Friday, 23 May 2025
NewsFeed

‘คุณอ้อย พอใจ’ เผย ความภาคภูมิใจที่ได้ถวายงาน ‘ในหลวง ร.9’ เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่กระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 คุณพอใจ กิจถาวรรัตน์ หรือ ‘พี่อ้อย’ ข้าราชการบำนาญ อดีตหัวหน้าผู้ประกาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตการทำงาน ในบทบาทของเจ้าหน้าที่กระจายเสียง ผ่านรายการ ‘Baby Boom ภูมิใจ วัยเก๋า ไปด้วยกัน’ EP.1 ตอน อายุเป็นเพียงตัวเลข ออกอากาศเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 รับชมผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES และ MAYA Channel ช่อง 71, 93

โดยคุณพอใจ ได้เล่าย้อนกลับไปในสมัยเข้าบรรจุครั้งแรกที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ จังหวัดนครราชสีมา ก่อนจะย้ายเข้ามารับตำแหน่งที่กรุงเทพฯ ด้วยฝีมือและผลงานของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากเนื่องจากในสมัยก่อน งานสื่อวิทยุกระจายเสียงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และต้องมั่นฝึกฝนทักษะ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ จึงจะโลดแล่นในวงการได้อย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ในขอบเขตงานที่คุณพอใจได้ทำ และมีความภาคภูมิใจที่สุด คือการได้ถ่ายทอดเสียงพระราชกรณียกิจ ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์ท่านนั้น พระองค์ทรงงานเยอะมาก รวมถึงยังได้มีโอกาสถ่ายทอดเสียงพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งทำให้คุณพอใจมีความภาคภูมิใจมากๆ ที่ได้ทำงานตรงนี้

“ในตอนเด็กๆ พี่เคยสงสัยว่า เวลาเขาเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ทำไมเขาถึงดูซาบซึ้งกันจังเลย ซึ่งนั่นเป็นไปด้วยความคิดแบบเด็กๆ ของพี่ในตอนนั้น แต่เมื่อเราโตขึ้น เราได้ไปศึกษา หาข้อมูล เราได้ติดตาม ได้รู้ ได้เห็น ก็ทำให้เข้าใจว่า ที่เขาเคยๆ พูดกันเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านนั้น ไม่มีอะไรเกินจริงเลย”

“อย่าลืมนะว่าในยุคสมัยนั้นไม่มีสื่อโซเชียลเหมือนอย่างในยุคสมัยนี้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีการมานั่ง ‘สร้างภาพ’ อะไรกันเลย ทำงานก็คือทำงานกันจริงๆ”

“ดังนั้น พี่พอใจ จึงมีความภาคภูมิใจที่เราได้ทันเห็นพระองค์ท่าน ได้มีโอกาสถวายงานแก่พระองค์ท่าน ได้มีโอกาสทำงานรับใช้บ้านเมืองค่ะ” คุณพอใจ ทิ้งท้าย

หากต้องการติดตามเรื่องราวดีๆ จาก ‘Baby Boom ภูมิใจ วัยเก๋า ไปด้วยกัน’ EP.1 ตอน อายุเป็นเพียงตัวเลข แบบเต็มๆ สามารถคลิกลิงก์ >> https://www.youtube.com/live/FSYnVvf4WZQ?si=MYKTE708E9GwEeb8

‘สภาพัฒน์ฯ’ เผย ตลาดแรงงานของไทยกำลังเผชิญวิกฤต ส่งสัญญาณเตือน!! เด็กจบ ป.ตรี ‘ว่างงานพุ่ง-ได้เงินเดือนต่ำ’

‘สภาพัฒน์ฯ’ เปิดข้อมูลปัญหาของตลาดแรงงานของไทย แจ้งสัญญาณเตือน เด็กจบปริญญาตรี ว่างงานเพียบ ได้เงินเดือนต่ำ และแถมต้องทำงานต่ำกว่าระดับมากขึ้น

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานข้อมูลปัญหาของตลาดแรงงานของไทย และ การว่างงาน พบว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง และตลาดแรงงานของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังพบปัญหาคุณภาพของแรงงานและความไม่สอดคล้องของตลาดแรงงาน (Labor mismatching) ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการยกระดับการผลิตของไทยในอนาคต

ข้อมูลความต้องการแรงงานล่าสุด
จากข้อมูลการสำรวจความต้องการแรงงานจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงปี 2561 - 2565 พบว่าความต้องการแรงงานรวมเพิ่มขึ้นจาก 95,566 คนในปี 2561 เป็น 168,992 คนในปี 2565 แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปนั้น ลดลงจาก 30.1% ของความต้องการแรงงานรวม ในปี 2561 เหลือเพียง 17.2% ในปี 2565 เท่านั้น

ส่วนสัดส่วนความต้องการแรงงานในการศึกษาระดับ ปวช. - ปวส. ลดลงเล็กน้อยจาก 23.7% ในปี 2561 เป็น 22.5% ในปี 2565 ขณะที่สัดส่วนความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 เพิ่มขึ้นจาก 41.1% ในปี 2561 เป็น 57.3% ในปี 2565 

อีกทั้งเมื่อพิจารณาเฉพาะความต้องการแรงงานเพียงสองระดับการศึกษา คือ ปริญญาตรีขึ้นไปและระดับ ปวช. และ ปวส. พบว่า สัดส่วนเฉลี่ยของความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปลดลง โดยเฉลี่ยในช่วงปี 2561 - 2565 อยู่ที่ 45.6% ขณะที่สัดส่วนเฉลี่ยของความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในระดับ ปวช. และ ปวส. กลับเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยปี 2561 - 2565 อยู่ที่ 54.4%

เปิดความต้องการแรงงานของบริษัท EEC
เมื่อพิจารณาข้อมูลความต้องการแรงงานของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC ในปี 2565 จำแนกตามการศึกษา จำนวน 419 โครงการ ซึ่งมีความต้องการแรงงานรวม 52,322 คนนั้น พบว่า ระดับการศึกษาที่มีความต้องการมากที่สุด มีดังนี้

- ความต้องการแรงงานระดับ ป.6 ถึง ม.6 มีสัดส่วนถึง 59.1%
- ความต้องการแรงงานระดับ ปวช. - ปวส. อยู่ที่ 25.2%
- ความต้องการแรงงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปอยู่ที่ 14.7% เท่านั้น

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ระดับการศึกษาที่มีความต้องการ มากที่สุด มีดังนี้

- ความต้องการแรงงานระดับ ป. 6 ถึง ม.6 มีสัดส่วน 63.9 และ 63.2% ตามลำดับ
- ความต้องการแรงงาน ระดับ ปวช. - ปวส. อยู่ที่ 22.5% และ 23.6% ตามลำดับ
- ความต้องการแรงงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปอยู่ที่ 13.5% และ 12.9% ตามลำดับ

โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความต้องการแรงงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสัดส่วนที่สูง ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความต้องการแรงงานระดับ ปวช. และ ปวส. ในสัดส่วนที่สูง ได้แก่ อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากำลังแรงงาน โดยอ้างอิงจากจำนวนนักเรียน นักศึกษาที่อยู่ในภาคอุดมศึกษา (ระดับปริญญาตรีขึ้นไป) พบว่า ในปี 2564 มีจำนวนนักศึกษา ในระดับอุดมศึกษารวม 1,902,692 คน แม้จะลดลงจากจำนวน 2,171,663 ในปี 2561 แต่ยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับนักเรียนที่อยู่ในระดับ ปวช. และ ปวส. ในปี 2564 ที่มีจำนวน 374,962 คน

ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อน ให้เห็นถึงสถานการณ์ตลาดแรงงานที่เผชิญกับปัญหาความไม่สอดคล้องกันระหว่างกำลังแรงงานที่ผลิตออกมา (ด้าน Supply) และความต้องการของตลาด (ด้าน Demand) นั่นคือ มีแรงงานจบใหม่ที่เข้าสู่ตลาดที่จบอุดมศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสัดส่วนสูงมาก

ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้แรงงานในระดับปริญญาตรีต้องทำงานต่ำกว่าระดับมากขึ้น และสัดส่วนผู้ว่างงานในระดับปริญญาตรีจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นข้อจำกัดของตลาดแรงงานไทยในระยะต่อไป

จากอดีตผู้พิพากษา สู่ ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ผู้ปิดทองหลังพระ ‘ชนะคดีค่าโง่โฮปเวลล์-ฟื้นฟูการบินไทย’

เปิดประวัติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เจ้าของผลงานเด่น ชนะคดี ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ ช่วยคนไทยไม่ต้องจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยกว่าหมื่นล้านบาท

โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ชื่อเล่น ‘ตุ๋ย’ เป็นบุตรของ พลโท ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์และเจ้ากรมการพลังงานทหาร และโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม : สุมาวงศ์) อดีตดาวจุฬาฯ คนแรก ส่วนชีวิตครอบครัว สมรสกับ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม : โทณวณิก) มีบุตรธิดารวมกันทั้งหมด 4 คน

นายพีระพันธุ์ เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนเดียวกับ ‘บิ๊กป้อม’ จากนั้น เรียนต่อปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบเนติบัณฑิตไทย ที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จบปริญญาโท กฎหมายอเมริกันทั่วไป (LLM) และเรียนปริญญาโทอีกใบ ด้านกฎหมายเปรียบเทียบ (MCL) ที่มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา

โดย นายพีระพันธุ์ มีประสบการณ์ทำงานเป็นผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการ ก่อนมาเข้าสู่สนามการเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมทีมกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เคยได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.เขต 3 กรุงเทพมหานคร เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นฝ่ายค้าน ในปี 2550 นายพีระพันธุ์ ถูกรับเลือกให้ทำหน้าที่เป็น รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเงา และได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จริงๆ ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551

ขณะที่ผลงานอันโดดเด่น คือ การสอบสวนการทุจริต ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปช่วงที่ นายพีระพันธุ์ กำลังเบื่อหน่ายการเมือง และได้โบกมือลาพรรคประชาธิปัตย์นั้น เพียงไม่ทันข้ามคืนถูกเทียบเชิญเข้าทำเนียบรัฐบาล ขึ้นชั้นเป็น ‘กุนซือ’ ประจำตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

บทบาทตอนนั้น คือ การนั่งตำแหน่งคู่ขนานทั้งฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ คุมชีพจรการเมืองในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และ...

...อยู่ในทีมผ่าตัด ‘การบินไทย’ เส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจการบินประจำชาติ ด้วยการให้ความสำคัญกับการบิน ‘เส้นทางในประเทศ’ คู่ขนานกับการ ‘สะสางคอร์รัปชัน’ และระบบ ‘เส้นสาย’ ในฝ่ายบริหาร และต้องไม่อยู่ใต้ ‘เงา’ ของนักการเมืองอีกต่อไป

หลังจากนั้นก็เดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมทั้งสร้างกลยุทธ์เพื่อคืนชีพการบินไทย รวมไปถึงมุ่งสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานได้ร่วมกันฝ่าฟัน จนวันนี้ผ่านพ้นวิกฤติและเข้าสู่ช่วงพาสายการบินแห่งชาตินี้ เชิดหัวขึ้น ได้ตามที่หลายท่านคงทราบกันแล้ว

ส่วนจุดพลิกผันทางการเมือง เกิดขึ้นเมื่อครั้งพรรคประชาธิปัตย์ ทำการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนนายอภิสิทธิ์ ภายหลังแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หลังการเลือกตั้งในปี 2562 ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ได้ สส.เพียง 52 ที่นั่ง โดยมีแคนดิเดตร่วมท้าชิงคือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, นายกรณ์ จาติกวณิช, นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แต่คนที่ได้รับการคัดเลือกคือ ‘นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’

ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562 นายพีระพันธุ์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะมีชื่อถูกแต่งตั้งให้ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 และย้ายสังกัดเข้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก ก่อนจะถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท การบินไทย ในปี 2563

จากนั้น ในเดือนเมษายน 2565 ได้ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่ในเดือนสิงหาคม 2565 จะได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีเป้าหมายคือ จะรวบรวมคนทำงานทั้ง สส.รุ่นใหม่ รุ่นเก่ามารับใช้ประชาชน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2565 ก็มีข่าวว่า สส.พรรคประชาธิปัตย์ลอตใหญ่ เตรียมเลือดไหลย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ จนกระทั่งในช่วงปลายเดือนก็มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมจะลา ‘บิ๊กป้อม’ เพื่อมาสังกัดกับพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้ง 2566 และก็เป็นจริงตามนั้น

‘นักเรียน’ ครีเอทชุดรีไซเคิล ‘ไททานิก’ แถมแล่นได้จริง ชาวเน็ตสุดเอ็นดู!! แห่แซว ชนะแบบล้มลุกคลุกคลาน

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 ได้ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่ง ชื่อ @kaewta_wilawan โพสต์คลิปการประกวดชุดรีไซเคิล เนื่องในวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์ จนเรียกเสียงฮือฮาในโลกโซเชียล และเสียงชื่นชมจากชาวเน็ตจำนวนมาก พร้อมและข้อความระบุว่า…

“รางวัลชนะเลิศจ้า👍👏#ประกวดชุดรีไซเคิล #สัปดาห์วิทยาศาสตร์ #วิทยาศาสตร์ #เรือไททานิค #โรงเรียนวัดราชโอรส”

ในคลิปเป็นภาพการประกวดชุดรีไซเคิล ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในแขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร

มีชุดหนึ่งที่โดดเด่น ด้วยไอเดียและการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะมีนักเรียนคนหนึ่งออกแบบชุดรีไซเคิลเป็น ‘เรือไททานิก’ ที่ทำจากลังกระดาษเหลือใช้ และขวดน้ำอัดลม

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เรือลำนี้สามารถ ‘แล่น’ ได้จริง จนสร้างความฮือฮาและเสียงหัวเราะให้กับนักเรียนทั้งโรงเรียน และคนที่ชมคลิปจากทาง TikTok จำนวนมาก

โดยสาเหตุที่ทำให้เรื่องลำนี้แล่นได้นั้น เพราะนักเรียนคนดังกล่าวแต่งตัวด้วยชุดเรือไททานิก และใช้ ‘สเกตบอร์ด’ ในการเลื่อนตัวเอง เพื่อให้เหมือนกับว่าเรือกำลังแล่นอยู่จริงๆ

และพบว่า นักเรียนคนดังกล่าว ได้รับรางวัล ‘ชนะเลิศ’ จากการประกวดครั้งนี้ด้วย!!

หลังจากคลิปดังกล่าวเผยแพร่ไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น

“เกมส์ซ่า ท้ากึ๋นมากกก”
“ก็ไม่คิดว่าจะคลานมา”
“คนอื่นเน้นขายสวย อันนี้เน้นเป็นตำนานล้มลุกคลุกคลานแถมได้รางวัลด้วย”
“ละชุดอื่นที่เดินผ่านไปไม่มีคนมองเลยนะ เล่นใหญ่เกิ้น ยอม”
“เฟี้ยวมากก ทำได้ไงเนียย ปรบมือๆๆ”
“เล่นใหญ่มาก”
“แอนนาอึ้ง กรรมการอึ้ง ครูนักเรียนอึ้ง”
“ต้องให้รางวัลความคิดสร้างสรรค์ ความฉลาดและความพยายาม”
“น้องผู้ชายขวามือถึงกับขยี้ตาแล้วหันไปมอง”

‘ใหม่ ดาวิกา’ ขึ้นแท่นนางเอก MV คนใหม่ของ ‘มาร์ก ต้วน’ อากาเซ่เตรียมกรี๊ดพร้อมกัน 1 ก.ย.นี้ บอกเลยว่าเคมีดีมาก!!

เตรียมคัมแบ็กต้อนรับเดือนเกิดของตัวเองแล้ว สำหรับหนุ่มหล่อสุดฮอตขวัญใจอากาเซ่ ‘มาร์ก ต้วน’ ที่เตรียมพร้อมปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ ‘Everyone Else Fades’ โดยจะปักหมุดปล่อยมิวสิกวิดีโอให้แฟน ๆ ทั่วโลกได้รับชมกันในวันที่ 1 กันยายนนี้ แต่งานนี้บอกเลยว่าแค่เห็นเอ็มวีก็ปังแล้ว

โดยมาร์ค ได้โพสต์ภาพโปรโมทลงอินสตาแกรมส่วนตัว @marktuan พร้อมระบุแคปชันว่า “Everyone Else Fades CONCEPT PHOTO #2 09.01.23, 12AM ET”

งานนี้อากาเซ่ต่างจับตาดูกันว่านางเอก MV จะเป็นใคร แต่เสียงส่วนใหญ่ก็พากันปักไปที่ตัวแม่แห่งวงการบันเทิงไทยอย่าง ‘ใหม่ ดาวิกา’ เพราะไม่ว่าจะมุมไหนก็ชี้กันแบบชัด ๆ เลยว่าเป็นสาวใหม่แน่นอน ที่จะได้มาประคบคู่กับพี่มาร์กของอากาเซ่

ล่าสุด ‘มาร์ก ต้วน’ ได้โพสต์ภาพลงอินสตาแกรมสตอรี่ เฉลยว่านางเอก MV ที่อากาเซ่ต่างทาย คือ ‘ใหม่ ดาวิกา’ พร้อมระบุข้อความว่า “Special thanks to @davikah for being part of this!”

ทางด้านของสาว ‘ใหม่ ดาวิกา’ ก็ได้ออกมาโพสต์เผยความรู้สึกผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @DavikaH โดยเธอรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับมาร์กและทีมงานว่า

“สนุกมากที่ได้มาร่วมงานกับมาร์กและทีมงานของมาร์คทุกคน ดูแลใหม่ดีมากๆ น่ารักสุดๆ คอยถามเสมอว่าใหม่โอเคไหม และที่สัมผัสได้ก็คือความเก่งของมาร์ก เพราะเขาคุมและใส่ใจทุกรายละเอียด… เขาดูรักงานของเขามาก ปล.เลี้ยงอาหารเยอะมาก”

เอาเป็นว่า การโคจรมาเจอกันของหนุ่มฮอตระดับโลกอย่าง ‘มาร์ก ต้วน’ กับตัวแม่ ‘ใหม่ ดาวิกา’ ครั้งนี้ อากาเซ่คงต้องเก็บเสียงไว้รอกรี๊ดให้กับเคมีของทั้งคู่ได้ในมิวสิกวิดีโอเพลง ‘Everyone Else Fades’ กันได้ในวันที่ 1 กันยายน 2566 กันได้เลย!!

‘ทรัมป์’ ระดมเงินทุนจากผู้สนับสนุนได้มากกว่า 248 ล้านบาท หลังแพ้คดีล้มผลการเลือกตั้ง และถูกเก็บภาพผู้ต้องหาในจอร์เจีย

(27 ส.ค. 66) หลังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกถ่ายภาพเพื่อทำประวัติผู้ต้องหา ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อสัปดาห์ก่อน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ก็ยังสามารถระดมทุน เพื่อสนับสนุนการรณรงค์หาเสียง ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เพิ่มเติมไม่หยุด

นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายประกอบคำฟ้อง ที่ทรัมป์ต้องเข้าไปถ่ายในเรือนจำ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น ยอดเงินระดมทุนสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์นั้น เพิ่มขึ้นถึง 7.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 248.5 ล้านบาท

ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีคำฟ้องทรัมป์ในหลายกรณี ทั้งจากคดีของรัฐบาลกลางและคำฟ้องของรัฐต่างๆ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020

‘สตีเวน ชุง’ โฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์ระบุว่า ทรัมป์สามารถระดมทุนได้เป็นเงินเกือบ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 700 ล้านบาท

ชุงระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมเพียงวันเดียว มีผู้บริจาคเงินให้กับการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์สูงถึง 4.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 146 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยได้รับบริจาคมาในวันเดียว

ขณะที่ภาพถ่ายประกอบการทำแฟ้มคดีของทรัมป์ ซึ่งมีการเผยแพร่โดยศาลของรัฐจอร์เจีย ถูกนำไปพิมพ์ลงเสื้อยืด แก้วน้ำ แก้วกาแฟ โปสเตอร์ ไปจนถึงหัวตุ๊กตาทั้งจากฝ่ายที่นิยมชมชอบและฝ่ายที่เห็นต่าง

นับจนถึงขณะนี้ ทรัมป์เผชิญกับการฟ้องร้อง 5 คดี ซึ่งรวมถึงคดีการกล้าวอ้างเป็นเท็จว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ทำให้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 2 คดี รวมถึงคดีที่กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้าไปในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งทรัมป์ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และย้ำว่าคดีทั้งหมดมีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง

‘ทัพนักกีฬาว่ายน้ำไทย’ ผงาด!! ครองตำแหน่งเจ้าสระ กวาดรวม 90 เหรียญ ในศึก ‘SEA Age Group 2023’

ความเคลื่อนไหวของทัพนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ชุดเข้าร่วมการแข่งขัน ‘SEA Age Group Championships 2023’ ที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 24-26 ส.ค.66 โดย พล.อ.เจริญ นพสุวรรณ เลขาธิการสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลงานของนักกีฬาทีมชาติไทยในการแข่งขันรายการดังกล่าวว่า…

“สำหรับการแข่งขัน SEA Age Group Championships 2023 เป็นการแข่งขันครั้งที่ 45 ที่เมืองจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อระหว่างวันที่ 24-26 ส.ค.66 ได้จบลงด้วยความเรียบร้อยทุกประการ โดยมีแข่งขัน 3 ประเภท ว่ายน้ำ, กระโดดน้ำ และ โปโลน้ำ ผลการแข่งขันในส่วนของว่ายน้ำได้ 17 เหรียญทอง, 29 เหรียญเงิน, 44 เหรียญทองแดง, กระโดดน้ำได้ 2 เหรียญทอง, 1 เหรียญเงิน และโปโลน้ำได้ 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน”

“โดยภาพรวมของผลการแข่งขันทีมว่ายน้ำไทยเราได้เหรียญรวม 90 เหรียญ ถือว่าเป็นเจ้าสระอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ใหม่ของ เวิลด์อควาติกส์ (World Aquatics) หรือ องค์กรกำกับดูแลเกี่ยวกับกีฬาทางน้ำ ที่เริ่มใช้การวัดที่จำนวนเหรียญรวม หลักเกณฑ์นี้เริ่มใช้ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกที่ฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ผ่านมา จึงถือว่านักกีฬาว่ายน้ำเยาวชนทีมชาติไทยยังครองความเป็นเจ้าสระเป็นปีที่สองติดต่อกันต่อจากปี 2022 ที่แข่งขันกันที่มาเลเซีย”

“นักกีฬาที่ ส.กีฬาว่ายน้ำฯ ส่งเข้าแข่งขันทั้ง 3 ประเภทในครั้งนี้ ทาง ส.กีฬาว่ายน้ำฯ ได้ตัดสินใจพักตัวหลัก 12 คน เพื่อเตรียมไปแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์โลกเยาวชนในช่วงต้นเดือน ก.ย. 66 รวมถึงการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ในปลายเดือน ก.ย. 66 ด้วย พร้อมกับให้โอกาสนักกีฬาในระดับทีมบี และ ทีมซี ไปร่วมการแข่งขันเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ซึ่งทุกคนทำได้ดี เหรียญรางวัลจึงไปสะสมอยู่ที่เหรียญเงินและเหรียญทองแดงเป็นหลัก”

เลขาธิการสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย ยังเปิดเผยต่ออีกว่า “ในส่วนของกีฬากระโดดน้ำได้ดาวรุ่งสาวดวงใหม่แจ้งเกิดในการแข่งขันครั้งนี้ในอุปกรณ์สปริงบอร์ด 1 เมตร และ 3 เมตร คือ น้อง ลิลลี่ ประทีบ ที่คว้า 2 เหรียญทอง และในรุ่นเดียวกันที่ได้อีก 1 เหรียญเงิน เป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดพัฒนานักกีฬากระโดดน้ำ เพื่อความเป็นเลิศต่อไป”

“สำหรับโปโลน้ำหญิงเป็นไปตามฟอร์ม ที่เป็นหนึ่งในอาเซียนมา 7 ปีติดต่อกัน ส่วนทีมชายก็ถือว่าพัฒนาแบบก้าวกระโดดเป็นอย่างมากภายใน 2 ปีที่ผ่านมา ในระหว่างแข่งขันครั้งนี้ มีการหารือแนวทางการจัดการแข่งขัน SEA Age Group Championships 2024 ครั้งที่ 46 ที่ประเทศไทยจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2567 โดย ส.กีฬาว่ายน้ำฯ วางเป้าหมายในการครองความเป็นเจ้าสระให้ได้เป็นปีที่ 3 อย่างต่อเนื่อง โดยจะจัดการแข่งขัน 5 ประเภท ประกอบด้วย ว่ายน้ำ, ระบำใต้น้ำ, กระโดดน้ำ, ว่ายน้ำมาราธอน และ โปโลน้ำ ซึ่งชาติสมาชิกในอาเซียนรับทราบในขั้นต้นแล้ว” พล.อ.เจริญ กล่าวทิ้งท้าย

ชาวเน็ต โวย กลุ่มบิดเบืยนข้อเท็จจริง ปมปรับขึ้น VAT ชี้!! หากไม่ปรับขึ้น รัฐฯ อาจแบกรับภาระทั้งหมดไม่ไหว

(27 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 7% เป็น 10% โดยระบุว่า…

“คนกลุ่มหนึ่งเรียกร้องอยากได้รัฐสวัสดิการแบบประเทศในกลุ่ม Scandinavia เลี้ยงดูกันไปตั้งแต่เกิดจนตาย โดยอ้างว่า ตัวเองจ่าย VAT เยอะแล้ว… พอมีแนวคิดจะขึ้น VAT เป็น 10% (ซึ่งเป็นอัตราปกติ ที่เราจ่าย 7% นี่เป็นอัตราลดมาเนิ่นนาน) ก็โวยวายว่า VAT เป็นภาษีแห่งความเหลื่อมล้ำ ควรจัดเก็บภาษีแบบขั้นบันได 😅

ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า
1.) Income Tax เก็บเป็นขั้นบันไดอยู่แล้ว แต่มีคนจ่ายแค่ 4 ล้านคน ต้องแบกรับภาระคนทั้งประเทศ

2.) VAT ที่ไหนก็เก็บเป็น flat rate แล้วมันก็ยุติธรรม เพราะคนรวยที่ซื้อของเยอะ ก็ต้องจ่าย VAT เยอะ ธุรกิจที่ขายของได้เยอะ ก็ต้องนำส่ง VAT เยอะ

3.) ถ้าอยากได้รัฐสวัสดิการแบบ Scandinavia ก็ช่วยดูด้วยว่า เขาจ่าย VAT กัน 25%... ไหวไหมล่ะ นี่ยังไม่นับ Income Tax ที่เขาจ่ายกันเกิน 50% แถมยังมีฐานภาษีที่กว้างมากด้วย

4.) หลายคนไม่ยอมศึกษาระบบประกันสังคมของไทย ซึ่งออกแบบมาดูแลแรงงานในระบบตั้งแต่เกิดจนตาย โดยใช้หลักคิด co-pay ร่วมกันจ่าย 3 ฝ่าย : รัฐบาล นายจ้าง ลูกจ้าง… เมื่อคน 10+ ล้านคนอยู่ในระบบนี้แล้ว รัฐฯ จึงมีภาระดูแลเฉพาะคนที่ไม่มีสวัสดิการใดๆ ซึ่งรัฐฯ ต้องจ่ายฝ่ายเดียว

5.) ประเทศที่ล้มละลายเพราะให้สวัสดิการมากไปก็มี แม้แต่ Sweden เองก็ต้องทยอยลดสวัสดิการลง เพราะรัฐฯ แบกภาระไม่ไหว

การที่ Influencer นำเสนอข้อมูลบิดเบือน ก็ไม่ต่างอะไรกับ Propaganda ที่หวังผลทางการเมือง แล้วเราก็จะอยู่กันในโลกที่ถกเถียงกันด้วยข้อมูลผิดๆ แบบนี้ไปอีกนาน”

‘ฮาย อาภาพร’ คว้าปริญญาโท ขึ้นแท่นมหาบัณฑิต ในวัย 55 ปี เล็งต่อปริญญาเอกอีกใบ คนบันเทิง-แฟนคลับร่วมยินดีล้นหลาม

(27 ส.ค. 66) ขอแสดงความยินดี กับนักร้องลูกทุ่งสาว ‘ฮาย อาภาพร นครสวรรค์’ วัย 55 ปี ที่ขึ้นแท่นมหาบัณฑิตเป็นที่เรียบร้อย โดยล่าสุดเธอออกมาประกาศข่าวดี ว่าเรียนจบปริญญาโทแล้ว หลังจากที่เมื่อปี 2565 เจ้าตัวเพิ่งจะคว้าปริญญาตรีมาได้สำเร็จ งานนี้เธอยังเตรียมต่อปริญญาเอกด้วย สร้างความปลาบปลื้มให้กับตัวเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก

โดยเธอเรียนจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และพร้อมเตรียมรับใบปริญญาในวันที่ 2 ก.ย. นี้ โดยได้โพสต์คลิปวิดีโอบรรยากาศในวันซ้อมรับปริญญา พร้อมแคปชันว่า…

“วันนี้ซ้อม รับจริงวันที่ 2 จ้า… ไม่มีใครแก่เกินเรียนนะจ๊ะ ท่ามกลางพี่น้องและเพื่อนพ้องในวงการบันเทิง รวมถึงเหล่าแฟนคลับ ที่เข้ามาคอมเมนต์แสดงความยินดีอย่างล้นหลาม”

วปอ. รวมพลัง สถาบันพระปกเกล้า บอก ”รักเมืองไทย“ กระหึ่มสนามศุภฯ ผ่านการแสดงสะท้อนสังคม รักความเป็นชาติไทย

วันที่ 26 สิงหาคม ที่ สนามศุภชลาศัย พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน เปิดการแข่งขันฟุตบอลประเพณี วปอ.-สถาบันพระปกเกล้า ภายใต้แนวคิด “รักเมืองไทย” ชิงถ้วยรางวัลสภากาชาดไทย และ ชิงถ้วยรางวัลจาก พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์  ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีแรก 

บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ทั้ง คณาจารย์ ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบันของ วปอ. และ สถาบันพระปกเกล้า ประกอบด้วย หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) หลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (4 ส.) หลักสูตรการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน (ปรม.) หลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปศส.) เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างล้นหลาม

ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พล.ท.ชาติชาย ชัยเกษม ผู้อํานวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี นายถิรชัย วุฒิธรรม ประธานมูลนิธิเพื่อนักกีฬาไทย พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ ททบ.5 พล.อ.วิชัย ชูเชิด ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พล.อ.อ.คงศักดิ์ จันทรโสภา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า  ดร.ถวิลวดี บุรีกุล รองเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า ดร.ธิติมา หล่อพิพัฒน์ นายกสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า พล.อ.มารุต ปัชโชตะสิงห์ สมาชิกวุฒิสภา ร่วมงาน

โดยกิจกรรมเริ่มขึ้นด้วยการแสดงวงดุริยางค์ ของกองบัญชาการกองทัพไทย จากนั้นเป็นการร่วมแสดงของศิษย์ทั้งสองสถาบัน โดยเนื้อหาแสดงถึงความเสียสละ ความรัก ความสามัคคี นำมาซึ่งการรักษาความเป็นไทย มาถึงปัจจุบัน ต่อด้วยขบวนพาเหรด 

สิ่งที่น่าสนใจต้องยกให้การเดินขบวนพาเหรดที่ทั้ง 2 สถาบันได้สะท้อนสังคม รักความเป็นชาติไทย ที่ทั้งสองฝั่ง วปอ.-สถาบันพระปกเกล้า ทำออกมาได้รับเสียงปรบมือสนั่นสเตเดียมเลยทีเดียว รวมไปถึงการเชียร์ของทั้งสองทีม แบบจัดเต็มจัดหนัก เสียงดังสนั่นทั่วทั้งสนามศุภชลาศัย 

ไฮไลต์เป็นการแสดงชุด "รักเมืองไทย" ด้วยการใช้โทนสีแดง ขาว น้ำเงิน ที่แสดงถึง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฉากแรกเริ่มต้น การแสดงกล่าวถึงความเสียสละของคนไทยสมัยก่อน ที่ร่วมกันปกป้องผืนแผ่นดินไทย

ฉากที่สองกล่าวถึงความหลากหลายของศาสนาในประเทศไทย ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ 

ฉากที่สามกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ ความสามัคคีของคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนของไทย ก็ร่วมกันสามัคคี เพื่อถวายแด่พ่อหลวงของปวงไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ฉากที่สี่กล่าวถึงประเพณีสี่ภาค การแสดง ศิลปะและประเพณีของแต่ละภาค เริ่มต้นจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ภาคกลาง 

ฉากที่ห้ากล่าวถึงความแตกต่างของเอกลักษณ์และประเพณีของแต่ละภาค ถึงแม้จะแตกต่างกันแต่ทุกความแตกต่างล้วนแสดงถึงความเป็นไทยอย่างลงตัว

ส่วนขบวนพาเหรด "ผสานใจ รักษ์เมืองไทยยั่งยืน" ได้สื่อถึงความสมานฉันท์ของคนไทยที่มีความเทิดทูนจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผ่านการแสดงพลังของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของทั้ง 2 สถาบัน กว่า 200 คน ร่วมขบวนพาเหรดเชิญถ้วยรางวัล และแสดงถึงพลังแห่งความสามัคคี ปรองดอง และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ต่อด้วยการแข่งขันฟุตบอลคู่แรก ประเภท JUNIOR  ผลการแข่งขันสถาบันพระปกเกล้า ชนะไป 2:0 

ส่วนคู่สองประเภท SENIOR ผลการแข่งขัน วปอ.ชนะไป 1:0 โดยมีนักเตะกิตติมศักดิ์ร่วมแข่งขันด้วย อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว นายธนกร วังบุญคงชนะ 

ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานฝ่ายจัดการแข่งขัน สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงการ ”รักเมืองไทย” ว่า ประเทศเหมือนครอบครัว การรวมพลังของคนในชาติเหมือนสมาชิกในครอบครัวร่วมกันสร้างครอบครัว หากมีครอบครัวที่อบอุ่นทุกคนในครอบครัวก็มีแต่เติบโตแข็งแรงไปพร้อมกัน ส่วนการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ เกมส์ฟุตบอลในสนามแพ้ชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ กิจกรรมและความร่วมมือสร้างความสัมพันธ์มิตรภาพและความเสียสละเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน จะเป็นภาพที่งดงามและประทับใจมากกว่า หากทุกท่านเข้าใจและเสียสละในทรัพยากรที่ตัวเองมี บางท่านลงเงิน บางท่านลงแรงตามกำลังที่จะทำได้ ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ด้วยความรักและเข้าใจ มิตรภาพก็จะยั่งยืน

ด้านพันเอก ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ประธานฝ่ายกีฬา วปอ.65 กล่าวว่า ความรัก ทำให้เราสามารถเสียสละและทำทุกอย่างให้ได้ เรามีคนรัก เราสามารถเสียสละทุกอย่างและทำทุกอย่างให้คนรักได้ เรามีครอบครัว เราก็สามารถเสียสละและทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวได้ ดังนั้นเมื่อเราเกิดและอาศัยในผืนแผ่นดินไทย เราจึงต้อง “รักเมืองไทย” เสียสละทุกอย่างและทำทุกอย่างเพื่อผืนแผ่นดินไทยของเรา ศิษย์ วปอ. และ สถาบันพระปกเกล้าทุกคน “รักเมืองไทย” จึงขอเชิญชวนทุกคนมารักเมืองไทยด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top