Friday, 23 May 2025
NewsFeed

‘เสก โลโซ’ ตามเฝ้าดูแล ‘กานต์’ อย่างใกล้ชิด หลังถูกหามส่งโรงพยาบาล จากอาการวูบหมดสติ

(28 ส.ค. 66) ทำเอาแฟนคลับแห่ให้กำลังใจกันยกใหญ่ เมื่อ ‘กานต์ วิภากร’ ภรรยานักร้องดัง ‘เสก โลโซ’ ต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเป็นการด่วน หลังมีอาการวูบหมดสติกลางตึก

ล่าสุด ‘เสก โลโซ’ ได้โพสต์ภาพของภรรยาขณะนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล พร้อมระบุข้อความว่า “กานต์ป่วยอีกแล้ว” และหลังจากนั้นทางด้านของ ‘กานต์ วิภากร’ ก็ได้มาอัปเดตอาการเพิ่มเติมในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า

“แอดมิดกลางดึก ร่างกายย้ำแย่จริงๆ อายุเยอะแล้วเราต้องทำงานให้น้อยลงจริงๆ เหรอเนี่ย แล้วใครจะทำละ ทั้งวูบบ่อยๆ ทั้งอ้วกทั้งเพลียทั้งเครียดสะสม ไม่รู้จะอยู่ทันได้เห็นความสำเร็จของลูกทั้ง 3 ไหม อันนี้แหละที่เรากังวลมาก เขา 3 คนคือชีวิตของกานต์ แม่รักเสือกวางลอนดอนและห่วงกังวลใจไปหมด ลูกรักของแม่!!”

ท่ามกลางแฟนคลับที่เข้ามาคอมเมนต์อวยพรให้กานต์หายป่วยไวๆ เป็นจำนวนมาก

‘น้องเดมี่’ สร้างตำนานอีกแล้ว หลังเจอคนสวย  มองเหล่ใส่ ‘พี่เบลล่า’ ไป 1 ช็อตเบาๆ เห็นแล้วเอ็นดู

(28 ส.ค. 66) เรียกได้ว่าสร้างตำนานไม่หยุดจริง ๆ สำหรับ ‘น้องเดมี่ ญาธิดา ดีน’ ลูกสาวคนสวยของ ‘คุณแม่ลีเดีย ศรัณย์รัชต์’ และ ‘คุณพ่อแมทธิว ดีน’ ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในวัยเรียนรู้ และซุกซน น่ารักมาก มีหลายโมเมนต์ที่กลายเป็นตำนานทำแฟน ๆ เอ็นดูกันไม่ไหว อย่างล่าสุด ก็ทำเอานางเอกซุป'ตาร์อย่าง ‘เบลล่า ราณี’ ถึงกับฮาก๊าก กับท่าโพสในตำนาน ‘มองคนสวย’ แถมโดนเปลี่ยนชื่ออีกโดย ‘แม่เดีย’ ได้โพสต์อินสตาแกรม @lydiasarunrat โมเมนต์น่ารักของลูก ๆ ขณะน้องดีแลนและน้องเดมี่ ถ่ายรูปกับพี่เบลล่า หลังไปร่วมแสดงความยินดีกับนางเอกสาว ในโอกาสเปิดร้านขนมใหม่

แต่ปรากฏว่าลูกสาว ‘แม่เดีย’ ก็ได้สร้างต่ำนานด้วยท่าโพส 'มองคนสวย' ซึ่งเป็นท่าที่น้องเดมี่จะมองแรงใส่คนสวย เลยได้ภาพความทะเล้นมาฝากแฟน ๆ ให้ได้อมยิ้มกัน พร้อมแคปชันว่า "Congratulations on your new store in BKK พี่เบลล่า คลิปสุดท้าย...."

โดยช่วงหนึ่งในคลิป แม่เดีย ถามลูกสาวว่า "เดมี่มาร้านของใครคะ" เดมี่ตอบ "ร้านของพี่เบลล่านค่ะ" ก่อนที่คุณแม่จะพูดทวน "ร้านของพี่เบลล่าน" ทำเอาเจ้าของชื่อและเจ้าของร้านอย่าง เบลล่า ถึงกับปล่อยก๊ากเลยทีเดียว

‘เอ้ก บุษกร’ โพสต์คลิปขณะพา ‘น้องดิน’ ไปเรียนโขน พร้อมชื่นชมเด็กๆ ทุกคน เพราะรู้เป็นศิลปะที่ยากมาก

(28 ส.ค. 66) เรียนโขน…ต้องอดทน แอบส่องความน่ารักของครอบครัวคนบันเทิงคุณภาพของ ‘เอ้ก บุษกร หงษ์มานพ’ และ ‘กัปตัน ภูธเนศ หงษ์มานพ’ ที่นับเป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่อบรมสั่งสอนลูกได้เป็นอย่างดี ล่าสุด คุณแม่เอ้ก ได้โพสต์คลิปขณะพา ‘น้องดิน’ ลูกชายคนเก่งไปเรียนโขน งานนี้หลายคนที่รับชมคลิปต่างชื่นชมในความอดทนของน้องดินกันอย่างมากมาย โดย คุณแม่เอ้ก ได้เขียนข้อความระบุว่า…

“ถีบเหลี่ยมแต่ละที ก็ต้องเสียน้ำตา แต่พี่ดินของเราก็ยิ้มสู้ค่า พี่ดินเรียนโขนมาเกือบครบปีแล้วค่ะ มีพัฒนาการขึ้นเล็กน้อย จิ๊ดเดียว 555 เพราะโขนเป็นศิลปะที่ยากมากๆ ค่ะ ยิ่งตอนนี้คุณครูเริ่มจะสอนแม่ท่าโขนลิงให้กับเด็กๆ ต้องบอกว่านับถือใจน้องๆ ทุกคนเลยค่ะ

เพราะต้องมีสมาธิสูงมากๆ ทั้งจำท่า ทั้งฟังจังหวะไม้เคาะ และที่สำคัญเมื่อยมากๆ ด้วย และเด็กๆ ทุกคนก็ตั้งใจอย่างสุดความสามารถที่อายุเขาจะทำได้แล้วค่ะ ปรบมือให้ดินและเพื่อนดินทุกๆ คนนะค้า

ส่วนพี่ดินของเรายังต้องฝึกฝนอีกเยอะค่ะ รวมถึงต้องฝึกสมาธิด้วยค่ะ ต้องขอขอบพระคุณคุณครูทุกๆ ท่านนะคะ ที่อดทนและใจเย็นกับเด็กๆ ขอบพระคุณค่าาาา”

‘ทนายอั๋น’ ร้อง กกต. ปม ‘หมอวรงค์’ อยากเปลี่ยนระบอบ จี้!! ตรวจสอบแบบที่ทำกับ ‘พิธา’ เพื่อยืนยันความเป็นกลาง

(28 ส.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ‘ทนายอั๋น บุรีรัมย์’ พร้อม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ‘ลุงศักดิ์’ คนเสื้อแดง เข้ายื่นต่อ กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบและพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคพรรคไทยภักดี แถลงถึงจุดยืนของพรรคอยากเห็นประเทศเป็นระบอบการปกครองแบบใหม่ ที่อาจจะไปขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92

นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า ตนเมื่อเห็นการแถลงข่าวของ นพ.วรงค์ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยภักดี เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดย นพ.วรงค์ ได้แถลงในทำนองที่ว่าอยากเห็นประเทศไทยเป็นระบอบใหม่ ไม่เอาแล้วกว่า 91 ปีที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับแรกคณะราษฎรจนถึงปัจจุบันพูดว่ามันคือ ‘ตราบาป-มรดกบาป’ ที่คณะราษฎรทิ้งไว้ และบอกว่าประเทศไทยควรเป็นระบอบราชาธิปไตย

ซึ่งตนเองในฐานะนักประชาธิปไตยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเป็นคนรุ่นใหม่ประชาธิปไตยบริสุทธิ์ เห็นว่าถ้อยที่แถลงเป็นจุดยืนจองพรรคไทยภักดีนั้น ไปขัดกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอาจจะเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองดังกล่าวได้ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ที่ระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นายภัทรพงศ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น มายื่นเพื่อให้ กกต.ทำตามมาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหรือไม่ ก็ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ เอาบรรทัดฐานที่ทำกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคไทยภักดี พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการผู้บริหารพรรค

ทำให้เห็นเลยว่า กกต.ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และทำให้เห็นว่า กกต.ยังเป็นคนกลาง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราที่มายื่นก็อยากเห็นประชาธิปไตยที่มั่งคง ก้าวหน้าเท่าเทียมอารยนานาประเทศ กกต.ควรแสดงให้ประชาชนเห็นว่าไม่ได้เลือกข้าง ไม่ใช่ว่าฝ่ายประชาธิปไตยมายื่นเรื่องอะไรก็ตีตกไปหมด แล้วไปรับเรื่องแต่ฝ่ายที่เข้างข้างเผด็จการ เรามายื่นเรื้องวันนี้หวังว่าประธาน กกต.จะสั่งการโดยด่วนและนำเรื่องนี้ไปปรากฎกับศาลรัฐธรรมนูญภายในสัปดาห์หน้า

ทัวร์ลง 'สมาคมแท็กซี่ไทย' หลังออกคำแนะนำผู้โดยสาร  'ไม่เร่งแอร์-ไม่ลืมทิป-ไม่ยืนเรียกผิดฝั่ง' และอีกสารพัดเงื่อนไข

(28 ส.ค. 66) กลับมาเป็น ‘ดรามา’ ข้อถกเถียงในสังคมไทยอีกครั้งกับ ‘การใช้บริการรถแท็กซี่’ เมื่อเพจฟซบุ๊ก ‘สมาคมแท็กซี่ไทย’ เผยแพร่บทความ ‘ข้อแนะนำในการใช้รถแท็กซี่แบบสร้างความพึงพอใจร่วมกัน’ เมื่อวันที่ 25 ส.ค.66 มี 6 ข้อ คือ

1.ยืนให้ถูกฝั่ง เพื่อเป็นการทำให้ผู้โดยสารได้รถไวขึ้นและลดการปฏิเสธของคนขับรวมถึงการตีเปล่า 
2.ถามก่อนขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันการทำให้หงุดหงิดทั้งสองฝ่ายและเป็นการสร้างมารยาทในการใช้รถที่ถูกต้อง
3.อย่าลืมทิป กรณีมีสิ่งของเยอะ หรือให้คนขับพาลัดและอื่นๆ เพื่อเป็นการแสดงความมีน้ำใจต่อคนขับ
4.ไม่เรียกร้อง เข่น การขอเพลง ขอเร่งแอร์ ขอเปิดกระจก ขอแวะรับเพื่อน ขอจอดซื้อของ ขอให้บรรทุกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขอให้คนขับเร่งแซงคันอื่น
5.ไม่รบกวนหรือแซงคิว เช่น การขอชาร์จไฟในรถ การใช้โทรศัพท์โดยเปิดลำโพง การแวะกดเงินหรือการขอให้คนขับออกเงินไปก่อน และควรเรียกแท็กซี่ตามคิวที่ออก
6.เรียกแกร็บแท็กซี่ กรณีชั่วโมงเร่งด่วนหรือสถานที่ที่คาดว่าอาจจะเรียกรถแท็กซี่ยาก เพื่อเป็นการลดอคติกับคนขับแท็กซี่โดยรวม

ในเวลาต่อมา วันที่ 26 ส.ค.66 เผยแพร่บทความ ‘สิ่งที่ผู้โดยสารควรรู้เวลาขึ้น TAXI’ ซึ่งมี 5 ข้อ ดังนี้

1.การเรียกรถ ไม่เรียกรถในลักษณะกระชั้นชิดหรือยืนในจุดล่อแหลม เช่น ทางร่วม ทางแยก ป้ายรถเมล์
2.การให้รถหยุด ไม่ควรให้คนขับหยุดจอดส่งบริเวณจุดห้ามจอด เส้นขาวแดง ซอยแคบ
3.การนั่งในรถ ไม่ปรับเอนเบาะเกินสมควร ไม่ยกเท้าขึ้นเบาะ ไม่พูดคุยส่งเสียงดังและไม่เปิดลำโพงรวมถึงทานสิ่งของทุกชนิด
4.การใช้รถ ระบุจุดหมายที่จะลงให้ชัดเจน ต้องการไปทางไหนแจ้งคนขับก่อนล่วงหน้า หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งคนขับเช่นเมารถหรือติดโควิด
5.การลงจากรถ เตรียมเงินให้พอดีและตรวจดูสิ่งของก่อนลงจากรถทุกครั้ง รวมถึงจดจำรถที่่นั่งด้วยทุกครั้ง

ล่าสุดวันนี้ ทางเพจได้โพสต์ภาพเป็นข้อความระบุว่า ประกาศ สมาคมแท็กซี่ไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงการออกข้อแนะนำในการใช้รถแท็กซี่

1.เพื่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในบ้านเมือง
2.เพื่อให้เกิดการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.เพื่อลดการทุจริตและข้อร้องเรียน
4.เพื่อสร้างบรรทัดฐานและมารยาทในการใช้รถแท็กซี่ที่ถูกต้อง

แน่นอนว่าเพจดังกล่าวเจอ ‘ทัวร์ลง’ ชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด และแนะนำกันว่าให้ไปใช้บริการรถรับ-ส่งผ่านแอปพลิเคชันกันดีกว่า หากการเรียกแท็กซี่มันจะต้องยุ่งยากคิดเยอะขนาดนี้ ขณะที่ทางเพจก็ชี้แจงอยากให้เห็นใจกันบ้าง โดยเฉพาะต้นทุนค่าพลังงานที่แพงขึ้น แต่ก็ถูกสวนกลับว่าถ้าไม่ไหวขาดทุนก็เลิกไป หรือไม่ก็ต้องไปเรียกร้องกับรัฐไม่ใช่กับผู้บริโภค

‘ร้านลูกไก่ทอง’ จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ‘ปังชา’ ห้ามใช้ตั้งชื่อร้าน-สินค้า ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ ดัดแปลง

(28 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘Lukkaithong - ลูกไก่ทอง Thai Royal Restaurant’ ของร้านอาหารลูกไก่ทอง ซึ่งมี 6 สาขาในกรุงเทพฯ และร้านปังชาคาเฟ่ 5 สาขา โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า…

"จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเครื่องหมายการค้า สู่การพัฒนาเศรษฐกิจไทยร่วมกันอย่างยั่งยืน แบรนด์ปังชา จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) ‘ปังชา’ ภาษาไทย และ ‘Pang Cha’ ภาษาอังกฤษ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 จดทะเบียนลิขสิทธิ์ จดทะเบียนสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สงวนสิทธิ์ห้ามลอกเลียนแบบ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข สงวนสิทธิ์ห้ามนำชื่อแบรนด์ปังชา Pang Cha ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไปใช้เป็นชื่อร้านหรือใช้เป็นชื่อสินค้าเพื่อจำหน่าย"

โพสต์ดังกล่าวชาวเน็ตได้วิพากษ์วิจารณ์และสงสัยว่า นอกจากจดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าแล้ว เป็นการจดสิทธิบัตรเมนู ‘ปังชา’ หรือ ‘ปังชาไทย’ ที่เป็นน้ำแข็งไสรสชาไทยใส่ขนมปัง โรยด้วยนมข้นหวาน ซึ่งได้รับรางวัลมิชลินไกด์หลายปีซ้อนหรือไม่ เพราะไม่อย่างนั้นร้านอาหารอื่น ๆ ที่มีเมนูในลักษณะคล้ายกันจะกลายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

จากการสืบค้นข้อมูล ‘ปังชา’ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พบว่า น.ส.กาญจนา ทัตติยกุล เจ้าของแบรนด์ปังชาได้ยื่นคำขอลิขสิทธิ์ ขนไก่ปังชา ประเภทงานศิลปกรรม ลักษณะงานจิตรกรรม เลขที่คำขอ 371901 โดยได้เลขทะเบียน 47654 และคำขอเครื่องหมายการค้า เลขที่คำขอ 220133778 โดยได้ทะเบียนเลขที่ 231117892 โดยระบุข้อจำกัดว่า "ข้าพเจ้าไม่ขอถือเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้ อักษรโรมันและอักษรไทยทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนเครื่องหมาย ยกเว้น คำว่า KAM"

นอกจากนี้ยังพบว่า น.ส.กาญจนา ทัตติยกุล ได้จดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Design Patents) 7 ฉบับ ได้แก่ แก้ว ตุ๊กตา ลวดลายของแก้ว ลวดลายบนฉลากสินค้า ถ้วยไอศกรีม จดลิขสิทธิ์งานจิตรกรรม 6 ฉบับ ได้แก่ ไก่เจ้าครับ แก้มกาญจนา ไก่เจ้าค่ะ ขนไก่ปังชา แก้มกัลยา ไก่เหล็กถัก และเครื่องหมายการค้าหรือบริการอีก 45 ฉบับ

สมุทรปราการ-ฮือฮา!! คอหวยไม่พลาด “พระครูแจ้” เจ้าอาวาสวัดดังบางพลี รับเป็นเจ้าภาพฌาปนกิจพระลูกวัด แต่ดันโป๊ะเลขฝาโลงตรงกัน!! 

ภายในวัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ประชาชนจำนวนหลายร้อยคนเดินทางมาร่วมไว้อาลัยและร่วมพิธีงานฌาปนกิจศพ พระสมาน หรือหลวงตาโก๊ะ พระลูกวัดของวัดบางพลีใหญ่กลาง และอีกองค์คือ พระสำราญ ซึ่งเป็นพระลูกวัดของวัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง หรือวัดหลวงพ่อโต จ.สมุทรปราการ

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 27 สิงหาคม 2566 ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ประธานฝ่ายสงฆ์และประธานจัดงานโดยท่านได้รับเป็นเจ้าภาพจัดพิธีฌาปนกิจศพให้กับทางพระลูกวัดทั้ง 2 องค์ ที่ได้มรณภาพลงอย่างสงบ โดยพิธีจัดขึ้นภายในวัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

คณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง ร่วมประกอบพิธีฌาปนกิจศพ หลวงตาโก๊ะ หรือพระสมาน อภโย (ชมมาลี) และ หลวงตาเปีย พระสำราญ ชัยพร โดยมีพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จากวัดต่างๆ พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง ตลอดจนพี่น้องประชาชนจำนวนหลายร้อยคนร่วมในพิธี อาทิ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ นางรัตนา สมสกุลรุ่งเรือง ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ พร้อมด้วยคณะไวยาวัจกรวัดบางพลีใหญ่กลาง พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ อดีต รองผบก.ชลบุรี ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ ผู้บริหาร บริษัท อริยะ ข้าราชการตำรวจตลอดจนพี่น้องประชาชนจำนวนมากร่วมในพิธี

โดยที่ผ่านมาครั้งมีชีวิตอยู่ พระสมาน อภโย (ชมมาลี) หรือที่ญาติโยมทั่วไปรู้จักในนาม หลวงตาโก๊ะ วัดบางพลีใหญ่กลาง ท่านได้เริ่มบรรพชาเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2543 จำพรรษาอยู่ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความเมตตาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโดยตลอด และเป็นที่เคารพรักของญาติโยมโดยทั่ว จนได้รับความไว้วางใจจากพระชั้นผู้ใหญ่มอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญ พร้อมทั้งดูแลจัดการเรื่องสถานที่ศาลาบำเพ็ญกุศล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในสถานการณ์เกิดโรคระบาด โควิด-19 หลวงตาโก๊ะเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของวัดบางพลีใหญ่กล่ง ในการจัดการเรื่องเผาศพผู้ป่วยโควิด-19 โดยหลวงตาโก๊ะนั้น จะเป็นผู้ดูแลและประสานงานกับทางท่านเจ้าอาวาสมาโดยตลอด หลวงตาโก๊ะ ท่านได้มรณภาพด้วยโรคประจำตัวภายในกุฏิ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2566 สิริอายุได้ 74 ปี 23 พรรษา

และทางด้านประวัติของ พระสำราญ ชัยพร หรือ หลวงตาเปีย ท่านเป็นคนตำบลบางพลีใหญ่และเป็นพระลูกวัดของทางวัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง หรือวัดหลวงพ่อโต ครั้งยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นพระที่มีอุปนิสัยเป็นกันเองชอบในเรื่องของการทำไฟประดับ งานเทศกาลต่างๆ เป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่เป็นอย่างดี โดยท่านได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 สิริอายุได้ 67 ปี 23 พรรษา ประกอบกับเป็นที่ฮือฮาของพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัย คือเลขฝาโลงของพระลูกวัดทั้ง 2 องค์ ตรงกัน คือเลข 356 พรรษา 23 ทั้ง 2 องค์ อีกทั้งยังเป็นพระเพื่อนที่สนิทสนมกันมากอีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘หนุ่ม กรรชัย’ ลั่น!! ให้พร้อมใจกันกินอาหารหมา หลังจบโหนกระแส ปมเจ้าบ่าวร่ำไห้ แต่งงานได้ 3 วัน ถูกบอกเลิก ล่าสุดคืนดีกันแล้ว 

(28 ส.ค. 66) จากกรณีเจ้าบ่าวสุดช้ำไปแจ้งตำรวจ หลังจากคบหาสาว 6 เดือนตั้งท้อง ก็รีบจัดหาสินสอดมาแต่งงาน แต่มีความสุขได้ 3 วัน สาวบอกเลิกอ้างหมดรัก แท้งลูก แถมทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ที่บ้าน แต่สาวไม่มา แถมรูปโผล่ในโซเชียลไปฉลองกับคนอื่น

ล่าสุดวันนี้ รายการโหนกระแส ‘หนุ่ม กรรชัย’ เชิญเจ้าบ่าวสุดช้ำมาออกรายการ ชื่อตอนสุดเจ็บปวดเลยทีเดียวว่า “ปวดใจใครว่าดีมีแต่เปลืองน้ำตา…เจ้าบ่าวช็อก! แต่งงาน 3 วัน เจ้าสาวบอกเลิก”

โดยรายการยังเชิญฝ่ายหญิงมาออกรายการพร้อมกันด้วย ซึ่งฝ่ายชายร้องไห้ตั้งแต่ในรายการแล้ว และยืนยันไม่กลับไปคืนดีด้วย

แต่จากนั้น จบรายการ ‘หนุ่ม กรรชัย’ โพสต์คลิป เจ้าบ่าวช้ำหนัก โดยมีฝ่ายหญิงคอยกอดปลอบอยู่ข้างๆ พร้อมแคปชันสุดจี๊ดว่า

“ผัวร้องไห้เป็นลมส่วนเมียดูแล เขาดีกันแล้วครับ สำหรับแฟนๆ รายการโหนกระแสเมื่อสักครู่ พร้อมใจกันแดกอาหารหมานะครับ นำทีมแดกโดยครูใหญ่ #ไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย” ท่ามกลางคอมเมนต์ถล่มทลายร้องลั่นกันเป็นแถว อิ่มอาหารหมา

มั่นใจ!! 'แลนด์บริดจ์' พาไทยสู่จุดศูนย์กลางของโลกในการขนส่งสินค้า ลดต้นทุนมหาศาล ผ่านเส้นทางเดินเรือใหม่ จูงใจเหล่าผู้ประกอบการ

(28 ส.ค. 66) จากเฟซบุ๊ก 'KUL' โดย กุลวิชญ์ สำแดงเดช ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ ระบุว่า...

แลนด์บริดจ์
ได้ คุ้ม เสีย

โครงการแลนด์บริดจ์ คือ ภาคต่อของการขุดคอคอดกระ หรือคลองไทย สร้างเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ ที่แม้ว่า ไทยจะได้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การสัญจรทางเรือ จะเปลี่ยนมาใช้ช่องทางนี้ แทนช่องแคบมะละกา

แต่ชัดเจนว่า ทำไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องความมั่นคง จากการแยกไทยเป็น 2 ส่วน และเรื่องสิ่งแวดล้อม จากการ ปล่อยกระแสน้ำจากอ่าวไทย และทะเลอันดามัน ไหลมาบรรจบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์มหาศาล

ที่สุดแล้วโปรเจกต์แลนด์บริดจ์ จึงถือเกิดขึ้น

แลนด์บริดจ์ คือ การสร้างเส้นทางสัญจรจากฝั่งอันดามัน ไปฝั่งอ่าวไทย พร้อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกด้าน Logistic อย่างเต็มรูปแบบ

มีความพยายามหาพื้นที่ในการสร้างมาอย่างยาวนาน กระทั่งมาเคาะว่าสมควรจะเป็น คือ บริเวณแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร และแหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง ขีดความสามารถรองรับตู้สินค้า ฝั่งละ 20 ล้านทีอียู (หน่วยนับขนาดตู้คอนฯ ขนาด 20 ฟุต/20 ฟุต = 1 TEU) รวมถึงแนวเส้นทางการพัฒนาระบบเชื่อมโยง ระยะทาง 93.9 กิโลเมตร (กม.) โดยเป็นระยะทางบนบก 89.35 กม. ระยะทางในทะเลสู่ท่าเรือระนอง 2.15 กม. ระยะทางในทะเลสู่ท่าเรือชุมพร 2.48 กม.

ประกอบด้วย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และรถไฟทางคู่ ขนาดรางมาตรฐาน (1.435 เมตร) รองรับการขนส่งสินค้า และรางขนาด 1 เมตร เพื่อเชื่อมการเดินทางขนส่งผู้โดยสารในโครงข่ายรวมของประเทศอีกด้วย โดยมีรูปแบบทั้งทางยกระดับ ทางระดับพื้น และอุโมงค์ จำนวน 3 แห่ง

หลักการง่าย ๆ คือ เมื่อเรือมาเทียบที่ท่าฝั่งอ่าวไทย ก็จะขนไปขึ้นเรือที่รออยู่ฝั่ง อันดามัน (หรืออันดามัน ไป อ่าวไทย) ในเวลาที่รวดเร็ว

หากทำสำเร็จ จะเป็นจุดศูนย์กลางแห่งหนึ่งของโลกในการขนส่งสินค้า และจะเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่ ที่มีแรงจูงใจผู้ประกอบการ คือ ลดระยะเวลาการขนส่งเส้นทาง จากที่ผ่านช่องแคบมะลากาจาก 9 วัน เหลือ 5 วัน ทำให้ประหยัดต้นทุน และเป็นประตูการค้าเชื่อมต่อระหว่างเส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ไปยังทะเลจีนใต้ ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปได้ทั่วโลก

จะเป็นการขนส่งสินค้า ระหว่างสหภาพยุโรป, ตะวันออก, อินเดีย, บังกลาเทศ, เวียดนาม, จีน โดยลูกค้าหลัก จะเป็นเรือสินค้า ฟีดเดอร์ ขนาด 5,000-6,000 ทีอียู และเป็นทางเลือกของสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) การขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก

โดยเชื่อมต่อทางรางและทางถนน และเกิดอุตสาหกรรมหลังท่า (Port Industry) มีการตั้งเขตพื้นที่เศรษฐกิจเสรี ดึงดูดนักลงทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมหลังท่าเรือระนอง และท่าเรือชุมพรส่งเสริมแลนด์บริดจ์ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้

การพัฒนาแลนด์บริดจ์ประมาณมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.001 ล้านล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินมหาศาล แต่ก็คุ้มค่า หากไทยคิดจะลงทุน โดยที่ผ่านมาโปรเจคในลักษณะของการพัฒนาพื้นที่ ในเชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่  เราไม่เคยเห็นความล้มเหลวเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอิสเทิร์น ซีบอร์ด หรือ อีอีซี ก็ตาม นี่จึงเป็นความเสี่ยงที่คุ้มเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม มีแรงต้านแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มนักสิ่งแวดล้อม และนักอนุรักษ์วิถีดั้งเดิม เพราะโครงการขนาดนี้ ลงไปที่ไหน ย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับพลิกฝ่ามือ วัฒนธรรมชาวบ้าน ย่อมได้รับแรงสะเทือน วิถีชุมชน ต้องมีการปรับเปลี่ยน สิ่งแวดล้อม ได้รับผลกระทบ

ทว่าหากมองมุมของเศรษฐกิจ แล้ว ผมย้ำคำเดิม

ได้คุ้มเสีย #KUL

‘ญี่ปุ่น’ โวย!! ถูก ‘จีน’ ขู่ หลังปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีลงทะเล ด้าน ‘ฮ่องกง’ แบนนำเข้าอาหารทะเล ฉุดธุรกิจร้านอาหารดิ่ง 30%

(28 ส.ค. 66) สำนักข่าวรายงานว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในเกาะฮ่องกงคาดหมายว่า ธุรกิจร้านอาหารของตนจะตกลงมากถึง 30% ได้ หลังจากทางการสั่งแบนนำเข้าอาหารทะเลจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่น ที่มีผลแล้วในวันที่ 24 สิงหาคม จากการที่ญี่ปุ่นทำการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี ที่ผ่านการบำบัดเรียบร้อยแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก

‘นายไซม่อน หว่อง’ ประธานสหพันธ์ร้านอาหารและการค้าที่เกี่ยวข้องของฮ่องกง กล่าวว่า เราคาดว่าธุรกิจร้านอาหารจะปรับลดลงไปราว 20-30% หรืออาจมากกว่านั้นสำหรับร้านอาหารไฮเอนด์ ที่ส่วนใหญ่นำเข้าวัตถุดิบที่บินส่งตรงจากญี่ปุ่นมายังฮ่องกงภายในวันเดียวกันเลย และหากวัตถุดิบที่เป็นอาหารทะเลดังกล่าวไม่มีความหลากหลาย หรือไม่มีปริมาณเพียงพอสำหรับร้านอาหาร ธุรกิจก็จะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี เขาเชื่อว่าการขาดแคลนอุปทานจะไม่ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากผู้ค้าให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าไว้เป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ ฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกอาหารทะเลใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น รองจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งได้ออกมาตรการห้ามนำเข้าอาหารทะเล รวมถึงเกลือและสาหร่ายทะเล จาก 10 จังหวัดที่มีความเสี่ยงของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม รวมถึงจากโตเกียว, จังหวัดฟุกุชิมะ และนางาโนะ ซึ่งคิดเป็น 10% ของอาหารทะเลญี่ปุ่นที่นำเข้ามาในฮ่องกง

ส่วนมาเก๊า เกาะเพื่อนบ้านที่อยู่ใต้อาณัติปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ ก็สั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่นเช่นกัน ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่สั่งแบนนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด

วันเดียวกัน ‘นายฮิโรคาสุ มัตสึโนะ’ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง กรณีที่มีโทรศัพท์ข่มขู่เข้ามาอย่างมาก โดยมีต้นสายจากจีนในการข่มขู่คุกคามที่เกี่ยวเนื่องกับการปล่อยน้ำเสีย จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงทะเลของญี่ปุ่น

โดยนายมัตสึโนะกล่าวว่า พัฒนาการเหล่านี้เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งและเรามีความเป็นห่วง กังวล

ด้านกระทรวงต่างประเทศของจีนยังไม่ได้ให้ความเห็นต่อท่าทีนี้ของโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top