Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

‘เชาว์ มีขวด’ ยกโมเดล พปชร. แก้วิกฤติพรรค หวังใช้แก้ปัญหาใน ปชป. หลังมี สส. แหกมิติพรรคโหวตนายกฯ

(24 ส.ค. 66) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘ทนายเชาว์ มีขวด’ ระบุว่า…

ปล่อยมือเถอะครับ แล้วจากกันด้วยดี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ในการโหวตให้ความเห็นชอบนายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากว่าประชาธิปัตย์เละเป็นโจ๊ก เนื่องจากมี สส.กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรค จำนวน 16 คน ได้โหวตสวนมติพรรคที่ให้งดออกเสียง เป็นเห็นชอบ

ที่ผมโฟกัสเฉพาะสส. 16 คน ไม่พูดถึง 2 อดีตหัวหน้าพรรคฯ ที่โหวตสวนมติเหมือนกัน แต่เป็นการลงคะแนนไม่เห็นชอบนั้น ก็เพราะทั้งคู่ได้แจ้งต่อที่ประชุมแล้วถึงจุดยืนที่ขอใช้เอกสิทธิ์ สส.ในกรณีนี้ แต่ สส. 16 คน ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวว่า นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ใช้ต่อรองกับนายทักษิณ ชินวัตร ดีลร่วมรัฐบาลที่ฮ่องกง

เหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันหลักในทางการเมืองมายาวนานกว่า 78 ปี และยังมีจุดยืนทางการเมืองคนละขั้วกับพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจนในการต่อต้านระบอบทักษิณต่อสู้ห้ำหั่นกันมากว่าสองทศวรรษ ถึงขนาดนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค กล่าวภายหลังการประชุมรัฐสภาว่า ไม่น่าเชื่อว่า สส.ของพรรคจะโหวตออกมาอย่างนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากสมาชิกพรรคที่มีความห่วงใย ในอนาคตของพรรคว่าถึงคราวจะสูญพันธุ์ตามที่หลายคนได้พูดถึงหรือไม่

จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีคำชี้แจงจากกลุ่ม สส. ทั้ง 16 คน ถึงเหตุผลใดที่ให้พวกท่านตัดสินใจทำเช่นนั้น แต่ผมคิดว่าการฝ่าฝืนมติพรรคที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดขึ้นเองคล้อยหลังเพียงหนึ่งวัน จากงดออกเสียงเป็นเห็นชอบ จะชี้แจงแก้ตัวอย่างไรคงฟังไม่ขึ้น เพราะการกระทำของพวกท่านหมดความชอบธรรมที่จะยกเหตุผลใดมาอธิบายนอกจากเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าจากการเข้าร่วมรัฐบาล โดยที่พวกท่านลืมหลักการไปว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์และความรู้สึกของประชาชนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคมาอย่างยาวนาน

ผมเข้าใจดีว่าในวันที่พรรคอ่อนแอ หลายคนคิดแค่กอบโกยให้ได้มากที่สุด ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพัง เพราะไม่คิดที่จะอยู่ต่อแล้วในอนาคต แต่อยากให้ตระหนักสักนิดว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดทิ้งพรรค หวังที่จะกอบกู้ สู้ไปด้วยกันแม้ในวันที่พรรคอ่อนล้าโรยแรง มีโมเดลที่พรรคพลังประชารัฐเคยทำ เมื่อครั้งมีความเห็นต่างจนไม่อาจหาข้อยุติได้ สุดท้ายร้อยเอกธรรมนัส เดินจากไป ปล่อยมือเถอะครับ แล้วจากกันด้วยดี”

‘ท็อป พิพัฒน์-นุ่น ศิรพันธ์’ ครบรอบแต่งงาน 8 ปี คู่รักตัวอย่างที่ขาเตียงมั่นคง แม้ไม่มีลูกด้วยกัน

(24 ส.ค.66) แต่งงานใช้ชีวิตคู่มา 8 ปีแล้ว ยังไม่มีทายาท สำหรับคู่สามีภรรยา ‘ท็อป พิพัฒน์’ และ ‘นุ่น ศิรพันธ์’ แต่ก็หมั่นเติมความหวานให้กันตลอด

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (23 ส.ค.) เป็นวันครบรอบแต่งงาน 8 ปีของทั้งคู่ งานนี้ ‘นุ่น’ ได้ย้อนวันวานตอนที่เข้าพิธีแต่งงานกับคุณสามี ด้วยการลงรูปตอนที่ทั้งคู่กำลังรดน้ำต้นไม้แทนซีนตัดเค้กแต่งงาน พร้อมเขียนความในใจว่า

“ปลูกความรักมาแล้ว 8 ปี...บทสนทนาเลยจะได้ประมาณนี้

ศิร : กู๋ท็อป ดูรูปงานแต่งเราตอนนั้นซิ ตอนนี้เขามาไกลมากเลย ตัวแน่นไปหมด
กู๋ท็อป : เอาที่ตัวเองมีความสุข เขาอยู่ด้วยทั้งนั้น
ศิร : งั้นเขาขอเพิ่มอีก 10 โลได้ไหม
กู๋ท็อป : อันนี้ก็เกินไปเธอ

Happy Anniversary @toppipat รู้จักกันมา 16 ปี เราก็ยิ้มๆ แซวๆ กัดๆ กันไปจนแก่เลยนะเธอ #ecowedding”

ด่วน!! เกิดเหตุเครื่องบินตก คร่าชีวิต ‘พริโกซิน’ ผู้นำวากเนอร์ ขณะเดินทางกลับกรุงมอสโก ทางการรัสเซียเร่งสืบหาสาเหตุ

‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ผู้ก่อกบฎรัฐบาลปูติน เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตกระหว่างเดินทางไปมอสโก กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน แถลง 10 ผู้โดยสารเสียชีวิตทุกคน ขณะเทเลแกรมอ้างเครื่องบินถูกยิงตก

(24 ส.ค. 66 ) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสถานการณ์ในประเทศรัสเซียว่า มีรายงานจากสื่อในประเทศรัสเซียว่า นายเยฟกินี พริโกซิน หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ที่ก่อเหตุกบฏต่อรัฐบาลรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตก ในระหว่างเที่ยวบินจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปกรุงมอสโก

โดยเครื่องบินลำดังกล่าวมีผู้โดยสาร 10 คน ลูกเรือสามคน ซึ่งกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซียได้รายงานว่า จากเหตุเครื่องบินตกพบว่าลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด

“บนเครื่องบินมีผู้โดยสาร 10 คน รวมทั้งลูกเรือ 3 คน ตามข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดบนเครื่องบินเสียชีวิต” กระทรวงระบุ โดยเครื่องบินตกในภูมิภาคตเวียร์ ตอนเหนือของมอสโก

ขณะที่สํานักงานขนส่งทางอากาศแห่งสหพันธรัฐของรัสเซียกล่าวว่า ได้เริ่มการสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินตก และกล่าวต่อไปว่ามีชื่อของนายพริโกชินรวมอยู่ด้วย

“การสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินรุ่นเอ็มบราเออร์ Embraer ในภูมิภาคตเวียร์เมื่อเย็นวานนี้ได้เริ่มต้นขึ้น ตามรายชื่อผู้โดยสารชื่อและนามสกุลของนายเยฟกินี พริโกซิน รวมอยู่ในรายชื่อนี้” สำนักข่าวในรัสเซียระบุ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานจากโซเชียลมีเดียเทเลแกรมช่อง Grey Zone ซึ่งเป็นช่องของกลุ่มวากเนอร์ระบุว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงตก

‘วีรพัฒน์’ ติง!! ‘แฟนก้าวไกล’ ควรมีสติ-วุฒิภาวะ เพราะการเมืองคือการทำงานร่วมกันแบบมืออาชีพ

ผู้ใช้ TikTok บัญชี @missyoumt1368 แชร์คลิปวิดีโอของรายการ โหนกระแส โดยช่วงหนึ่ง ‘วีรพัฒน์ ปริยวงศ์’ นักกฎหมายอิสระ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ‘ด้อมส้ม’ บางคนที่คอมเมนต์ติติงและอาจไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการทำงานแบบมืออาชีพในสภาฯ เพราะการเมืองนั้นมันต้องร่วมมือกัน โดยระบุว่า…

“ถ้าผมถามก้าวไกล แฟนก้าวไกลที่มาคอมเมนต์อะไรไม่ค่อยฉลาด ถ้าสมมุติเพื่อไทยเขาผลักดันกฎหมายที่คุณอยากได้ คุณจะบอกคุณพิธาไหมว่าไม่ต้องยกมือให้เพื่อไทย เขาจะผลักดันกฎหมายสุราก้าวหน้า กฎหมายไม่ต้องเกณฑ์ทหาร คุณจะให้คุณพิธาลุกขึ้นมาค้านเหรอ คุณพิธาค้านไม่ได้เพราะโดนสั่งยุติไปแล้วอีก เห็นไหมว่าการเมืองมันต้องร่วมมือกัน เพราะว่าตอนนี้แฟนคลับบางคนไม่มีสติแล้ว อะไรก็ตามที่เป็นการวิจารณ์ก้าวไกล เขารับไม่ได้เลย เหมือนพันธมิตรกับ กปปส. สมัยก่อนเลย ต้องพูดอย่างงี้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“เพราะฉะนั้น พวกคุณต้องโตขึ้นนิดนึง มีสติปัญญาที่พัฒนาขึ้นในระดับที่สูงขึ้น มิฉะนั้นแล้วการเมืองจะเป็นการเมืองน้ำเน่า นักการเมืองที่ฝ่ายค้านก็ต้องทะเลาะกับรัฐบาลหมด จริง ๆ ปัญหาอยู่ที่ตัว สว. และพรรคลุง นั่นคือปัญหา เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดก้าวไกลกับเพื่อไทยยังมาเสียเวลาทะเลาะกัน คุณก็จะกลายเป็นการเมืองแบบน้ำเน่าสมัยก่อน เพื่อไทยจะโตในสภาฯ แต่รีบนอกสภา ส่วนก้าวไกลคุณโตนอกสภาฯ คุณก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดีถูกไหมครับ? ดังนั้น ต้องหาวิธีทํางานร่วมกันแบบมืออาชีพ อยู่คนละฝั่งก็ยังโหวตในสิ่งที่เห็นต้องตรงกันได้ และคุณก็ค้านเฉพาะในสิ่งที่คุณจะไม่เห็นด้วย นั่นคือการเมืองแบบมืออาชีพ”

“ผมเชื่อว่าคุณพิธากับแกนนําพรรคเขาเข้าใจ ปัญหาคือจะทําอย่างไรเพื่อให้การศึกษาแก่ฐานเสียงรุ่นใหม่บางคน ที่อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการทํางานแบบมืออาชีพในสภาฯ สักเท่าไหร่…”

‘สรรเพชญ’ ยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกรัฐมนตรี  ยืนยัน!! พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านสุดความสามารถ

(24 ส.ค. 66) นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งยกมืองดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามมติพรรค ได้ออกมาแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และยืนยันพร้อมเป็นฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาล

โดยสรรเพชญ ระบุว่า วันนี้ ประเทศไทยของเราได้มีนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เป็นที่เรียบร้อย ผมขอแสดงความยินดีกับคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหาที่รุมเร้าประเทศของเราอยู่ในขณะนี้ ทั้งปัญหาปากท้องของประชาชน และสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ปัญหาสังคม และต่าง ๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม นอกจากการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพแล้ว ประเทศของเราจำเป็นต้องมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ที่จะคอยตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาล ไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจในทางที่ผิด เอื้อประโยชน์เพื่อพวกพ้อง อันนำมาซึ่งการทุจริตคอร์รัปชัน จนกลายเป็นต้นเหตุทางการเมืองที่ผ่านมา และผมเชื่ออย่างยิ่งว่าหากฝ่ายค้านทำงานอย่างมีคุณภาพแล้วนั้น ก็จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนเช่นกัน ดังที่ผมเคยประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กของผม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2566 ภายหลังการเลือกตั้ง และ ณ วินาทีนี้ ความเชื่อของผมก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ดังนั้น ผมในฐานะ สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยส่วนตัวผมแล้วผมไม่เห็นถึงความจำเป็นใด ๆ ที่พรรคฯ จะต้องไปเข้าร่วมรัฐบาล เนื่องจากจำนวน สส.พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน นั้นมีมากกว่า 314 เสียง แล้ว ซึ่งถือเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมาก ๆ และถือว่ามีจำนวน สส. มากกว่าชุดรัฐบาลที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น จำนวนเสียง สส.ฝ่ายค้าน แทบจะไม่สามารถทำให้รัฐบาลสะดุดล้มได้เลย เว้นแต่รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเอง

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้น ผมจึงอยากให้พรรคฯ เดินหน้าทำหน้าที่เป็น ‘ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง’ เหมือนกับที่ประชาธิปัตย์เคยพิสูจน์ผลงานมาแล้วในอดีต เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน สำคัญที่สุดคือการกอบกู้ศรัทธาของพรรคให้กลับคืนมา

แต่ถ้าหาก สส. ส่วนใหญ่ของพรรคฯ คิดว่าอุดมการณ์ของผมนั้น ขัดแย้งกับเสียงส่วนใหญ่ ที่ได้อ้างกันอยู่ในขณะนี้ และไม่สามารถร่วมอุดมการณ์เดียวกันได้แล้ว ผมยินดีที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ ขับออกจากพรรค โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ เพราะผมไม่สามารถหักหลังพี่น้องชาวสงขลาที่ได้ให้โอกาสผมมาได้ และผมยินดีที่จะตั้งใจทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างมีคุณภาพ ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ในฐานะผู้แทนของราษฎร ตามอุดมการณ์ที่ผมยึดถือมาตลอดครับ

สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมยึดถือและยึดมั่นเป็นสำคัญ ก็คือ คำขวัญของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชาวประชาธิปัตย์ ยึดมั่นมาตลอด 77 ปี คือ สจฺจํ เว อมตา วาจา ‘คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย’

‘อินเดีย’ ส่งยาน ‘จันทรายาน-3’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ลงจอดที่ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์สำเร็จเป็นชาติแรก

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 ยานสำรวจ จันทรายาน-3 ของ อินเดีย ลงจอดบริเวณขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จแล้วเมื่อเวลาประมาณ 19.34 น.ของเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาในประเทศไทย ท่ามกลางการส่งเสียงเชียร์ด้วยความดีใจของบรรดานักวิทยาศาสตร์ขององค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) และชาวอินเดียทั่วประเทศที่ลุ้นกันตัวโก่ง

ภารกิจในห้วงอวกาศครั้งประวัติศาสตร์นี้ ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นชาติแรกที่ส่งยานอวกาศลงจอดขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จ และเป็นประเทศที่ 4 ของโลกที่สามารถส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ได้ ต่อจากอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และ จีน ซึ่งทำให้อินเดียผงาดสู่การเป็นมหาอำนาจอวกาศอีกชาติหนึ่ง

ภายหลังจากที่ยานจันทรายาน 3 ได้ลงจอดสำเร็จนั้น หน่วยงานอวกาศรอสคอส ของรัสเซีย ได้แสดงความยินดีกับอินเดีย ที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดของยานอวกาศนี้ ผ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่า การสำรวจดวงจันทร์มีความสำคัญต่อมนุษยชาติทั้งหมด ในอนาคต มันอาจกลายเป็นเวทีสำหรับการเรียนรู้อวกาศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งร่วมชมการถ่ายทอดสดขณะยานจันทรายาน-3 ลงจอดบนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์ด้วยในระหว่างที่เขาอยู่ในระหว่างร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์อยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เขาได้โบกธงชาติอินเดียและกล่าวอย่างปลาบปลื้มในการประกาศความสำเร็จของภารกิจนี้ครั้งนี้ว่า นี่เป็นชัยชนะของอินเดีย

“แนวทางที่มีมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนี้… คือ โลกหนึ่งใบ หนึ่งครอบครัว อนาคตหนึ่งเดียวที่กำลังก้องกังวานไปทั่วโลก” เขาระบุ และยังสนับสนุนให้ประเทศอื่นๆ ได้เปิดภารกิจของตนเอง โดยกล่าวว่า ความสำเร็จของอินเดีย คือความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ

“เราทุกคนสามารถปรารถนาถึงดวงจันทร์ และที่อื่นๆเหนือไปกว่านั้นได้”

“ท้องฟ้าไม่ใช่ขีดจำกัดอีกต่อไป” นเรนทรา โมดี กล่าว

ภารกิจจันทรายาน-3 ครั้งนี้ ซึ่งเป็นความพยายามครั้งที่ 2 ของอินเดียในความพยายามส่งยานอวกาศลงบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น มีขึ้นไม่ถึงสัปดาห์หลังจากยานลูนา-25 ของรัสเซีย ประสบความล้มเหลวที่จะลงจอดบนดวงจันทร์

ทั้งนี้ คาดว่าจันทรายาน-3 จะยังคงทำงานได้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยทำการทดลองหลายชุด รวมถึงการวิเคราะห์องค์ประกอบของแร่ธาตุบนพื้นผิวดวงจันทร์

ทั้งนี้ ภารกิจนี้เปิดตัวเมื่อเกือบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีผู้ชมหลายพันคนที่ส่งเสียงให้กำลังใจเป็นสักขีพยาน โดยเคลื่อนที่ไปตามวงโคจรของโลกเป็นเวลาราว 10 วัน และเข้าไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้สำเร็จในวันที่ 6 สิงหาคม

‘แอร์ ภัณฑิลา’ คลอด ‘น้องฑิลาร์’ แล้ว พร้อมอวดความน่ารัก เหล่าคนบันเทิง-แฟนคลับ แห่คอมเมนต์ร่วมแสดงความยินดี

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 พิธีกรสาวร่างเล็ก ‘แอร์-ภัณฑิลา ฟูกลิ่น’ คลอด ‘น้องฑิลาร์’ ลูกสาวคนแรก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย สาวแอร์ ได้เผยโฉมให้เห็นกันเป็นครั้งแรกผ่านไอจีส่วนด้วย ระบุว่า…

“𝐃𝐀𝐘𝟏 : เบบี๋ ฑิลาร์ รายงานตัวค้าาาา…🐰💖
#bunnytila🐰 #babytila🍼
#อ่อแอร์เอง #bunnyaire”

ในภาพจะเห็นคุณแม่มือใหม่ นอนอยู่บนเตียง พร้อมกับลูกสาวสุดน่ารักน่าชัง และมีสามี ‘ไอซ์-รัชชสิทธิ์ มั่นคงธนทรัพย์’ นักธุรกิจหนุ่มอยู่คอยเฝ้าให้กำลังใจไม่ห่าง

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีดารา นักแสดง และแฟนคลับเข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก เช่น

- โยชิ รินรดา เข้ามาคอมเมนต์ว่า “ยินดีด้วยนะค้า”
- ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “ยินดีด้วยน้าาาค้า”
- ดิว อริสรา เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “On the rainy afternoon Tequila came to the world! มีคนแถวนี้พูด Soooooo Cute!”
- คิมเบอร์ลี่ นางเอกดัง เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “Congratulations naka sisss” เป็นต้น

'สรยุทธ' หยิบภาพประสานใจ 'พิธา-หมอชลน่าน' โปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' เพราะใช้ภาพจริงไม่ได้

(24 ส.ค. 66) รายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องโปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' แต่ไม่สามารถใช้ภาพจากละครได้ เนื่องจากอาจโดนเรื่องลิขสิทธิ์ จึงใช้ภาพ ‘พิธา-หมอชลน่าน’ แทนในการโปรโมตละคร พร้อมกับโดยระบุว่า…

“ภาพประกอบก็ไม่มี แต่ก็อยากโปรโมตให้เหลือเกิน จำเป็นต้องโปรโมต เกมรักทรยศ เป็นเรื่องราวของชีวิตคู่ที่สงบสุข และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ของหมอเจน (รับบทโดยแอน ทองประสม) จิตแพทย์ชื่อดัง กับสามีรูปหล่อชื่ออธิน (รับบทโดยอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เจ้าของโรงแรมที่กำลังขาดทุน โดยหมอเจนเกิดความสงสัยว่าสามีจะมีชู้ เพราะเห็นเส้นผมปริศนาจากผ้าพันคอ และความจริงก็คือคนรอบตัวรู้เห็นเป็นใจให้สามีนอกใจหมอเจน”

นายสรยุทธกล่าวต่อว่า “ขอเดาว่า จะต้องมีการเอาคืน จะประมาณว่า ‘อย่าเพิ่งรีบตาย’ อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปนะ จริง ๆ เราจำเป็นต้องโปรโมตละครเรื่องนี้นะ”

ทั้งนี้ภาพที่นำขึ้นมาประกอบละคร ‘เกมรักทรยศ’ เป็นภาพ 8 พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกล จัดแถลงข่าวที่พรรคประชาชาติ โดยในครั้งนั้นนายพิธาและหมอชลน่านได้ทำท่าประสานมือเป็นรูปหัวใจถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชน

ต่อมาเป็นภาพวันที่ก้าวไกลแถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และภาพเหตุการณ์วันที่พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ มาเยือนพรรคเพื่อไทย และดื่มเครื่องดื่ม ‘ช็อกมิ้นต์’ ด้วยกัน โดยตลอดช่วงที่โปรโมตละครใช้เพลง ‘คืนความสุขให้ประชาชน’ ก่อนที่จะมีคอมเมนต์ขอให้ปิดเพลง

‘บิ๊กตู่’ ถก ‘เศรษฐา’ ส่วนตัวกว่า 45 นาที พร้อมพาเยี่ยมชม ‘ตึกไทยคู่ฟ้า-เก้าอี้นายกฯ’

(24 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการพูดคุย เสร็จสิ้น เมื่อเวลา 11.45 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้พา นายเศรษฐา ทวีสิน เยี่ยมชมบริเวณภายในตึกไทยคู่ฟ้า โดยขึ้นชั้นสองไปดูห้องทำงาน เก้าอี้นายกฯ, ห้องสีงาช้าง แวะชม ภาพถ่ายอดีตนายกรัฐมนตรี และที่ตึกภักดีบดินทร์ อย่างอารมณ์ดีและยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งสองคน

จากนั้นเวลา 11.55 น. ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที 30 ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเดินมาส่ง เพื่อขึ้นรถบริเวณประตูด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยนายเศรษฐาได้ยกมือไหว้ขอบคุณพลเอกประยุทธ์ และพลเอกประยุทธ์ได้ยกมือรับไหว้ ซึ่งทั้งสองคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน เป็นการใช้เวลาพบปะพูดคุยกันรวม 45 นาที

ทั้งนี้การพูดคุยโดยใช้เวลาประมาณ 45 นาทีนั้นเป็นการพูดคุยระหว่างพลเอกประยุทธ์ และนายเศรษฐา เพียงสองคนเท่านั้นไม่มีนายพีระพันธุ์

‘มาย-อาโป’ ขึ้นแท่นนักแสดงฮอตระดับโลก สร้างมูลค่าสื่อให้แบรนด์หรูรวมกว่า 159 ลบ.

‘มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง’ และ ‘อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์’ สองนักแสดงสุดฮอต เปิดเส้นทางในวงการบันเทิงนานกว่า 10 ปี จนกลายเป็นนักแสดงแถวหน้า สร้างมูลค่าสื่อให้กับแบรนด์ระดับโลก ได้มากกว่า 159.9 ล้านบาท ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่อง One31

>>ซีรีส์ที่เล่นชื่อว่าคินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ ดังทั่วโลก กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ไม่เคยใฝ่ฝันเลยว่าจะเป็นดารา ตอนวัยเด็กอยากเป็นอะไร?

มาย : ตอนเด็กอยากเป็นวิศวโยธา ตอนเด็กผมเคยมีญาติ ญาติพาไปเที่ยว เห็นเขาทำฝาย ผมก็มีความใฝ่ฝันอยากทำฝาย ดูเท่

อาโป : ผมโนไอเดียเลย ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่การศึกษาไม่ได้สูง เขาก็แค่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่คิดว่ามันมั่นคง เป็นหมอหรืออะไรแบบนี้ เราก็รู้ลึก ๆ ว่ามันไม่น่าเหมาะกับเรา มันก็เลยเคว้ง เหมือนอยู่ในครอบครัวที่เขาคาดหวัง เราก็งงอยู่พักใหญ่ ๆ

>>มาเป็นนักแสดงได้ยังไง?

อาโป : พอดีช่วงที่ค้นหาชีวิต เราบังเอิญเจอผู้จัดการคนเก่า คือพี่เบิ้ม เขาก็พาไปเดินแบบ เดินอยู่สักพัก ตอนนั้นเขาให้ไปแคสที่ช่อง 3 บังเอิญแคสไม่ผ่าน เขาก็เลยบังเอิญไปเจออีกคน คือพี่หนุ่ม กฤษณ์ ตอนนั้นกำลังจะถ่ายสุดแค้นแสนรัก เขาให้ไปแคสเรื่องนั้น ที่เล่นกับพี่เบนซ์ด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ได้เป็นนักแสดง นั่นคือเรื่องแรก แคสกับช่องไม่ผ่าน แต่แคสกับพี่หนุ่ม พี่หนุ่มบอกว่าต้องเป็นบทคู่แฝด แล้วโปดันไปคล้ายกับอีกคนนึง เขาก็เลยให้มาลองดู แล้วส่งไปเรียนการแสดง ซึ่งผ่านมา 10 ปีพอดี พี่เบนซ์ยังสวยเหมือนเดิม (เบนซ์บอกว่าอาโปมีแววอยู่แล้ว เป็นคนขี้สงสัยแล้วก็จะถามเลย เด็กบางคนไม่ได้ถาม บอกมาก็เล่นตามนั้น แต่อาโปเป็นเด็กขี้สงสัย ซึ่งเป็นข้อดีเพราะพอถามแล้วได้ความรู้ กว่าจะจบเขาก็เล่นเก่งเลย

>>หลังเรื่องสุดแค้นก็ได้เล่นอีกหลายเรื่อง แล้วอะไรทำให้ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตใหม่ ก้าวใหม่ของชีวิต?

อาโป : ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าตอนนั้นพอเล่นสุดแค้นเสร็จ บังเอิญได้ไปเล่นกับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เรื่องเลือดมังกร แล้วเล่นกับพี่นก ฉัตรชัย พี่นกเขามีแพชชั่นทางด้านแสดง ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าเราจะเอาอันนี้เป็นอาชีพ เราต้องทำยังไงกับมันบ้าง ต้องตั้งคำถามยังไง ต้องศึกษายังไงกับการเป็นตัวละคร เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราจะเอาดีด้านนี้แล้วนะ เราทำมาเรื่อย ๆ ก็คิดว่าการละครไม่ตอบโจทย์เรา สมมติปีนึงมีพีเรียดนึง มี 3 พาร์ต เขาถ่ายพาร์ตละ 2-3 เรื่อง มันทำให้เราไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตอย่างอื่น ตอนนั้นอยู่มา 2-3 ปีแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเราถ่ายแต่ละคร ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็คิดว่าเฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เองเหรอ เราอยากออกไปเจอโลกบ้าง ได้เรียนรู้มุมอื่นบ้าง อยากไปทำงานที่ทุกคนทำงานอย่างละเอียดอ่อน เราเป็นเด็กช่างสงสัย ก็จะถามตัวเองตลอด ทำไมถึงเป็นอันนี้ไม่ได้ ทำไมถึงได้แค่นี้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเรา เราก็เลยย้ายไป ตอนนั้นตัดสินใจออก เก็บของ ขายทุกอย่างทิ้งที่เมืองไทย แล้วไปอยู่ที่นิวยอร์ก

>>มายเข้าวงการได้ยังไง?
มาย : พอเรียนวารสารเราก็เปิดใจว่าจริงๆ ต้องหาอะไรทำ ระหว่างเรียน เราจะได้เรียนรู้หน้างานด้วยนอกจากวิชาการ การไปคุยกับคนต่าง ๆ ก็ได้มายด์เซตว่าเราควรเปิดใจกับทุกอย่างที่เข้ามา เพราะโลกกว้างมาก ก็เริ่มไปเป็นดีเจคลื่นวิทยุคลื่นนึงตอน 18 เราก็คุยหมดเลย ช่างแต่งหน้าวันนั้นก็ยังแต่งหน้าวันนี้ คนแรกกับปัจจุบันก็เป็นคนเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าวงการบันเทิงมีหลากหลาย พอมีอะไรมาก็ไปแคส บวกกับความใจดีของเรามั้ง เวลาใครบอกไปทำนี่ให้หน่อยสิ เราก็ไปทำ โดยเราไม่ได้คาดหวังว่าจะดังหรือได้เงิน เพราะเราทำโดยไม่ได้ต้องการเรื่องตรงนั้นสักเท่าไหร่ เหมือนคินน์พอร์ชเหมือนกัน เราก็แค่ไปช่วยเขา เพราะเขาบอกว่าบทนี้มาจากบุคลิกเราบางอย่าง เพราะนักเขียนรู้จักเรา ก่อนรู้จักนักเขียนก็เป็นโปรดิวเซอร์รายการ เขาก็ชวนเราไปออกรายการเขา แล้วเขาก็เห็นแค่นั้นเอง เราก็ไปสิ แต่ไม่มีใครรู้จักพี่นะ ไปได้มั้ย ก็ไปช่วยกัน หลังจากนั้นสองเดือนเขาก็ติดต่อมาอีก ว่ามีนิยายที่เขาเขียน เขาอยากทำเป็นซีรีส์ เขาเขียนจากตัวมายประมาณใหญ่ ๆ เลยแหละ ลองไปแคสให้ดู แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเล่นหรือเปล่านะ เพราะไม่รู้แอ็กติ้งได้ดีขนาดไหน ก็ลองดู แล้วก็ลุย มาถึงตอนนี้

>>อาโปไปทำอะไรอยู่อเมริกา?

อาโป : เราอยากเปลี่ยนมุมมองใหม่ทั้งหมด ตอนเล่นละครมา ก็จะมีระบบที่เขาบอกว่าคุณต้องวางตัวแบบนี้ คุณต้องเป็นแบบนี้ ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ จริง ๆ เราคือมนุษย์ เราควรทรีตทุกคนเท่ากัน เราควรใช้ชีวิตปกติได้สิ เราก็เลยตั้งใจไปที่นั่น แล้วขาดการติดต่อกับคนฝั่งนี้ เมื่อก่อนเรามีผู้จัดการ แต่ ณ วันนี้เราต้องดีลทุกอย่างด้วยตัวเอง เวลาเราอยากได้อะไร มันเลยเหมือนต้องคิดเป็นระบบมากขึ้น พอไปปั๊บก็คิดว่าถ้าวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ เราเป็นนักแสดงไม่ได้ เราทำอะไรได้บ้าง ณ วันนั้นฉุกคิดมาว่าเราทำอะไรไม่เป็นเลยนี่หว่า เราเป็นนักแสดงได้อย่างเดียว เราก็เริ่มค้นหาว่าเราเป็นอะไรได้บ้าง เราเลยไปลองถูพื้น เป็นแคชเชียร์ เป็นบาร์เทนเดอร์ ก็คิดว่าเป็นชีวิตอีกแบบนึง นี่คือมนุษย์จริง ๆ เพราะเรื่องภาพลักษณ์ที่เรามี เรื่องหน้าตาที่อื่นเขาไม่รู้จักเรา เขาไม่แคร์เราเลย เขาทรีตเราเป็นมนุษย์คนนึง ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าจริง ๆ มนุษย์คืออะไร ซึ่งสิ่งนั้นแหละทำให้เราอยากลองไปแคสเป็นนักแสดงที่นั่น ต่อให้เวิร์กหรือไม่เวิร์กอย่างน้อยเราได้ลองทำ บังเอิญโควิดเข้า เสน่ห์นิวยอร์กคือคนพลุกพล่าน พอทุกคนหยุดแล้วหายหมดเลย เราก็เฮ้ย เสน่ห์หายไป เราไปทำอย่างอื่นดีกว่า ก็คิดว่ากลับมาที่เมืองไทยดีกว่า บังเอิญตอนนั้นมีคินน์พอร์ชเปิดให้แคส เราก็เลยไปแคส แล้วบังเอิญได้เล่น จนทุกวันนี้

>>เหมือนเส้นทางชีวิตต้องมาทางนี้ เขาดังมากจริง ๆ คินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ โด่งดังถึงขนาดไปเล่นคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์?
อาโป : ไปหลายเมือง มีไทเป สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์

>>เวลามีตติ้งแฟนคลับจะเป็นแบบนึง แต่นี่คอนเสิร์ตยิ่งใหญ่อลังการ รู้สึกยังไงบ้างที่วันนั้นพี่เขาชวนเรา เราลองดู อีกคนโควิดกลับมาเมืองไทย จนความสำเร็จเวอร์วังขนาดนี้ รู้สึกยังไงบ้าง?

มาย : จริง ๆ ผมมีความสุขมาก เพราะคลิกสุดท้ายที่เราเลือกว่ามาทำบันเทิงเต็มตัวดีกว่า ให้เวลาโดยทิ้งงานอื่นไปเลย คือเราอยากสร้างความสุขให้คน ส่งต่อความสุขให้คนผ่านงานบันเทิง เราชอบกีตาร์ เราชอบร้องเพลง แอ็กติ้งได้บ้าง มาผนวกรวมกัน พอไปคอนเสิร์ตเราได้เจอคนหลากหลายประเทศ หลากหลายเมือง หลากหลายโลเกชั่น เราเห็นแววตาของความสุข เสียงกรีดร้องที่ไพเราะต่าง ๆ นานา มันเป็นเอเนอร์จี้ที่เรามีความสุขจากงานที่พวกเราทำ นั่นคือทำให้ผมโอเคมาก ๆ กับเป้าหมายในวงการบันเทิง

อาโป : โปภูมิใจมาก ในฐานะนักแสดง สิ่งที่เราทำ คือเราเป็นตัวแทนในการเล่าประสบการณ์ชีวิตตัวละคร ให้คนดูได้กำลังใจ ได้เรียนรู้ชีวิต แต่พอเราได้ทำคอนเสิร์ต เราส่งไปปั๊บเราเห็นเลยว่าเขามีความสุข มันเลยเป็นอีกเวย์ที่เรารู้สึกว่ามันเจ๋ง เราแค่เต็มที่แล้วเขาก็มีความสุขขึ้นมาโดยเราไม่ได้ทำอะไรมากเลย ทำให้รู้ว่าหลาย ๆ ที่ในโลก สิ่งเชื่อมกันคือความสุข

>>การสร้างมูลค่าทางสื่อ 160 ล้าน ไปทำอะไรมา?
มาย : จริง ๆ เราสองคนเป็น House Ambassador ของดิออร์ ของประเทศไทย ไปร่วมงานที่ฝรั่งเศส
อาโป : พลังของแฟน ๆ ทั่วโลกเขาซัปพอร์ตกันลงโซเชียล มันเลยทำให้ยอดสื่อไปถึงขนาดนั้น ก็ขอบคุณแฟน ๆ มาก ๆ

>>หนึ่งโพสต์ ทำให้ยอดซื้อสินค้าพุ่งทะยานเพิ่มมากขึ้น สองคนรวมกัน 160 ล้านถือว่าเยอะมาก ๆ ล่าสุดมายเป็นอะไร?
มาย : เฟรนด์ ออฟ เกอร์แลง ต้องขอบคุณแบรนด์ด้วย ผมเป็นในพาร์ตของน้ำหอม เดือนที่แล้วไปฝรั่งเศสมา ไปดูของเกอร์แลง ทั้งเกอร์แลง ทั้งดิออร์ การทำงานเขาเจ๋งมากในทุกส่วนจริง ๆ แล้วโปรดักส์เขาดีมาก ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top