Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

‘เพจมาดามแป้ง’ กางผลสำรวจ การทำงานร่วมกับ ‘คน Gen Z’ พบ ร่วมงานด้วยยาก-ขาดความพยายาม-อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘Madam Pang - มาดามแป้ง - นวลพรรณ ล่ำซำ’ ของ คุณนวลพรรณ ล่ำซำ หรือ ‘มาดามแป้ง’ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ประธานสโมสรฟุตบอลการท่าเรือในไทยลีก ได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นการทำงานร่วมกับเหล่าคน Gen Z โดยระบุว่า…

“#MuangThaiNewsUpdate

‘Resume Builder’ สำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการมากกว่า 1,300 คน พบว่า 74% เชื่อว่า Gen Z ทำงานร่วมกันได้ยากกว่าคนรุ่นอื่นๆ ซึ่ง 12% ของผู้จัดการต้องไล่พนักงาน Gen Z ออก ตั้งแต่ภายในสัปดาห์แรก เพราะคิดว่าคน Gen Z ขาดความพยายาม และอ่อนไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์

#ทีมแอดมินมาดามแป้ง
#MuangThaiNews”

‘ก้อย รัชวิน’ แชะภาพคู่ ‘ตูน บอดี้สแลม’ ในชุดคนไข้เป็นที่ระลึก สุดดีใจ!! สามีได้กลับบ้านแล้ว หลังผ่าตัดกระดูกต้นคอผ่านไปด้วยดี

(25 ส.ค. 66) เรียกว่าเป็นโมเมนต์น่ารักของคู่สามี ภรรยาคนบันเทิงที่เห็นแล้วต้องอมยิ้มตามไปด้วย สำหรับ ‘ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ’ กับ ‘ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย’ หรือ ‘ตูน บอดี้สแลม’ ที่ขณะนี้คุณพ่อตูนต้องเข้ารับการผ่าตัดกระดูกต้นคอ ส่งผลให้ว่าที่คุณแม่ ‘ก้อย รัชวิน’ ต้องมาคอยดูแลเฝ้าให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด

ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้เผยภาพน่ารักๆผ่านอินสตราแกรมส่วนตัวสวมชุดคนไข้ พร้อมแคปชันบอกว่าวันนี้คุณสามีจะได้กลับบ้านแล้วว่า…

“แม่ไม่ได้ป่วยยยย แค่มานอนเฝ้าพ่อๆ แล้วลืมหยิบชุดนอนมาจ่ะ555555555🥹🤣 ขอถ่ายรูปเป็นที่ระทึกหน่อย วันนี้จะได้กลับบ้านไปนอนกอดกัน 4 คนแย้วว เย้ๆ #กำลังใจของพ่อๆ #KTTalay”

‘Darra Adam Khel’ เมืองเล็กๆ ในประเทศปากีสถาน ชุมชนแหล่งผลิต-จำหน่าย ‘อาวุธปืน’ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Darra Adam Khel แห่งช่องเขา Khyber 
เมืองวิสาหกิจชุมชนของแท้… ผลิตและจำหน่ายอาวุธปืน!!

จากข่าวของนักการเมืองคนหนึ่งถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อที่เอาชื่อจังหวัดมาตั้ง แล้วโฆษณาออกสื่อ* ว่า เป็นของดีประจำจังหวัด แต่เบียร์ดังกล่าวนั้นกลับไม่ได้ผลิตในจังหวัดนั้นแต่อย่างใด เพราะผู้จัดจำหน่ายไปจ้างบริษัทรับผลิต OEM เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผลิตในอีกจังหวัดหนึ่ง เบียร์ที่ว่า จึงไม่ใช่วิสาหกิจชุมชนของจังหวัดแต่อย่างใด เลยขอนำเสนอเรื่องราวของวิสาหกิจชุมชนแท้ ๆ ที่อยู่ในประเทศปากีสถานให้ผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป

*การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกสื่อเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

หากพูดถึงร้านค้า โรงงานผลิตอาวุธปืนและกระสุนแล้ว ผู้คนมากมายต่างพากันเข้าใจและนึกถึงแต่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ประชาชนครอบครองปืนได้อย่างเสรี และมีจำนวนปืนที่ประชาชนครอบครองมากที่สุดในโลก ซึ่งน่าจะมีร้านค้าและโรงงานผลิตอาวุธปืนมากที่สุดในโลกด้วย หรือไม่ว่าจะเป็นจีน และรัสเซีย ต่างก็เป็นประเทศผู้ผลิตอาวุธปืนรายใหญ่เช่นกัน หรือแม้กระทั่ง เยอรมนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ หรือตุรกี แต่เปล่าเลย ประเทศที่มีโรงงานผลิตอาวุธปืนมากรายที่สุดในโลก กลับกลายเป็นประเทศปากีสถาน ประเทศมุสลิมในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า ‘Darra Adam Khel’ อยู่ระหว่าง Kohat และ Peshawar ในเขต Kohat Khyber Pakhtunkhwa ของประเทศปากีสถาน ใกล้ ๆ ชายแดนประเทศอัฟกานิสถาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ แต่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Federally Administered Tribal Areas’ (FATA) เมืองที่มีพลเมืองไม่ถึงหนึ่งแสนคน แต่มีวิสาหกิจชุมชนและร้านขายปืนมากถึงสองพันแห่ง มีช่างทำปืนราว 25,000 คน (ราวหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งเมือง) จึงน่าจะเป็นเมืองที่มีโรงงานและร้านขายปืนมากที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของตลาดอาวุธปืนที่มีอายุกว่า 150 ปีอีกด้วย

เมือง Darra Adam Khel ประกอบด้วยถนนสายหลักสายหนึ่งที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าหลายแห่ง ในขณะที่ตรอกซอยและถนนด้านข้างมีโรงงานผลิตอาวุธปืนอยู่มากมาย มีการผลิตอาวุธปืนหลากหลายประเภทในเมือง ตั้งแต่ปืนต่อสู้อากาศยานไปจนถึงปืนปากกา รวมไปถีงกระสุนปืน อาวุธปืนทำมือโดยช่างฝีมือแต่ละคนที่ใช้เทคนิคการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งมักจะตกทอดจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก มีการทดสอบอาวุธปืนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการยิงเข้าบังเกอร์ทรายข้างโรงงานหรือยิงขึ้นฟ้า

เมืองนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนอัฟกานิสถาน และอยู่ไม่ห่างจากทางหลวงที่มุ่งสู่กรุง Islamabad เมืองหลวงของประเทศ และอยู่ห่างออกมาประมาณ 20 นาทีจากเมือง Peshawar ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของภูมิภาคนี้ สันเขาที่อยู่ใกล้เคียงเป็นจุดเริ่มต้นของพื้นที่ชนเผ่ากึ่งปกครองตนเองของประเทศ ซึ่งกลุ่มนักรบที่อาศัยอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ Pashtuns หรือ บ้านเราเรียกว่า ‘Pathans’ นับตั้งแต่ความพยายามของกองทัพในการจัดระเบียบเมืองใหม่ในยุค 2000 ชาว Darra Adam Khel ที่ถูกหมายหัวหลายคนได้พาไปกันอพยพไปอยู่ตามเทือกเขาต่าง ๆ แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้ยังคงเป็นอาวุธปืนและกระสุนปืน

ภาพวาดเหตุการณ์สังหารหมู่ในเมือง Amritsar

เรื่องราวความเป็นมาของการเป็นเมืองที่มีร้านค้าและโรงงานผลิตอาวุธปืนมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเกิดจากนักสู้ชาว Pashtuns ผู้หนึ่งที่ชื่อว่า ‘Ajab Khan Afridi’ ซึ่งอาศัยอยู่ในเขต Frontier Tribal (เขต Kohat Khyber Pakhtunkhwa ในปัจจุบัน) ของชนเผ่า Afridi ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ Pashtuns ในยุคที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ และยังไม่แบ่งแยกกันระหว่างอินเดียและปากีสถาน หลังจากการสังหารหมู่ในเมือง Amritsar อันเนื่องมาจากการที่ชาวอินเดียนับหมื่นคนชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของรัฐบาลอินเดียภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ กองทหารอังกฤษ-อินเดีย (British Indian Army) จึงทำการล้อมยิงผู้ประท้วงดังกล่าว ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) ทำให้ชาวอินเดียเสียชีวิตไปจำนวนมาก โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ยืนยันชัดเจน (ประมาณ 379 จนถึง 1,500 คน) สร้างความโกรธแค้นให้ชาวอินเดียเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผู้คน อีกทั้งความเกลียดชังต่ออังกฤษก็เพิ่มสูงขึ้น ยาวนานต่อเนื่องหลายสิบปีต่อมาจนกระทั่งอินเดียและปากีสถานได้รับเอกราช

Ajab Khan Afridi

เหตุการณ์สังหารหมู่ในเมือง Amritsar ทำให้กลุ่มต่อต้านอังกฤษกลุ่มเล็ก ๆ จากเผ่า Afridi, Shinwari และ Mohmand เกิดขึ้น ต่อมามีการ บุกเข้าไปในคลังอาวุธของหน่วยทหารม้าของกองทหารอังกฤษ-อินเดียที่ประจำอยู่ในเขต Kohat แล้วขโมยปืนยาวไปราว 100 กระบอก กลุ่ม Afridi ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปฏิบัติการ ทำให้ Ajab Khan ผู้นำกลุ่ม ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์นี้ ดังนั้น หมู่บ้านของเขาจึงถูกปิดล้อมโดยกำลังทหารและตำรวจของอังกฤษ แต่ Ajab Khan ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกในกลุ่มของเขาบางคนพยายามหลบหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง ผู้บัญชาการกองกำลังจึงสั่งให้ทำการตรวจค้นผู้อยู่อาศัยทั้งหมด รวมทั้งผู้หญิงด้วย แต่ก็ไม่พบร่องรอยของปืนที่ถูกขโมย การตรวจค้นผู้หญิงถือเป็นการละเมิด ‘Purdah’ (ความเคารพ) และถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างยิ่ง

อนุสาวรีย์ Ajab Khan Afrid ในเมือง Darra Adam Khel

Ajab Khan ซึ่งต้องการแก้แค้น จึงร่วมกับพรรคพวกได้บุกเข้าไปในค่าย Kohat เข้าไปในบ้านของพันตรี Ellis แต่เขาไม่อยู่ และภรรยาของพันตรี Ellis ขัดขืนจึงถูกแทงเสียชีวิต และได้ลักพาตัว Molly ลูกสาวของพันตรี Ellis ไป ต่อมา Molly ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ Ajab Khan และพรรคพวกยังได้ต่อสู้กับกองทหารอังกฤษ-อินเดียอีกหลายครั้ง และหลบหนีไปอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) Ajab Khan Afridi ได้เสียชีวิตลง ขณะอายุ 95 ปี ในเมือง Mazar-i-Sharif ในจังหวัด Balkh ของอัฟกานิสถาน และเป็นตำนานชีวิตของวีรบุรุษนักสู้ชาว Pashtuns แห่งเมือง Darra Adam Khel นับแต่นั้นเป็นต้นมา

โดยที่เมือง Darra Adam Khel อยู่ในภูมิภาคซึ่งยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนเผ่าท้องถิ่น ทำให้เมืองนี้มีกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับอาวุธปืน เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนที่เหลือของประเทศปากีสถาน ประชากรส่วนใหญ่ที่นี่ทำหรือขายสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ‘อาวุธปืน’ ในขณะที่ธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของชาวเมืองนี้คือ ‘การขนส่ง’ ไม่ว่าลูกค้าต้องการอาวุธปืนเลียนแบบ Beretta หรือ ปืนยิงเร็ว AK-47 ที่มีการ ‘รับประกัน’ ว่าใช้งานได้ดีเหมือนของแท้ แต่จำหน่ายในราคาเพียงเศษเสี้ยว ไม่ต้องมองหาอาวุธปืนราคาถูกคุณภาพดีจากที่ไหนเลย นอกจากเมือง Darra Adam Khel ซึ่งอยู่ใกล้กับอัฟกานิสถาน ประเทศที่มีความขัดแย้งรุนแรง และมีการใช้อาวุธปืนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ที่นี่ ในเมือง Darra Adam Khel จะสามารถพบกับอาวุธปืนของแท้ ควบคู่ไปกับอาวุธปืนที่ผลิตเลียนแบบเกือบทุกอย่างที่นักรบอิสระอาจต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Kalashnikovs (AK-47), M16, Glock ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ในราคาถูกมาก ในยุครุ่งเรือง เมือง Darra Adam Khel เป็นที่หลบภัยของคนเร่ร่อน พ่อค้ายา และผู้ลี้ภัยต่าง ๆ โดยตำรวจปากีสถานไม่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่นี้ได้ กระทั่งมีการปราบปรามโดยกองทัพปากีสถาน จึงทำให้ธุรกิจอาวุธปืนซบเซาลง แต่บรรดาพ่อค้าที่นั่นยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด ‘Azmatullah Orakzai’ เจ้าของร้านวัย 31 ปี กล่าวกับนักข่าวว่า “ผู้คนมักต้องการปืน”

ปืนไรเฟิลอัตโนมัติ M16 ‘Darra copy’ เลียนแบบและผลิตในเมือง Darra Adam Khel

ปืนไรเฟิลอัตโนมัติ M16 ซึ่งไม่ใช่ปืนดั้งเดิมของอเมริกา แต่เป็นของเลียนแบบจากจีน จะมีราคา 180,000 ถึง 230,000 รูปี ($1,800 ถึง $2,300) แต่ที่เลียนแบบและผลิตในท้องถิ่นเรียกว่า ‘Darra copy’ จะมีราคาเพียง 30,000 ถึง 80,000 รูปี ($300 ถึง $800) เท่านั้น

อาวุธปืน Glock ‘Darra copy’ ที่ทำเลียนแบบ ‘โครงปืน’ (Frame) เป็นพลาสติกใส

Orakzai กล่าวว่า “ปืนเลียนแบบ Glock ราคาเพียง 30,000 ถึง 35,000 รูปี” ปืนพกกึ่งอัตโนมัติของออสเตรียที่สามารถซื้อได้ในราคาต่ำกว่า $350

แล้ว ‘ปืน AK-47’ หรือ ‘Kalashnikov’ ตัวโปรดของกองโจรทั่วโลกล่ะ? Orakzai บอกว่าของแท้จะมีราคา 80,000 ถึง 200,000 รูปี ($800 ถึง $2,000) เขานำปืน AK-47 ยุคโซเวียตออกมาแสดงอย่างภาคภูมิใจ ปืน AK-47 ปี ค.ศ. 1971 ของอดีตสหภาพโซเวียต 8 ปี ก่อนที่อัฟกานิสถานจะถูกกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตรุกราน เครื่องหมายบนปืนเป็นภาษารัสเซีย แต่ของเลียนแบบราคาเพียง 7,000 ถึง 25,000 รูปี ($70 ถึง $250) เทียบกับเคบับแพะหนึ่งกิโลกรัม ซึ่งเป็นอาหารกลางวันสำหรับ 4 คนในราคา $20

โรงงานผลิตปืนแห่งหนึ่งในจำนวนหลายร้อยหรืออาจจะเป็นพันแห่งในเมือง Darra Adam Khel

การใช้เลเซอร์ในการเขียนตัวอักษรและแกะลายบนอาวุธปืน

การผลิตกระสุนปืนในเมือง Darra Adam Khel

ส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมอาวุธปืนของเมือง Darra Adam Khel ยังคงดำรงคงอยู่ได้ เพราะความขัดแย้งที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในประเทศอัฟกานิสถาน อาวุธปืนเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ขายเป็นประจำและขายเป็นจำนวนมากให้กับ ‘มูจาฮิดีน’(ขบวนการประชาชนมุญาฮิดีนอิหร่าน หรือ กองกำลังเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติอิหร่าน) ในอัฟกานิสถาน ช่วงสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน (พ.ศ. 2522-2532) ทุกวันนี้ ความต้องการก็ยังคงมีอยู่และดำเนินต่อไป พร้อมกับการถือกำเนิดของการผลิตอาวุธปืนที่ทันสมัยมากขึ้น การนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามา อาทิ การใช้เลเซอร์ในการเขียนและแกะลายอาวุธปืน ตลอดจนการผลิตกระสุนปืนอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วอาวุธปืนและกระสุนปืนของกองกำลังสหรัฐฯ และ NATO ที่เคยประจำอยู่ในอัฟกานิสถานที่ถูกทิ้งไว้มากมายมหาศาลก็ถูกลักลอบนำออกมาจำหน่ายในปากีสถาน ซึ่งรวมถึงเมืองแห่งนี้ด้วย เพราะรัฐบาลตาลีบันของอัฟกานิสถานห้ามประชาชนชานอัฟกันครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนที่กองกำลังสหรัฐฯ และ NATO ทิ้งไว้ ด้วยถือว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนเหล่านั้นเป็นสมบัติของรัฐบาลโดยปริยาย

อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด 12 (ลูกซอง) นัดเดียวบรรจุเดี่ยว

สำหรับบ้านเราแล้ว ฝ่ายที่คัดค้านหรือเห็นต่าง ซึ่งเป็นบรรดาผู้ที่ไม่ชอบอาวุธปืนก็จะให้เหตุผลว่า เรื่องของอาวุธปืนเป็นเรื่องไม่ดี เพราะอาวุธปืนถูกนำไปใช้เข่นฆ่าเพื่อคร่าชีวิต ทำร้ายผู้คน แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยก็ให้เหตุผลว่า ปืนก็เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกนี้ ตัวอย่างเช่น มีดเล่มหนึ่ง… ถ้านำไปใช้งานต่าง ๆ เพื่อการทำอาหาร หรือทำประโยชน์อื่น ๆ ก็ไม่ได้มีพิษภัยอันตรายแต่อย่างใด แต่เมื่อใดที่มีดเล่มนั้นถูกนำไปใช้ทำร้ายผู้คน เมื่อนั้นมีดเล่มเดียวกันนี้เอง ก็กลายเป็นอาวุธร้ายไป เช่นเดียวกับอาวุธปืน ซึ่งถูกผลิตออกมาโดยความมุ่งหมายเพื่อให้สุจริตชนเอาไว้ใช้ป้องกันชีวิต และทรัพย์สินจากภยันตรายต่าง ๆ รวมไปถึงใช้ในการป้องกันชาติบ้านเมืองจากอริราชศัตรู ซึ่งถือว่ามีคุณประโยชน์ เป็นเรื่องเชิงบวก หากแต่อาวุธปืนถูกทุจริตชนนำไปใช้ก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ก็กลายเป็นพิษภัยร้ายแรงต่อผู้คนและสังคมไปได้

วังบูรพาแหล่งรวมร้านค้าอาวุธปืนของไทย

ทุกวันนี้การครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกต้องตามกฎหมายในบ้านเราต้องขออนุญาตซื้อ (ป.3) และครอบครอง (ป.4) จากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ไม่สามารถพกพานำติดตัวโดยไม่มีเหตุอันควรได้ ซึ่งการพกพาต้องมีใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีแต่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเท่านั้น ที่จะมีสิทธิพกพาอาวุธปืนในขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ อีกทั้งอาวุธปืนที่ขายในประเทศทุกวันนี้ก็มีราคาแพงมาก ๆ ราคาขายปลีกอาวุธปืนในไทยสูงกว่าราคาขายปลีกอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกามากกว่า 5 เท่าขึ้นไป อันเนื่องมาจากการจำกัดโควตาการนำเข้าอาวุธปืนของร้านค้าอาวุธปืน ที่สามารถสั่งนำเข้าอาวุธปืนมาจำหน่ายใบอนุญาตร้านค้าละ 30 กระบอกสำหรับอาวุธปืนสั้น และ 50 กระบอกสำหรับอาวุธปืนยาว (รวมปืนลูกซอง) ต่อปี จึงทำให้อุปสงค์ของอาวุธปืนสูงกว่าอุปทานมาก จนส่งผลให้ราคาของอาวุธปืนในบ้านเรามีราคาสูงมาก ๆ

ปืนเล็กกลแบบ 11 (Heckler & Koch HK33) ผลิตอาวุธปืนโดยกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบกไทย

ประเทศไทยมีการผลิตอาวุธปืนโดยกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบกไทย โดยได้ซื้อสิทธิบัตรเพื่อนำมาผลิตเอง โดยผลิตปืนเล็กกลแบบ 11 (Heckler & Koch HK33) เอง และเคยผลิตปืนพกทั้งจากการซื้อลิขสิทธิ์และเลียนแบบ แต่ยังมีอุตสาหกรรมเอกชนไทยผลิตอาวุธปืนได้สำเร็จในเชิงธุรกิจ เหมือนกับวิสาหกิจชุมชนของเมือง Darra Adam Khel ประเทศปากีสถานเลย หากพิจารณาจากกรณีวิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนของปากีสถานแล้ว การผลิตอาวุธปืนไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นสำหรับวงการอุตสาหกรรมของบ้านเราแต่อย่างใด เพียงแต่ยังขาดความเข้าใจและการสนับสนุนในการเข้าถึงโอกาส สำหรับอุตสาหกรรมประเภทนี้ของประเทศไทยเท่านั้นเอง

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งในการที่ทางการปากีสถานยังปล่อยให้วิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนของเมือง Darra Adam Khel ดำรงคงอยู่ก็คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอินเดีย ซึ่งยังมีอยู่เป็นระยะ ๆ การมีวิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนในประเทศนั้น ถือเป็นการเสริมสร้าง "ศักย์สงคราม" หรือความสามารถในการทำสงครามของปากีสถานไปโดยปริยาย ปากีสถานซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่าอินเดีย 5 เท่า กองทัพจึงมีขนาดเล็กกว่าไปด้วย แต่กองทัพปากีสถานก็มีความพร้อมบวกกับกองทัพอินเดียโดยตลอด วิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนของเมือง Darra Adam Khel จึงมีทั้งคุณและโทษ โดยที่คุณค่าที่มีนั้นยังคงจำเป็นต่อความมั่นคงของปากีสถานทำให้วิสาหกิจดังกล่าวจึงดำรงคงอยู่ได้จนทุกวันนี้ และต่างจากบ้านเราที่ยังต้องสั่งนำเข้าทั้งอาวุธของกองทัพ ตำรวจ และพลเรือน

‘พิธา’ เผย โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ แล้ว ฝากกู้วิกฤตศรัทธา เป็นนายกฯ ของทุกคน

(25 ส.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือ โย ผู้สมัคร สส. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.ระยอง พร้อมทีมงาน ได้เดินทางโดยรถแห่หาเสียง ลงพื้นที่ ต.บ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับ ‘โย พงศธร’ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมา โดยมีชาวบ้านในพื้นที่แห่ต้อนรับ และ ขอถ่ายเซลฟี่ และ ขอลายเซ็น กับนายพิธา จำนวนมาก โดยไม่กลัวเปียกฝน

นายพิธา กล่าวว่า มาวันนี้ เพื่อมาพบปะกับพี่น้องประชาชน ขอคะแนนให้กับ ‘โย พงศธ’  รับรองจะไม่ผิดหวัง ส่วนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้โทรศัพท์แสดงความยินดี และ ยืนยัน คือ ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ก็ต้องยืนยันว่า วิกฤติของบ้านเมืองครั้งนี้ อาจไม่ใช้วิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ใช่วิกฤตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและวิกฤตการศึกษา แต่เป็นวิกฤตศรัทธาของประชาชนในชาติ ในฐานะผู้นำจึงต้องรวมความคิดของคนในชาติให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน โดยได้ยินว่า นายเศรษฐา เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะเป็นนายกฯ ของประชาชน ก็ขออวยพรให้ทำได้ และทำได้จริงๆ

ส่วนเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล นายพิธา กล่าวว่า จากการจับขั้วหลายขั้วของพรรคการเมือง คิดว่าการทำงานน่าจะยากเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ได้เคยพูดคุยกับคุณเศรษฐา ทวีสิน ในเวทีดีเบต พูดถึงการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า โดยหวังว่าจะผลักดันได้จริง ๆ หรือไม่ ยังหวังว่า วิกฤตที่ประเทศ ได้รับผลกระทบจะได้รับการแก้ไข และก็จะได้กู้วิกฤตศรัทธากลับมาสู่การเมืองไทย

นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า ถึงจะเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นฝ่ายค้านเชิงรุกที่ยังมีหลายนโยบายที่สามารถผลักดันได้เพื่อให้ผลประโยชน์อยู่กับประชาชน ยืนยันว่าการทำงานเป็นฝ่ายค้าน คอยตรวจสอบเพื่อให้รัฐบาลทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และปราบการคอร์รัปชันให้ได้มากที่สุด กรณีที่มีการจดพรรคการเมืองในชื่อ พรรคอนาคตไกล ไม่รู้จัก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล เพิ่งได้ยินจากสื่อเช่นกัน

‘แม่หญิงลี’ ประกาศขายเพจ VEEN หลังไม่มีคนจ้างงาน ด้าน ‘แพรรี่’ เผย เสียดายแทน อยากให้ลองคิดดูใหม่

โซเชียลฯ แห่ให้กำลังใจหลังพบ ประกาศขายเพจ VEEN ของ ‘แม่หญิงลี’ และ ‘อีทิพย์’ เผยเหตุผลไม่มีคนจ้างงาน ด้าน ‘แพรรี่’ เผยเสียดายอยากให้ลองคิดใหม่ ล่าสุด ในเพจ VEEN ไม่พบโพสต์การขายเพจของ VEEN แล้ว

(25 ส.ค. 66) เพจ ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ หรือ ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ อดีตพระเทศน์ชื่อดัง ได้โพสต์ภาพ ของเพจ VEEN เพจชื่อดังที่เขียนประกาศขายเพจเอาไว้ว่า…

“ประกาศขายเพจ VEEN สนใจทักมาค่ะ”

โดยระบุข้อความว่า “เมืองทิพย์จะสิ้นแล้วจริงๆ หรอ เสียดายแทนมากๆ เลยนะคะ อันนี้พูดแบบจริงใจ ในฐานะของคนที่ติดตามมาตลอด ลองทบทวนดูใหม่ไหมคะ จับมือกันสร้างคอนเทนต์ ขายขำ ขายความน่ารัก ขายความเป็นคนบ้านๆ ขายความเป็นเมืองทิพย์ และขายของจริงๆ เพื่อสร้างรายได้ไปพร้อมๆ กัน สร้างเสียงหัวเราะสร้างความสุขให้กับแฟนคลับที่ติดตาม ลองคิดใหม่ให้ดีๆ ไหมคะ”

ล่าสุด เมื่อเข้าไปในเพจ VEEN ไม่พบโพสต์การขายเพจของ VEEN แล้ว

อย่างไรก็ตาม เพจ ‘VEEN’ นั่นมียอดผู้ติดตามสูงถึง 1.4 ล้านคน พบว่า 1 ในผู้ก่อตั้ง VEEN โดยแม่หญิงลี ได้ออกมาเผยเหตุผลโดยระบุข้อความว่า “ขายเพจวีนแล้วนะคะทุกคน เพราะพี่ไม่มีงานเลยค่ะ”

ซึ่งพบว่าเพจ VEEN ดังมาจากที่ ‘แม่หญิงลี’ เน็ตไอดอลชื่อดัง หรือ ‘บุหงาวลัย คงขวัญ’ ชื่อเล่น ‘ชาติ’ นับถือศาสนาพุทธ เป็นชาวอำเภอ แม่ลาน จังหวัดปัตตานี และผู้ช่วยชื่อ ‘เป้-เมญ่า ลินดา’ หรือแฟนคลับรู้จักกันในชื่อ ‘อีทิพย์’ เป็นชาวปัตตานีเช่นกัน และคอนเทนต์ที่ทำให้เป็นที่จดจำคือ การเกาะกระแสละครเรื่องเพลิงพระนาง ที่มี ‘อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ’ แสดงนำ

โดยแม่หญิงลีเรียกตนเองว่า “พระมหาเทวีเจ้า” จนโด่งดังมีผู้ติดตามมากมาย จนมีประโยคดัง อาทิ “เจ๊อย่าวีน” และ “กูจะบ้าตายรายวัน”

เมื่อพายุแห่งความขัดแย้งโหมกระหน่ำ ‘ประชาธิปัตย์’ ‘นายกฯ ชาย’ หรือ ‘นายกฯ ชวน’ ใครจะอยู่ ใครจะไป?

(25 ส.ค. 66) ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ แปลความได้ว่า “วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย” เป็นคำที่ ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ สส.สงขลา เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ยกขึ้นมากล่าวอ้างกับสถานการณ์ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้

สรรเพชญ เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เลือดใหม่ของประชาธิปัตย์ ที่ได้รับเลือกเป็น สส.สมัยแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา สรรเพชญ เป็นทายาททางการเมืองของ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลือดใหม่อย่าง ‘สรรเพชญ’ ถือว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” และน่าจะมีพ่อเป็นเทรนเนอร์ที่ดี

3 เดือนที่ผ่านมา ได้เห็นบทบาทของสรรเพชญ ‘ทำหน้าที่ที่ได้รับที’ ในสภาฯ ได้เห็นการอภิปรายสะท้อนปัญหา ปรึกษาหารือในหลายประเด็น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากสี่แยกเกาะยอ การตั้งคำถามเรื่องการก่อสร้างอาคารหอยสังข์ที่คาราคาซังมาเป็นสิบปี

ในพื้นที่ก็เกาะติดมาตลอด 3 เดือน เสร็จภารกิจในสภาฯ ก็เดินหน้างานในพื้นที่ ประเดิมด้วยการเดินสายเจอกงสุลของแต่ละประเทศ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน กล่าวได้ว่า เลือดใหม่ประชาธิปัตย์ ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ คือ ‘ดาวฤกษ์’ คนหนึ่งที่น่าติดตามผลงาน

ส่วน ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ หรือ ‘วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย’ เป็น ‘พุทธสุภาษิต’ ที่ติดอยู่กับโลโก้ประชาธิปัตย์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรค ตั้งแต่ยุค ‘ควง อภัยวงศ์’ ผู้ก่อตั้งพรรค และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก และถือเป็นพุทธสุภาษิตที่ชาวประชาธิปัตย์ยึดถือปฏิบัติมายาวนาน

การที่สรรเพชญ ยก ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ ขึ้นมากล่าวอ้าง ในเวลานี้เหมือนต้องการจะสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ มีใครบางคน บางกลุ่มก้อนไม่รักษา ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ กลับไปกลับมา

สถานการณ์ในประชาธิปัตย์ขัดแย้งชัดเจน ระหว่างขั้วของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ รักษาการเลขาธิการ ที่ประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว หลังนำพาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ยับเยินในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยมี ‘นายกฯ ชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ และ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ เป็นแนวร่วมขับเคลื่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่โหวตเห็นชอบให้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่มนี้จะมี สส.อยู่ในมือ 16 คน ต่อไปนี้จะเรียกว่า ‘กลุ่ม 16’

กลุ่มของชวน หลีกภัย เป็นกลุ่มที่ไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย มี ‘บัญญัติ บรรทัดฐาน-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-นิพนธ์ บุญญามณี’ เป็นแนวร่วม โดย ชวน-บัญญัติ โหวตไม่เห็นชอบ จุรินทร์โหวตงดออกเสียง และมีสรรเพชญ ที่งดออกเสียงด้วย

กลุ่มของเฉลิมชัยมีความพยายามสูงยิ่งในการขอเข้าร่วมรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เทียบเชิญ กลุ่มของเฉลิมชัยถึงขั้นส่งตัวแทนไปพบ ‘ทักษิณ’ ถึงฮ่องกง แต่ได้รับการปฏิเสธ แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนโหวตเพียงไม่กี่นาที ยังมีการพูดคุย-ต่อรอง กลุ่มจะโหวตให้ ไม่ได้ร่วมรัฐบาลก็ไม่เป็นไร แต่จะเป็นอะไหล่ให้ เผื่อพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคงอแง สุดท้ายกลุ่ม 16 ก็พากันโหวตเห็นชอบให้เศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีในนาทีสุดท้ายของการโหวต

ส่วนกลุ่มของชวน หลีกภัย ไม่ประสงค์จะนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาล แต่ต้องการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มข้น เป็นฝ่ายค้านที่มีบทบาทในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างจริงจัง พร้อมสนับสนุน ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค รับบทบาทหนักในการฟื้นฟูพรรคอย่างทุ่มเท ซึ่งถ้าหันซ้ายมองขวาก็ยังหาใครเหนือกว่าอภิสิทธิ์ไม่มี แต่กลุ่มเฉลิมชัยก็เฟ้นหาคนลงแข่ง ก็ไปคว้า ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ มาลงแข่ง หลังจากเข็น ‘ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ ไม่ขึ้น

ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ก่อตัวขึ้นในการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทน ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ ที่รับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้ง จึงลาออกไป เมื่อสองขั้วเชียร์คนละคนกัน และเป้าหมายต่างกันชัดเจน

เกมล้มประชุมถูกกำหนดขึ้น เมื่อมีการประเมินว่าฝ่ายของตัวเองยังไม่มีโอกาสชนะ จากการคุมเสียงของโหวตเตอร์ยังไม่พอ จากจุดอ่อนของข้อบังคับพรรคที่ให้น้ำหนักกับ สส.ปัจจุบันถึง 70% ส่วนโหวตเตอร์อื่นๆ มีน้ำหนักเพียง 30% ในขณะที่กลุ่มของเฉลิมชัย กุมเสียง สส.อยู่มากกว่า 16 คน แต่กลุ่มของนายชวนจะกุมเสียงสาขา ตัวแทนจังหวัด และอื่นๆ ซึ่งมีน้ำหนักแค่ 30% โหวตอย่างไรกลุ่มของนายชวนก็แพ้

การประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ล้มลงแล้วถึงสองครั้ง ซึ่งในการจัดประชุมแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณ 3 ล้านบาท สองครั้งก็ 6 ล้านบาทเข้าไปแล้ว

ปัญหาในพรรคประชาธิปัตย์มาแตกหักเมื่อมีการประชุม สส.เพื่อกำหนดท่าทีในการโหวต มีแค่ 3 แนวทางคือ ‘เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง’ แต่เมื่อพรรควางตัวเป็นฝ่ายค้าน ‘เห็นชอบ’ จึงถูกยกไป มีการแลกเปลี่ยนกันว่าจะไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง เสียงส่วนใหญ่เห็นว่า ‘งดออกเสียง’ แต่ ‘ชวน-บัญญัติ’ ขออนุญาตต่อที่ประชุมว่าจะขอโหวต ‘ไม่เห็นชอบ’

รองโฆษกพรรคแถลงข่าวชัดเจนว่า มติเสียงส่วนใหญ่ให้งดออกเสียง ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ ก็โพสต์ในเฟซบุ๊กในเวลาต่อมาว่า พรรคมีมติให้งดออกเสียง แต่เมื่อถึงเวลาโหวต มี สส.16 คน ยกมือเห็นชอบ 6 คน งดออเสียง และ 2 คน ไม่เห็นชอบ

เดชอิศม์ ขาวทอง นำทีม 16 สส.แถลงข่าวในวันต่อมา เหมือนกับว่าพรรคไม่ได้มีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อใกล้เวลาโหวต สส.ในกลุ่มก็มานั่งคุยกัน และเห็นร่วมกันว่าจะยกมือเห็นชอบ โดยไม่หวั่นเกรงต่อการถูกขับออกจากพรรค ถ้าถูกตั้งกรรมการสอบ เดชอิศม์ไม่หวั่นเกรง เพราะมีเสียง สส.อยู่ในมือจำนวนมาก กับเสียงที่ต้องใช้ในการขับสมาชิกออกจากพรรค 3/4 น่าจะเพียงพอ แถมตั้งเป็นปุจฉาไว้ด้วยว่า “ไม่รู้ว่าใครจะขับใคร”

“ไม่รู้ว่าใครจะขับใคร” เป็นหอกที่แหลมคมพุ่งไปยัง ‘ชวน หลีกภัย’ ตรงๆ เลย เพราะชวนเป็นคนออกมาตอกย้ำว่า นายกฯ ชายเป็นคนพูดเองว่า “ใครไม่ปฏิบัติตามมติพรรค ก็ต้องลาออกไป”

ถึงเวลานี้ไม่รู้ว่า กลุ่มนายกฯ ชาย หรือกลุ่มนายกฯ ชวนต้องลาออกไป แต่ที่สำคัญสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ‘สัจจัง เว อมตวาจา : วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย’

‘ตร.’ ทลาย ‘แก๊ง Romance Scam’ รวบหนุ่มไนจีเรียพร้อมพวกชาวไทย ใช้วิธีตีสนิทผ่านโซเชียล ก่อนตุ๋นเงินเหยื่อ พบเงินหมุนเวียนกว่า 800 ลบ.

(25 ส.ค. 66) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. และ พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ รอง ผกก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายแก๊ง ‘Romance Scam ลวงให้รักก่อนเชิดเงินหนี’ หลังนำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 14 จุด ทั่วประเทศ แบ่งเป็นในพื้นที่ กทม. 7 จุด, ปทุมธานี 1 จุด, พิษณุโลก 2 จุด, อุทัยธานี 1 จุด, อุตรดิตถ์ 1 จุด, กำแพงเพชร 1 จุด, พิจิตร 1 จุด

จากปฏิบัติการดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 14 คน แบ่งเป็น ผู้ต้องหาชาวไทย 13 ราย และผู้ต้องหาสัญชาติ ไนจีเรีย 1 ราย พร้อมของกลาง มือถือ จำนวน 21 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 20 เล่ม, บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 18 ใบ, สมุดกองทุนรวมธนาคาร 1 เล่ม, คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง, เอกสารโอนเงินไปต่างประเทศ จำนวน 5 ชุด, ซิมการ์ดโทรศัพท์ 1 อัน, เมมโมรี่กล้อง 3 ตัว และกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ ‘Chanel’ จำนวน 2 ใบ

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อต้นปี 2565 ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายรายหนึ่งว่า ถูกกลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาทำทีตีสนิทผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้โปรไฟล์เป็นรูปภาพหญิงต่างชาติหน้าตาดี อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสาวชาวอเมริกัน กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศซีเรีย เมื่อพูดคุยกันจนสนิทสนม

มิจฉาชีพกลุ่มนี้ก็เริ่มออกอุบายว่า กำลังจะเดินทางมาประเทศไทย เหตุเพราะประทับใจและตกหลุมรักในตัวผู้เสียหายมาก พร้อมอ้างว่าได้ส่งพัสดุภายในเป็นทรัพย์สินมีค่ามาให้ แต่ติดปัญหาไม่สามารถนำออกจากสนามบินได้จึงอยากให้ผู้เสียหายช่วยจ่ายเงินค่าภาษีให้ก่อนแล้วจะคืนเงินให้ภายหลัง

พ.ต.อ.พรศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายเริ่มหลงเชื่อคล้อยตาม กลุ่มคนร้ายก็จะให้ผู้ร่วมขบวนการที่เป็นคนไทย ทำทีโทรศัพท์ติดต่อมายังผู้เสียหายก่อนอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สนามบิน ก่อนหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน ให้อ้างเป็นค่าดำเนินการต่างๆ เพื่อที่จะสามารถนำกล่องพัสดุออกจากสนามบินได้ จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ไปจำนวนหลายครั้งรวมเป็นเงินกว่าล้านบาท เมื่อเห็นว่าได้ยอดเงินตามที่ต้องการแล้ว คนร้ายกลุ่มนี้ก็จะเริ่มออกลาย ตัดขาดการติดต่อแล้วเชิดเงินทั้งหมดหนีหายไปในที่สุด

ด้าน พ.ต.ท.อัครพล กล่าวว่า หลังรับเรื่องทางเจ้าหน้าที่จึงเร่งแกะรอยสืบหาเบาะแสจนพบว่า คนร้ายกลุ่มนี้ทำกันเป็นขบวนการ มีทั้งคนไทยและชาวไนจีเรีย โดยเฉพาะ นายอูโซซูกะวู หรือ ‘Mr.Ezeneche Uzochukwu Jerome’ อายุ 45 ปี ชาวไนจีเรีย ซึ่งก่อนหน้าตั้งแต่ปี 2561 เคยถูกจับในคดีลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข็ดหลาบ กลับมาก่อเหตุซ้ำซากหลายครั้ง

อีกทั้งจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินยังพบว่าเมื่อได้เงินจากผู้เสียหายแล้วกลุ่มคนร้ายจะรีบโอนออกไปยังบัญชีธนาคารต่างประเทศโดยทันที เฉพาะตั้งแต่ปี 2561 – 2564 พบมีเงินหมุนเวียนออกไปยังบัญชีในต่างประเทศรวมกว่า 800 ล้านบาท

“เมื่อมีหลักฐานการกระทำผิดที่แน่ชัดแล้วนั้น จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและนำมาสู่การตามจับกุมตัวนายอูโซซูกะวู พร้อมผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆอีก 13 ราย ได้ดังกล่าว” พ.ต.ท.อัครพล กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า จากการสอบปากคำหนึ่งในผู้ต้องหา ซึ่งทำหน้าที่ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายนั้น ให้การรับว่าขณะนั้นถูกว่าจ้างมาจากแฟนหนุ่มชาวไนจีเรีย ซึ่งเจอกันที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่ปัจจุบันไม่ได้คบหากันแล้ว โดยได้รับส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์จากการหลอกลวงดังกล่าว

อ้างสาเหตุที่ต้องทำ เพราะช่วงนั้นไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ซึ่งหลังจากนี้ จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘สมยศ พลายด้วง’ 1 ใน 6 ‘งดออกเสียง’ เลือกเศรษฐานั่งนายกฯ ชาวสงขลาแห่ชื่นชม ‘อุดมการณ์มั่นคง-ยึดถือมติพรรคเป็นหลัก’

‘สมยศ พลายด้วง’ สส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ เป็น 1 ใน 6 ที่โหวต ‘งดออกเสียง’ ตามมติพรรคในการรับรอง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นนายกรัฐมนตรี 

หากไล่เรียงดูการลงมติของ สส.พรรคประชาธิปัตย์นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 

ลงคะแนน ‘ไม่เห็นชอบ’

1.นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ
2.นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ

ลงคะแนน ‘งดออกเสียง’ ตามมติพรรค

1.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ 
2.นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา 
3.นายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์
4.นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง
5.นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง 
6.นายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา  

สำหรับ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงมติเห็นชอบ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี รวม 16 คน ประกอบด้วย

1.นายกาญจน์ ตั้งปอง
2.นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์
3.นายชัยชนะ เดชเดโช
4.นายชาตรี หล้าพรหม

5.นายเดชอิศม์ ขาวทอง
6.นายทรงศักดิ์ มุสิกอง
7.นายพิทักษ์เดช เดชเดโช
8.ว่าที่ร้อยโทยุทธการ รัตนมาศ
9.นายยูนัยดี วาบา
10.นายวุฒิพงษ์ นามบุตร

11.นายศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง
12.นายสมบัติ ยะสินธุ์
13.นางสุพัชรี ธรรมเพชร
14.นางสาวสุภาพร กำเนิดผล
15.พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่
16.นางอวยพรศรี เชาวลิต

และล่าสุด นายสมยศ พลายด้วง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “กระผมสมยศ พลายด้วง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ‘งดออกเสียง’

ผมยึดมั่นมติพรรคเป็นหลักครับ ผมเชื่อมั่นและเคารพในอุดมการณ์ของพรรคอย่างแน่วแน่ในการโหวตครั้งนี้ ไม่ว่าคนในพรรคจะโหวตอะไร แต่ตัวผมเองยังยึดถือในการประชุมพรรคที่ผ่านมา เพราะนี้เป็นการเมืองระดับประเทศ พี่น้องชาวเขต 3 และประชาชนทั่วประเทศเขาเห็นด้วย”

เมื่อเข้าไปตรวจเช็กการแสดงความคิดเห็นพบว่า มีคนชาวสงขลาเข้าไปแสดงความคิดเห็นเชิงชื่นชมอยู่ไม่น้อย #นายหัวไทร ก็ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า ไลน์ของสมยศ พลายด้วง ก็มีคนชาวสงขลาส่งข้อความไปชื่นชมเป็นจำนวนมาก แต่มีเพื่อน สส.บางคนโทรศัพท์ไปขอให้ลบข้อความ และรูปภาพออกได้หรือไม่ แต่เจ้าตัวยันยืนยันในสิ่งที่ทำและเขียนไป

‘บอย ปกรณ์’ เผยสาเหตุบวชเงียบ ยัน!! ไม่ได้เตรียมเบียด พร้อมบอก อยากบวชมานานแล้วแต่ยังไม่มีจังหวะเฉยๆ

แฟนคลับร่วมอนุโมทนาบุญใหญ่กับพระเอกหนุ่ม ‘บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์’ ที่เข้าอุปสมบททดแทนบุญคุณพ่อแม่ไปก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้หลายคนสงสัยว่า จู่ๆ ทำไมเจ้าตัวถึงได้บวชเงียบๆ เรียบง่าย หรือมีสาเหตุอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจจนต้องไปพึ่งผ้าเหลืองหรือเปล่า

ล่าสุดวันนี้ (25 ส.ค. 66) ได้เจอกับพระเอกหนุ่มที่สึกออกมาได้สักพักใหญ่ ในงานประกาศรางวัล ‘ContentAsia Awards 2023’ เพื่อคัดเลือกผลงานคุณภาพมาตรฐานระดับเอเชียเผยแพร่สู่ตลาดโลก ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทลแบงค็อก (แกรนด์ฮอลล์)

ไปบวชมาเงียบมากๆ?

บอย : “ความจริงแล้วต้องบอกพี่ๆ สื่อว่าเราเกรงใจพี่ๆ ด้วยครับ ที่ไม่ได้ชวนไปเพราะเกรงใจ ผมชวนคนน้อยมากชวนเฉพาะคนใกล้ๆ ตัว ไม่กล้าเชิญใครเลย อันนี้พูดจริงๆ เราเกรงใจทุกๆ คนเลย ไม่ใช่แค่เฉพาะพี่ๆ สื่อ แต่คนที่รู้จักก็จะเชิญเฉพาะคนที่ใกล้ตัวจริงๆ เพราะงานมันเช้าด้วย และเราเป็นคนไม่ค่อยกล้าบอกเรื่องอะไรพวกนี้ เกรงใจ ก็ดีครับ ได้ไปบวชอยู่ 3 อาทิตย์ ก็ใช้คำว่าดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ”

ความตั้งใจคือยังไง?

บอย : “ความตั้งใจสำหรับผมเอง เราเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย เป็นคนไทย ครั้งหนึ่งเราก็ต้องบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ก็เรียกว่าเป็นจุดประสงค์หลักเลยที่ตั้งใจบวช ซึ่งผมตั้งใจมากสำหรับผมและครอบครัว แต่ความจริงก็คือต้องบวชมานานแล้ว แต่ยังหาจังหวะไม่ได้ ก็เพิ่งจะมีจังหวะนี้ที่ละครจบ จริงๆ ต้องบวชตั้งแต่ช่วงโควิดแล้ว เพราะตอนนั้นรอเรื่องสายลับลิปกลอสปิดนี่แหละ

ผมก็บอกกับทางช่องแล้วว่าหลังจากเรื่องนี้ผมขออนุญาตไปบวชก่อน แล้วก็มาเจอเรื่องโควิด ละครหยุดถ่าย มันก็ดีเลย์ไปอีก 1-2 ปี ก็เลยมาเป็นช่วงนี้ที่จังหวะพอดี ซึ่งก็ยากเหมือนกัน เพราะการเคลียร์งานนู่นนี่ ช่วง 3 อาทิตย์ที่หายไปมันไม่ยากหรอก แต่หลังจากที่ต้องรอผมยาวก็ยากตรงนี้ เพราะมันมีทั้งงานละครด้วย งานถ่ายโฆษณาอะไรก็ตามที่มันต้องใช้ทรงผม ก็ต้องวางแผนให้ดีครับ”

บอย ปกรณ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า “ความจริงผมรู้อยู่แล้วว่าอยากจะบวชให้แม่ เป็นสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว แต่หาจังหวะไม่ได้เลย เวลาถามเพื่อน เห็นหมาก (ปริญ) บวช เห็นเกรท (วรินทร) บวช ก็ยังถามว่าเคลียร์ยังไงเนี่ย เขาบอกก็เคลียร์ยากกว่าจะลงตัว จนถึงจุดที่เราพยายามจะเคลียร์ ความจริงผมบอกแม่ตั้งแต่ช่วงถ่ายเรื่องลิปกลอสจบประมาณสัก 2-3 ปีที่แล้ว

แม่ก็บอกว่า เออดีๆ บวชสักที เพราะตอนนั้นภัทรบวชไปแล้ว แต่หน่องยัง แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวกับที่หน่องบวชนะเพราะผมเองก็อยากบวชอยู่แล้ว ก็พยายามหาช่วงที่สามารถทำได้ ก็มาได้จังหวะตรงนี้ แม่เขาก็ดีใจอยู่แล้วครับ ก็เรียกว่าอิ่มบุญอิ่มใจ”

แม่บอกยังไงบ้าง หลังจากได้เห็นผ้าเหลืองของเรา?

บอย : “ผมก็สัมผัสได้ว่าแม่เขาดีใจแหละ มันคงเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจ ปลื้มปลิ่ม ก็ไม่ได้มีอะไรมาก อาจจะแค่โมเมนต์ที่ผมขอขมาแม่ บอกว่าถ้าผมเคยทำอะไรให้แม่ไม่สบายใจ แม่ก็บอกว่าเหมือนกัน คุณแม่ก็มีน้ำตาไหล แต่ผมเข้มแข็ง(ยิ้ม) ผมไม่เหมือนหน่องกับภัทรที่ไม่เข้มแข็ง(หัวเราะ) จริงๆ ก็ตั้งใจทำให้แม่กับคุณพ่อนั่นแหละ รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของลูกชายครับ”

บอกว่าดีกว่าที่คิด?

บอย : “ใช่ๆ คือถ้าพูดตรงๆ ก่อนที่จะมาบวชเราก็เป็นคนที่มีคำถามในหัวตลอด ว่าปกติแล้วทำไมคนเราที่มีชีวิตอยู่ทางโลกถึงมาบวช แล้วไปอยู่ทางธรรมนานๆ เป็นปี ที่ไม่ใช่มาบวชเหมือนผมช่วง 1 เดือน หรือคนที่เป็นพระวันๆ หนึ่งทำอะไรบ้าง นอกจากสวดมนต์ แต่พอได้มาอยู่ตรงนี้ก็ได้มาเจอพระพี่เลี้ยงที่เขาเป็นสายเคร่งมากๆ ดีมากๆ เลย

ผมก็ได้ซึมซับอะไรจากหลวงพี่ท่านนี้เยอะเลย ได้เห็นเลยว่าวันนึงพระมีอะไรทำเยอะเลยนะ มากกว่าแค่ทำวัตร สวดมนต์เช้า-เย็น มีงานเอกสารที่ผมเห็นว่าหลวงพี่ยุ่งมาก ต้องทำโน่นทำนี่หลายอย่าง มีเอกสารทางวัดที่ต้องไปติดต่อโน่นนี่ งานทางวัดมีเยอะมาก”

“และอีกมุมหนึ่งก็ได้มาตอบคำถามของตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงละทางโลกแล้วมาอยู่ทางธรรม ก็ได้คำตอบว่าคนเรามีความชอบที่ไม่เหมือนกัน อย่างเราอาจจะชื่นชอบศิลปินเกาหลี เพราะผมนั่งสนทนากับหลวงพี่เลยครับ ว่าทำไมหลวงพี่มาเป็นพระ สำหรับเราไอดอลคือวงเกาหลี แต่สำหรับหลวงพี่ไอดอลคือพระพุทธเจ้าครับ ท่านชอบตั้งแต่เด็กๆ ท่านศึกษานู่นนี่ ท่านบอกว่าตอนที่ท่านไปอินเดียครั้งแรก ได้ไปยืนอยู่ที่ประสูตรพระพุทธเจ้าครั้งแรก ท่านปลื้มปลิ่มน้ำตาไหล เราก็เลยคิดได้ว่าคนเรามีความชอบ มีความมุ่งมั่นแต่ละทางไม่เหมือนกัน

ผมโชคดีที่ได้เจอพระพี่เลี้ยงที่ดีมากๆ ท่านให้ความรู้เราหลายอย่าง ทำให้ผมรู้สึกที่ผมบอกว่าดีกว่าที่คิด อย่างตอนแรกสิ่งที่ผมคิดว่าผมบวชทดแทนบุญคุณให้คุณพ่อคุณแม่ ผมก็ทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น นั่งปฏิบัติธรรม สงบนิ่ง ครบ21 วันผมก็สึก

แต่ปรากฎว่าพอผมได้มาเป็นพระจริงๆ ผมได้มาเรียนรู้หลายอย่าง ได้มาทำในสิ่งที่ผมไม่เคยใกล้เลย ผมได้เห็นประโยชน์ของการสวดมนต์ จากที่ตอนแรกคิดว่าคนเราทำไมต้องสวดมนต์ สวดมนต์ทำไม(หัวเราะ) ผมไม่ได้ลบหลู่นะแต่มันเกิดคำถามว่าทำไมคนเราถึงชอบสวดมนต์

แต่พอมาเป็นพระถึงรู้ว่าสวดมนต์มันดีอย่างนี้นี่เอง ทำให้เราจิตใจจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับบทสวด ทำให้จิตใจโล่ง พอสวดเสร็จทำให้เราจิตใจสบายด้วย ยิ่งเราทำงานตรงนี้ งานเราเป็นงานที่ค่อนข้างมีสิ่งเร้าต่างๆ มากมาย เราก็ได้ไปอยู่ในอีกทางหนึ่งที่สุดโต่งคือเงียบสงบไปเลย ก็ดี”

หลังจากสึกมาที่เปลี่ยนเลยคืออะไร?

บอย :  “ที่ผมรู้สึกเลยคือผมใกล้วัดมากขึ้นแน่นอน ตั้งแต่ที่ผมสึกมา ทุกๆ วันพระผมก็ไปที่วัด เมื่อเช้าผมก็ไป คือพระพี่เลี้ยงของผมทุกๆ วันท่านปกติจะบิณฑบาตรอยู่ตรงประตูน้ำ แต่ทุกวันพระท่านจะต้องเดินไปบิณฑบาตรอีกที่หนึ่งแถวๆเพลินจิต ซึ่งตอนที่ผมเป็นพระผมเคยตามหลวงพี่ไป โหไกล ผมก็เลยตั้งใจว่าหลังจากนี้ทุกๆ วันพระ ถ้าไม่ใช่ผมหรือหน่องหรือคนที่บ้าน เพราะตอนหน่องบวชก็เป็นหลวงพี่รูปนี้ที่ดูแลเหมือนกัน ก็จะมาขับรถให้หลวงพี่ไปที่เพลินจิต ไปบิณฑบาตรตรงนู้น ท่านจะได้ไม่ต้องเดินไกล เหนื่อยมาก”

มีความรู้สึกว่าอยากอยู่ต่อไหม ตอนที่จะสึก?

บอย : “คือผมพูดด้วยความสัจจริง ผมอาจจะยังไม่มีความคิดถึงขั้นว่าอยากจะต่ออีกสักหน่อย เพราะว่าตอนนั้นผมรู้แค่ว่าผมมีภารกิจที่จะต้องทำต่อ คือมันมีเวลาที่ผมล็อกมาพอดีแล้ว สึกเสร็จต้องทำเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าผมรู้สึกดีกับการบวชครั้งนี้มากๆ ก็คือวันที่ใกล้สึก 2-3 วันผมรู้สึกใจหาย ว่าเดี๋ยวอีก 3 วันเราจะไม่ได้อยู่ในสถานภาพแบบนี้แล้วแต่โดยรวมก็ดีครับ เพราะฉะนั้นแล้วใครที่กำลังลังเลหรือหาเวลาที่จะบวชอยู่ ผมแนะนำเลยครับ บวชเลย ดีครับ”

บวชใกล้ๆ กับเจมส์ บังเอิญหรือตั้งใจ?

บอย : “บังเอิญครับ แต่ตอนที่ผมเป็นพระและไปร่วมงานอุปสมบทเจมส์ อันนั้นผมตั้งใจ คือพอคุยกับเจมส์ว่าเดี๋ยวผมจะบวช เจมส์ก็บอกว่าจะบวชเหมือนกัน ก็บอกว่าดีเลย งั้นเดี๋ยววันที่มึงเป็นพระ กูจะไปทั้งที่เป็นพระนี่แหละ (ยิ้ม) ไปขลิบผมให้ เป็นสิริมงคล (ยิ้ม) คุยกันตั้งแต่ก่อนบวชครับ”

พอบวชแล้ว คนถามเยอะจะเบียดเลยหรือเปล่า?

บอย : “ไม่ได้บวชเพื่อเบียดครับ บวชเพราะอยากบวชเฉยๆ ความจริงก็มีคนถามเยอะแหละ บวชแล้วเบียดเลยหรือเปล่าเนี่ย ก็คือบวชเฉยๆ ครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน (ยิ้ม) คือถ้าเรื่องนั้น (แต่งงาน) ผมว่ามันต้องเป็นความพร้อมของทุกๆฝ่าย ลองถามน้องดูครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าพูดถึงตัวผม ถ้าเรื่องหน้าที่การงาน ครอบครัว วัย มันก็เกินมานานแล้วแหละที่เหลือผมว่ามันเป็นเรื่องของการสั่งสมเวลาเกี่ยวกับการคบกัน การเรียนรู้กัน และความพร้อมทั้งหมดของทุกๆ ฝ่ายครับ”

ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ๆ?

บอย : “ก็ไม่สามารถบอกได้ (ยิ้ม) ซึ่งถ้าน้องพร้อม แล้วเราพร้อมเลยไหม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องคุยกัน คือก็อย่างที่บอกว่าเรื่องอายุ เรื่องอะไรต่างๆ เอาง่ายๆ ถ้าผมไม่ได้มาทำงานเป็นดารา ผมคงแต่งงานมีลูกไปนานแล้ว ตั้งแต่เรียนจบเลย เพราะโดยส่วนตัวผมมีความคิดอยากมีครอบครัวมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อยากมีลูก และส่วนใหญ่เพื่อนๆ ที่ทำงานเภสัชฯ เขาก็แต่งงาน ทยอยแต่ง มีลูกกันไปหมดแล้ว แต่เพื่อนๆ รอบตัวอย่างคนในวงการ เกรท วรินทร หนักกว่าผมอีก ยังไม่เปิดตัว หมายถึงยังไม่มีไง ก็เลยยังไม่เปิดตัว (ยิ้ม)”

อ้าวเขามีแฟนแล้วเหรอ?

บอย : “คือเขายังไม่มีให้เปิดตัว ผมใช้คำว่าผมไม่รู้ดีกว่า ไม่รู้ว่าเขามีหรือไม่มี แต่ที่รู้ๆ คือผมไม่เห็นเขาเปิดตัวครับ(ยิ้ม) เพราะฉะนั้นผมก็ขอความกรุณาพี่ๆ ทุกคนอย่าไปบอกคุณเกรทว่าผมบอกว่าเขามี แต่เขาไม่เปิดตัว อ้าว! ไลฟ์สดเหรอ คุณเกรท ผมบอกพี่ๆ ทุกคนว่าผมไม่รู้ว่าคุณมีหรือไม่มี คุณก็เลยไม่ได้เปิดตัว คือหลังๆ ก็ไม่ค่อยคุยกันเรื่องนี้ ผมว่ามันคงกลัวผมโป๊ะแหละ คงกลัวผมหลุดมั้ง เปล่าหรอก ไม่ๆ ที่ผมรู้คือตอนนี้ไม่มี เอาที่ผมรู้แล้วกัน คือก็คุยกันว่าเป็นยังไงบ้าง แต่เขาก็บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีครับ”

วันเกิดที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?

บอย : “วันเกิดที่ผ่านมาก็ปกติเหมือนทุกปี สำหรับผมแล้ววันเกิดก็ไม่ได้มีอะไรมาก ผมต้องการแค่ครอบครัว หรือพอมีแฟนก็คือเฟย์ ก็วันนึงกินข้าวกับที่บ้าน อีกวันนึงก็กินข้าวกับแฟนแค่นั้นครับ เฟย์ก็ให้เสื้อแจ็คเก็ตครับ น่ารักเชียว(ยิ้ม) เขาก็ไปสรรหามาเอง เขาบอกว่าซื้อให้ผมยากมาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เหมือนกับเขาไม่รู้ว่าผมอยากได้อะไร แต่พอได้มาก็ชอบ ถูกใจ (ยิ้ม) แต่ยังไม่ได้ใส่เลย แต่ลองแล้วพอดี (ยิ้ม) ยังไม่มีโอกาสได้ใส่ครับ ดีครับ ก็เป็นวันเกิดที่แฮปปี้ครับ”

ตอนนี้งานเยอะขนาดไหน สึกออกมา?

บอย : “พอสึกมาก็ยุ่งๆ อยู่นะครับ แต่ละครยังไม่มี เพราะคงรอเรื่องให้ผมยาวด้วย แต่สตูดิโอผมก็ใกล้เปิดแล้ว คือที่ผมเคยเปิดเป็นสตูดิโอคุณแม่ เป็นบ้านสำหรับถ่ายทำละคร และตอนนี้เปิดอีกสตูฯ อีกแห่งหนึ่งใกล้ๆ กัน เป็นสตูฯสำหรับคนที่จะมาใช้ถ่ายภาพนิ่ง อยู่ใกล้ๆ กันครับ เร็วๆ นี้จะเปิดใช้บริการแล้วครับ (ยิ้ม)”

นายกรัฐมนตรีชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ทำงานหนัก มีเมตตา รับฟังผู้อื่น

นี่เป็นอีกหนึ่งข้อความบอกเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างจากคนที่ได้มีโอกาสทำงานและพบเห็น ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

1. ท่านเป็นคนทำงานหนักมาก แทบจะไม่เคยเห็นว่ามีการพักผ่อน ลาไปเที่ยวไหนเลย (ไม่เหมือนผู้นำหลายคน หรือของต่างประเทศที่มีการพักร้อน) ก็คงเพราะท่านต้องประชุมเยอะมากทุกวัน และเป็นประธานด้วย และก่อนประชุม โดยเฉพาะประชุมครม. ท่านต้องอ่านทุกวาระก่อนในวันจันทร์ และมีโน้ตลายมือส่งกลับมาให้ฝ่ายเลขา (ซึ่งจะมีผู้ชำนาญการถอดลายมือท่านโดยเฉพาะถ้าคำไหนอ่านไม่ออก 555) 

โดยเฉพาะช่วงโควิด คือทำงานทุกวันจริง ๆ พวกเรา (ทีมโฆษก ศบค.) และคนทำงานอื่น ๆ ก็ต้องตามท่านให้ทันเพราะมักจะมีบัญชา หรือข้อเสนอแนะส่งมาให้พวกเราตลอด บางทีท่านก็เดินจากตึกไทยคู่ฟ้ามาเยี่ยมมาให้กำลังใจพวกเราที่ตึกสันติไมตรีด้วย แต่ด้วยความที่ท่านเน้นการทำ ไม่เน้นการพูดหล่อ ๆ ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนนักการเมืองอาชีพ ไม่เน้นออกอีเวนต์โชว์ตัวให้เป็นกระแสในโซเชียล การไปไหนคือไปงานราชการทั้งสิ้น (และผมก็สัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่ท่านผ่อนคลายและมีความสุขที่สุดก็คือเวลาได้ไปพบปะพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัด) หลาย ๆ คนก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าท่านทำอะไรบ้าง (และก็ไม่คิดจะหาข้อมูล สื่อก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่) 

2. ท่านเป็นคนมีเมตตาสูง อันนี้ผมขอท้าให้ไปสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาท่านได้เลย ท่านจะมีความเป็นห่วงเป็นใยช่วงเบรกประชุม ครม. ท่านก็จะเดินไปตามโต๊ะเพื่อทักทายและถามไถ่เจ้าหน้าที่ และสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ภาวะผู้นำของท่านก็คือ ลองไปหาข่าวย้อนหลังดู ว่าเคยมีสักครั้งไหม ที่ท่าน ‘โทษ’ ลูกน้อง ในสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ 

แม้กระทั่งเรื่องโควิด ท่านก็ต้องออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ ในที่ประชุม ท่านเด็ดขาด หรือบางทีก็พูดตรง ๆ แต่ก็ไม่เคยหักหน้าใคร หลายครั้งพูดไปแล้วต้องพูดตามว่า ผมไม่ได้ว่าท่านนะ หรือ หากทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องขออภัยด้วย จนเกือบจะถึงขั้นเกรงใจคนอื่นเลยทีเดียว ในการพบกันครั้งแรกของผมกับพี่ก้อยกับท่าน ท่านถามเราสองคนว่ามีครอบครัวหรือยัง พอบอกว่ามี ท่านก็มอบกระเป๋าสานฝากไปให้ภรรยาผมด้วย 

ทั้งหมดนี้คือการแสดงว่าท่านคิดถึงคนอื่น และคิดถึงความรู้สึกคนอื่น ดังนั้นผมจึงเชื่ออย่างจริงใจว่าท่านจะมีความทุกข์และกังวลขนาดไหน ในช่วงโควิด ที่ประชาชนเจ็บป่วย เสียชีวิต ร้านปิดกิจการ ในขณะที่ท่านเป็นผู้นำประเทศและการกล่าวหาว่าท่านไม่เห็นใจชาวบ้าน นั้นเป็นการโจมตีท่านอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่ง ‘ความผิด’ ของท่านข้อเดียวที่ผมมักจะได้ยินจากผู้สนับสนุนท่านก็คือ การไม่จัดการม็อบให้เด็ดขาด แต่ในข้อนี้ก็คงอธิบายได้ประมาณหนึ่ง ว่าท่านไม่ได้เห็นเยาวชนเป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่ต้องไปจัดการฆ่าให้ตายเหมือนใครบอกไว้ แต่เป็นลูกเป็นหลานที่อาจจะหลงผิดโดยการปลุกปั่น เพราะท่านเองก็มีลูกสาว เป็นพ่อคนเช่นกัน

3. ท่านเป็นคนรับฟังคนอื่นอย่างมาก ซึ่ง pattern ของการประชุมส่วนมาก ในวาระพิจารณาคือ ท่านจะให้ผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็นกันให้ทั่วถึง รวมถึงคนที่อาจจะไม่เห็นด้วย หรือโจมตีนโยบายท่าน ก็เชิญมาแสดงความเห็นด้วยและท่านก็ให้ความเคารพทุกคน ทุกความเห็น แล้วจึงค่อยสรุป แล้วถามว่า ทุกคนเห็นว่าอย่างไร หากไม่เห็นด้วยให้บอกมาเลย แล้วจึงค่อยออกมาเป็นคำสั่งการและนโยบาย (ซึ่งบางคนในห้องไม่กล้าค้าน แต่ออกมาแล้วโพสต์ด่าเฉย) 

ดังนั้นการโจมตีท่านว่าเป็น ‘เผด็จการ’ จึงเป็นการกล่าวหาที่ ‘เพ้อเจ้อ’ และเป็นเพียงวาทกรรมที่พยายามผลักท่านให้‘ไม่เป็นประชาธิปไตย’ ผมสังเกตว่า ท่านจะรับฟังและให้เกียรติ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็นอย่างมาก (เช่น แพทย์ นักวิชาการอาจารย์ ซึ่งทั้งแม่และภรรยาของท่านก็เป็นครู) และแทบจะไม่เคยขัดคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเลย (ข้อเสนอและนโยบายช่วงโควิด ส่วนมากก็มาจากคำแนะนำของฝ่ายสาธารณสุขทั้งสิ้น) และในบางโอกาสที่ผมได้มีข้อเสนอแนะทางการสื่อสาร ท่านก็ยังให้เกียรติสอบถามและรับฟังผม และขอบคุณผมด้วย (ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้) และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตำหนิอะไรผมหรือทีมโฆษกฯ เลย ท่านเดินผ่านมาทางเราเมื่อไหร่ ก็มีแต่คำขอบคุณ ซึ่งทำให้คนทำงานมีกำลังใจ และสามารถซื้อใจคนเก่งหลาย ๆ คนนอกวงการเมืองมาช่วยงานได้ด้วยความจริงใจ ทำให้เกิดโครงการดี ๆขึ้นมากมายโดยที่ไม่มีปัญหาประโยชน์ทับซ้อน 

4. ท่านอาจจะเป็นคนที่ดูหงุดหงิดง่าย แต่ท่านเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรู คิดอย่างไรพูดไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วนักข่าวทำเนียบต่างชอบเวลาสัมภาษณ์ท่าน เพราะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือพูดแล้วกลับไปกลับมา แต่สิ่งที่สื่อต่าง ๆ ชอบนำไปออกก็คือเวลาท่านดูหงุดหงิด ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์แค่นั้น จึงทำให้คนทั่วไปมองว่าท่านเป็นอย่างนั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่ครับ ว่าท่านเองก็รับทราบ และก็พยายามจะข่มอารมณ์เวลามีคำถามที่ไม่ค่อยน่าฟัง แต่ด้วยความที่ตัวตนของท่านเป็นคนไม่เสแสร้ง บุคลิกแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เก่งการละครหรือการพูด ท่านดีใจท่านก็ยิ้ม หงุดหงิดก็ขึ้นเสียง ซึ้งใจก็มีน้ำตา 

5. เห็นท่านดูใจร้อน โผงผาง แต่จริง ๆ แล้วเวลาส่วนใหญ่ ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขัน มุกตลกเยอะ (ตลกหน้าตายด้วย) เวลาอารมณ์ดี ชอบแซวชอบแหย่คนอื่น ๆ ในห้องประชุม นักข่าว หรือคนรอบข้างอยู่เสมอ บางเรื่อง ครม. ตกลงกันไม่ได้ โต้กันไปมา ท่านยิงมุกทีนึงฮากันครืนทั้งห้อง บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงทันที และท่านก็ยังมาพูดคุยกับทีมงานแบบไม่ถือตัว (นะจ๊ะ นั่นแหละครับ 55) ซึ่งอันนี้เราเห็นกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ (และจริง ๆ ยังมีอีกมาก) คือตัวตนของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ผมได้เคยสัมผัสในช่วงสั้น ๆ แต่เป็นช่วงที่มีความประทับใจ และเชื่อโดยสนิทใจว่าท่านเป็นคนดี มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันที่เราเคารพรักจริง ๆ (หากจะพูดว่าตายแทนได้ผมก็เชื่อ) ทำให้ผมและคนเก่ง ๆหลาย ๆ คนอาสาเข้ามาช่วยท่าน (ถ้าดูไม่ดีผมคงเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว) และสำหรับผม และในกาลเวลาข้างหน้า ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และเก่งในการบริหารที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ที่ทำให้เราฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้อนวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง มิได้หวังลาภยศสรรเสริญ แต่เสียสละด้วยความจำเป็นเข้ามารับความเสี่ยงในยามที่ประเทศถึงทางตัน ตามคำขวัญของกองทัพที่ว่า “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดทนเห็นชาติพินาศสลาย”

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top