่มเล็กสะดวกมากกว่า ยืนยันว่าจะกลับมาอีก 

จากนั้นนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์หลังพูดคุยกับผู้ประกอบการว่า มีข้อเสนอที่คล้ายคลึงกับจ.ภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน สนามบิน เมื่อถามว่าโอกาสสร้างสนามบินพังงา เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญของพรรคพท.ที่จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น เมื่อถามว่าในระยะสั้นเราจะนำสนามบินเดิมมาปรับปรุงหรือจัดสร้างสนามบินใหม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดก่อน แต่หากจะทำก็อยากให้ดีเลย และเข้าใจว่ามีแผนอยู่แล้ว และมีการกำหนดที่ไว้แล้ว 

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กจะส่งต่องานให้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอบคุณ แต่ตนยังไม่ได้อ่านเฟซบุ๊กของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตนจะรับไปพิจารณา และมีหลายท่านที่อยู่ในรัฐบาลเดิม ก็จะไปพูดคุยและไปรับฟังงานที่ทำค้างไว้ โดยเฉพาะการลงทุนที่ทำจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าจะสามารถต่อยอดไปได้ 

เมื่อถามว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์จะฝากไว้กับรัฐบาลใหม่ พรรคพท.จะสานต่ออย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องมาดูกันว่าในส่วนไหนที่สามารถทำได้หรือไม่ได้อย่างไร เพราะโลกปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปโดยเร็วพอสมควร ซึ่งต้องดูให้ดีก่อน ไม่อยากบอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ย้ำว่าขอศึกษาก่อน 

เมื่อถามว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ลงตัวขึ้นพร้อมที่จะเสนอชื่อเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ใกล้เคียงมาก พยายามเต็มที่ โดยชื่อที่มีการนำเสนอในข่าวถือว่าใกล้เคียง เรามีคณะเจรจาและการเจรจาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี โดยลงรายละเอียดไปถึงรัฐมนตรีช่วยฯ ว่าควบคุมกรมอะไร อยู่ในช่วงการต่อรอง สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือเรื่องของความถนัดของบุคคลที่จะมาดูแลในเรื่องของกรมนั้นๆ ด้วย เพราะเราต้องเอาเรื่องของความเจริญบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสรรอะไรอย่างเดียว อีกนิดเดียว ขอให้ใจเย็น เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยรอบนี้ ได้กระทรวงมหาดไทยไปคุมภูมิภาคท้องถิ่นทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยจะเสียเปรียบหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องดูไปก่อน ขอดูก่อนว่าจะมีการแบ่งงานกันอย่างไร เพราะต้องมีรัฐมนตรีช่วยด้วย ขอให้ใจเย็นๆ

เมื่อถามว่าผู้แทนการค้าไทยที่ในรัฐบาลเดิมเหมือนจะมีบทบาทน้อย รัฐบาลใหม่จะนำมามีบทบาทอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าโลกเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเอฟทีเอ เรื่องการเปิดตลาดเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการเชื้อเชิญนักลงทุนของต่างประเทศเข้ามา เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตามความเข้าใจของตน ผู้แทนการค้าไทยมี 5 คน และสามารถตั้งประธานได้อีก 1 คน จะเป็นหัวหอกสำคัญในการพัฒนาประเทศ ส่วนจะเป็นของพรรคพท.ทั้งหมดเลยหรือไม่นั้น ตรงนี้เราต้องให้เกียรติกันนิดนึง เราต้องดูความเหมาะสมและความสามารถของบุคลากร เมื่อถามว่าที่บอกว่าครม.สัดส่วนของพรรคพท.ลงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า “นิดๆ หน่อยๆ 2-3 ตำแหน่ง” เมื่อถามว่าทีมเศรษฐกิจของพรรคพท.จะเป็นทีมที่แข็งแกร่งหรือไม่เพราะนายกฯ จะควบตำแหน่งรมว.คลังด้วยตัวเอง นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ ไม่อยากพูด แต่เราพยายามเต็มที่ ในสภาวะที่ค่อนข้างจะลำบากเศรษฐกิจที่มีปัญหา คาดว่ามีความคาดหวังสูง แต่ตนเชื่อว่าคนที่ถูกคัดเลือกตัวมาก็พร้อมที่จะทำงานบนความเหน็ดเหนื่อย 

เมื่อถามว่า รมช.คลังต้องทำงานรู้ใจรัฐมนตรีเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่ต้องทำงานร่วมกันได้ แต่เชื่อว่าทั้ง 11 พรรคที่มาทำงานร่วมกัน เข้าใจถ่องแท้ถึงความต้องการและปัญหาของพี่น้องประชาชน เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่กระทรวงมหาดไทยที่เดิมมีชื่อของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ล่าสุดมีชื่อเป็นรองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ท่านจะเสียใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนเข้าใจ และกระทรวงใหญ่ๆ ตนก็คิดว่ามีการพูดคุยกันแล้ว หลายคนที่เป็นผู้ใหญ่และไม่ใช่แค่พรรคเดียวก็มีความเข้าใจ และชำนาญไม่ใช่แค่กระทรวงเดียว หลายคนผ่านการทำงานมาเยอะ เชื่อว่าเหมาะสมและพร้อม เมื่อถามว่าวันที่ 28 ส.ค.นี้รายชื่อ ครม.จะเรียบร้อยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “หวังว่า” 

เมื่อถามว่ากระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะใช้ได้เมื่อไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เราเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน ขอดูรายละเอียดอีกเล็กน้อย ซึ่งในวันที่ 28-29 ส.ค. นี้จะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาพบปะพูดคุยกัน เพื่อจะรวบรวมข้อมูลแล้วจะขอเขียนไทม์ไลน์อีกครั้ง หวังว่าในไตรมาส 1 ปีหน้าจะทำได้ เมื่อถามว่ามีผลสำรวจของศรีปทุมโพลระบุว่าพรรคพท.มีความนิยมลดลงจะเร่งฟื้นความเชื่อมั่นอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าผลงานอย่างเดียว วันนี้เราทำงานตลอดทุกวัน ทุกคนไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ส่วนเรื่องของความคาดหวังของบุคคลอื่นนั้น เราควบคุมไม่ได้ และเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจถึงความบอบบางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เราจะต้องเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้

ย้อนอดีต ‘บังเปีย’ ชาวไทยมุสลิม ผู้ริเริ่มทำ ‘โรตีสายไหม’ จนเป็นของขึ้นชื่ออยุธยา แต่แท้จริงนั้นจุดกำเนิดอยู่ที่สัตหีบ

(26 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘จานโปรด’ ได้โพสต์บรรยายที่มาของ ‘โรตีสายไหม’ สินค้าชื่อดังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระบุว่า…

“โรตีสายไหม ทำไมต้องอยุธยา

ไปเที่ยวอยุธยาทีไร เป็นต้องเห็นโรตีสายไหมวางขายตามร้านข้างถนนแทบจะทุก 1 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นของขึ้นชื่อประจำจังหวัดอยุธยาแล้ว แป้งโรตีหอมๆ กินคู่กับเส้นสายไหมที่หอมหวานกำลังดี

หลายคนอาจจะนึกเถียงอยู่ในใจว่า แป้งที่ห่อนั้นไม่ใช่แป้งโรตี แต่เป็นแป้งเปาะเปี๊ยะต่างหาก

โรตีสายไหมที่โด่งดังขึ้นชื่อในอยุธยานั้น คาดว่าเป็นขนมที่สืบทอดมาจากชาวไทยมุสลิม โดยบังเปีย หรือ คุณซาเล็มแสงอรุณ ชาวอำเภอวังน้อย อยุธยา

ในปี พ.ศ. 2499 บังเปีย ในวัย 11 ปี ที่มีฐานะครอบครัวยากจน ต้องตระเวนไปรับจ้างตามต่างจังหวัด จนได้ไปอยู่กับอาที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และประกอบอาชีพขายขนมโรตี ทุกๆ วัน บังเปียจะต้องเคี่ยวน้ำตาลเพื่อทำขนม แล้วบังเปียก็สังเกตได้ว่าเมื่อเคี่ยวนานไปน้ำตาลจะเริ่มจับตัวเป็นก้อน บังเปียจึงลองดึงน้ำตาลให้เป็นเส้นฝอยๆ เหมือนสายไหมแล้วหยอดใส่แป้งโรตี กลายเป็นขนมชนิดใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า ‘โรตีสายไหม’

หลังกลับมาที่อยุธยา บังเปียก็ยังยึดอาชีพขายโรตีสายไหมอยู่ เพียงแต่ปรับจากแผ่นแป้งโรตี มาใช้แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะของจีนแทน เนื่องจากใช้เวลาทำน้อยกว่า วัตถุดิบมีราคาถูกกว่า และรสชาติก็เข้ากันกับสายไหมได้ดีกว่าเพราะไม่ทำให้เลี่ยนจนเกินไป ก็เลยกลายเป็นโรตีสายไหมเวอร์ชั่นที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

หลังจากโรตีสายไหมของบังเปียเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในอยุธยา บังเปียมีการปรับและพัฒนาสูตรอย่างสม่ำเสมอ และเริ่มขยายกิจการไปยังจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงให้พี่น้องมาทำกิจการโรตีสายไหมด้วยกัน เราจึงได้เห็นร้านโรตีสายไหมที่เป็นสูตรของบังเปียกระจายไปทั่วอยุธยา ตลอดถนนสายเอเชีย ถนนอู่ทอง ถนนมิตรภาพ เราจะเห็นร้านเต๊นท์ผ้าใบที่มีสายไหมสีสดใสวางอยู่ในถุงอยู่เสมอ

ทุกวันนี้ โรตีสายไหมกลายเป็นของขึ้นชื่อของอยุธยา ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และผลักดันจนกลายเป็นสินค้าOTOP สุดขึ้นชื่อ ที่แขกไปใครมาอยุธยาก็ต้องติดไม้ติดมือกลับบ้านไปคนละอย่างน้อย 3 ถุงแน่ๆ”

 

สุดอาลัย ‘น้องเพลง’ เอ่ยฝาก ‘คุณย่า’ กอดพ่อเอ๋หลังครอบครัวอัศวเหม เกิดความสูญเสียอีกครั้ง

(26 ส.ค.66) ช่วงต้นปีที่ผ่านมาครอบครัวอัศวเหม เพิ่งสูญเสีย ‘เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม’ หลังหมดสติจากการซ้อมแข่งรถที่ จ.บุรีรัมย์ ล่าสุดก็เกิดข่าวเศร้าอีกครั้ง หลังจากที่ต้องสูญเสีย ‘นางจันทร์แรม อัศวเหม’ ภรรยาของ นายวัฒนาอัศวเหม อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทยและอดีตสส.สมุทรปราการ มารดาของ เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ และเป็นคุณย่าของ ‘น้องเพลง ชนม์ทิดา อัศวเหม’

ล่าสุดน้องเพลง ได้โพสต์อาลัยคุณย่า แปลเป็นภาษาไทยว่า “จะอยู่ในใจเสมอไป รักคุณ คุณย่า ได้โปรดกอดคุณพ่อให้ฉันด้วย”

ทั้งนี้ทางครอบครัวจะจัดพิธีบำเพ็ญกุศล ที่วัดธาตุทอง

‘หนุ่ม’ เล่าอดีต เคยเจอ ‘หญิงไทย’ สติหลุด-วีนแตกใส่แอร์ฯ หลังไม่พอใจที่ตนปฏิเสธแกล้งเป็นแฟนให้ผ่าน ตม.

(26 ส.ค.66) จากเฟซบุ๊ก Joe Amatyakul ได้โพสต์ข้อความหลังเห็นประเด็นดรามา แก๊งคนไทยวีนแตกใส่แอร์โฮสเตส บนเครื่องบินลำหนึ่ง เหตุปฏิเสธไม่ยอมช่วยยกกระเป๋าให้ พร้อมแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ตนเคยพบเจอคล้ายๆ กัน โดยระบุว่า…

“เห็นข่าวคนไทยโวยจนถูกไล่ลงจากเครื่อง

ย้อนคิดถึงราว 30 ปีก่อน ตอนนั้นยังหนุ่มๆ อยู่ที่อเมริกา บินไปๆ กลับๆ ไทยบ่อยๆ ส่วนใหญ่เลือกเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่น (เพราะเจตนาจะแวะเที่ยวญี่ปุ่นเป็นของแถม)

ต้องเล่าก่อนว่า ยุคนั้นคนไทยต้องทำวีซ่าญี่ปุ่น ซึ่งอนุมัติแสนยากเย็น แต่ผมไปญี่ปุ่นบ่อยๆ โดยไม่เคยทำวีซ่า เพราะญี่ปุ่นอนุโลมให้คนไทยที่มีวีซ่าระยะยาวของสหรัฐอเมริกา สามารถเข้าญี่ปุ่นได้ 7 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่า

เข้าเรื่องซะที…มีครั้งนึงที่บินจากไทย (และจะแวะญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่าอเมริกาตามเคย) ผมได้นั่งกับหญิงคนนึง คุยกันซักพักเธอก็ออกปากขอร้องว่า เดี๋ยวตอนผ่าน ตม. เธอขอเดินควงแขนผม แกล้งเป็นแฟนได้ไหม เพราะเธอกังวลมากๆ ว่า เธอจะไม่ผ่าน ตม. และถูกส่งกลับไทย แน่นอนผมปฏิเสธทันที บอกเธอไปตามจริงว่าผมไม่มีวีซ่าญี่ปุ่น จะเข้าโดยใช้วีซ่าอเมริกาแทน ดังนั้นผมจะเสี่ยงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเซฟตัวเองเหมือนกัน เธอเริ่มตีโพยตีพายว่าชีวิตลำบากงั้นงี้ ต้องจำนองที่นาจ่ายให้นายหน้า เพื่อจะมาเป็น Curry (เธอใช้คำนี้) ที่ญี่ปุ่น เพื่อหาเงินส่งน้องๆ และส่งพ่อแม่ทยอยใช้หนี้ ถ้าถูกส่งกลับคือล่มจมแน่ๆ แต่ผมก็ยืนยันว่าช่วยไม่ได้จริงๆ

เธอโวยเสียงดัง สติหลุด ยกกระเป๋าลงมาหยิบของ แต่เรียกให้แอร์ยกกลับขึ้นไปเก็บ แอร์ไม่ยอมยกให้ เธอก็ด่า ขว้างถ้วยน้ำใส่แอร์ด้วยและด่า Fuck หลายครั้ง ตอนนั้นผมรู้สึกอายแทนคนไทยทั้งชาติ เลยแกล้งหลับตลอด พอเครื่องลงจอด มีเสียงประกาศว่าให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ก่อน ซักพักก็มีตำรวจเข้ามาจับกุมเธอถึงที่นั่ง พอเธอถูกคุมตัวไป ผดส.ปรบมือกันใหญ่ แต่ผมสงสารเธอมาก ผมไม่ทราบว่าต่อจากนั้นเธอโดนอะไรบ้าง ถ้าเธอถูกส่งกลับจริงทั้งครอบครัวต้องลำบากสาหัสแน่ๆ ใดๆก็ตาม การใช้อารมณ์มักไม่ใช่ทางออกเสมอ

‘แน็ก-เก๋ไก๋ ไลฟ์สดขายของด้วยกันครั้งแรก ยอดคนดูพุ่งเกือบ 5 หมื่น ไม่ธรรมดาของจริง

(26 ส.ค.66) เรียกว่าเป็นคู่รักดารา คู่รักยูทูบเบอร์ สำหรับ ‘แน็ก ชาลี’ กับ ‘เก๋ไก๋ สไลเดอร์’ ภายหลังเปิดตัวหวานกันอย่างเป็นทางการก็ได้การตอบรับจากแฟนคลับจำนวนมาก  

ล่าสุดทั้งสองคนได้ไลฟ์ขายของด้วยกันครั้งแรกในติ๊กต็อกของ ‘แน็ก’ กับ ‘เก๋ไก๋’ โดยมีน้องอาร์เธอร์ร่วมแจม ขายของสารพัดมากมาย พบว่าระหว่างไลฟ์พีกสุดมีคนดูเกือบ 5 หมื่นเลย

ถือว่าเป็นการไลฟ์ที่ประสบความสำเร็จมากๆ สำหรับ คู่รักยูทูบเบอร์ ‘แน็ก-เก๋ไก๋’ แล้วคอมเมนต์ก็น่าเอ็นดูมากๆ เพราะโดนแซวว่าพ่อหนุ่มแน็กเขินตลอดเลย

'บิ๊กดุง' นั่ง ผบ.ทร. ส่วน 'พล.อ.เจริญชัย' ผบ.ทบ. ด้าน 'บิ๊กตู่' พร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ใน 1-2 วันนี้

(25 ส.ค.66) ความคืบหน้าการจัดทำบัญชีปรับย้ายนายทหารประจำปี หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหม หรือ 7 เสือกลาโหมไปเมื่อวันที่ 24 ส.ค.66 ที่ผ่านมา 

โดยมี...

- พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ตท.24) เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
- พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รองผู้บัญชาการทหารบก (ตท.23) เป็นผู้บัญชาการทหารบก
- พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (ตท.24) เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ
- พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือ ยุทธการ (ตท.23) เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมนำขึ้นทูลเกล้า ภายใน 1-2 วันนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการ

'เป๊บซี่' เชื่อ!! โผสุดท้าย ครม.นิด 1 'บิ๊กเล็ก' จ่อขึ้นแท่น 'รมว.กลาโหม' ชี้!! เป็นสัญญาณดีจากคนในเรือนจำ 'ยอมถอย-ประนีประนอม'

(26 ส.ค.66) นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ 'เป๊ปซี่' ผู้สื่อข่าวอาวุโสด้านการเมืองและความมั่นคงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ลุ้นโผสุดท้าย ครม.เศรษฐา

รมว.กห. ช่วงแรก ลือสะพัดเป็น นกม.จากตระกูล 'คลังแสง'

ก่อนมาจบที่ 'พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์' อดีตรองผบ.ทบ.
หัวแถวจากเตรียมทหาร 20 รุ่นบิ๊กแดง 'อภิรัชต์' 
มือ ยุทธการ-ข่าว และ ความมั่นคง ทบ. 
ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณเป็น เลขา สมช.    
สายข่าวความมั่นคงยืนยันมีความเป็นไปได้สูงลิ่ว      .
'บิ๊กเล็ก' คนเคยสนิทใกล้ชิด 'ลุงตู่'
จะมาเป็น รมว.กห. ในโควตาคนนอกของเพื่อไทย 
แต่ยอมให้ลุงจัดหาบุคคลที่เหมาะสมมาช่วยงานความมั่นคง 
หาก 'บิ๊กเล็ก' มาจริงตามที่สายข่าวคาด                
ถือเป็นการส่งสัญญาณจากคนในเรือนจำ
ยอม 'ถอย-ประนีประนอม-ไม่แตกหัก' อย่างที่บางฝ่ายกังวล  

สร้างบรรยากาศชื่นมื่นแจ่มจันทร์สลายความขัดแย้ง
ก่อนเดินหน้าทำงานร่วมกัน !!!

‘ชาย’ เปิดใจ ชีวิตครอบครัวกว่าจะลงตัว ต้องแลกมาด้วยน้ำตา เคยโหมงาน 7 วัน ไม่ได้เจอหน้าลูก แต่เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดเลยต้องทำ

(26 ส.ค.66) ดังเป็นพลุแตกสุดๆ สำหรับการถ่ายทอดบทบาท LGBTQ บท ‘พ่อเกรซ’ ในละครเนื้อหากินใจเรื่อง มาตาลดา จนทำให้นักแสดงมากฝีมือ ‘ชาย-ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ’ ถูกเป็นที่พูดถึงสนั่นโซเชียล งานนี้ตั้งโต๊ะเคลียร์แบบเจาะลึก ผ่านรายการ โต๊ะหนูแหม่ม เผยเบื้องหลังความสำเร็จฝึกปรือวิทยายุทธ์การแอคติ้ง แอบซุ่มเงียบอ่านบทตีความขณะปฏิบัติกิจในห้องน้ำ พร้อมเปิดใจการบาลานซ์งานกับชีวิตครอบครัว ที่กว่าจะจัดสรรได้ลงตัวต้องแลกมาด้วยคราบน้ำตา

“กระแสงานละครดีมาก คนยังชื่นชมอย่างต่อเนื่อง หายเหนื่อยมาก ที่สุดแล้ว เพราะมันผ่านอะไรมาเยอะมาก กับการที่ได้เป็นตัวละครตัวนี้ พอได้รับฟีดแบ็ก พอได้เจอคนที่ชื่นชม และชื่นชอบตรงนี้แล้วหายเหนื่อย มันมีค่ามหาศาลมากจริงๆ”

ตอนแรกที่ได้เห็นบทแล้วตีความยังไง? “ชายมักจะอ่านบทตอนเข้าห้องน้ำ เป็นเวลาที่เป็นของเราจริงๆ คือได้อ่านแล้วก็แบบว่า นี้มันคืออะไรนี้ มันมหัศจรรย์มาก แล้วชายรู้สึกดีกับมันมาก นั่งคิดอยู่คนเดียวว่าคนอื่นจะรับรู้มั้ยว่ามันมีค่ามากตรงนี้ เหมือนเฝ้ารอดูว่าระหว่างถ่ายทำ มันก็เห็นสิ่งมหัศจรรย์เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ลุ้นอยู่ตลอดว่าตอนตัดต่อ ออกอากาศคนดูจะชอบไหม เขาจะอินไปกับด้วยหรือเปล่า”

ช่วงหลังๆ รับแต่บท LGBTQ กดดันบทต่อๆ ไปไหม? “ไม่เลยไม่กดดัน ยังรับทุกงาน ลูกยังเล็กอยู่ ทุกวันที่ออกจากบ้านมาทำงานทุกวัน เพราะว่าลูกยังเล็ก เราต้องตั้งใจให้ชีวิตที่ดีที่สุดให้ลูกให้ได้ ชายยังมีความตื่นเต้นกับทุกบทบาทที่เข้ามาตลอดเลย มันมีอะไรที่ยังอยากทำอีกเยอะ อย่างเราอยู่ในวงการมา 20-30 ปี ตอนที่เราได้บทพ่อเกรซ เราก็ตื่นเต้นเพราะไม่เคยทำ น่าจะมีอะไรท้าทายเข้ามาอีก”

เมื่อถามถึงเรื่องครอบครัว ชาย ชาตโยดม ได้เผยต่อว่า “เราเป็นคนติดลูกมาก แต่มันย้อนแย้งนิดนึง คือด้วยความที่เรามีลูกก็อยากจะดูแลเขาให้ดี เราก็ต้องออกไปทำงาน ทำมาหากินอะไรแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันการออกไปข้างนอกเราเลยไม่มีโอกาสได้เห็นเขาเติบโต ได้ใช้เวลาอยู่กับเขา ถ้าช่วงที่ชายจัดแจงเวลาได้ส่วนนึง กลับมาถึงบ้านชายจะพาลูกเข้านอน เคยหนักสุดตอนทำงาน 7 วัน ต่อเนื่องกันเป็นเดือนแล้วไม่เจอลูกน้อยเลย กลายเป็นว่าทำงานไม่ได้เลย ชายไปเจออาจิ๋มผู้จัด ชายไปนั่งร้องไห้กับอาจิ๋มเลย คือตอนนั้นชายไม่ไหวแล้ว เรารับงานเยอะจนไม่มีเวลาอยู่กับเขา อาจิ๋มเลยบอกว่าคนเขาไม่ว่าหรอก ถ้าเราจะเก็บเวลาไว้สักวันนึง เพื่อที่จะได้อยู่กับครอบครัวบ้าง ก็ไม่ผิด แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเรารับงานเขามาแล้ว เราก็เลยอยากทำให้เขาเต็มที่ ตอนนี้ก็เลยปรับมาเหลือ 1 วันที่ต้องหยุดให้กับครอบครัว” 

‘เสธฯ หนั่น’ ผู้สร้างตำนาน ‘งูเห่า’ ในแวดวงการเมืองไทย ต้นฉบับการข้ามขั้วครั้งใหญ่ เจ้าของนิยาม “เลี้ยงไม่เชื่อง”

(27 ส.ค. 66) ‘พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์’ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คือผู้สร้างตำนาน ‘งูเห่า’ ขึ้นในวงการการเมืองไทยด้วยการดึง 13 สส.จากพรรคประชากรไทย ของ ‘นายสมัคร สุนทรเวช’ หัวหน้าพรรคประชากรไทย พลิกข้ามขั้วมาสนับสนุน ‘นายชวน หลีกภัย’ เป็นนายกรัฐมนตรี สมัย 2

13 สส.พรรคประชากรไทย จากทั้งหมด 18 คน ที่พลิกขั้วมาสนับสนุนนายชวน ประกอบด้วย นายวัฒนา อัศวเหม, นายพูนผล อัศวเหม, นายสมพร อัศวเหม, นายมั่น พัธโนทัย, พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์, นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ, นายไกรสิทธิ์ ไกรสิทธิพงศ์, นายประกอบ สังข์โต, นายสำเร็จ อัจฉริยะประสิทธิ์, นายฉลอง เรี่ยวแรง, นายสุชาติ บรรดาศักดิ์, นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย และนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์

การถูกหักหลังในครั้งนั้น นายสมัครเปรียบเทียบว่า “เหมือนชาวนากับงูเห่า” เพราะก่อนการเลือกตั้ง นายวัฒนาตกเป็นข่าวมีชื่อในแบล็กลิสต์ ผู้พัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติดของทางการสหรัฐอเมริกา จนไม่มีพรรคไหนยอมให้เข้าร่วม เว้นแต่พรรคประชากรไทยของนายสมัคร แต่แล้ว เมื่อนายสมัครยืนยันจะยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาลเดิม กลับมีลูกพรรคแหกมติไปลงคะแนนให้อีกฝ่าย ทิ้งให้หัวหน้าพรรคกลายเป็นฝ่ายค้าน ส่วนพวกตนเองสลับขั้วไปร่วมรัฐบาล “เลี้ยงไม่เชื่อง-ทรยศ-หักหลัง” คือนิยามง่ายๆ ของคำว่า “งูเห่า”

ย้อนกลับไปดูการเมืองในช่วงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมต้องมีงูเห่า

ปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติค่าเงินบาทในสมัยรัฐบาล ‘พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ’ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ค่าเงินบาทถูกโจมตีหนัก รัฐบาลโดยแบงก์ชาติก็นำเงินคงคลังออกมาสู้อย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ พล.อ.ชวลิต ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท บางคนอาจจะบอกว่า “ลดค่าเงินบาท”

พล.อ.ชวลิต สุดจะต้านทานกระแส ประกาศลาออกเมื่อ 6 พ.ย. 2540 จึงเกิดการพยายามรวมเสียงเพื่อหานายกรัฐมนตรีคนใหม่

ฝ่ายรัฐบาลเดิมยังคงได้เปรียบ พรรคความหวังใหม่ และอีก 5 พรรคร่วมรัฐบาล ลงสัตยาบันประกาศชู ‘พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ’ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ขณะที่ฝ่ายค้านพยายามรวมเสียงเพื่อชู นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาท้าชิง

เสียงฝั่งรัฐบาลที่ประกอบด้วย พรรคความหวังใหม่, พรรคชาติพัฒนา, พรรคกิจสังคม, พรรคประชากรไทย, พรรคเสรีธรรม และพรรคมวลชน 221 เสียง เหนือกว่า พรรคประชาธิปัตย์, พรรคชาติไทย, พรรคเอกภาพ, พรรคไท และพรรคพลังธรรม ที่ได้ 172 เสียง

แต่พรรคเสรีธรรมและพรรคกิจสังคมเปลี่ยนขั้ว (4+20) ทำให้ช่องว่างกลับมาเฉือนกันแค่คะแนนเดียว อยู่ที่ 197 – 196 แม้เสียงจะปริ่มน้ำสุดๆ แต่มันสมองอันแหลมคมของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็มองเห็นประเด็นนี้ออก จึงแก้เกมโดยขอแค่แยกสมาชิกพรรคใดมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทั้งพรรค เกมจะเปลี่ยนทันที

พรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีอยู่ 18 คน กลายเป็นเป้าหมายของ ‘เสธฯ หนั่น’ เจรจาดึงออกได้ถึง 13 คน แต่ตอนหลัง ‘นายชัยวัฒน์ ศิริภักดิ์’ ได้ลาออกจาก สส.ไป เกมพลิกทันที ทำให้ขั้วอำนาจฝ่ายสนับสนุนนายชวน รวมเสียงได้ 208 – 185

ผลจากการเปลี่ยนขั้วของ สส. 12 คน ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ในคณะรัฐมนตรีของนายชวน ถึง 4 คน คือ นายวัฒนา อัศวเหม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายประกอบ สังข์โต เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

หลังจาก เรื่องราวของงูเห่าก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้นๆ แต่ที่ยกเรื่องตำนานงูเห่าขึ้นมาเล่า เพียงแต่จะบอกว่า งูเห่าเกิดขึ้นครั้งแรกเป็น สส.ข้างมากของพรรคประชากรไทย 13 คน ไม่ใช่เสียงข้างน้อย หรือจำนวนน้อยถึงจะเรียกว่า “งูเห่า” ซึ่งไม่เป็นความจริง

สื่อญี่ปุ่น เผย ‘Isuzu’ เตรียมเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้ารุ่นแรก เล็งใช้ ‘ไทย’ เป็นฐานการผลิตใหญ่ เพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 สำนักข่าว ‘nikkei’ ของญี่ปุ่น รายงานว่า ‘อีซูซุมอเตอร์’ วางแผนที่จะเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้าในประเทศไทยและที่อื่นๆ ในช่วงต้นปี 2025 โดยตั้งเป้าที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขณะนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนเป็นผู้นำการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแล้ว

สำนักข่าว nikkei  ระบุว่า กระบะไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์จากมาจากพื้นฐานของ ISUZU D-MAX ของบริษัท จะผลิตในประเทศไทยสำหรับการเปิดตัวในปี 2025 สำหรับอีซูซุ ครองตลาดรถกระบะในประเทศไทยประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากกว่า 40% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศ

ด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นมาก ในเดือนกรกฎาคม มียอดขายถึง 5,014 คัน คิดเป็นประมาณ 8% ของยอดขายรถยนต์ใหม่

ทั้งนี้ ISUZU วางแผนใช้ประเทศไทย เป็นฐานในการผลิต กระบะไฟฟ้าอย่าง ISUZU D-MAX เพื่อส่งขายในยุโรปด้วย เบื้องต้น prototype หรือต้นแบบ กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา นอกจากนี้คู่แข่งอย่าง TOYOTA HILUX REVO ที่จะเปิดตัวไฮบริดปีหน้า อาจเห็น ISUZU D-MAX HYBRID ในเวลาไล่เลี่ยกัน

นาย ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ เปิดเผยถึงแผนพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าว่า…

“แม้ว่าอีซูซุได้เปิดตัว Elf EV ที่ญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่การเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอื่นๆ ต้องคำนึงถึงความต้องการลูกค้าเป็นหลัก สำหรับการเปิดตัว Elf EV รถบรรทุกไฟฟ้าในไทยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา

สำหรับ ISUZU D-MAX EV อยู่ในขั้นตอนการพัฒนารถต้นแบบจะประกอบที่ไทย และส่งออกไปขายที่ทวีปยุโรป เนื่องจากเราได้ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยทำให้การที่จะประกอบในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งเราไม่สามารถระบุระยะเวลาที่ชัดเจนได้ว่า จะดำเนินการเมื่อไร เพราะยังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนการพัฒนา

การใช้ประเทศไทย เป็นฐานการผลิต ถามว่าต้องลงทุนเพิ่มหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด หากความต้องการเพิ่ม เราจำเป็นต้องขยายโรงงาน ส่งผลให้ต้องเพิ่มการลงทุนเพิ่มขึ้น หากชิ้นส่วนกระบะไฟฟ้าคล้ายกับ D-MAX ปัจจุบันก็สามารถใช้สายการผลิตเดิมได้ มีเพียงชิ้นส่วนแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า ที่แตกต่าง และต้องเพิ่มสายการผลิตใหม่”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top