Friday, 23 May 2025
NewsFeed

สมุทรปราการ-ดวลเพลง ชิง 100,000 บาท!! “สมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย” จัดประกวดร้องเพลงจีนสากลไต้หวัน เงินรางวัลกว่า 200,000 บาท

ภายในหอประชุม สมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย เทศบาลบางปู 65 ถนนสุขุมวิท ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.จังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้การแนะแนวจากกระทรวงวัฒนธรรม สาธารณรัฐจีนไต้หวัน โดยคณะกรรมการกิจการชาวจีนโพ้นทะเลสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรปราการ

ได้จัดการประกวดร้องเพลงจีนสากลไต้หวัน ปี 2023 ขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมเพลงยอดนิยมของไต้หวันอย่างต่อเนื่อง โดยมี ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์ รองประธานสมาคมไทย-ไต้หวัน และประธานสมาคมสตรีนักธุรกิจไทย-ไต้หวัน ประธานฝ่ายจัดงาน กล่าวให้การต้อนรับ โดยมีนางเพ็ญณี ไพรสานฑ์กุล นายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน สำหรับการประกวดร้องเพลงจีนสากลไต้หวัน รอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้

มีนักร้องจากประเทศไทยและชาวไต้หวัน รวม 17 คน โดยมีเงินรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศสูงถึง 100,000 บาท พร้อมตั๋วเครื่องบินสายการบิน China Airlines ไป - กลับ กรุงเทพ - ไทเป 1 ที่นั่ง รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งเป็นเงินรางวัล 50,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 30,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีรางวัลอื่นๆ อีกกว่า 10 รางวัล  โดยปีนี้ทางสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินความประสงค์เดิมที่จะส่งเสริมภาษาจีนและเพลงจีน โดยเน้นให้ผู้คนรู้จักวัฒนธรรมดนตรีอันงดงามของไต้หวันมากขึ้น จึงได้จัดการแข่งขันร้องเพลงจีนสากลไต้หวันขึ้นมาในปีนี้

โดยมี น้องอิงค์ ชิสา วิเศษกุล หลางกาลาหมู่ ทูตวัฒนธรรมไทยจีน เป็นศิลปินนักร้องฉายา เติ้งลี่จวิน เมืองไทยได้รับเกียรติจากสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย เป็นศิลปินรับเชิญ ร่วมขับร้องเพลงในงานนี้ด้วย และสำหรับการประกวดร้องเพลงจีนสากลไต้หวัน ประจำปี 2566 รอบชิงชนะเลิศ ในครั้งนี้ อันดับที่ 1 ได้แก่ James Chakchalat อันดับที่ 2 ได้แก่ นางสาว เอมมาลี มูลสาร และอันดับที่ 3 ได้แก่ นางสาว อัญญาภา ทรัพย์จูงสกุล บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่นด้วยเสียงเพลงอันไพเราะตลอดทั้งงาน

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘แกรนด์ เดอะสตาร์’ เผยเหตุผลที่ไม่มีแบรนด์เนมสักใบ ลั่น!! ไม่ชอบ แต่ถ้าให้คนอื่นคือเต็มที่ ของตัวเองซื้อจาก ‘ช้อปปี้-ยูเนี่ยน มอลล์’ ดีกว่า

(28 ส.ค. 66) เป็นอีกหนึ่งนักร้องสาวโด่งดังมาจากการเข้าประกวดเวทีเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปีที่ 5 สำหรับ ‘แกรนด์ กรณ์ภัสสร ด้วยเศียรเกล้า’ ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอเคยเป็นพิธีกรรายวัยรุ่นชื่อดังอย่าง สตรอเบอรี่ชีสเค้ก และเป็นแบบให้แก่นิตยสารต่าง ๆ มีเพลงโด่งดังมากมาย เช่น คนในกระจก, ตุ๊กตาบลายท์, เว้นวรรค และอีกมากมาย

ล่าสุด สาวแกรนด์ ได้มาเป็นแขกรับเชิญในรายกร จีบหนูหน่อย EP.211 โดยช่วงหนึ่งของรายการก็มีคำถามที่ว่า ไม่ติดแบรนด์เนม เพราะส่วนตัวไม่ชอบ สาวแกรนด์จึงตอบกลับว่า…

“ฟังนะ ไม่มีแบรนด์เนมเลยสักใบเดียว ไม่ใช้เลย เพราะส่วนตัวไม่ชอบ ถ้าจะซื้อกระเป๋า จะซื้อจากช้อปปี้ ซื้อจากยูเนี่ยน มอลล์ แต่ซื้อกระเป๋าแบรนด์ให้คนอื่นเป็นแสน เขาน่าจะเหมาะ อยากให้กับคนอื่นให้เต็มที่ แต่กับส่วนตัวเองไม่ใช้ ถ้าเป็นตัวเองขอเลือกของลดราคา แบรนด์เนมลดราคาก็ไม่เอาเพราะแพงอยู่ แต่ถ้าซื้อให้คนอื่นซื้อได้”

‘สุชาติ’ อำลาตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ‘ข้าราชการ-ผู้นำแรงงาน’ มอบดอกไม้-ส่งกำลังใจเพียบ

(28 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล ศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ และศาลพ่อปู่ชินพรหมมา เนื่องในโอกาสอำลาตำแหน่ง โดยมี นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมอย่างเนืองแน่นเต็มพื้นที่โถงด้านล่างกระทรวงแรงงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงานเสร็จสิ้นแล้ว นายสุชาติได้รับมอบดอกไม้พร้อมพบปะพูดคุยด้วยความเป็นกันเองกับคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน โดยแต่ละหน่วยงานต่างมีป้ายข้อความให้กำลังใจ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความผูกพันที่ข้าราชการกระทรวงแรงงานพร้อมใจกันแสดงออกต่อนายสุชาติ

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาวบ้านตัวแทนชุมชนแฟลตดินแดง ได้เดินทางเข้ามอบกระเช้าสิ่งของและดอกไม้ให้กำลังใจ เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายสุชาติได้นำมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวชุมชนดินแดงได้ก้าวพ้นวิกฤต ขณะเดียวกัน มีผู้นำสหภาพแรงงานต่าง ๆ เดินทางมาร่วมมอบดอกไม้ให้ขอบคุณและให้กำลังใจนายสุชาติ ที่เป็นรัฐมนตรีในดวงใจช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ก้าวพ้นวิกฤตโควิด-19 ด้วยมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาลและกระทรวงแรงงานด้วยเช่นกัน ทำให้นายสุชาติถึงกับน้ำตาซึม ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่น้องแรงงานและข้าราชการที่มอบความรักให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการพูดคุยกับกลุ่มข้าราชการกระทรวงแรงงานอาวุโส ต่างประทับใจในตัวนายสุชาติ เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นคนใจดี ถึงลูกถึงคน หัวใจนักเลง และเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในประวัติศาสตร์กระทรวงแรงงานที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด ซึ่งปกติจะอยู่เพียงแค่ 1-2 ปี แต่ตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมา นายสุชาติทำงานจนทำให้กระทรวงแรงงานเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสังคม

ข้าราชการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) รายหนึ่ง กล่าวว่า ข้าราชการประกันสังคมทุกคนต่างยกย่องชื่นชมนายสุชาติที่ทำงานหนักเพื่อผู้ใช้แรงงานและเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการ

“โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้ร่วมหัวจมท้าย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมา เพราะขณะนั้นประชาชนทุกข์ทุกร้อนกังวัลใจจากวิกฤติโควิด-19 จนต้องเปิดสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เป็นจุดตรวจคัดกรองและฉีดวัคซีน และในที่สุด ท่านก็สามารถนำพาข้าราชการให้ผ่านพ้นสถานการณ์นั้นมาได้” ข้าราชการรายเดิม กล่าว

นายสุชาติ กล่าวว่า อะไรที่เป็นนโยบายที่ดีและเกิดประโยชน์กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานก็อยากให้ได้มีการได้สานต่อ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป และว่า อยากให้มีการผลักดัน พระราชบัญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคม 3 ขอ ให้แล้วเสร็จ สร้างโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อความภาคภูมิใจของผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

‘มินตัน’ โพสต์ระบาย ถูก อดีต รปภ. คุกคามนาน 3 ปี แม้ถูกลงโทษแต่ก็ไม่สำนึก ยังตามระรานให้หวาดระแวง

(28 ส.ค. 66) ก่อนหน้านี้ อดีต รปภ. ผู้คุกคามทางเพศ ‘มินตัน’ หรือ น.ส.มินตรา เน็ตไอดอลชื่อดัง ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้ว และศาลมีคำสั่งห้ามเข้าใกล้หรือแสดงพฤติกรรมคุกคามอีก แต่อดีต รปภ. คนนี้ก็ยังไม่หยุดพฤติกรรมคุกคาม เพราะได้มีการส่งข้อความหา ‘มินตัน’ สร้างความเดือดร้อนรำคาญและหวาดระแวงอย่างยิ่ง

ล่าสุด ‘มินตัน’ ได้ออกมาเปิดเผยทางเฟซบุ๊ก ‘หนูมินตันทาสกระดาน’ ว่า อัปเดตเรื่องโรคจิตที่คุกคามมินตันนะคะ ถือว่าเรื่องของหนูเป็นโพสต์เตือนภัยสังคม หรือเคสตัวอย่างนะคะ

การถูกโรคจิตพยายามคุกคามทางเพศมาเกือบ 3 ปี ศาลก็ตัดสินให้โรคจิตหยุดคุกคามมินตันทั้งในชีวิตจริงและในโซเชียล แต่เขาก็ไม่หยุด แล้วเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวกฎหมายอะไรเลย 🙁

ส่วนโทษก็แค่รอลงอาญา+คุมประพฤตินิด ๆ หน่อย ๆ ส่วนโรคจิตก็ยังคอยแอบคุกคามเหมือนเดิม แต่ระวังตัวขึ้น กฎหมาย…ต้องรอให้เหยื่อถูกกระทำสำเร็จก่อนจริง ๆ ถึงเอาผิดได้แบบจริงจัง

หนูพยายามอยู่เงียบ ๆ เรื่องนี้ หนูไม่ชอบดรามา ไม่ชอบเลยจริง ๆ หนูอยากตั้งใจทำงาน แต่ว่ายิ่งมินตันอยู่เงียบ ๆ เขาก็ยิ่งได้ใจและคุกคามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

มินตันระบุเพิ่มเติมว่า แล้วใครที่บอกว่า เพราะมินตันแต่งคอสเพลย์ หรือเพราะมินตันใส่ขาสั้นถ่ายรูป บลา ๆ “มินตันก็เลยสมควรถูกคุกคาม” !! มันมีจริงๆ นะคะพวกคนที่คิดแบบนี้มีเยอะด้วย คือหนูมีสิทธิแต่งตัวแบบไหนก็ได้ป่าววะ

หนูเคยบล็อกเขาทุกช่องทาง มินตันเคยทำแล้วในช่วงปีแรก ๆ ที่เขาคุกคาม มินตันบล็อกแล้วปล่อยเงียบ คนก็ทักมาเตือนเต็มเลย เพราะเขาจะมาดักเจอกับจะมาหาที่บ้าน พอบล็อก ยิ่งน่ากลัวตรงที่หนูจะไม่มีข้อมูลเลยว่าเขาจะไปดักเจอดักรอยังไงนะคะ 🙁

เดี๋ยวมินตันจะต้องไปแจ้งความเพิ่มอีกค่ะ ถ้ารอบนี้มีอะไรคืบหน้าจะอัปเดตนะคะ

คนที่บ้านโรคจิต พ่อ แม่ ฯลฯ เขารับรู้ค่ะ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนเลย”

ภายหลังจากโพสต์ข้อความไปแล้วก็มีคนเข้ามาให้กำลังใจมินตันเป็นจำนวนมากพร้อมทั้งยังแสดงความห่วยใยและประณามพฤติกรรมคุกคามของอดีต รปภ. คนนี้ด้วย

‘ก้อง ห้วยไร่’ เปย์ค่าตั๋วคอนฯ ให้แฟนคลับ 300 บาท หลังบอกอยากไปดูนักร้องหน้าใส ตาคม จมูกโด่งเล่น

(28 ส.ค. 66) ไปทัวร์คอนเสิร์ตแต่ละทีก็มักจะมีเรื่องราวกับแฟนคลับอยู่ตลอด และล่าสุดนักร้องอารมณ์ดี ‘ก้อง ห้วยไร่’ ที่ไปเล่นคอนเสิร์ตที่จังหวัดมุกดาหาร แถมขายบัตรคอนเสิร์ตจนหมด ก็ออกมาโพสต์ขำๆ บอกแฟนๆ ว่า

“#บัตรเต็มเเล้ว ใครจะมาคืนนี้ที่ตะวันแดง มุกดาหารก็ไม่ต้องมาครับ เล่นไม่สนุก คนเยอะแออัด นักร้องพูดจาหยาบคาย ร้องเพลงจบบ้างไม่จบบ้าง ทั้งตัวได้แค่หล่อ นอกนั้นโบ๋เบ๋”

ก็มีแฟนคลับรายหนึ่งเข้ามาคอมเมนต์ว่า “บ่เป็นตาไปเบิ่งโชว์ดอก ไคแต่ว่านักร้องหน้าใส ตาคมดั้งโด่ง กะสิไปแย้งจักหน่อย (ไม่น่าไปดูโชว์หรอก ดีที่ว่านักร้องหน้าใส ตาคม จมูกโด่ง ก็จะไปดูสักหน่อยล่ะกัน)”

งานนี้ก้องได้เข้ามาบอก “เอาเลขบัญชีมา ตอนเย็นถ้าไม่มีโต๊ะขึ้นไปนั่งกับผมบนเวทีเลยนะ” แฟนคลับคนดังกล่าวก็ได้ส่งเลขบัญชีให้ ต่อมานักร้องคนดังก็ส่งรูปสลิปโอนเงินเป็นจำนวน 300 บาท พร้อมบอก “ค่า เบียร์ออกเอง”

‘หน่อง อรุโณชา’ ปลื้ม ‘บุพเพสันนิวาส’ รีรันกี่รอบก็ฆ่าไม่ตาย ส่วน ‘พรหมลิขิต’ ภาคต่อ ฟันธง!! แฟนออเจ้าได้ชมปีนี้แน่นอน

(28 ส.ค. 66) ปังไม่ไหว สำหรับละคร ‘บุพเพสันนิวาส’ ที่นำแสดงโดย ‘โป๊ป ธนวรรธน์’ กับ ‘เบลล่า ราณี’ ที่แม้ว่าละครจะอวสานไปนานแล้ว แต่คนก็ยังพูดถึง แถมช่อง 3 ยังเอามาฉายรีรันใหม่ถึง 4 รอบ ซึ่งขนาดรีรันรอบ 4 กระแสละครก็ยังปัง เรตติ้งพุ่งทะลุไม่น้อยหน้าใครเลย คมชัดลึกสบโอกาสเจอ ‘หน่อง อรุโณชา’ ผู้จัดละคร ที่งานประกาศรางวัล ContentAsia Awards ครั้งที่ 4 ก็เลยไม่พลาดที่จะไปถามถึงกระแสละคร รวมถึงละคร ‘พรหมลิขิต’ ภาคต่อ ‘บุพเพสันนิวาส’ ว่าไปถึงไหนแล้ว จะได้ชมปีนี้จริงไหม

>> บุพเพสันนิวาสรีรันกระแสดีอีกแล้ว
“เพิ่งได้ 10 ตอนค่ะ ดีใจค่ะ ที่แฟนคลับออเจ้าให้การต้อนรับอบอุ่น”

>> ละครฆ่าไม่ตาย?
“(ยิ้ม) คนดูคิดถึงมั้งคะ ก็กลับมาดูกันอีกรอบ คิดว่าคงทบทวน ก่อนได้ชมพรหมลิขิตด้วย “

>> หลายคนสงสัยทำไมรีรันบ่อย?
“พี่ก็เพิ่งทราบตามทุกคน ช่องเขาน่าจะวางไว้ อีกอย่างคนก็คิดถึง ก็วางไว้ก่อนเข้าพรหมลิขิต ที่เป็นภาคต่อของบุพเพสันนิวาส ก็ทบทวนกันอีกรอบว่าที่ดูมาเป็นอย่างไรบ้าง ก็ยังสนุกเหมือนเดิมค่ะ”

>> รีรันกี่รอบแล้ว?
“4 ค่ะ (หัวเราะ) ดีใจค่ะ ดีใจมาก คาดไม่ถึงเหมือนกัน ที่แฟนๆ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ยังไงก็ชมต่อไปถึงพรหมลิขิตเลยนะคะ”

>> พรหมลิขิตใกล้หรือยัง?
ใกล้แล้วค่ะ เดี๋ยวรอบุพเพสันนิวาสจบแป้บนึงค่ะ ภายในปีนี้ค่ะ ได้ชมแน่นอนค่ะ ตอนนี้ก็เร่งตัดต่ออยู่ 

>> เหลือเยอะไหม?
“อีกนิดนึงค่ะ ก็ใกล้เสร็จแล้วค่ะ”

>> เนื้อเรื่องดำเนินต่อเลยไหม?
“ใช่ค่ะ คนถามเยอะ ต่อกันเลยไหม ก็คือพรหมลิขิตคือเรื่องราวต่อจากบุพเพสันนิวาสแน่นอน ก็อยากให้ทุกคนรอชม หลายอย่างคำตอบจะอยู่ในพรหมลิขิต”

>> กดดันไหมภาคแรกดีแบบมากๆ ภาคต่อคนคาดหวัง?
“กดดันค่ะ กลัวมากๆ เลยค่ะ ความคาดหวัง สำหรับพรหมลิขิตทีมงานเราทำงานเกือบ 2 ปี ทั้งติดช่วงโควิดด้วย ความยากก็ยากกว่า โป๊ปเล่น 3 คาแร็คเตอร์ เบลล่าก็ 2 คาแร็คเตอร์”

>> เขาว่ายังไงกันบ้าง?
“เขาบอกว่าเหนื่อยมาก (หัวเราะ) แต่เขาเก่งกันมากค่ะ เราเชื่อว่าการที่แยกตัวละคร ในการถ่ายทำก็ต้องใช้เวลานาน 3 เท่า อยากให้ติดตามชม แยก 3 คาแร็คเตอร์ จะเป็นยังไง เบลล่าต้องมาปะทะกับตัวเองอีก และก็จะมีตัวละครใหม่ และตัวละครเดิมในบุพเพสันนิวาสที่เติบโตขึ้น”

>> จะแตกต่างกันเยอะไหม? 
“มันมีความเติบโต เดินทางผ่านห้วงเวลา 2 ราชกาล สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา พระเจ้าเสือ”

>> มีเค้าโครงจากเรื่องจริง?
“ใช่ค่ะ เหมือนเดิม เป็นละครรัก โรแมนติก คอมเมดี้ ที่อิงประวัติศาสตร์เหมือนเดิมค่ะ จะรับความรู้ และความสนุกไปพร้อมกัน ต้องบอกว่าตัวละครเยอะมากที่สุดที่เคยทำมา (ยิ้ม)”

รู้จัก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ มือเก๋าการเมือง ว่าที่ ‘รมว.คมนาคม’ ใน ครม.เศรษฐา 1

รู้จัก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ว่าที่ ‘รมว.คมนาคม’ ครม.เศรษฐา 1 หลังโผทุกกระทรวงเริ่มลงตัว

โผ ครม. ล่าสุด รัฐบาลเศรษฐา 1 ในขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าลงตัวเกือบทุกตำแหน่ง ภายหลังการหารือร่วมกันของ 11 พรรคร่วมรัฐบาล และได้จัดสรรตามโควตาของแต่ละพรรคเรียบร้อย อาจมีเพียงบางพรรคที่อาจมีการสลับคน

แต่หนึ่งในโผที่ค่อนข้างแน่นอนคงหนีไม่พ้นกระทรวงเกรด AAA อย่าง ‘กระทรวงคมนาคม’ ที่นักการเมืองรุ่นเก๋า ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ จะหวนคืนนั่งเก้าอี้ ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม’ อีกครั้ง

THE STATES TIMES จะพาไปย้อนรอยเส้นทางการเมือง และตำแหน่งต่าง ๆ ที่ ‘สุริยะ’ เคยผ่านมาบนเส้นทางการเมืองกว่า 25 ปี

‘สุริยะ’ ผันตัวเองจากนักธุรกิจ เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองในสีเสื้อของของพรรคกิจสังคม โดยเริ่มต้นด้วยการที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม - ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ก่อนที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อปี 2541 ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ 

แต่ทว่าชื่อเสียงของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรือกิจ’ เริ่มก้าวสู่ทำเนียบนักการเมืองระดับบิ๊กเนม เมื่อปี 2544 หลังจากแท็กทีม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ลาออกจากพรรคกิจสังคม แล้วย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ก่อตั้งพรรคใหม่ในขณะนั้น

ด้วยฐานเสียงของ สส.ภาคเหนือตอนล่างในมือของ ‘สมศักดิ์’ ผนวกกับการมีทุนใหญ่อย่าง ‘สุริยะ’ ทำให้มุ้งการเมืองในชื่อ ‘กลุ่มวังบัวบาน’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กลายเป็นมุ้งใหญ่ที่มีอำนาจการต่อรองสูงขึ้นมาในทันที

แน่นอนว่า ด้วยทุนและอำนาจต่อรองในมือ รวมถึงการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถคุยได้กับทุกก๊กทุกก๊วนการเมืองในพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้ ‘สุริยะ’ ขยับขึ้นเป็นแกนนำหลักของ พรรคไทยรักไทย ในเวลาไม่นาน มีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการพรรค และผู้สมัคร สส. ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ต้น พร้อมตามมาด้วยการเป็นเจ้ากระทรวงเกรดเอ อย่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ปี 2544 และปี 2548) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ปี 2545 และปี 2548) เรื่อยมา โดย ‘สมศักดิ์’ ช่วยเหลือผลักดันอยู่เบื้องหลัง

ก่อนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 กลุ่มของ ‘สุริยะ-สมศักดิ์’ ที่ได้แยกออกมาตั้งกลุ่ม ‘วังน้ำยม’ ถูกลดบทบาทลง โดยตำแหน่งสุดท้ายของ ‘สุริยะ’ ในสีเสื้อพรรคไทยรักไทย เหลือเพียงเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ภายหลังถูกยึดอำนาจปี 2549 ‘สุริยะ’ เก็บตัวเงียบ เนื่องจากโดนพิษการเมืองเล่นงาน ซึ่งถือเป็นรอยด่างในชีวิตการเมือง ทั้งกรณีถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ตั้งแต่ 30 พ.ค. 2550 จากคดียุบพรรคไทยรักไทย และถูก คสต. ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร ตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจสัมภาระภายในสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ CTX 9000 ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม เมื่อปี 2548 แต่ต่อมา ป.ป.ช. มีมติยกคำร้องไปเมื่อปลายปี 2555 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

แต่อย่างที่เราทราบกันดี นักการเมืองไทยที่ครบเครื่องทั้งบารมี ฝีมือ และสามารถประสานได้ทุกทิศ อย่าง ‘สุริยะ’ มักจะ ‘ว่างงาน’ ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ถูกจีบให้มาร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งในปี 2562 และมีส่วนสำคัญในการนำความสำเร็จมาสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบดูแลกระทรวงสำคัญอย่าง ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ อีกด้วย ซึ่งหากย้อนดูอดีต จะพบว่า สำหรับพะยี่ห้อ ‘สุริยะ’ แล้ว กระทรวงที่ได้นั่งล้วนแล้วแต่เป็นกระทรวงระดับเกรดเอ และมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชวน พรรคประชาธิปัตย์, รัฐบาลทักษิณ ในนามพรรคไทยรักไทย จนมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในสีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ

และในการเลือกตั้ง ปี 2566 ล่าสุด ‘สุริยะ’ พร้อม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ได้ตัดสินใจโบกมือลาพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกลับเข้าไปร่วมงานการเมืองกับกลุ่มคนคุ้นเคยในสีเสื้อ ‘พรรคเพื่อไทย’ อีกครั้ง

ถึงแม้ว่า จะเปลี่ยนสีเสื้อ แต่บทบาทของ ‘สุริยะ’ ก็ยังคงโดดเด่นเช่นเดิม และเมื่อพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ชื่อของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก็เป็นชื่อแรก ๆ ที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี 1 ตัวทันที ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นกระทรวงไหนเท่านั้น แต่ก็เป็นที่คาดเดาได้ว่าจะต้องเป็นเก้าอี้กระทรวงระดับเกรดเออย่างแน่นอน

และสุดท้าย โผก็ออกมาว่า ‘สุริยะ’ จะได้หวนคืนเก้าอี้ ‘รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม’ อีกคำรบ และแน่นอนว่า มันเป็นการอยู่ถูกที่ถูกเวลา อยู่ถูกพรรค อีกครั้ง และไม่ว่าจะไปอยู่พรรคไหน ก็จะมีโอกาสได้คั่วตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงหลักมาตลอด

ใครที่ว่าแน่ หรืออวดอ้างตนเองเป็นของแท้ในห้วงเพลาใด แต่ดูเหมือน มีแต่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ นี่แหละ ที่เป็นนักบริหารมืออาชีพ และผู้มากบารมีที่แทบทุกรัฐบาลจะขาดไม่ได้อย่างแท้จริง!!

‘อายุรแพทย์ฯ’ แชร์เคสเด็ก 16 สูบบุหรี่ไฟฟ้าหนัก พบ ‘เจ็บหน้าอก-ปอดแฟบและรั่ว’ เตือน!! เลิกได้เลิกเถอะ

(28 ส.ค. 66) เฟซบุ๊ก ‘นายแพทย์เทวินทร์ ชาคริยานุโยค’ อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โพสต์เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า ระบุข้อความว่า

"วันนี้มีเรื่องมาเล่าอีกแล้ว เด็กอายุ 16 ปี เจ็บหน้าอก เสียงคุณพยาบาลเสียงใส เดินมาแจ้ง OMG เป็นไปได้ไง ซักประวัติ น้องรูปร่างผอม สูบบุหรี่ไฟฟ้าจัด บอกว่าเจ็บหน้าอกเวลาหายใจ ไม่ได้ยกของหนัก เอกซเรย์ดังรูป วินิจฉัยเป็นอะไรดี

สรุปเป็นลมรั่วในช่องปอดขวา ทำให้ปอดขวาแฟบ ปลายลูกศรคือ ขอบปอดที่แฟบไปรวมกันเป็นก้อนตรงกลาง โดยปอดขวามี 3 พู เลยยู่ไม่เท่ากัน เห็นเป็นก้อนขรุขระ คนไข้จะมาด้วยเหนื่อยหรือเจ็บหน้าอกหายใจไม่สุด ซึ่งเคสนี้มาจากการใช้ Vape หรือพอด หรือ E cigarett บุหรี่ไฟฟ้า

โดยองค์ประกอบ บุหรี่ไฟฟ้าจะมี นิโคตินปริมาณสูง (มากกว่าบุหรี่ปกติ) โพรพิลีนไกลคอล และสารแต่งกลิ่น ที่เป็นเอสเทอร์ไฮโดรคาร์บอน (ทำให้เกิดการอักเสบในระยะสั้น และส่งเสริมการเกิดมะเร็งในระยะยาว) ที่ส่งเสริมการอักเสบในปอดในระดับเซลล์ อีกทั้งการสูบแบบอัดก็มีผลด้วยครับ บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายไม่ยิ่งหย่อนกว่าบุหรี่ธรรมดานะครับ เลิกได้เลิกเถอะ

เพิ่มเติม: ในไทยและต่างประเทศมีรายงานเรื่อย ๆ ครับ เนื่องจากว่าเป็นของใหม่ งานวิจัยระยะยาวแบบ prospective น่าจะมีแต่ค่อนข้างทำยาก เพราะองค์ประกอบของสาร ไม่เหมือนกัน แต่องค์ประกอบหลัก ๆ มีดังกล่าวขั้นต้น เปรียบเทียบ เหมือน การขับรถเร็วครับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าเกิดก็โทษเพราะขับรถเร็วไงครับ การสัมผัสสารต่าง ๆ พวกนี้ ไม่ได้มีงานวิจัยมารองรับว่าปลอดภัยเหมือนยา แต่มันคุ้มมั้ยที่จะเอาปอดเรา ร่างกายเราไปแลก ร่างกายเรามีค่าประเมินค่าไม่ได้นะครับ เลิกได้เลิก เลิกไม่ได้ไปต่อ หมอพร้อมดูแลรักทุกคน”

‘บิ๊กป้อม’ ร่วมประชุม ‘กบฉ.’ ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พื้นที่ จชต. พร้อมกำชับตรวจเข้มโรงงานสารประกอบระเบิด เพื่อลดความเสี่ยง

(28 ส.ค. 66) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 3/2566 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม

โดยที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปรับลดพื้นที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ออกจากพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาใช้แทน และขอขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส, อำเภอยะหริ่ง อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี, อำเภอเบตง และอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ตั้งแต่ 20 ก.ย. ถึง 19 ธ.ค. 66 โดยเป็นการขยายระยะเวลา ครั้งที่ 73 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ในพื้นที่ให้ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ด้วย โดยให้ สมช.เสนอเรื่องไปยัง ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป

ที่ประชุมรับทราบผลการปฎิบัติงานตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 วันที่ 20 มิ.ย. ถึง 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มของสถานการณ์ ที่มีความสงบเรียบร้อยมากขึ้นตามลำดับ และมีสถิติการก่อเหตุความรุนแรงลดลง สามารถพัฒนาไปสู่การปรับลดพื้นที่ออกจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้มากขึ้น ทั้งนี้ โดยกำชับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ให้เข้มงวดตรวจสอบโรงงานที่เกี่ยวข้องกับสารประกอบระเบิด พร้อมเร่งรัดการช่วยเหลือและฟื้นฟูประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานพลุดอกไม้เพลิงระเบิดที่ผ่านมาโดยเร็ว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอบคุณ คณะกรรมการฯ หน่วยงานความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และกำลังพลทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และกล้าหาญ อย่างน่าภาคภูมิใจ สามารถแก้ปัญหา จชต.เป็นไปด้วยความเรียบร้อยที่ผ่านมา และมีสถิติการก่อเหตุฯลดลง ตามลำดับ พร้อมทั้งได้ขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รวมทั้งได้กำชับ สมช. ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการเตรียมความพร้อมแก้ปัญหา จชต.ในระดับนโยบาย ที่ต้องขับเคลื่อนให้ต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน มีความเป็นมืออาชีพ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเตรียมรับนโยบายจาก ครม.ชุดใหม่ ที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ต่อไป

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้!! สื่อยุคใหม่ มักเสนอข่าวด้านเดียว ซ้ำ!! ปิดกั้น ‘พื้นที่ถกเถียง-รับฟังความเห็นต่าง’

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านไลฟ์สด ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นการนำเสนอข่าวของสื่อหลักในปัจจุบัน โดยในช่วงหนึ่ง คุณโบว์ได้กล่าวว่า…

“สิ่งที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้มีโอกาสที่จะได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจริงๆ ในสื่อหลัก และรู้สึกตกใจมาก ที่เมื่อเปิดไปดูรายการต่างๆ ที่พูดคุยเกี่ยวกับการเมืองตามช่องโทรทัศน์ หรือทางสื่อหลัก เขาก็เชิญคนเดิมๆ มาออกรายการซ้ำๆ กันทุกช่อง หรือแม้แต่ในช่องเดียวกัน แต่ต่างรายการ เขาก็เชิญมาออกซ้ำอีกก็มี”

คุณโบว์ ได้เล่าต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่สื่อมีการเลือกข้างค่อนข้างมาก และเมื่อสื่อเลือกข้างแล้ว เขาก็ย่อมอยากให้เราได้ฟังความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางที่เขาต้องการ ตามที่เขาอยากจะชี้นำเรา เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่า ใครแสดงความคิดเห็นไปในเชิงไหน และถ้ามันตรงกับความต้องการที่เขาจะชี้นำ เขาก็จะเชิญคนนั้นมาซ้ำๆ

“ขอยกตัวอย่างหนึ่ง จากประสบการณ์ส่วนตัว เช่น ตอนที่มีประเด็นเรื่อง รองฯ อ๋องเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภาฯ ซึ่งตรงนี้โบว์เป็นคนเปิดประเด็นในส่วนที่หลายๆ คนไม่ได้พูดถึง คือ ในส่วนของแม่บ้านสภาฯ ซึ่งเป็นแม่บ้านจากบริษัท Outsource พูดในส่วนของเรื่องสภาพแวดล้อมการของแม่บ้าน เรื่องการใช้งบผิดประเภทเพื่อการหาเสียงของพรรคก้าวไกล จนเป็นที่ถูกพูดถึงเยอะ ช่อง Thai PBS ก็ยกทีมมาขอสัมภาษณ์ที่บ้าน ซึ่งโบว์ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไปอย่างละเอียดในเชิงหลักการทุกอย่าง ปรากฏว่าเทปนั้น ถูกงดออกอากาศ

ในช่วงเวลาเดียวกัน โบว์ก็เปิดดูรายการต่างๆ ในช่อง ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้เห็นว่า มีการนำเสนอที่ค่อนข้างเอียงเอนไปในอีกทิศทางหนึ่งเสียมาก และมีการให้พื้นที่กับทางรองฯ อ๋อง ในการอธิบายข้อเท็จจริงมากกว่า ในขณะที่เทปที่โบว์ให้สัมภาษณ์กลับถูกตัดทิ้ง” คุณโบว์ กล่าว

“โบว์คิดว่า ในประเด็นที่มันเป็นข้อถกเถียง และต้องถกเถียงกันด้วยข้อเท็จจริง ว่าถูกหรือผิด ทุกคนก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราเลือกข้างแล้ว เราก็จะมีเหตุผลมาซัปพอร์ตความคิดของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เกิดความงอกงามทางปัญญาในสังคม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นปัญหา นั่นคือการไม่เป็นพื้นที่ให้กับความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอ แต่กลับใช้วิธีเลือก และคัดกรองความคิดเห็นที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งโบว์คิดว่าทุกคนเห็นได้ชัดเจนในจุดนี้ และเราก็เห็นผลที่ตามว่าเป็นอย่างไร”

“เราจะเห็นว่า คนที่มีความคิดเห็นไปในอีกทิศทางหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถที่จะปรับ และเปลี่ยน หรือรับฟังกันได้ เพราะไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอให้รับฟังกัน ก็เลยต้องรับฟังความคิดเห็นอยู่เพียงด้านเดียว ใครชอบแนวไหน เขาก็จะรับฟังแต่สิ่งที่เขาชอบ ดังนั้น จึงทำให้ใครคิดอยู่อย่างไร จะคิดอยู่อย่างนั้น ใครที่ชอบใคร เขาก็จะชอบอยู่อย่างนั้น ใครเกลียดใคร เขาก็จะเกลียดอยู่แบบนั้น

แต่ที่หนักยิ่งกว่านั้น คือ ความเกลียดชังเหล่านั้น ถูกยกระดับด้วยการถูกบอกกล่าวซ้ำๆ ย้ำๆ ในประเด็นเดิม ในทิศทางเดิมๆ เมื่อมีการตอกย้ำหนักๆ เข้า ก็ทำให้ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้น และนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยในตอนนี้ค่ะ” คุณโบว์ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top