Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

‘ราเมศ’ ออกโรงป้อง หลักการ ‘ชวน’ ไม่ใช่มรดกความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องของความถูกผิด-อุดมการณ์พรรค ที่ทุกคนต้องเรียนรู้

(25 ส.ค. 66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงประเด็นมติที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ว่า…

“ต้องยอมรับว่ามีข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงในหลายประเด็น การประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนวันที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ในส่วนของนายชวน หลีกภัย ที่ได้แจ้งต่อที่ประชุมและได้บอกเหตุผลว่าเหตุอันใดที่มีความจำเป็นต้องโหวตไม่เห็นชอบ ไม่มีผู้ใดขัดข้อง มติที่ประชุมเป็นไปตามที่โฆษกที่ประชุม สส.คือนางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ได้ออกมาแถลงผลการประชุมคือ ที่ประชุมมีมติให้งดออกเสียง กรณีของนายชวน จึงไม่ใช่การฝ่าฝืนมติที่ประชุมแต่อย่างใด

นายชวนได้อยู่พรรคมานาน เป็นบุคคลที่ยึดมั่นในหลักความถูกต้อง อะไรที่ไม่ถูกต้อง นายชวนไม่ทำอยู่แล้ว และแนวคิดของนายชวน ในเรื่องการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ท่านได้ต่อสู้มาโดยตลอด ไม่ใช่ความเคียดแค้นส่วนตน แต่เป็นเรื่องความถูกผิด เป็นเรื่องของอุดมการณ์พรรค ประชาชนภาคใต้ยังจดจำการเลือกปฏิบัติกับพี่น้องในภาคใต้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ไม่ได้ยึดกฎหมายบ้านเมือง เหตุการณ์ที่กรือเซะที่ตากใบ การทุจริตโครงการจำนำข้าว เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เห็นว่าอุดมการณ์ในทางการเมือง ความซื่อสัตย์สุจริตการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอีกหลายเรื่อง มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นายชวน หลีกภัย คือ ‘เสาหลักของพรรคประชาธิปัตย์’ ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีคนชื่อ ‘ชวน หลีกภัย’ ประชาธิปัตย์ไม่สามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้ในวันนี้ และเชื่อว่าทุกคนในพรรคระลึกถึงบุญคุณของนายชวน ที่ได้ทำประโยชน์ให้กับพรรคตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คงไม่มีใครคิดขับท่านชวนออกจากพรรค วันที่คนของพรรคเพื่อไทยแกล้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ท่านชวน คือคนที่ต่อสู้และต่อสู้ด้วยความยากลำบากจนชนะคดีพรรคไม่ถูกยุบ แนวคิดประสบการณ์ในทางการเมืองคือสิ่งสำคัญที่คนรุ่นหลังมีความจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อนำหลักการที่ดีไปปรับประยุกต์ใช้ในการนำพาพรรควันข้างหน้า เชื่อว่าทุกคนยอมรับว่าการเมืองเปลี่ยนไปมาก แต่พรรคประชาธิปัตย์มีหลักคิดที่ดีมีสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เราทุกคนจะทำอย่างไรที่จะซึมซับสิ่งเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้า”

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า ขณะนี้ก็ต้องแจ้งพี่น้องประชาชนว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มรูปแบบ ทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา ทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างเต็มที่ ฝ่ายค้านคงไม่ใช่แค่การตรวจสอบอย่างเดียว แต่จะรวมถึงการทำงานในเชิงรุกที่ตนในฐานะโฆษกพรรคได้แถลงไว้ก่อนพรรคอื่น คือจะใช้กลไกของฝ่ายนิติบัญญัติในการผลักดันแก้ปัญหาให้กับประชาชน รวมถึงการยกร่างและการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้การขับเคลื่อนในการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนทั่วทั้งประเทศ ที่จำต้องมีการสังคายนากฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

‘ปูติน’ เคลื่อนไหวครั้งแรก หลังเครื่องบินวากเนอร์ดิ่งตก เผย ‘พริโกซิน’ เป็นคนเก่ง-มีพรสวรรค์ แต่ทำผิดพลาดร้ายแรง

ความคืบหน้าหลังเกิดเหตุเครื่องบินส่วนตัวของ ‘นายเยฟเกนี พริโกซิน’ ผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่มวากเนอร์ กองกำลังทหารรับจ้างสัญชาติรัสเซีย ดิ่งตกใกล้หมู่บ้านคูเซนกิโนในแคว้นตเวียร์ ทางตอนเหนือของกรุงมอสโก ประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเป็นการกำจัดผู้คิดคดก่อกบฏต่อรัฐบาลรัสเซีย

ภายหลังนายพริโกซินนำกำลังวากเนอร์บุกยึดเมืองรัสเซีย รวมถึงมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงมอสโก เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย อดีตมิตรรักของนายพริโกซิน กล่าวเป็นครั้งแรกราว 24 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุเครื่องบินตกว่า “หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างผู้มีความสามารถคนนี้ ทำผิดพลาดร้ายแรงในชีวิต” แต่ไม่ได้มีการยืนยันอย่างชัดเจน ว่านายพริโกซินเสียชีวิต

โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (เพนตากอน) ระบุว่าสหรัฐเชื่อว่านายพริโกซินเสียชีวิตในเหตุเครื่องบินตก เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ คนหนึ่งเปิดเผยกับซีบีเอสนิวส์ว่า สาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เครื่องตก น่าจะเป็นการลักลอบนำวัตถุระเบิดซุกซ่อนขึ้นไปไว้บนเครื่องบิน

ส่วนกลุ่มวากเนอร์ระบุผ่านบัญชีเกรย์โซนบนเทเลแกรม ว่าเครื่องบินถูกระบบต่อต้านอากาศยานของรัสเซียยิงตกอย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ยังไม่มีการยืนยัน

ด้านหน่วยงานสืบสวนรัสเซียกำลังสอบปากคำเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว ซึ่งเป็นต้นทางที่เครื่องบินของนายพริโกซินขึ้นบิน เพื่อมุ่งหน้าไปนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รวมถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิด

วันเดียวกัน กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่ากองทัพสกัดกั้นโดรนของยูเครน 42 ลำที่พุ่งเป้าโจมตีในพื้นที่ไครเมีย ทางตอนใต้ของยูเครน และในจำนวนนี้ 33 ลำถูกกำจัดโดยการสงครามอิเล็กทรอนิกส์

ขณะที่สื่อนอร์เวย์รายงานว่า รัฐบาลนอร์เวย์จะสนับสนุนเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 แก่ยูเครนเพื่อยกระดับการปกป้องอธิปไตยจากการรุกรานของรัสเซีย แต่ยังไม่มีแถลงอย่างเป็นทางการ โดยความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจาก นายกรัฐมนตรีโยนาส การ์ สเตอร์ ผู้นำนอร์เวย์ เดินทางเยือนกรุงเคียฟกะทันหันในวันวันประกาศอิสรภาพยูเครน เมื่อวันที่24 ส.ค.ที่ผ่านมา

'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ยึดมั่น 'หลักการ-มติพรรค' พร้อมเลือดรักสิ่งแวดล้อมไม่แพ้พ่อ

ก่อนหน้านี้ THE STATES TIMES ได้นำเสนอเรื่องราวและผลงานของ 'สรรเพชญ บุญญามณี' สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นดาวจรัสแสง เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง และไม่จำเป็นต้องทำตัว 'หิวแสง' แต่ผลงานคือเครื่องพิสูจน์ 'ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น' ไปพอสังเขป

มาในวันนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ในบรรดา สส.หน้าใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นดาวเด่น นอกจากสรรเพชญบุญญามณีแล้ว ก็เห็นแสงระยิบระยับในตัวของ 'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' สส.เขต 3 พัทลุง อีกคนหนึ่งที่ฉายแสงเจิดจรัส

ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 'ร่มธรรม' ก็ยึดมั่นตามมติพรรค 'โหวตงดออกเสียง' อีกคนหนึ่ง เป็น 1 ใน 6 

"ผมสั่งไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะทำอะไรลงไปคิดให้ดี การกระทำจะเกิดอะไรขึ้น ประชาชนชอบไหม สื่อชอบไหม ทำแล้วต้องหลบหน้าหรือไม่ ทำแล้วต้องแก้ตัวหรือไม่ ผมสั่งไว้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเลือกตั้ง จึงลงมติงดออกเสียงตามมติพรรค” นริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ผู้เป็นพ่อ อดีต สส.เขต 3 พัทลุง ที่เปิดทางให้ลูกก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง กล่าว

นริศ กล่าวยืนยันว่า พรรคมีมติให้งดออกเสียงแน่นอน สุณัชชา โล่สถาพรพิพิธ รองโฆษกพรรคก็แถลงข่าวชัดเจน 

"มีท่านชวนขออนุญาตโหวตไม่เห็นชอบ ท่านบัญญัติขอโหวตตามนายชวน ไม่อยากให้นายชวนไปแบบโดดเดี่ยว"

กล่าวสำหรับ 'ร่มธรรม' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ถ้าพลิกดูประวัติแล้วจะน่าสนใจยิ่ง ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศจีน ไปเรียนต่อที่รัสเซีย และหลังจบการศึกษาก็เป็นครูอาสาตระเวนสอนอยู่ในหลายประเทศ

'ร่มธรรม' ได้เลือดพ่อสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อนริศมีภารกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาเขียนหนังสือ 'ร่มธรรม' รับบทเรียนเองในคอลัมน์ 'ร่มไม้ใบบัง' ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ซึ่งจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เดิมนริศเขียนมานานหลายปี

'ร่มธรรม' ชักชวนเพื่อนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งเพจ Environman นำเสนอเนื้อหาแนวสิ่งแวดล้อม ส่วนบทบาทในสภา ก็ได้เห็นการอภิปราย การชี้แนะอยู่บ่อยครั้ง เช่น การเสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นธรรม-เท่าเทียม ในทุกพื้นที่ การอภิปรายเกี่ยวกับผลงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และการอภิปราย ตั้งข้อสังเกตผลงานของไทยพีบีเอส เป็นต้น

เท่าที่ติดตามผลงานในรอบ 3 เดือน เมื่อเทียบกับ สส.คนอื่น และเป็น สส.หน้าใหม่ ถือว่ามีผลงานน่าสนใจ และผลงานเจิดจรัสพอ ๆ กับ 'สรรเพชญ บุญญามณี'

เรียกได้ว่า ทั้ง 'สรรเพชญ' และ 'ร่มธรรม' ถือได้ว่า เป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีพ่อเป็นลมใต้ปีกอยู่ห่าง ๆ

‘HACKaTHAILAND 2023’ เสริมทักษะดิจิทัลคนไทย ผ่านกิจกรรมดิจิทัลแบบไร้ขีดจำกัด

(25 ส.ค. 66) ดีอีเอส - ดีป้า ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตรเปิดมหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ ร่วมยกระดับความรู้และทักษะด้านดิจิทัล ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือโลกอนาคตที่ดิจิทัลเข้ามามีส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตรอบด้าน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลที่หลากหลาย เวทีเสวนาและการบรรยายพิเศษ รวมถึงการประชันไอเดียด้านดิจิทัลบนเวที Pitching กับ 5 โซนไฮไลต์ ณ Plenary Hall 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งเป้าผู้เข้าร่วมกิจกรรมตลอด 2 วันไม่น้อยกว่า 40,000 คน สร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากกว่า 1,000 ล้านบาท

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในพิธีเปิดมหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ โดยมีผู้แทนจากสถานทูต ผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และเครือข่ายเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึง นายธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานกรรมการกำกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, ผศ.ดร.ณัฐพลนิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ‘ดีป้า’ พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงานร่วมในพิธีโดยพร้อมเพรียง

นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนและบุคลากรดิจิทัล ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศผ่านการเสริมสร้างความรู้และทักษะด้านดิจิทัลที่จำเป็นแก่ประชาชนทุกช่วงวัยให้สามารถต่อยอดประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย พร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต

“ด้วยเหตุนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า จึงจัดมหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลสุดยิ่งใหญ่ในชื่อ HACKaTHAILAND 2023: DIGITAL INFINITY ขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 26 สิงหาคม ณ Plenary Hall 1 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัลที่น่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายและการดำเนินงานของกระทรวงที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล เพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลประเทศในภาพรวม ผ่านแนวทางการทำงานตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง ดีป้าและเครือข่ายพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มาร่วมมอบประสบการณ์ ยกระดับความรู้และทักษะด้านดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนไทยทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ก่อนนำพาประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ และสังคมดิจิทัลอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยภายในงานมีการนำเสนอเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบ Edutainment เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ด้านดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความรู้จากเวทีเสวนาและการบรรยายพิเศษจากเหล่ากูรูในแวดวงรวมไปถึงการประชันไอเดียด้านดิจิทัลในหลากหลายสาขา ซึ่ง ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ แบ่งเป็น 5 โซนไฮไลต์ ประกอบด้วย

1.) FUTURE ZONE : เตรียมความพร้อมกำลังคนของประเทศ เพื่อก้าวสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลผ่าน Showcase เทคโนโลยีใหม่ของโลก และการสร้างประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กับGENERATIVE AI STUDIO โดยการจำลองสตูดิโอที่รองรับทุกไอเดียการสร้างสรรค์ผลงานดิจิทัล

2.) COMMERCE ZONE : รวบรวมเทคโนโลยีเพื่อการซื้อ – ขายในโลกยุคใหม่ที่ครอบคลุมระบบนิเวศเพื่อการค้าพร้อมพบกับความสำเร็จจากการยกระดับตลาดสดสู่ตลาดยุคใหม่ ที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ลดต้นทุน และเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน รวมถึง Showcase ตลาดแห่งโลกอนาคตที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยมาใช้ยกระดับการบริหารจัดการร้านค้า การเปิดตัวแพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Platform) ด้าน E-commerce สัญชาติไทย เพื่อวิเคราะห์เทรนด์การค้าขายจาก Social Platform และ E-Commerce Platform รวมถึงการเนรมิตพื้นที่เป็น Live Studio เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้รับชมเบื้องหลังการขายของออนไลน์ จากบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังใน 4 หมวดสินค้า คือ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ความงาม อาหาร และเทคโนโลยี

3.) TOURISM ZONE : เปิดประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวแห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลแบบเต็มขั้นผ่านกิจกรรม Digital Tourism Fair เชื่อมโยงทุกการเดินทางให้เป็นเรื่องง่าย ด้วยการออกแบบและวางแผนการเดินทางอย่างชาญฉลาด สะดวก สบาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว พร้อมพบกับ Showcase แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับชาติ ThailandCONNEX เชื่อมต่อทุกโอกาสให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในยุคดิจิทัล

4.) CONTENT ZONE : พบกับโอกาสสำคัญของวงการเกมไทยกับกิจกรรม Demo Day ของโครงการ depa Game Accelerator Program Batch 3 ที่เหล่าคนทำเกม ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นจะมาประชันผลงาน เพื่อค้นหาสุดยอดเกมและนักพัฒนาเกมรุ่นใหม่ พร้อมเปิดประสบการณ์ไปกับ ‘เกมไทย Showcase’ ที่ผู้ร่วมงานจะได้ลองเล่นเกมที่ได้รับการพัฒนาโดยฝีมือคนไทย และพื้นที่พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ของคนในเครือข่าย และภาคอุตสาหกรรม

5.) WELL-BEING ZONE : พบกับ Showcase แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ(Health Link) พร้อมการเสวนาในหลากหลายหัวข้อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยเทคโนโลยี Big Data และการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ‘The International Conference on Big Data Analytics and Practices’ (IBDAP)

นอกจากนี้ HACKaTHAILAND 2023: DIGITAL INFINITY ยังมีเวที Pitching ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ได้แสดงศักยภาพทางความคิดในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น

- กลุ่ม DIGI-PRENEUR การเฟ้นหาสุดยอด DIGITAL SOLUTIONS เพื่อพลิกโฉมประเทศ ชิงเงินรางวัลรวม 1 ล้านบาท

- กลุ่ม FUTURE CAREER การแข่งขันด้าน DIGITAL SKILLS ต่อยอดอาชีพแห่งโลกอนาคตและยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวม 2 ล้านบาท

- กลุ่ม YOUTH การแข่งขัน HACKATHON by Digital Youth Network กับหัวข้อนวัตกรรมสร้างสรรค์โลกดิจิทัลใน5 หมวด ประกอบด้วย Startup, Program, Technology, Business และ Activity ชิงเงินรางวัลรวม 275,000 บาท

- กลุ่ม E-COMMERCE การแข่งขันของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ และดิจิทัลคอนเทนต์ครีเอเตอร์หน้าใหม่ ชิงเงินรางวัลรวม 280,000 บาท

- กลุ่ม DIGITAL CONTENT การประชันไอเดียของเหล่าคนทำเกม ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น เพื่อเฟ้นหา The Best Game of depa Game Accelerator Program Batch 3 พร้อมรับทุนสำหรับต่อยอดผลงานรวม 500,000 บาท

ภายในพิธีเปิดยังมีพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่าง ดีป้า และAustralian-Thai Chamber of Commerce, Malaysian Research Accelerator for Technology & Innovation (MRANTI) บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีคลาวด์ เอไอ มาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเปิดหลักสูตรเพื่อพัฒนากำลังคนดิจิทัลกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี(ประเทศไทย) จำกัด

พร้อมกันนี้ ยังมีการแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนแนวคิดจากกูรูในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น นายจิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน ONE Championship ประเทศไทย, ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่จำกัด, นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัดและ นายคมสันต์ ลี ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ฯลฯ

“มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของคนไทยที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ด้านดิจิทัลสุดประทับใจแบบไร้ขีดจำกัด เรียนรู้ประโยชน์ของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากำลังคนและเพิ่มศักยภาพให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัปไทย เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ที่สำคัญประชาชนจะมีภูมิคุ้มกันในการรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากโลกอนาคต โดย ดีป้า ประเมินว่า ตลอดระยะเวลา 2 วันของการจัดงานมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบ Online และ Onsite ไม่น้อยกว่า 40,000 คน สามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากกว่า 1,000 ล้านบาท” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและรายละเอียดต่าง ๆ ของงาน HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY ได้ที่LINE OA: @depaThailand, Facebook Page : HACKaTHAILAND และ Website: www.hackathailand.com

'เบ๊น อาปาเช่' เห็นกับตา!! 'แอร์ฯ-สจ๊วต' คุมอารมณ์ ทำหน้าที่ได้ดี แม้ 'ไทยกร่าง' รุมข่มขู่ เหตุไม่ช่วยยกระเป๋าเก็บให้ ก็ไม่ตอบโต้ใดๆ

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'Benz Apache - เบ๊น อาปาเช่' โดย 'อัครเดช โยธาจันทร์' ได้แชร์เหตุการณ์วุ่นวายจากความกร่างของผู้โดยสารคนไทยกลุ่มหนึ่งที่กระทำการข่มขู่พนักงานให้บริการบนเที่ยวบินลำหนึ่ง ว่า...

“วันนี้ผมบินกลับจากเวียดนาม Flight VZ 981 จากเมืองฟูก๊วก ถึงสุวรรณภูมิ จากเครื่องออก 12:00 ต้องดีเลย์ไปออก14:00  เนื่องจากเกิดเหตุการณ์มีการเชิญคนไทยออกจากเครื่อง และออกทั้งหมด 16 คน 

จริง ๆ ผมไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้เลยนะ แต่มันมีเรื่องที่ผมต้องยอมออกมาโพสต์ถึงเรื่องนี้ เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ 

ผมนั่งที่นั่งแถว 2 ABC ผมเข้ามานั่งก่อน จากนั้นก็มีคนไทยกลุ่มใหญ่ตามเข้ามา เสียงโหวกเหวกคุยกันเฮฮา ไม่ซีเรียสนะ แต่มันเรียกสายตาให้มองเฉย ๆ คนไทยกลุ่มนี้นั่งหลังผมไป 2-3 แถว 

ปัญหาเริ่มจากจุดเล็ก ๆ คือ น้องผู้หญิงในกลุ่มให้แอร์ช่วยยกกระเป๋า แล้วแอร์พูดทำนองว่าต้องยกเองนะคะ ประมาณนี้ อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจนะ เพราะในกลุ่มผู้ชายประมาณ 10 กว่าคนได้ แต่ปัญหามาละ เพราะเสียงข้างหลังคือไม่พอใจละมีการโวยกันในกลุ่มดัง ๆ ให้แอร์ได้ยิน เอาแบบเป๊ะ ๆ เลยนะ เพราะผมตั้งใจฟัง 

“Here เอ้ยยยย แอร์แม่งคิดแต่จะเดินขายของหรอวะ”

“แม่ง ให้ช่วยยกแค่นี้แม่งบอกให้กูไปโหลดดิถ้ายกไม่ไหว” 

“เดี๋ยวกูถ่ายลงสตอรี่เลย ไฟลท์ไรวะ ๆ ด่าแม่งเลย อย่าให้มาขึ้นสายการบิน here นี่อีก” ฯลฯ 

ผมค่อนข้างรู้ละว่ามาคุแน่ เพราะตรงนั้นคนกลุ่มใหญ่ ทีนี้แอร์ 3 คน กับ สจ๊วต 1 คน เดินมาคุยกันด้านหน้าว่าจะเอายังไงดี เครื่องก็ไม่ออกสักที 

สักพักเดียว งวงช้างที่เชื่อมต่อกับเกทก็ขยับกลับเข้ามาที่ประตูเครื่อง (จากตอนแรกที่ปิดประตูเครื่องแล้วนะ) พองวงช้างไหลเข้ามา ผมรู้เลยว่าคงมีการเชิญลงแล้วล่ะ 

แล้วก็ใช่จริง ๆ มีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นจากเวียดนามและ รปภ. ขึ้นมาบนเครื่อง กลุ่มลูกเรือทั้ง 4 คน ก็เดินไปชูกระดาษคำเตือน ขอเชิญคนแถวนั้น ลงจากเครื่องบิน (ไม่ได้เชิญลงหมดนะ เชิญแค่ชุดที่โวยวาย) 

แต่ก็เข้าใจที่เขามากันทั้งชุด 16 คน เขาก็จะลงหมดเลย ทีนี้ไอ้ตอนจะลงนี่สิ ของขึ้นกันแล้ว ผมพูดแบบเป็นกลางนะกลุ่มเขาไม่ได้โวยวายทุกคนนะ มีแค่ 3-4 คน แต่ที่เหลือมีสติดี พูดจาดี ผมไม่รู้ว่า 3-4 คนนั้นเขาดื่มหรือทำอะไรมาแต่เขาดูหลุด ๆ มากเลย

ทีนี้มีการเถียงกันว่าแค่ช่วยยกกระเป๋ามันเป็นอะไรนักหนาวะ สายการบินอื่นเขาช่วยยกกันหมด กูบินมาแล้วทุกสายการบิน? 

ตรงนี้ผมขอพูดส่วนตัวนะ ผมว่าผมก็เดินทางมาไม่น้อย อยากให้เข้าใจกันใหม่ว่าแอร์โฮสเตสไม่ได้มีหน้าที่ยกกระเป๋านะครับ ถ้าไปเจอไฟลท์ไหนยกให้ นั่นไม่ใช่หน้าที่ครับ แต่นั่นคือน้ำใจ ผมคอนเฟิร์มว่า ไม่ว่าสายการบินในประเทศหรือทั่วโลก แอร์ไม่ได้มีหน้าที่ยกกระเป๋าครับ  

สิ่งที่ผมยอมโพสต์นี้ คือ ก่อนลงจากเครื่องมีการข่มขู่จากผู้ชายในแก๊งว่า “เอาชื่อมรึง 4 คนมานี่ซิ เดี๋ยวมรึง 4 คนเจอกูแน่ พวกมรึงไม่รู้หรอกว่ากรูทำอะไร แต่เดี๋ยวมรึงเจอกูแน่” 

ผมก็ไม่รู้นะครับว่าพี่ทำอะไร พี่คงจะรุ่นใหญ่แน่นอน ผมโพสต์มานี่พวกพี่ ๆ ก็คงจะแค้นผม แต่ผมเห็นน้อง ๆ แอร์กับสจ๊วตโดนพี่รุมข่มขู่ ด่า เป็นครึ่งชั่วโมง แล้วเขาไม่มีทางตอบโต้เลย ผมต้องออกมาพูดจริง ๆ ว่าวันนี้ลูกเรือคุมอารมณ์และแก้ปัญหาได้ดีมาก ๆ ถ้าผมไม่ออกมาเล่า แล้วน้อง ๆ เขาโดนคอมเพลน หรือโดนลงโทษทางหน้าที่การงานผมคงรู้สึกใจหมามาก 

ที่มาโพสต์ช้าไม่ใช่อะไรนะ ก็เพราะพวกพี่นี่แหละครับ จากถึงไทยบ่ายโมง นี่ป่านนี้สองทุ่มครึ่งเพิ่งถึงบ้าน คำไหนผมพิมพ์เกินเลยไปซัดผมกลับได้เลยนะ”

'ลุงตู่' ยก 9 ประเด็นสำคัญในช่วงระยะเวลา 9 ปี 'ทุกแรงขับเคลื่อน' เกิดขึ้นได้ เพราะคนไทยร่วมใจเป็นหนึ่ง

(26 ส.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha’ โดยระบุว่า…

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

ตลอดระยะเวลา 9 ปี ของการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากที่สุดของชีวิต เป็น 9 ปีที่ได้ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม และของเราทุกคน เป็น 9 ปีที่ผมได้ใช้สติปัญญา ทุ่มเททุกศักยภาพและกำลังความสามารถ สานพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งเชิดชูสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และเป็น 9 ปีของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทัดเทียมนานาอารยประเทศ และพร้อมยกระดับไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยเหตุผลสำคัญได้แก่

1. เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ

2. มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. มีความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ

4. มีการกำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคตและการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริการจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ (1) ‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ (2) ‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร (3) ‘ป่า’ เช่น ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น (1) ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ (2) ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (3) การยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย- สะดวก - โปร่งใส เช่น (1) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ (2) UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน

ทั้งนี้ การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวน

ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อนข้าราชการ และทุกภาคส่วน ที่ได้เสียสละและอดทนในทุกสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าประเทศไทยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่เราสร้างกันมานั้นได้รับการต่อยอด ก็จะทำให้เราเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันขึ้นครับ

‘อั้ม เนโกะ’ ซัด!! ด้อมส้ม แต่งนิยายดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทยชี้!! ‘ก้าวไกล’ ปิ๋วตั้งรัฐบาล เพราะตัวเองไม่มีเสียงมากพอ

เมื่อไม่นานนี้ นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ ‘อั้ม เนโกะ’ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Aum Neko’ โดยช่วงหนึ่ง ‘อั้ม เนโกะ’ ได้อธิบายถึงปมดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทย ว่า ทักษิณพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกมาตั้งนานแล้ว และพรรคเพื่อไทยไม่เคยทอดทิ้งหรือลืมคนที่ลี้ภัยเลย พร้อมทั้งบอกสาเหตุที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นเพราะไม่มีเสียงที่มากพอ โดยระบุว่า…

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล ดีลในเรื่องที่ว่าหักหลังพรรคก้าวไกล เพื่อที่จะให้พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะว่าในหนังสือดาราหรือหนังสือแต่งนิยายดารา เขาบอกว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลคุณทักษิณจะไม่สามารถกลับไทยได้ อยากจะขําเป็นภาษาแมว พรรคเพื่อไทยไม่เคยลืม ไม่เคยทิ้ง ในขณะสิบปีที่ผ่านมาที่อั้มต่อสู้ คนที่อยู่ในพรรคส้มไม่เคยอยู่เคียงข้างอั้ม”

“คุณทักษิณบอกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเขาพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกอะไรยังไงก็ว่ากันไป แต่ถามว่าคุณทักษิณเขาไม่เห็นด้วยหรือไม่ เขาเห็นดีเห็นแดงกับคนที่ลี้ภัยอย่างพวกเราไหม? อั้มขอยืนยันตรงนี้ว่า คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยไม่เคยลืมคนที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ… คุณคิดได้ยังไงว่าเขาต้องกันซีนพรรคก้าวไกล ไม่ให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อที่ทักษิณจะได้กลับบ้านได้ ขอด่าดัง ๆ คุณดูความจริงก่อน”

“ความจริงมันคืออะไร? คือรัฐบาลของพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งได้เลย เพราะคุณไม่มีเสียงมากพอในสภาฯ คุณมี 151 เสียง ไม่ได้มีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเสียงพรรคอื่น หรือพึ่งเสียง สว. แล้วคุณโกหกต่อสาธารณชนบอกว่าพรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เสียงของเราพอแล้ว นั่นคือ ‘คุณโกหก’ จริง ๆ คุณจัดตั้งไม่ได้ ทุกคนเห็น โลกเห็น แฟนคลับเห็น ว่าคุณจัดตั้งไม่ได้ แล้วคุณเองก็ไปโทรศัพท์คุยกับพรรคที่เป็นพรรคฝั่งรัฐบาลเผด็จการที่คุณด่า ทุกพรรคคุณไปคุย คุณไม่ได้เอามาคุยหน้าไมค์ด้วยซ้ำ แล้วคุณบอกว่าคุณดีเลิศ ประเสริฐศรี สามารถจัดตั้งได้ เพราะคุณคิดว่าเขาจะยกมือให้คุณ สรุปคือ คุณโกหกต่อสังคม แต่ประชาชนก็ปล่อยผ่าน เพราะว่านี่คือพรรคก้าวไกล…”

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล และหักหลังพรรคก้าวไกล ถ้าคุณทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยตั้งใจที่จะถลกหนังตลบหน้าพรรคก้าวไกลเหมือนแมวข่วนหน้า นั่นแปลว่า เขาก็ไม่ต้องมานั่งยกมือ ไม่มานั่งโหวตให้คุณ ไม่ต้องมาอะไร แต่เขาพร้อมโหวตให้ตั้งแต่คุณยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จําได้ว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ ได้รับการเลือกตั้งครั้งแรกได้ สส. เข้ามาในสภาฯ คุณไม่ใช่เป็นพรรคเสียงอันดับหนึ่งนะ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่ง แต่เขายอมที่จะยกมือขานชื่อของ ‘คุณธนาธร’ ให้ทั้งพรรค ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้”

“ถ้าสมมติว่าพรรคก้าวไกลของคุณสามารถไปรวบรวมคนมาได้ สามารถที่จะจัดตั้งได้ พรรคเพื่อไทยเขาก็ยังจะยกมือให้คุณ ทุกวันนี้ถามว่าถ้าพรรคก้าวไกล คุณกลับมาจับมือพรรคเพื่อไทยได้ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมยกมือให้คุณ แต่ประเด็นคือคุณไม่มีความสามารถในการหาเสียงได้เกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ และของฝั่ง สว. รวมกันให้มากพอที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้”

“ดังนั้น เมื่อคุณจัดตั้งไม่ได้ คุณบอกว่าคุณประกาศเองเลยว่า ขอส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย แล้ว พอคุณส่งไม้ต่อไปแล้ว พรรคเพื่อไทยเขาก็ทําทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณมาบอกว่าพรรคเพื่อไทยไปกันซีนพรรคคุณ เพื่อที่จะดีลให้ทักษิณกลับบ้านได้ ขอโทษค่ะ… อันนี้คือคุณบิดและมาหาว่าดิฉันเป็นนางแบก คนนั้นคนนี้เป็นนางแบก คุณพวกส้มบิด บิดจน โอ้โฮ! ลําไส้เจ็บไปหมดเลย คุณไม่มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณด่าพรรคเพื่อไทยหวังผลทางการเมือง สร้างข่าวลวงว่าคุณทักษิณกันซีนไม่ให้พรรคก้าวไกลขึ้นมาเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล คุณทําเองไม่ได้ แล้วคุณมาดักเพื่อไทยต่อ คือต่อให้พรรคก้าวไกลสามารถมาเป็นประธานรัฐสภาได้ มันทําให้เสียงของพรรคก้าวไกลได้เกินครึ่งหนึ่งและจัดตั้งรัฐบาลเอาพิธาตีเมียมาเป็นนายกได้ไหม? ก็ไม่ได้เพราะความจริงคือคุณมีแค่ 151 แค่นั้น คุณอย่าฝัน คุณยังไม่ได้เกินครึ่งสภาฯ เลย คุณยังไม่ได้พรรคเดียวเกิน 250 เสียง ยังไม่ได้พรรคเดียวถึง 375 เสียง”

“ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถจัดตั้งพรรคได้ และพวกส้มบิดทั้งหลาย เลิกเชื่อละครน้ำเน่าที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยและทักษิณว่า ดีลเพื่อที่จะไปกันซีนพรรคคุณได้แล้วค่ะ”

‘เทปโก้’ เผย ผลตัวอย่างน้ำทะเล ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ’ หลังทำการปล่อยน้ำเสียสู่ทะเล ยัน!! ยังอยู่ในระดับปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ หรือ ‘เทปโก้’ ผู้เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ในประเทศญี่ปุ่นเผยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมว่า ผลตรวจตัวอย่างน้ำทะเลหลังการเริ่มปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ที่ผ่านการบำบัดแล้วของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเลเมื่อวานนี้ (24 ส.ค.) แสดงให้เห็นว่าระดับกัมมันตภาพรังสีในน้ำยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย

นายเคสุเกะ มัตซึโอะ โฆษกของเทปโก้กล่าวในการแถลงข่าวว่า “เรายืนยันว่าค่าที่วิเคราะห์ได้นั้นต่ำกว่า 1,500 เบ็กเคอเรลต่อลิตร” โดยหน่วยวัด เบ็กเคอเรลต่อลิตร จะถูกใช้ในการวัดระดับกัมมันตภาพรังสี ซึ่งค่ามาตรฐานความปลอดภัยแห่งชาติได้ระบุไว้ที่ 60,000 เบ็กเคอเรลต่อลิตร

นายมัตซึโอะกล่าวอีกว่า การตรวจตัวอย่างน้ำดังกล่าวได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกับผลการทดสอบก่อนหน้านี้ และได้ค่าที่ต่ำกว่าระดับมาตรฐานความปลอดภัยที่ระบุไว้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นแล้ว ทางหน่วยงานจะทำการวิเคราะห์ต่อไปทุกวันตลอด 1 เดือนข้างหน้าและหลังจากนั้น รวมถึงหวังว่าการให้คำอธิบายที่เข้าใจง่ายและรวดเร็วนี้ จะช่วยคลายความกังวลของหลายคนได้ ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นก็ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลจาก 11 แห่งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เพื่อนำไปตรวจสอบและจะมีการประกาศผลที่ได้ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้

นอกจากนั้นแล้ว สืบเนื่องจากที่ประเทศจีนได้มีคำสั่งแบนการนำเข้าอาหารทะเลทั้งหมดจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ หลังเริ่มปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเล ล่าสุด รายงานของเทอิโคคุ ดาตาแบงก์ บริษัทวิจัยตลาดเผยว่า บริษัทผู้ส่งออกอาหารของประเทศญี่ปุ่นไปยังประเทศจีนจำนวน 727 แห่ง ได้รับผลกระทบจากคำสั่งแบนดังกล่าวของจีน ซึ่งคิดเป็นราว 8% ของบริษัทญี่ปุ่นทั้งหมดที่ส่งสินค้าไปยังจีน

ประเทศญี่ปุ่นส่งออกผลิตภัณฑ์ทางทะเลไปยังประเทศจีนในปี 2022 เป็นมูลค่าราว 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 21,066 ล้านบาท ถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยการส่งออกไปยังประเทศจีนและฮ่องกงคิดเป็นสัดส่วน 42%  ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางทะเลทั้งหมดของญี่ปุ่นในปี 2022

นายยาสึโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ผู้รับผิดชอบในด้านนโยบายนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ได้วิงวอนให้นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเรียกร้องให้จีนยกเลิกการแบนดังกล่าว

‘สาธิต’ ยกพลร่อนหนังสือ จี้ ‘จุรินทร์’ ลงดาบ 16 สส.โหวตเศรษฐา ซัด!! ทำพรรคเสื่อมเสีย 'สิ้นศรัทธา-เป็นปฏิปักษ์-ผิดข้อบังคับร้ายแรง'

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลภาคกลาง พร้อมด้วย นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ รักษาการกรรมการบริหารพรรค นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้ลงโทษผู้มีพฤติกรรมทำผิดข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง ด้วยการเป็นปฏิปักษ์กับพรรค ด้วยการฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรค และที่ประชุม สส.ของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงและสร้างความแตกแยกในพรรค

หนังสือระบุว่า กระผมนายสาธิต ปิตุเตชะ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกจำนวนหนึ่ง พบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ปชป. (“สส.”) กระทำความผิด ฝ่าฝืนข้อ 18 (1) และ (2) และข้อ 124 ของข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ.2566 (“ข้อบังคับพรรคฯ”) และจรรยาบรรณพรรค ปชป. โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส.ของพรรค ปชป.อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติในที่ประชุมรัฐสภาขัดกับมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม ส.ส. โดยไม่สุจริต โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ก่อนวันประชุมร่วมกันของรัฐสภากำหนดการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น พรรค ปชป.ได้มีมติของที่ประชุม สส. ว่าให้ สส.ของพรรค ปชป. “ลงมติงดออกเสียง” ต่อมา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามี สส.ของพรรค ปชป. ได้แก่ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นได้ออกมาแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะที่ทำให้พรรค ปชป. ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พรรค ปชป. เกิดความแตกแยกสามัคคีภายใน การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรคฯ คนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดมติของพรรค เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค และกระทำความผิดข้อบังคับพรรค อย่างร้ายแรง เนื่องจากตามข้อบังคับพรรค สส.ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค ดังนี้

ข้อ 18 ระบุว่า “สมาชิกมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับพรรค และมติคณะกรรมการบริหารพรรค (2) รักษาชื่อเสียงของพรรคโดยไม่ปฏิบัติไปในทางที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 96 ระบุว่า “ให้ที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น เป็นผู้ลงมติว่าจะจัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลหรือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่”
ข้อ 115 ระบุว่า “นอกเหนือไปจากการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและข้อบังคับตามหมวด 4 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมของสมาชิกแล้ว ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติตามวินัย ดังต่อไปนี้ (6) ห้ามดำเนินการอื่นใดอันอาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 124 ระบุว่า “การลงโทษสมาชิกผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นจากสมาชิกภาพจะกระทำได้ต่อเมื่อปรากฏว่าสมาชิกผู้นั้นกระทำการให้พรรคเสียหายอย่างร้ายแรง หรือทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค หรือผู้ถูกกล่าวหาได้ฝ่าฝืนข้อบังคับพรรคหรือจรรยาบรรณของพรรค มติหรือคำสั่งของคณะกรรมการบริหารพรรค”

หนังสือระบุอีกว่า 2.การกระทำของนายเดชอิศม์สร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง นอกจากการกระทำความผิดของนายเดชอิศม์ ในข้อ 1. ข้างต้นแล้ว นายเดชอิศม์ยังกระทำการสร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรงด้วยการพูดจาไม่น่าเชื่อต่อสาธารณชน พูดกลับกลอกไม่มีความจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้...

2.1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าไม่ได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่ไปฮ่องกงเพื่อแก้บนให้แก่ภรรยาเท่านั้น นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อแก้บนหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทย เนื่องจากได้บนไว้ให้ภรรยาชนะการเลือกตั้ง ส่วนได้ไปพบนายทักษิณหรือไม่ ไม่ขอพูดดีกว่า” และยังพูดถึงเรื่องการร่วมรัฐบาลต่อไปอีกว่า “ส.ส.ในกลุ่มของนายเดชอิศม์ จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย นายเดชอิศม์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับมติพรรค และการจะร่วมรัฐบาลหรือไม่จะเป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ชุดที่มีอยู่ รวมกับ ส.ส.ปัจจุบัน เหมือนปี 2562 ที่มีการเถียงกัน 1 วัน 1 คืน สุดท้ายมีมติ 61 ต่อ 16 ให้ร่วมรัฐบาล ถ้าไปก็ไปทั้งพรรค และยืนยันจะไม่มีใครฉีกมติพรรค และไม่มีงูเห่าจากพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ภายใต้มติของกรรมการบริหารพรรค”

2.2 แต่ทว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณและพูดคุยถึงการร่วมรัฐบาลจริง และยังมีการพูดถึงแนวทางการร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอนหนึ่งว่า “จริงๆ หลักของประชาธิปัตย์ การร่วมรัฐบาลตนคิดคนเดียวไม่ได้ โดยหลักแล้ว 1.ต้องเทียบเชิญก่อน 2.กรรมการบริหารพรรคประชุมร่วม ส.ส. 25 คน รวม 52 คน ซึ่งการประชุมนี้ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรถือเป็นมติพรรค” และกล่าวยอมรับว่าได้เจอนายทักษิณที่ฮ่องกงจริงเมื่อโดนถามว่าไปฮ่องกงไหมจึงตอบว่า “ไป ซึ่งเป็นช่วงวันเกิดนายทักษิณพอดี ส่วนเจอนายทักษิณหรือไม่ นายเดชอิศม์กล่าวว่า เจอครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่อยากพูดเพราะกลัวว่านายทักษิณ หรือใครก็ตามจะเสียหาย ซึ่งนายทักษิณสนิทสนมกับตนส่วนตัว เพราะเคยลงสมัครพรรคไทยรักไทยปี 2548 ซึ่งก็ไม่มีความแค้นส่วนตัวกับใครอยู่แล้ว” และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ส่วนตัวผมจริงๆ ผมอยากให้ร่วมรัฐบาล เพื่อแนวคิดของเราอยากแก้ปัญหาประชาชนจะแก้ได้”

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริง พรรค ปชป.ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล และพรรค ปชป.ก็ไม่เคยมีมติเข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ แต่อย่างใด หากพรรค ปชป.จะเข้าร่วมรัฐบาลนั้นจะต้องมีมติพรรคจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาล และจะต้องมีการแต่งตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อเข้าร่วมการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่ใช่เป็นกรณีดังเช่นนายเดชอิศม์จะสามารถดำเนินการเจรจาโดยการตัดสินใจเพียงลำพัง

ด้วยเหตุนี้ การกระทำของนายเดชอิศม์ จากข้อเท็จจริงในข้อ 2.1 และ 2.2 ข้างต้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่านายเดชอิศม์ พูดจากลับไปกลับมา และการเข้าไปพูดพบนายทักษิณเพื่อพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาลนั้น เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วนายเดชอิศม์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึง สส.ของพรรค ปชป. พึงดำรงตนปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค และมติของพรรค รวมถึงจรรยาบรรณของพรรคอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชนและสมาชิกพรรคคนอื่น ดังนั้น การกระทำของนายเดชอิศม์ จึงเป็นเหตุสมควรให้ได้รับการลงโทษตามข้อ 124 ของข้อบังคับของพรรค

3.นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า ต้องทำตามมติพรรค แต่ต่อมากลับกระทำการฝ่าฝืนมติพรรคอย่างชัดเจน เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรค ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรคและทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามที่ก่อนหน้านี้ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องทำตามมติพรรค หากใครลงคะแนนเสียงขัดมติพรรคจะต้องลาออก แต่ต่อมาพวกเขากลับดำเนินการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีฝ่าฝืนมติพรรคโดยการลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรคทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรค ปชป. และอุดมการณ์ของพรรค ปชป. ซึ่งกรณีนี้เป็นเหตุให้พรรค ปชป.ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ การกระทำทั้งหมดดังที่ได้เรียนข้างต้นของนายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช กับ สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ทำให้เห็นว่าเจตนาของ สส.ทั้งหมดในการแหกมติเป็นการส่อให้เห็นว่าอยากร่วมรัฐบาล แม้ว่าพรรค ปชป.จะไม่ได้มีมติให้เข้าร่วม ยิ่งเป็นการตอกย้ำและทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาและความนิยมต่อพรรค ปชป. อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง

ด้วยเหตุนี้ จากข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าว การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. เนื่องจากพรรคไม่เคยมีมติหรือเห็นชอบในการเข้าร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด และพรรคได้มีมติอย่างชัดเจนว่าจะลงคะแนนเสียงในการให้ความเห็นชอบบุคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน เป็นการกระทำโดยเจตนาไม่สุจริต จงใจกระทำการฝ่าฝืนกับข้อบังคับพรรคด้วยการฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. อีกทั้งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรค ทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค และทำให้พรรค ที่มีอุดมการณ์มั่นคงมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานนั้นได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมศรัทธาและคะแนนนิยมของประชาชน ทำให้พรรคได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างชัดเจน จึงเป็นการกระทำความผิดข้อบังคับข้อ 18, 96, 115 และ 124

ด้วยเหตุผลดังที่เรียนไว้ในข้างต้นนี้ ขอให้รักษาการหัวหน้าพรรคตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนการกระทำความผิดดังกล่าวโดยเร็วที่สุดและดำเนินการลงโทษ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน ที่กระทำการผิดข้อบังคับพรรค ฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. ทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับพรรคด้วย

‘เศรษฐา’ แนะ!! ‘คนรุ่นใหม่’ ก่อนจะเป็นนายตัวเอง ควรไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน จะได้รู้ซึ้งถึง ‘การถูกกระทํา’

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @zadlifez แชร์คลิปวิดีโอของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แนะนำแนวทางสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ว่าก่อนจะไปเป็นนายตัวเอง ควรต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน โดยระบุว่า…

“อย่างไรการศึกษาก็เป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด ผมมาจากโอลด์สคูล ยังไงคุณต้องเรียนหนังสือ และหน้าที่ของพ่อแม่คือส่งลูกให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถเรียนได้ และต้องไปโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถไปได้ และในกําลังทรัพย์ที่เขาสามารถจะกู้เองหรือว่าพ่อแม่สามารถซัพพอร์ตได้”

“เรื่องของการทํางานมีหลายทฤษฎี ผมขออย่างเดียว คือ จบมาแล้ว อย่าไปทําสตาร์ตอัป อย่าเพิ่งไปเป็นเจ้าของกิจการ ขอใช้คําหยาบ ๆ แล้วกันนะ เพื่อที่จะได้เข้าใจ… คือ คุณต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน คุณต้องเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของการเป็นลูกน้องเขาก่อน นี่คือสิ่งที่ผมขอลูกผมทั้ง 3 คน ว่าต้องทํา คุณต้องไปเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องถูกใช้ก่อน คุณต้องเข้าใจความรู้สึกของการถูกใช้ก่อน เพราะในวันข้างหน้า เมื่อคุณจะเป็นเจ้าคนนายคน หรือคุณจะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าของกิจการบริษัท คุณจะได้รู้ซึ้งถึงการที่คุณ ‘ถูกกระทํา’”

“ผมว่าผมเป็นคนหัวโบราณนะ ผมไม่คิดว่ามีกี่คนที่เป็นแบบ ‘สตีฟ จ็อบส์’ หรือว่าเป็นแบบ ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ได้ คนอีก 500-600 คนที่จบมาทําสตาร์ตอัป แล้วประสบความสำเร็จมากพอที่จะสู้ได้ เป็นมหาเศรษฐีได้ มีเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ…”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top