Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตหัวหน้าพรรคประชาชาติ ชี้ 5 ปีพรรคประชาชาติเติบโตขึ้น

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา ได้เดินทางไปร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคประชาชาติครั้งที่ 2/2566 ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ในฐานะสมาชิกพรรคประชาชาติ และอดีตหัวหน้าพรรค

โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ ก่อนการประชุมใหญ่พรรคประชาชาติจะเริ่มขึ้น ชี้พรรคประชาชาติจะครบ 5 ปีในวันที่ 1 กันยายนนี้ ประจักษ์ชัดว่าประชาชาติไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ มีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้น เติบโตขึ้น เพราะรักษาสัจจะตั้งแต่วินาทีแรกของการก่อตั้งพรรค แม้จะมีคนบางกลุ่มพยายามรั้งไม่ให้เติบโต มีตัวแทนพรรคเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ และมีตัวแทนร่วมคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ย้ำบทบาทการทำหน้าที่ประธานสภาฯ หลายประเทศเข้าพบคารวะแสดงความยินดีและยกย่องที่ได้เป็นประธานสภาฯครั้งที่ 2 แม้ตนจะเป็นมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย แต่ได้รับการยอมรับจากคนไทยทั้งประเทศ แม้แต่ยูเครนเข้าพบหารือปัญหาการรักษาสันติภาพและเอกราชของประเทศ แนะทุกฝ่ายต้องรับฟังเสียงของผู้ที่กำลังเดือดร้อน ย้ำปัญหาประชาชนต้องเร่งแก้ ไม่ใช่แค่หน้าที่ฝ่ายบริหารอย่างเดียว แม้จะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ก่อนตั้งรัฐบาลได้เดินหน้าจับมือประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ร่วมมือไทย-อินโดนีเซียในฐานะสองประเทศผู้ผลิตยางพารา หาแนวทางเพิ่มมูลค่ายางพาราให้สูงขึ้น หลังปิดสมัยประชุมสภาฯนี้ มีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมรัฐสภาหลายประเทศ ทั้งซาอุดีอาระเบีย กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง จีน และเกาหลีใต้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยว และให้รับนักศึกษาและคนงานไทยเพิ่มขึ้น ย้ำการทำหน้าที่ประสภาฯอย่างเป็นกลาง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน 

โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า “วันที่ 1 กันยายนนี้จะครบ 5 ปีของการก่อตั้งพรรคประชาชาติ ซึ่งผมและพวกเราทั้งหลายได้ร่วมกันจัดตั้งพรรคประชาชาติขึ้น 5 ปีถือว่ายังไม่นานนัก ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กก็เพิ่งพ้นชั้นอนุบาล พรรคประชาชาติทำงานมา 5 ปีก็ยังถือว่าเราเป็นเด็ก แต่ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และพี่น้องประชาชนไทยทั่วประเทศยอมรับ เพียง 5 ปีเราได้เติบโตทางสมอง ที่คิดต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค ทางด้านจิตใจที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ มีเมตตาธรรม อยู่ในหลักการของคำสั่งสอนทุกศาสนา ที่ผ่านมามีบททดสอบมากมาย หลายคนบอกว่าประชาชาติเป็นพรรคเฉพาะกิจ ตั้งพรรคแล้วก็เลิกไป เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเท่าที่ควร แต่ตลอดระยะเวลา 5 ปีพิสูจน์แล้วว่าเราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจแน่นอน เพราะมีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 คน และอาจจะเพิ่มเป็น 100,000 คนในอนาคต นี่คือสิ่งยืนยันว่าเราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ พรรคประชาชาติเติบโตขึ้น แม้จะมีบางพรรคการเมืองจะรั้งความเติบโต พยายามไม่ให้ชนะเลือกตั้ง แต่ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเขาไม่สามารถทำให้พรรคล่มจมได้ พระผู้เป็นเจ้ายังเมตตาเพราะเรารักษาอามานะห์ (สัจจะ) ตั้งแต่วินาทีแรกของการตัังพรรคจนถึงปัจจุบัน”

ก่อนหน้านี้มีประเด็นข่าวว่าพรรคประชาชาติอาจถูกยุบพรรค ประเด็น กกต.ตัดสิทธิ์ผู้สมัครเลือกตั้งในจังหวัดสงขลา 2 เขต และจังหวัดสตูล 2 เขตนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ยืนยันไม่มีปัญหาใดๆกระทบต่อหัวหน้าพรรคและพรรคการเมือง โดยชี้แจงว่า “ศาลฎีกาตัดสินว่าผู้แทนประจำจังหวัดทั้ง 4 เขต หมดวาระการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเราได้แจ้ง กกต.ไปแล้วว่าเมื่อยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่ก็ให้รักษาการไปก่อน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเคารพคำตัดสินของศาล ส่งผู้สมัครเลือกตั้งที่ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครจะมีผลกระทบต่อหัวหน้าพรรค ขอยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด คำตัดสินของศาลฎีกาถึงที่สุด ผู้แทนประจำจังหวัดหมดวาระไม่สามารถส่งผู้สมัครได้ เท่ากับว่าผู้สมัครเลือกตั้งสี่คนนั้นถูกตัดออก จึงไม่มีผลกระทบต่อหัวหน้าพรรคและพรรคการเมือง ซึ่งไม่มีข้อกังวลใดๆ และได้ชี้แจงแล้ว รวมทั้งผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ยังสามารถดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคได้”

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ย้ำทำหน้าที่ประสภาฯ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี โดยกล่าวว่า “การทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีความสำคัญ เพราะเป็นหนึ่งในประมุขของอำนาจอธิปไตยของประเทศ คือนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ประธานศาลฎีกาเป็นประมุขฝ่ายตุลาการ สามอำนาจนี้คือเสาหลักของประชาธิปไตย พรรคเล็กอย่างเราก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเป็นประธานรัฐสภา ผมเคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี 2539 เมื่อ 27 ปีที่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง นี่คือตักดีร (สิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้) เป็นความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าผมก็น้อมรับไว้เพื่อบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนจำเป็นต้องทำ เพราะเป็นตำแหน่งสำคัญ ถ้าไม่มีประธานรัฐสภาก็เลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เมื่อรับตำแหน่งนี้แล้วผมต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อพี่น้องประชาชน เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของพวกเราทุกคน”

“ประธานรัฐสภามีหน้าที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อวันที่ 5-11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยไปประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประเทศสมาชิก 10 ประเทศ และมีประเทศผู้สังเกตการณ์อีก 20 กว่าประเทศ จะขอเล่าให้ฟังว่าประธานรัฐสภาของประเทศไทยได้รับความสนใจจากหลายประเทศมาก เพราะประธานรัฐสภาเป็นมุสลิมในประเทศที่มีมุสลิมไม่ถึง 10% และได้เป็นประธานสภาฯถึงสองครั้ง ประธานรัฐสภาหลายประเทศจึงมาพบเป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงความยินดี คารวะ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประเทศผู้สังเกตการณ์หลายประเทศมาขอพบด้วย เช่น โมร็อกโก และสิ่งที่ผมดีใจมากคือการขอเข้าพบของรองประธานรัฐสภาประเทศยูเครน เขาเป็นประเทศที่กำลังเดือดร้อนและกำลังถูกรุกรานเอกราช และกำลังทำสงครามมาขอพบ ผมก็ยินดี แต่หลายประเทศไม่ให้พบเพราะเกรงใจประเทศมหาอำนาจที่กำลังสู้รบอยู่ แต่ผมไม่เป็นไรยินดีพูดคุย เขาพูดยาวมาก เขาขอโทษที่พูดยาวและรบกวนเวลา ผมได้พูดตอบเขาแทนท่านทั้งหลายว่าไม่เป็นไร เสียงของคนที่เดือดร้อน เสียงของคนที่กำลังต่อสู้เพื่อสันติภาพและเอกราชของตนเอง  เป็นเรื่องที่เราต้องรับฟัง เขานั่งซึมเลย ผมในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติจะรับฟังและเล่าสู่ให้กับฝ่ายบริหารต่อไป คนที่เดือดร้อนกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชและสันติภาพ เป็นสิ่งที่เราควรจะรับฟัง เช่นเดียวกับพี่น้องประชาชนในประเทศของเรา ผมเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ถ้าประชาชนเดือดร้อนเราไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องของฝ่ายใด ความเดือดร้อนของประชาชนต้องไม่มีฝ่ายใดที่จะไม่รับฟัง เพราะฉะนั้นถึงแม้ผมจะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ มีเหตุระเบิดที่มูโน๊ะ ผมและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็พร้อมที่จะลงพื้นที่ และไปดูแลความเดือดร้อนเหล่านี้ พี่น้องประชาชนจะต้องได้รับการดูแลไม่เฉพาะแค่ฝ่ายบริหารเท่านั้น เราฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องดูแลท่าน เพราะท่านเดือดร้อน ท่านเสียชีวิตและทรัพย์สิน เราต้องไม่ทอดทิ้งกัน”

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวถึงการพบปะกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ว่า “ผมได้รับโอกาสพบกับท่านโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานอธิบดีครั้งที่สอง และเป็นผู้นำคนสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียเจริญก้าวหน้า ได้พูดคุยกันสั้นๆเพียง 20 นาทีที่ทำเนียบประธานาธิบดี ผมบอกท่านว่า ท่านเป็นบุคคลที่ผมอยากพบมาก เขาถามว่าทำไม ผมบอกว่าเพราะท่านคือผู้นำของประเทศอาเซียน ที่พัฒนาประชาธิปไตยมากที่สุดคนหนึ่ง ท่านเป็นผู้นำเศรษฐกิจของอาเซียน ประชากร 280 ล้านคนเจริญก้าวหน้า ด้วยฝีมือของท่านเพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นคนที่ผมอยากพบมากที่สุด และอยากจะขอความกรุณาท่านช่วยทำให้เศรษฐกิจที่บ้านผม คือทำราคายางพาราให้สูงขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศที่ผลิตยางพารามากที่สุดในโลกอันดับหนึ่งคือประเทศไทยและอันดับสองคืออินโดนีเซีย 2 ประเทศนี้ผลิตยางพาราเกินครึ่งหนึ่งของโลก คือ 54% อีก 10 ประเทศแค่ 46% ถ้าเราจับมือกันเราจะสามารถทำราคายางพาราให้สูงขึ้นได้ เพราะมีประเทศผู้ใช้ยางพารามากกว่าร้อยประเทศ และสินค้าที่ใช้ยางพาราก็มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่านประธานาธิบดีบอกว่าเห็นด้วยและจะมอบให้รัฐบาลอินโดนีเซียมาหารือกับรัฐบาลใหม่ของไทย นี่คืออามานะห์ (ความรับผิดชอบ) ที่ได้พูดหาเสียงกับท่านไว้ ได้นำไปทำแล้ว โดยหารือกับผู้นำประเทศ และได้ไปพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย ซึ่งดูแลราคายางพารา เขาเห็นด้วยกับวิธีที่เรานำเสนอ อินชาอัลลอฮฺ (ด้วยความประสงค์ของพระเจ้า) ขอดุอาอ์ให้ ประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียจับมือกัน ทำให้ประชากรทั้งสองประเทศมีการพัฒนา เศรษฐกิจราคายางพารา อย่างน้อยควรจะได้ 70 บาท ต้องทำได้ เมื่อเป็นรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว ผมจะชี้แจงให้เร็ว เพราะอินโดนีเซียบอกว่าต้องรีบหารือระหว่างรัฐบาลต่อไป”

นอกจากนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา มีแผนจะเดินทางเยี่ยมรัฐสภาหลายประเทศ หลังปิดสมัยประชุมสภาฯ “ก่อนหน้านี้ประธานสภาที่ปรึกษาซาอุดิอาระเบียได้มาเยี่ยมคารวะที่รัฐสภาไทย ได้หารือกันดีมากท่านเชิญผมไปเยี่ยมประเทศซาอุดิอาระเบีย และเข้าเฝ้ามกุฎราชกุมารมูฮัมมัด บินซัลมาน ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะมีเรื่องที่เราพูดคุยกันเรื่องการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องการลงทุน การศึกษา และศาสนา ซึ่งหลังปิดสมัยประชุมนี้ ผมจะเดินทางไปเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อที่จะดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทย และขอให้เขารับนักศึกษาไทย และคนงานไทยเข้าทำงานมากยิ่งขึ้น 

‘เบลล์ นันทิตา’ นักร้องสาวเวทีดัง แยกทางสามีชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน เผย ไปต่อกันไม่ได้ เตรียมกลับไทย คนบันเทิงแห่ส่งกำลังใจรัวๆ

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.66 นักร้องสาวเสียงดี ‘เบลล์ นันทิตา’ ที่โด่งดังจากเวที ‘Thailand’s got Talent’ ซีซัน 1 และมีผลงานเพลงโด่งดัง ‘เสียงที่เปลี่ยน’ หลังวิวาห์กับแฟนหนุ่ม ‘สตีเว่น ฮิโรชิ อิมานูระ’ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น สัญชาติอเมริกัน โดยจดทะเบียนสมรสใช้ชีวิตครอบครัวที่อเมริกากว่า 5 ปี ล่าสุดโพสต์กลางอินสตาแกรมส่วนตัว ประกาศแยกทางสามีแล้วว่า…

“ลดสถานะจากสามีภรรยามาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันก็ดีไปอีกแบบ เมื่อคนเราไปต่อกันไม่ได้เราก็ต้องไปตามของใครของมัน และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ขอบคุณทุกๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตค่ะ แล้วเจอกันไทยแลนด์” พร้อมแคปชันอิโมจิชูสองนิ้วสู้ๆ

โดยมีคนบันเทิงเข้ามาให้กำลังอย่างอบอุ่น อาทิ บุ๋ม ปนัดดา คอมเมนต์ส่งกำลังใจว่า “กอดๆๆ คนเก่งของแม่ อะไรก็ตามที่หนูมีความสุขคือดีที่สุดลูก”, นุ่น รมิดา ก็ส่งกำลังใจว่า “มาค่ะ ไม่มีอะไรสายที่จะเริ่มใหม่ แต่มากอดกันก่อน” เป็นต้น

มือปืนเหยียดเชื้อชาติ กราดยิงคนผิวดำดับ 3 รายในแจ็กสันวิลล์ สลด!! เหตุเกิดตรงกับวันครบรอบสุนทรพจน์ ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์’

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 ตามเวลาท้องถิ่น มือปืนรายหนึ่งก่อเหตุกราดยิงใส่คนผิวสี 3 ราย จนเสียชีวิตในแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตาม ถือเป็นเหตุสลดใจล่าสุดที่เกิดขึ้นเพราะการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ

มือปืนถูกระบุว่าเป็นคนผิวขาว อายุ 20 ต้นๆ ได้เข้าไปในร้านดอลลาร์เจเนอรัล และเปิดฉากยิงใส่คนผิวสีจนเสียชีวิต 3 ราย ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับตำรวจที่เข้าระงับเหตุ แต่คนร้ายได้จบชีวิตตนเองในท้ายที่สุด

‘นายอำเภอที เค วอเตอร์ส’ กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 2 รายและหญิง 1 ราย โดยมือปืนซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ ใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่มีน้ำหนักเบา และปืนพกในการก่อเหตุ

นายอำเภอวอเตอร์สเชื่อว่า มือปืนลงมือก่อเหตุตามลำพังและมีข้อมูลระบุว่า เขาต้องการฆ่าตัวตาย โดยมือปืนรายนี้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเขาในเคลย์เคาท์ตีของแจ็กสันวิลล์ โดยปืนอย่างน้อย 1 กระบอกของเขามีเครื่องหมายสวัสดิกะอยู่บนนั้น

ขณะที่ ‘ดอนนา ดีแกน’ นายกเทศมนตรีแจ็กสันวิลล์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังทางเชื้อชาติ และว่าแค่เหตุยิงเพียงครั้งเดียวก็มากเกินไป ยิ่งการกราดยิงหมู่เช่นนี้ยิ่งเป็นเรื่องเหลือที่จะรับได้

‘รอน เดอซานติส’ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา กล่าวว่า เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องน่ากลัว มือปืนพุ่งเป้าไปที่คนโดยดูจากเชื้อชาติของพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง และฆ่าตัวตายแทนที่จะเผชิญหน้า และรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เขาเลือกทางออกอย่างคนขี้ขลาด

ด้านทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว

เหตุกราดยิงดังกล่าวเกิดขึ้นในวันครบรอบ 60 ปีที่ ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์’ ได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดัง “I have a dream” เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองให้กับคนผิวสีในสหรัฐฯ

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ว่าที่ รมว.อุตสาหกรรม ในรัฐบาลนิด 1 ดีกรีมือศก.ขั้นเทพยุคบิ๊กตู่ ชายผู้ประกาศกร้าว หากทำงานไม่ดีให้มาด่า แต่อย่าด้อยค่าประเทศ

ชื่อของ หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร หรือ ‘หม่อมปืน’ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เริ่มปรากฏตามหน้าสื่อมากยิ่งขึ้น

แม้จะใหม่ในสนามการเมือง แต่ในแวดวงธุรกิจแล้ว ชื่อของ ม.ล.ชโยทิต เป็นที่รู้จักกันดี โดยหม่อมหลวงชโยทิต นอกจากจะเป็นผู้แทนการค้าไทยและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี-ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยังเคยผ่านงานตำแหน่งสำคัญในภาคธุรกิจมาแล้วมากมาย เช่น กรรมการ และประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) / ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) / กรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น

โดยผลงานเด่นจากรัฐบาลลุงตู่ของหม่อมปืน คือ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และยังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงของการหาเสียงเลือกครั้งใหญ่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ภายใต้แคมเปญที่ติดหูคนไทยทุกคนอย่าง ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ เน้นการสานงานของรัฐบาลเดิม

อันที่จริงแล้ว ก่อนที่ ‘ม.ล.ชโยทิต’ จะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ท่านเคยเข้ามางานให้กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อยู่พักหนึ่งแล้ว เป้าหมายเพราะอยากเข้ามาช่วยชาติเป็นสำคัญในวันที่วิกฤติเศรษฐกิจและโควิด19 ถาโถม 

ดังนั้นการเมืองครั้งล่าสุดนี้ จึงเปรียบเสมือนลูกติดพันที่ถ้าทำต่อ ก็จะได้เห็นความสำเร็จที่เริ่มไว้ โดยหากประเทศเสียโฟกัส เสียการขับเคลื่อนหรือผลักดันไป ประเทศอื่นจะเอาไป แล้วไทยจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เช่น เสียอุตสาหกรรมอีวีไป หรือเสียอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไป เป็นต้น

ทั้งนี้หากตกผลึกแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ ในมุมของหม่อมปืนนั้น จะพบหัวใจสำคัญหลักๆ ที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือประชาชนที่เปราะบางเป็นเรื่องสำคัญ

“เราช่วยอย่างมีวินัย และพุ่งเป้าตรง และช่วยอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อะไรต่างๆ ที่ช่วยคนยากจน หรือผู้สูงอายุ นโยบายของรวมไทยสร้างชาติ มีครอบคลุมหมด แต่เราช่วยเขา เพื่อให้เขายืนขึ้นได้ และให้เขาปรับเปลี่ยนตัวเองในมิติใหม่ของเศรษฐกิจ เพื่อให้เขาแข็งแรงจริงๆ ไม่ใช่สอนให้เขาเป็นง่อย หรือแบมืออย่างเดียว”

หม่อมปืน เผยอีกด้วยว่า “รัฐบาลลุงตู่ได้แก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีวินัย ไม่ให้มีผลกระทบกับสถานะการเงินการคลังของประเทศ นั่นหมายความว่า คอนเซปต์นโยบายเศรษฐกิจของรวมไทยสร้างชาติ จึงต้องช่วยทำให้มีการมาร่วมกันสร้างชาติให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่ไปจิกเงินของใครมาแล้วเอาไปให้คนอื่น หรือกู้มาแจก สิ่งที่เยียวยาเราต้องเยียวยาเพื่อให้คนไทยแข็งแกร่งขึ้น และเราก็หวังว่ามันจะลดน้อยลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้น”

ม.ล.ชโยทิต ยังบอกอีกว่า เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปร่วมเป็นรัฐบาล ก็มีหลายเรื่องที่ต้องเร่งเข้าไปทำไปแก้ปัญหาเช่นเรื่อง 'หนี้ครัวเรือน' ที่ต้องทำให้เสร็จ ทำให้ความไม่เป็นธรรม ได้รับการดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ไปปลดโซ่ตรวนตรงนั้นและทำเรื่อง Infrastructure ต่างๆ ของประเทศ / เรื่องพลังงาน อุตสาหกรรมอีวี / Smart Electronics ต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จ 

“วันนี้หลายประเทศจ้องจะแย่งจากประเทศไทย หากเราไม่มีเอกภาพ มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งบอกว่า เศรษฐกิจประเทศไทยยังนอนอยู่ ต้องกระตุ้นก่อน เราก็จะไปผิดทางได้ เพราะว่าความเป็นจริง เราฟื้นแล้ว รัฐบาลปักธงทุกอย่างไว้แล้ว ตอนนี้ต้องทำให้มันเดิม จะถอยหลังทำไม เรื่องเหล่านี้คือเรื่องเร่งด่วนทั้งสิ้น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม จะแย่งไทยเราอยู่ทุกวัน ในทุกวันนี้”

‘ม.ล.ชโยทิต’ ย้ำด้วยว่า หากคนไทยยังแตกแยกกัน มาเสนอไอเดีย สองขั้ว สามขั้ว จะเดินหน้าไปไม่ได้ และต้องเลิกมาด้อยค่าประเทศ หากมองว่าใครทำเศรษฐกิจย่ำแย่ หรือทำงานได้ไม่ดี ให้มาโทษคนทำ

“ประเทศไทยเรามีดีครับ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้ว เศรษฐกิจเราโตต่อเนื่องตลอด แต่คู่แข่งเราตก เราต้องมีความภาคภูมิใจในประเทศตัวเอง ไม่ใช่มาด้อยค่า ก็รู้ว่าอยากจะมาด่ารัฐบาล แต่ก็โทษคนทำสิ อย่ามาด้อยค่าประเทศ มาคุยกันตรงๆ ผมจะได้ตอบ”

และนี่ก็คือเสียงจาก ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ในยุครัฐบาลนิด 1 ที่คงต้องรอตามดูผลงานกันต่อไป
...................................

ประวัติโดยสรุป
- ชื่อ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ชื่อเล่น ปืน 
- การศึกษา : ปริญญาตรี เกียรตินิยมสาขา Economy History, University of London, UK
- ความเชี่ยวชาญ : บัญชี การเงิน การบริหารจัดการและบริหารธุรกิจ การบริหารหรือกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเศรษฐศาสตร์
- การฝึกอบรม : หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง (วตท.) รุ่นที่ 4 สถาบันวิทยาการตลาดทุน
- การอบรมหลักสูตรกรรมการ : หลักสูตร Corporate Governance for Capital Market Intermediaries (CGI 12/2016) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)

ประสบการณ์ทำงานล่าสุด
- ปี 2565 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ ผู้แทนการค้าไทย
- ปี 2564 ที่ปรึกษารองนายกฯ และหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุน
- ปี 2564 ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
- ปี 2562 – 2563 กรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด

สวนนงนุชพัทยา รับขวัญช้างมหัศจรรย์ถุงน้ำคล้ำแตกแล้วยังอยู่ในท้องแม่อีกสองวัน

ที่ปางช้างสวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี  นายกัมพล  ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วยพระครูเกษมกิตติโสภณ(อาจารย์จ่อย)  เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต  ร่วมเป็นประธาน พิธีเสริมสิริมงคล คล้องพวงมาลัยรับขวัญลูกช้างสมาชิกใหม่ล่าสุดที่เกิดจากแม่ช้าง  พังสาหร่าย  อายุ 22 ปี และพ่อช้างพลายหนิงหน่อง อายุ 27ปีเป็นช้างเชือกที่4ของปีและเป็นช้างที่คลอดที่สวนนงนุชพัทยาลำดับที่ 108  

โดยนายกัมพล  ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้ตั้งชื่อว่าพลายบุญมาก  เนื่องจากในวันที่18 สิงหาคม 2566 นั้นแม่ช้างพังสาหร่าย เกิดถุงน้ำคล้ำแตกไหลออกมาพร้อมที่จะคลอดตามธรรมชาติ แต่ปรากฏว่าผ่านไปสองวันลูกช้างพลายบุญมากยังไม่มีวี่แววคลอดออกมาเลยทำให้ทางสัตวแพทย์เป็นกังวลเนื่องจากถุงน้ำคล้ำแตกและสายสะดือขาดแล้วทำให้ลูกช้างมีโอกาสเสียชีวิตในท้องสูง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2566 เวลา 00.50 น. โดยมีควาญช้างและเจ้าหน้าที่สวนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด โดยลูกช้างก็คลอดออกมาแล้วนอนนิ่งทางเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าดูอาการเร่งเข้าไปช่วยพยุงและเช็ดตัวให้น้องช้างยืนขึ้น เร่งตรวจสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย เบื้องต้นลูกช้างและแม่ช้างมีสุขภาพแข็งแรงดี หลังตกลูกเป็นปกติ

พร้อมกันนี้ สวนนงนุชพัทยา ยังได้จัดขบวนนางรำและโขลงช้างกว่า 50 เชือกเข้าร่วมในพิธีรับขวัญช้างน้อย ซึ่งพิธีรับขวัญช้างที่กำเนิดใหม่ของปางช้างสวนนงนุชพัทยา ถือเป็นประเพณีที่ดีงามที่ต้องจัดขึ้นเมื่อมีช้างคลอดใหม่ทุกเชือก ช้างถือได้ว่าเป็นสัตว์คู่บ้าน คู่เมือง ของไทย เบื้องต้นทางสวนนงนุชพัทยาได้จัดทีมสัตว์แพทย์และควาญช้างดูแลอย่างดี  ปางช้างสวนนงนุชพัทยา ยังได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้าง จากกรมปศุสัตว์และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เป็นแห่งแรกของประเทศไทย

สืบนครบาลรวบ “บอย-ส้ม คู่รักกุนขแมร์” ตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าทั่วเมืองกรุง

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามจับกุมอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ตลอดจนอาชญากรที่สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริต โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบนครบาล (IDMB) ได้รับทราบถึงกลุ่มคนร้ายออกตระเวนล้วงกระเป๋าตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทั่วกรุงเทพฯ โดยมีวิธีการก่อเหตุคือจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน โดยคนหนึ่งจะทำการประชิดตัวผู้เสียหายเพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะทำการล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินไปก่อนจะหลบหนี  

โดย  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ผู้การจ๋อส่งทีมนักสืบ บช.น. นักสืบ 111 แกะรอยสืบสวน “กลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกลาดตระเวนล้วงกระเป๋า” พบมีการทำหน้าที่กันเป็นรูปแบบ และมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ โดยล่าสุด พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. จับกุมตัว นายบูย ยางฮา สัญชาติกัมพูชา และ นางสาวแมรี่ จีน สัญชาติกัมพูชา คู่รักมือฉมังตระเวนล้วงกระเป๋าทั่วเมืองกรุง พร้อมดำเนินการเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งขบวนการ

เมื่อวันที่ 26  สิงหาคม  2566  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระรองออย รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 บช.น. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.1 บช.น. , พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) นำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว

1. นายบูย หรือบอย ยางฮา อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา 
2.  นางสาวแมรี่ หรือส้ม จีน อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา 

ในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือที่ลักทรัพย์มา และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุรวมกว่า 36 รายการ โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 310 อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือที่ลักทรัพย์มา และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุรวมกว่า 36 รายการ

พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจากปัญหาการก่ออาชญากรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่ตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์สินของชาวบ้านในปัจจุบัน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้วางแนวทางการป้องกันและปราบปราม พร้อมอีกทั้งได้ให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจของ บก.สส.บช.น. เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว ซึ่งต่อมาได้สืบสวนจนพบกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกลาดตระเวนวิ่งราวทรัพย์ล้วงกระเป๋า จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. ทำการสืบสวน จนทราบแผนประทุษกรรมของแก๊งนี้คือ ผู้ก่อเหตุจะออกตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทั่วกรุงเทพฯ โดยมีวิธีการก่อเหตุคือจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน โดยคนหนึ่งจะทำการประชิดตัวผู้เสียหายเพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะทำการล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินไปก่อนจะหลบหนี  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถพบได้ว่ากลุ่มของผู้ก่อเหตุได้โดยสารรถประจำทางมาจากบริเวณห้างอิมพีเรียล สำโรง ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาวันที่ 26 ส.ค. 66 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล ลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้พักอาศัยที่ อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ทราบชื่อภายหลังคือ นายบูย หรือบอย ยางฮา อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา และ นางสาวแมรี่ หรือส้ม จีน อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา โดยระหว่างสืบสวนได้พบว่าทั้งสองคนนั้นได้เดินเข้า-ออกบริเวณห้องพักของตนจำนวนหลายครั้ง อีกทั้งมีการเก็บเสื้อผ้าคล้ายจะเตรียมทำการหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รีบแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้งสอง โดยจับกุมได้ที่ บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 310 อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

 ในชั้นจับกุม นายบูยฯ และนางสาวแมรี่ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2565 ตนทั้งสองได้ลักลอบเข้าประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณ จ.สระแก้ว โดยเมื่อเข้ามาในประเทศไทย ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง จึงได้วางแผนร่วมกันก่อเหตุล้วงประเป๋า โดยได้มีการซักซ้อมกันจนชำนาญ ก่อนที่จะออกก่อเหตุตามบริเวณห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมากในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อนำทรัพย์สินที่ได้ไปขายเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยได้ก่อเหตุรวมมากกว่า 100 ครั้ง หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล จึงได้นำตัว นายบูยฯ และนางสาวแมรี่ฯ 

ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “การเดินทางระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ แต่เมื่อเข้ามาในประเทศของผู้อื่นแล้ว ก็ต้องเคารพซึ่งกฎหมายของแต่ละประเทศเช่นกัน โดยขอฝากเตือนไปยังกลุ่มผู้เข้ามาภายในประเทศไทยโดยที่คิดสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนนั้น ให้คิดเลิกทำ แต่ถ้ายังไม่เลิกทำ เราจะติดตามท่าน จนไปถึงหน้าประตูแม้อยู่นอกกรุงเทพ”

‘บก.ลายจุด’ โชว์กึ๋นเศรษฐศาสตร์ ชำแหละ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้!! หากแหล่งที่มาคือการสร้างหนี้ จะเกิดเงินเฟ้อ-ข้าวของแพงขึ้น

(27 ส.ค. 66) นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ ‘บก.ลายจุด’ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมบัติ บุญงามอนงค์’ ระบุว่า…

เศรษฐศาสตร์ดิจิทัลลวอลเล็ต

- GDP ไทย 2022 อยู่ที่ 19.8 ล้านล้านบาท

- ดิจิทัลวอลเล็ต 540,000 ล้านบาท

- เพื่อไทยบอกว่าที่มาของเงินมาจากการบริหารงบประมาณ ตัดงบส่วนที่ไม่จำเป็นเพื่อมาทำโครงการ ในข้อเท็จจริง การใช้จ่ายภาครัฐเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหนึ่งที่สำคัญและมีผลต่อ GDP การชักเอาเงินออกจากการใช้จ่ายภาครัฐมาเป็นค่าใช้จ่ายของครัวเรือนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จึงยังสงสัยว่า กำลังซื้อภาครัฐที่หายไปจะส่งผลกระทบต่อ GDP อย่างไร และเมื่อเทียบกับการให้การใช้เงินอยู่ในมือประชาชนจะส่งผลดีกว่าการใช้จ่ายภาครัฐอยู่ที่เท่าใด และเมื่อคำนวณ GDP ก็ต้องไปตัดลดส่วนของค่าใช้จ่ายภาครัฐลงแล้วบวกด้วยค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน

- การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ได้รับการอัดฉีดผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อถึงที่สุดแล้วจะส่งผลต่อปัจจัยการนำเข้ามากน้อยเพียงใด เมื่อห่วงโซ่การผลิตและสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีนกลายเป็นสภาพแวดล้อมสำคัญในการบริโภคในไทย ทั้งนี้รวมถึงการบริโภคพลังงานที่เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตีฟู ที่ต้องกล่าวถึงปัจจัยการนำเข้าเพราะจะมีผลต่อการคำนวณ GDP

- การพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนควรต้องพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการผลิตให้เพิ่มประสิทธิภาพและแข่งขันได้ คำถามคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ใช้งบประมาณรัฐสูงขนาดนี้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างไร อันจะเป็นการชี้วัดการพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง

- การแจกเงินหมื่นให้ประชาชน หากตกอยู่ในมือประชาชนผู้มีรายได้น้อยพวกเขาย่อมใช้จ่ายเงินนั้นอย่างเต็มที่ในการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะส่งผลอย่างเห็นได้ชัด แต่หากตกอยู่ในมือผู้มีรายได้ระดับหนึ่งที่ไม่มีความเดือดร้อน โอกาสที่ประชาชนเหล่านั้นจะใช้เงินหมื่นนี้ในการลดค่าใช้จ่ายประจำของตนเอง โดยเก็บเงินในบัญชีตนเองไว้แล้วใช้เงินในวอลเล็ตแทน เม็ดเงินดังกล่าวก็จะไม่ก่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและกลายเป็นเงินเก็บในบัญชีของคนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตามอาจโต้แย้งได้ว่าจำนวนคนที่มีกำลังทางเศรษฐกิจอยู่แล้วมีไม่มากนักเมื่อเทียบคนจนในประเทศ

- สภาวะทางเศรษฐกิจช่วงที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตดำเนินอยู่จะเป็นช่วงกระทิง ผู้คนจับจ่ายใช้สอยกันคึกคัก แต่หลังโครงการจบทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่้ภาวะใกล้เคียงก่อนหน้านั้น จมูกที่พ้นน้ำก็ต้องกลับมาอยู่ในระดับเดิม และอะไรคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะต่อจากนั้นเพราะนี่คือพลังบริโภคเทียม

- เราต้องไม่ลืมว่าไม่มีอะไรฟรี หากแหล่งที่มาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้มาจากการสร้างหนี้ นี่คือการใช้เงินของคนไทยในอนาคต และการลงทุนนั้นมีหลักอยู่ว่าสิ่งที่ลงทุนไปควรได้รับประโยชน์กลับคืนมากกว่าหรือไม่น้อยกว่าที่ลงทุนไป ต่อให้ผู้ชำระเงินเป็นคนไทยในอนาคตก็ตามที และยังมีปัญหาเงินเฟ้อข้าวของแพงขึ้นแล้วจะไม่ลดลงโดยง่ายหลังสินค้าขึ้นราคา

ปล.คุณสามารถตำหนิผมได้ โดยการอธิบายและโต้แย้งหักล้างสิ่งที่ผมอธิบาย

‘ธนกร’ โพสต์ซึ้งถึง ‘บิ๊กตู่’ ผู้นำที่มอบโอกาสในการทำงาน ยกเป็น ‘โมเดลนายกรัฐมนตรี’ ที่มุ่งอุทิศชีวิตเพื่อประเทศชาติ

‘ธนกร’ โพสต์ขอบคุณ ‘บิ๊กตู่’ ผู้ให้โอกาส ชื่นชมเป็นผู้จงรักภักดีชาติ สถาบันฯ นักบริหารยอดเยี่ยม มุ่งอุทิศแรงกาย-ใจ ตลอด 9 ปี พัฒนาประเทศทุกมิติ นำพาก้าวข้ามความแตกแยก ยกเป็น ‘โมเดลของการเป็นนายกรัฐมนตรี’ ชี้!! “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป”

(27 ส.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุหัวข้อ ‘ลุงตู่’ ในดวงใจ พร้อมกล่าวถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า…

- กราบขอบพระคุณ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และยึดมั่นต่อประชาชน ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานของไทย 9 ปี

- กราบขอบพระคุณ พลเอก ประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรีที่พาสังคมไทย ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความแตกแยกทางความคิดทางการเมือง กลับมาเป็นไทยแลนด์ 4.0 ที่เดินหน้ามุ่งสู่ความ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 

- กราบขอบพระคุณ พลเอก ประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรี สำหรับการจัดการวิกฤตโควิด-19 จนไทยได้รับเสียงชื่นชมทั่วโลกและถูกยกย่องให้เป็นประเทศที่ฟื้นตัวหลังโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับ 1 ของโลก

- กราบขอบพระคุณ พลเอกประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรี ที่ยืนหยัดดูแลคนไทย สร้างความเท่าเทียมอย่างทั่วถึง วางรากฐาน สร้างโอกาสพัฒนาประเทศทั้งเศรษฐกิจ เกษตร อุตสาหกรรม  คมนาคม เทคโนโลยี สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งงานด้านต่างประเทศที่ประสบคำเสร็จ คืนความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 30 ปี

สำหรับผมแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ ‘โมเดลของการเป็นนายกรัฐมนตรี’ เป็นนักบริหารที่ยอดเยี่ยม มุ่งมั่นทำงาน อุทิศแรงกาย-ใจ สติปัญญา ยึดหลักกฎหมาย-นิติธรรม ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นผู้บังคับบัญชาดุจกัลยาณมิตร แนะนำการทำงาน ให้คำปรึกษา ในการทำงานของผม ทั้งโฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งบทบาทผู้แทนประชาชนในฐานะ สส.ด้วย

เชื่อว่า ข้าราชการและนักการเมืองหลายท่านที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพลเอก ประยุทธ์ฯ พร้อมจะทำหน้าที่ สานต่อนโยบาย แผนงานและโครงการต่างๆ ที่ท่านได้ริเริ่มไว้ เพราะวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ฯ ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงาม ทั้งในการบริหารราชการแผ่นดินและการทำงานการเมือง ให้หลายคนกลับมาเชื่อในความซื่อสัตย์ สุจริต ผลของความมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศชาติและประโยชน์ของพี่น้องประชาชน สมคำกล่าวที่ว่า “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป”

ในฐานะส่วนตัว พลเอก ประยุทธ์ เป็นคนที่ให้โอกาสผมในทุกๆเรื่อง สำหรับผมแล้ว ท่านเป็นผู้มีพระคุณท่านจะอยู่ในใจผมตลอดไป

ด้วยจิตคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของไทย

ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง ‘รัฐบาลสลายขั้ว’ ชี้!! ไม่เชื่อมั่นว่าจะแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองได้ง่ายๆ

(27 ส.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ความขัดแย้งทางการเมือง สลายหรือยัง?’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 23-25 ส.ค.จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มต่างๆ ของประชาชน พบว่า ร้อยละ 87.63 ระบุว่า ไม่เคยไปร่วมชุมนุมใดๆ กับกลุ่มทางการเมืองเหล่านี้ ร้อยละ 4.35 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-กลุ่มเสื้อแดง)

ร้อยละ 3.13 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-กลุ่มเสื้อเหลือง) ร้อยละ 3.05 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และร้อยละ 2.82 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มสามนิ้ว (กลุ่มเสื้อส้ม)

ด้านกลุ่มทางการเมืองที่ประชาชนมองว่าตนเองอยู่ในปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 69.47 ระบุว่า ไม่อยู่ในกลุ่มทางการเมืองใดๆ ร้อยละ 19.85 ระบุว่า กลุ่มสามนิ้ว (กลุ่มเสื้อส้ม) ร้อยละ 6.64 ระบุว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-กลุ่มเสื้อแดง)

ร้อยละ 2.59 ระบุว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-กลุ่มเสื้อเหลือง) และร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษ ‘สลายขั้ว’ ของพรรคเพื่อไทย โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่า ร้อยละ 36.72 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 20.61 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 20.53 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 19.85 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่า ร้อยละ 30.76 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 27.02 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 22.29 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 18.25 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทางการเมืองในอนาคต พบว่า ร้อยละ 39.39 ระบุว่า กลุ่มเสื้อส้ม กับ ทุกกลุ่ม (เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส.) ร้อยละ 24.89 ระบุว่า ไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอีกต่อไป ร้อยละ 16.56 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดง กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 6.72 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่มเสื้อแดง

ร้อยละ 2.44 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดง กับ กลุ่ม กปปส. ร้อยละ 2.29 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่ม กปปส. กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 0.53 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่ม กปปส. และร้อยละ 10.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘แป้ง อรจิรา’ เปิดใจ ชีวิตครอบครัวหลังมีลูก ไม่ใช่เรื่องง่าย เผย ช่วงเป็นพ่อแม่มือใหม่ ทะเลาะกับสามีจนเกือบเลิกกัน!!

(27 ส.ค. 66) ผันตัวมาเป็นคุณแม่แบบเต็มเวลา สำหรับ นางเอกสาว ‘แป้ง อรจิรา’ ที่ช่วงนี้แฟนๆ จะได้เห็นหน้าก็เพียงในช่องยูทูบของตัวเองเท่านั้น หลังจากที่แต่งงานกับนักธุรกิจหนุ่ม ไลโอเนล ลี และมีลูกสาว ‘น้องเลอา’ โดยล่าสุดเจ้าตัวก็ได้มาอัปเดตชีวิตหลังมีลูกให้ได้ฟังแบบหมดเปลือกในรายการ Momster EP.85 ในชื่อตอนที่ว่า ‘ตอบหมดเปลือก! Q&A หลังมีลูก ของ ‘แป้ง อรจิรา’ ทะเลาะกับสามีจนเกือบเลิก?!!’ ที่แป้งบอกว่าเป็นการอัปเดตชีวิตหลังมีลูกมาแล้วเกือบ 2 ปีว่า…

“ตั้งแต่มีลูกความสัมพันธ์กับสามีคือช่วงแรกๆ ตีกันเยอะ ตอนที่เราเป็นแม่มือใหม่ ก็ตีกันเพราะเราเป็นคนนอยด์ เวลาจะทำอะไรก็กังวล เขาก็บ่นว่าเราไปทำให้เขาเป็นคนเครียดจากที่ไม่เคยเครียด ก็ตีกันในช่วงแรกๆ

คือครอบครัวมันก็เป็นอย่างนี้ พอเริ่มอยู่กันนานมากกว่าปีสองปี ตอนเป็นแฟนเราอาจจะคบหนึ่งมากสุด 3 ปี พอมาเป็นครอบครัวมันเป็นการปรับตัวระยะยาวไม่ใช่ระยะสั้น มันเลยมีช่วงที่ดีและช่วงที่ไม่ดี พอมีลูกก็ประคับประคองครอบครัวให้ไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น ซึ่งไม่ง่ายเลย”

ทั้งนี้ เมื่อถามว่าตั้งแต่คบกันมาเคยจะเลิกกันบ้างมั้ย แป้งก็ลากเสียงยาวว่า “หูยย ตลอดเวลา” ทั้งยังเล่าต่อว่า “ตั้งแต่ก่อนมีลูก นิดนึงก็แบบ ก่อนท้องก็รู้สึกไม่ไหวแล้วนะ จะเลิกแล้ว พอท้องก็ไม่ไหว จะเลิกแล้ว ก็คือเป็นตลอด อาจจะเป็นข้อเสียของแป้งในอดีตที่เป็นคนไม่มีความอดทน พอมีอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็คิดว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเลิกกัน แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันต้องค่อยๆ พยายามคุยกันปรับกัน”

“ต่อให้มีลูกแล้ว บางทีเรารู้สึกไม่ไหว เราอยากเลิก เราก็พูดกับเขานะ รู้มั้ยว่าทำให้เราไม่อยากอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ และใช้ชีวิตแบบนี้ เพื่อที่จะบอกว่าเราควรจะทำอะไรสักอย่าง พอเราพูดกันตรงๆ ก็จะมีการปรับจูนเข้าหากันมากขึ้น ไม่ใช่เอะอะก็จะเลิก และลูกถือเป็นกาวใจให้พ่อกับแม่ เพราะตัวเองรักตัวเองที่สุด ความสุขของตัวเองคือความสุขที่สุดในชีวิต แต่ตั้งแต่มีลูก ความสุขที่สุดของเรา คือลูก” แป้ง อรจิรา กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top