Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

นับถอยหลัง 'อาคม เติมพิทยาไพสิฐ' ขุนคลังแห่งสยาม  เบื้องหลัง ‘โครงสร้างพื้นฐาน-เงินสำรอง-ทองคำ-คนละครึ่ง’

ภาพตอกย้ำของประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงการเป็นประเทศที่สะสมความมั่งคั่งและมั่นคงอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก เช่นในปี 2565 ไทยอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก จากจำนวนสะสมเงินสำรองระหว่างประเทศ หรือแม้แต่กระทั่งการซื้อทองคำเข้าทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีทองคำเพิ่มจาก 152.41 ตันมาอยู่ที่ 244.16 ตัน ทำให้ทุนสำรองที่เป็นทองคำเพิ่มขึ้นถึง 60.20%

ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือของประทศไทยจากการจัดอันดับของทั้ง Fitch Moody’s และ S&P ให้มุมมองความน่าเชื่อถือ 'ระดับมีเสถียรภาพ' และคงความน่าเชื่อถือไทย BBB+ สำหรับ Fitch และ S&P และ Baa1 สำหรับ Moody’s อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากโควิด-19 จนนำมาสู่โครงการคนละครึ่ง, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และสารพัดโครงการที่นำมาช่วยเหลือเยียวยาคนไทย อีกทั้งยังออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ อาทิ มาตรการชดเชยรายให้แก่แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม, โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยไม่ให้ทรุดหนัก

อันที่จริงยังผลงานในการบริหารจัดการด้านการเงินอีกมาก ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเงิน-การคลังอันดีของประเทศในช่วงของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ภายใต้ขุนคลังอย่าง 'อาคม เติมพิทยาไพสิฐ'

ความยอดเยี่ยมที่ว่านี้ ไม่ได้มีแค่เสถียรภาพทางการเงินการ-คลังไทยเป็นตัวการันตี แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา 'นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของไทย ได้รับรางวัล ‘Finance Minister of the Year 2023’ ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ยกย่องบริหารงานผ่าน มาตรการการเงิน-การคลังได้ดี จนช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวด้วย

แน่นอนว่า ในวาระที่รัฐบาลใหม่กำลังจะก้าวเข้ามา และคงจะได้เห็นหน้าตาขุนคลังคนใหม่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องจารึกถึงสิ่ง 'นายอาคม' ได้ทำไว้ ในฐานะขุนคลัง 'ผู้ปิดทองหลังพระ' ตัวจริง!! ที่ทำให้การเงิน-การคลังของไทยมีความมั่นคงอย่างสูงในปัจจุบัน

#ประวัติ
สำหรับประวัตินายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ปัจจุบันอายุ 67 ปี เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2499 ที่จังหวัดศรีสะเกษ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2520 และระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ จากวิทยาลัยวิลเลียม ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2526

- เข้ารับราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
- เป็นผู้อำนวยการกองวิเคราะห์และประมาณการเศรษฐกิจ ในระหว่างปี พ.ศ. 2539-2542
- เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและแผน (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 9 ชช.) ในปี พ.ศ. 2542-2543
- เป็นผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) (2543-2546)
- เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (2546-2547)
- เป็นรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2547 
- เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2553

- เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อมาในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน ได้ลาออกจาก สนช. เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ และตำแหน่งทางการเมืองควบคู่กัน ในปี พ.ศ. 2557
- เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แทนพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 (ยื่นลาออกจากข้าราชการในตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในเดือน ตุลาคม 2558)
- เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยเริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูผลงานของนายอาคม ในยุครัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 1 จะพบว่าตั้งแต่ปี 2558 ที่นายอาคม ได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนั้น เขาได้สร้างผลงานไว้หลายด้าน...

#รั้วคมนาคม
ผลงานแรกที่สำคัญคือ การแก้ไขปัญหาด้านการบินพลเรือน ปลดธงแดง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) โดยได้ดำเนินการปฏิรูปกฎหมายด้านการบินที่ล้าสมัยด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2597 ในประเด็นที่เป็นข้อบกพร่อง

นอกจากนี้ยังได้ผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ, เดินหน้าการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล, ผลักดันการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ 8 เส้นทาง, มาตรการป้องกันฝุ่นพิษ PM 2.5, การจัดทำระบบตั๋วร่วม และแผนฟื้นฟูองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ฯลฯ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีส่วนช่วยในการผลักดันให้รัฐบาลประยุทธ์สามารถอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนระบบราง ช่วยทำให้เกิดการลงทุนในการก่อสร้างและงานระบบกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปีแบบต่อเนื่องในอนาคต

เรียกได้ว่า ตลอด 1,775 วันในการทำงานนั้น มีหลายโครงการที่มีการขับเคลื่อนไปมาก บางโครงการได้มีการเริ่มต้น ถึงแม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100% แต่ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ของกระทรวงคมนาคม

#ขุนคลัง
ทั้งนี้ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 'อาคม' ยังอยู่ในรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ 'นอกทีมสมคิด' ทว่าเป็น 1 ในรัฐมนตรี 'โควตากลาง-สายตรง' ของนายกรัฐมนตรีตลอด 4 ปี และด้วยผลงานที่เข้าตา ก็นำมาสู่ภาคต่อของอาคมในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ด้วยบทบาทใหม่ในการเป็น 'ขุนคลังแห่งสยาม'

อันที่จริง จนถึงตอนนี้ ประเทศไทยเคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง (รมว.) มาแล้วถึง 54 คน โดยมี 'อาคม เต็มพิทยาไพสิฐ' ดำรงตำแหน่งเป็น รมว.คลังคนปัจจุบัน ซึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจคนหนึ่งของประเทศไทย จากการเป็นข้าราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) มาอย่างยาวนาน

และด้วยคุณสมบัติของ นายอาคม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วย ในรัฐบาลยุค 'ประยุทธ์ 1' เป็นบุคคลที่นายกรัฐมนตรีไว้วางใจในการสอบทานข้อมูล-ตัวเลขด้านเศรษฐกิจ มาตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เส้นทางสู่ขุนคลังของ 'อาคม' จึงเรียกว่ามาเพราะฝีมือและความเชื่อใจของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจริง ๆ 

โดยตัวเขาเองพิสูจน์ผลงานแบบเข้าตาผู้ใหญ่มาตลอด ระหว่างเริ่มจากข้ามคลองผดุงกรุงเกษม ไปยังย่านราชดำเนินใน ช่วงขึ้นแท่นเป็น รัฐมนตรีช่วยฯ แล้วต่อด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาล คสช. โดยระหว่างนั้นเขายังได้สังกัดทีมเศรษฐกิจ ที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และทีมตึกไทยคู่ฟ้า จนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเออีกครั้ง ในฐานะ 'ขุนคลัง' ในรัฐบาล 'ประยุทธ์ 2/3'

ส่วนผลงานในการเป็นขุนคลัง ก็อย่างที่ได้กล่าวไปตอนเปิดหัวต้นเรื่อง ซึ่งต้องถือว่า อาคมมฝีมือ 'ฉกาจ' อย่างยิ่งภายใต้เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ปัญหาโรคภัย ที่ท้าทาย แต่ก็พาไทยมีสถานะทางการเงิน-การคลังได้อย่างมีเสถียรภาพ

#สไตล์
'อาคม' มีสไตล์การทำงานที่หามรุ่ง-หามค่ำ ตอบทุกคำถามของนายกรัฐมนตรีและคณะได้ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งรูปแบบข้อมูลดิบ อินโฟกราฟิก หรือพาวเวอร์พอยต์ ที่เข้าใจง่าย เป็นระบบ-ระเบียบ

ทั้งเมนูแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทั้งระยะสั้น-ยาว แนวทางการวิเคราะห์โครงการของรัฐวิสาหกิจ การลงทุนเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน 'อาคม' มักเตรียมข้อมูลและทางเลือกให้รัฐบาลตัดสินใจไม่พลาดทิศ แม้อาจจะล่าช้าไม่ทันใจฝ่ายการเมืองนัก

'อาคม' มีคุณสมบัติสำคัญตรงกับที่นายกรัฐมนตรี เปิดเผยเป็นญัตติสาธารณะ อย่างน้อยก็ 1 ข้อ คือ “เป็นคนที่ที่บ้านไม่ห่วงเกินไปมากนัก” เพราะเขาครองตัวเป็นโสดหลังจากภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน

#ปิดทองหลังพระ
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อปี 2560 'นายอาคม' เคยเปิดเผยถึง 3 หลักการทรงงานของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่เขายึดเป็นแรงบันดาลใจรวมถึงเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตและทำงานในชีวิตมาโดยตลอด คือ...

'การปิดทองหลังพระ' - ทำงานไม่จำเป็นต้องออกหน้า ถ้าคิดว่างานที่เราทำเป็นประโยชน์ส่วนรวมอยู่เบื้องหลัง เป็นฟันเฟืองของกลไกทั้งหมด ถ้าฟันเฟืองเล็กไม่เดิน ฟันเฟืองใหญ่ก็ไปไม่ได้

'ความเพียรพยายาม' - แม้ว่างานจะยากแค่ไหนก็ต้องทำ เมื่อเราเห็นเป้าหมาย ซึ่งอาจจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล ถ้าไม่มีความพยายามในการฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ก็ทำไม่สำเร็จ

'ความเรียบง่าย' - ได้จากพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่าน สอนให้คนรู้จักประหยัด ใช้ในสิ่งที่จำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย ความเรียบง่าย ชีวิตพระองค์ท่านเหมือนคนธรรมดา เราเองต้องทำตัวไม่มียศ ไม่มีศักดิ์ ทำงานให้ติดดิน

ตำแหน่งไม่คงคน...แต่ตำนานจะยังคงสืบต่อไป...

นี่คือเรื่องราวของชายผู้ปิดทองหลังพระ ผู้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทย การเงิน-การคลังไทย ยังคงมีความมั่นคงอย่างสูง จนพร้อมส่งไม้ต่อให้รัฐบาลชุดถัดไปได้เข้ามาทำงานได้อย่างราบรื่น...

จำชื่อเขาไว้ 'อาคม เติมพิทยาไพสิฐ' อีกหนึ่งขุนคลังแห่งสยามคนสำคัญของไทย...

‘หนุ่ม กรรชัย’ ยัน!! ไม่เคยเรียกเก็บเงินแขกออกรายการ หลังถูกแอบอ้างบ่อย ชี้!! ตนเป็นสื่อ ต้องมีจรรยาบรรณ

(24 ส.ค. 66) สำหรับพิธีกรคนเก่งอย่าง ‘หนุ่ม กรรชัย’ ที่วันนี้จะมาเคลียร์ชัด ๆ ในรายการ มิสเปรียญ 9 ในประเด็นที่คนเม้าท์ว่า เรียกเก็บเงินแขกรับเชิญ พร้อมตอบข้อสงสัยกำลังทำเกินหน้าที่สื่อหรือไม่?

“ถามว่าเคยโดนข่มขู่ไหม มีบ้าง เพราะการทำงานจะมี 2 มุม มีทั้งคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ส่วนตัวเชื่อว่ารายการฮาร์ดทอล์คอะไรแบบนี้ ความเป็นกลางมันไม่มีหรอก มันมีแต่ ความเป็นธรรม”

>> กำลังทำเกินหน้าที่สื่อหรือไม่ ?

“เคยมีคนพูดกับพี่เหมือนกัน ช่วงทำรายการแรก ๆ ก็มีสื่อด้วยกันเองบางคนพูดว่า "สื่อไม่ได้มีหน้าที่ไปช่วยเหลือใครแบบนี้ สื่อมีหน้าที่แค่อยู่ตรงกลาง และนำเสนอเท่านั้น" ตอนนั้นเรื่องแพรวา 9 ศพ พี่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เหยื่อทุกคนขอบคุณพี่หมด ผมอาจไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นสื่อ แต่การเป็นสื่อมันต้องมีเรื่องของจริยธรรม จรรยาบรรณ และความเป็นมนุษย์ด้วย ผมแค่ใช้โอกาสในการเป็นสื่อ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบาก มันคือความเป็นมนุษย์”

>> ส่วนเรื่องเรียกเก็บเงินแขกรับเชิญที่มาออกรายการ?

กรรชัย ยืนยันชัดว่า “ไม่เคยเรียกเก็บเงินเลย ให้ตายจริง ๆ ส่วนเรื่องเงิน 3 แสนบาท เป็นเคสทนายความไปเรียกเงินลูกความแล้วบอกจะพามาออกรายการ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับรายการ รายการมีแต่ให้เงิน แต่ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า บางพื้นที่ไปพูดกับชาวบ้านประมาณว่า เอามา 3,000-5,000 บาท จะพาไปออกโหนกระแส ถ้าพี่รู้พี่ก็จะโทรไปคุยเลย โดนแอบอ้างบ่อยมาก”

'ณัฐชา' เชื่อ สว.หนุน 'เศรษฐา' ฉลุยนายกฯ มีเบื้องหลัง  งง!! ทะเลาะกันมาสิบปี คงมีข้อเจรจาที่ตกลงกันได้

(24 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญอินไชยสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีนัยทางการเมืองหรือไม่ ว่า ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแปลกอะไรกับการส่งมอบอำนาจ เป็นอำนาจใหม่ที่ประชาชนมีข้อเคลือบแคลงสงสัย เพราะพล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ  ซึ่งเป็นรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งยึดอำนาจมาเกือบ 9 ปี สุดท้ายมาส่งมอบอำนาจให้กับพรรค เพื่อไทยซึ่งเป็นสิ่งที่เราสงสัยในหลายประเด็น

ส่วนการเข้าพบในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่ สว. โหวตให้นายเศรษฐาหรือไม่นั้น นายณัฐชากล่าวว่า หลังจากพรรคเพื่อไทย จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ต้องมีเสียงของ สว. เกี่ยวข้องด้วยแน่นอน เพราะเช้าวันที่โหวตนายกฯ (22 ส.ค.) ตนได้พูดคุยกับสว.ที่รู้จักกัน ก็ยังไม่มีสัญญาณมา แต่โค้งสุดท้าย ก็มีการส่งสัญญาณไฟเขียวโหวตให้นายเศรษฐา ช่วงเวลาระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอนว่าต้องมีการเจรจากับนอกรอบอย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า การพูดคุยของนายกฯ จาก 2 ขั้วอำนาจ จะถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีหรือไม่สำหรับพรรคก้าวไกล นายณัฐชากล่าวว่า คำว่า สมานฉันท์ปรองดอง ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เบื้องหลังมีการกระทำอะไรบ้าง ที่มีผลกระทบกับประชาชน นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ให้ได้ว่า เบื้องหลังของคนที่ขัดแย้งกันมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี สุดท้ายมาจับมือกัน และบอกว่าเป็นการทลายความขัดแย้งที่ยาวนาน

“อยู่ดี ๆ คนมีปัญหากันมาเป็นสิบปี มาจับมือกัน มันต้องมีข้อเจรจาที่ตกลงกันได้ สิ่งที่ตกลงกันนั้นคืออะไร ประชาชนยังไม่ทราบเท่านั้นเอง” นายณัฐชากล่าว

เมื่อถามว่า มีอะไรอยากจะฝากถึงคณะรัฐมนตรีใหม่หรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า “หน้าตารัฐมนตรีที่ออกมาทั้ง 35 คน จะทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าภายใต้การเจรจา เบื้องหลังเบื้องลึกนั้นมีการเจรจาต่อรองตำแหน่งใดไว้บ้าง และทิศทางที่เจรจาส่งผลกระทบอะไรต่อประชาชน หน้าตาของครม. ก็จะเป็นคำตอบให้กับประชาชนว่า สุดท้ายแล้วรัฐบาลนี้วางอยู่บนความไว้วางใจของประชาชนได้หรือไม่”

เมื่อถามว่า เห็นหน้าตาครม. และนายกฯ แล้ว คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับยังเป็นไปได้หรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า “จากการที่นายเศรษฐาระบุว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้า ครม. ในวาระแรก ตนมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแก้ไขได้อย่างแน่นอน ถ้านายกฯ มีความตั้งใจ แต่ความจริงใจนั้นต้องพิสูจน์ว่า ที่มาที่ไปของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จะมาด้วยวิธีการใด ก่อนเลือกตั้งเราพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าสสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้คือประเด็นหลัก ไม่ใช่ว่าจะแก้ได้หรือไม่ได้” 

ส่วนจะร่างรัฐธรรมนูญควบคู่ไปด้วยหรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า “ต้องทำอย่างแน่นอน”

‘พีช พชร’ กับท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนใส่ ‘พิธา’ หลังเปิดธุรกิจใหม่วันแรก ทำชาวเน็ตเอ็นดูมาก

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 66) ทำธุรกิจประสบความสำเร็จไปหลายอย่างแล้ว สำหรับ ‘พีช พชร จิราธิวัฒน์’ ล่าสุดเปิดตัวธุรกิจใหม่ร่วมเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร Khao-So-i ข้าวโซอิ หรือก็คือร้านข้าวซอย โดยยกข้าวซอยของขึ้นชื่อทางภาคเหนือมาไว้ใจกลางกรุงเทพฯ เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยวันแรกมีคนดังมาร่วมแสดงความยินดีหลายราย หนึ่งในนั้นคือ ‘ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่ง ‘ทิม พิธา’ ได้โพสต์รีวิวไว้ในติ๊กต็อกส่วนตัว ระบุว่า…

“เมื่อวานได้ไปทานข้าวซอยที่ร้าน Khao-So-i ข้าวโซอิ ที่มาเปิดสาขาใหม่ที่กรุงเทพฯ เมนูสร้างสรรค์และอร่อยมาก ๆ ครับ อาหารไทยที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ใส่ความสร้างสรรค์ไปเพิ่ม จะไปได้ไกลกว่านี้อีกมากครับ”

โดยในคลิปดังกล่าว มีช่วงที่ ‘พีช พชร’ ได้เดินมาพูดคุยกับ ‘ทิม พิธา’ ซึ่งเจ้าตัวมีอาการสำรวมและนอบน้อม ทำชาวเน็ตต่างพากันเอ็นดู เข้าไปเมนต์แซวกันกระจายเลยทีเดียว

อีอีซี โชว์หมุดหมายศูนย์กลางลงทุนโลก  ตั้งเป้า 5 ปี ปั๊มเงินกว่า 2.2 ล้านล้าน

(24 ส.ค. 66) นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวถึงการพัฒนาพื้นที่ EEC ยึดหลักสอดรับกับบริบทโลกของอุตสาหกรรมในอนาคต เพื่อดึงดูดและรองรับการลงทุนจากทั่วโลกในพื้นที่เศรษฐกิจนี้ ก้าวแรกที่สำคัญของเป้าหมาย 5 ปีต่อจากนี้ คือ เริ่มจากพื้นฐานที่สำคัญได้แก่ ที่ดินผ่านการจัดสรรให้เกิดการลงทุนเฉพาะแต่ละกลุ่มธุรกิจ การพัฒนาทักษะแรงงานขั้นสูง รวมทั้งการปรับปรุงกลไกทางกฎหมายและระเบียบให้ง่ายแก่การเข้ามาลงทุน ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งทาง อีอีซี ได้ตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศให้ได้กว่า 2.2 ล้านล้านบาท ภายในช่วงปี 2565-2570

โดยขณะนี้ได้เดินหน้าผลักดันการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ด้วยแผนงานการสร้างการรับรู้นโยบายในวงกว้าง ด้วยการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายหรือการจัดโรดโชว์ต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ ผู้ขายในพื้นที่ ได้เชื่อมต่อกับผู้ซื้อทั้งจากไทยและต่างชาติ โดยการขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าว จะดำเนินการในเชิงบูรณาการกับภาคีเครือข่ายธุรกิจชั้นนำของไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่มาของการจัดงาน EEC Cluster Fair 2023 ครั้งแรก! ในพื้นที่ อีอีซี มีเป้าหมายที่สำคัญ คือ พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้กลายเป็นหมุดหมายใหม่แห่งการลงทุนของประเทศ

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘กรมราชทัณฑ์’ หลังส่อเอื้อ ‘นช.ทักษิณ’ ได้สิทธิเกินขอบเขต

(24 ส.ค. 66) ที่สำนักงานใหญ่ ป.ป.ช.นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยว่า ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ทั้งระบบ มีส่วนช่วยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องโทษจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตฯให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว แต่กลับอนุมัติให้ไปนอน รพ.ตำรวจแทน แค่เป็นโรคความดันขี้ประติว ชี้อาจเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกัน เข้าข่ายร่วมกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หลังจากที่ นช.ทักษิณถูกนำเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำการตรวจสุขภาพตามระเบียบแล้วเพียงไม่กี่นาที กรมราชทัณฑ์ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงว่านายทักษิณจัดให้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง เพราะอายุเกิน 70 ปี และดูแค่ประวัติทางการรักษาที่ผ่านมาป่วยถึง 4 โรค คือ โรคกล้ามเนื้อขาดเลือด, โรคปอดอักเสบเนื่องมาจากติดเชื้อโควิด-19, โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังรักษาอย่างต่อเนื่องหลายโรค ที่ต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การอ้างสุขภาพยาวเหยียดดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อพฤติกรรมของนายทักษิณก่อนหน้านี้ ที่ขณะอยู่ต่างประเทศออกมาโชว์ฟิตปั๋งไม่มีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด บินเดินทางไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นว่าเล่น ไม่เห็นแสดงอาการของคนป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด แต่พอเข้าไปในรั้วของเรือนจำกลับเป็นชายแก่อมโรค ที่กรมราชทัณฑ์ต้องทะนุถนอม แยกขังเดี่ยว และยังไม่ทันข้ามคืนก็อนุมัติให้ไปนอนรักษาตัวบนเตียงนอนนุ่มๆ ของ รพ.ตำรวจ ด้วยเหตุผลมีอาการความดันขึ้นสูง รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีพอรักษาได้ ซึ่งเป็นที่ครหาของสังคมและญาติผู้ต้องขังอื่น ที่ส่วนใหญ่ก็มักเป็นโรคความดันโลหิตสูงกันส่วนใหญ่ว่า ได้รับการทะนุถนอมเหมือน นช.ทักษิณหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในส่วนของทรงผม นช.ทักษิณนั้นอ้างว่าไม่ต้องตัด ไม่ต้องกล้อนผมอย่างนักโทษทั่วไป เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้สูงอายุนั้น ถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ขัดต่อระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2565 ที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.65 เป็นต้นมาแล้ว โดยในระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ชัดเจนในข้อ 9 ว่า “นักโทษเด็ดขาดชายให้ไว้ผมสั้น ด้านหน้าและด้านกลางศีรษะยาวไม่เกิน 5 ซม. ชายผมรอบศีรษะเกรียนชิดผิวหนัง” และระเบียบดังกล่าวไม่ได้มีข้อกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ให้เทวดาคนใด จะเลี่ยงไม่ตัดไม่ได้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พฤติการณ์และการกระทำของผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ มีข้อพิรุธอีกมากมายที่สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้ระบบราชการของรัฐใช้อำนาจหรือดุลยพินิจที่อาจขัดต่อระเบียบ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ 2560 ม.27 ประกอบ ปอ.ม.157 อันเกี่ยวกับการห้ามการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวกับสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมได้ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณข้าราชการทุกคน อวยพรขอให้สุขภาพแข็งแรง-มีความสุข

(24 ส.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยเวลา 09.40 น. ข้าราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 12 คน ที่จะเกษียณอายุในเดือน ก.ย.นี้ ได้ขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ บนตึกไทยคู่ฟ้า เพื่ออำลาก่อนเกษียณอายุ และก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะครบวาระนายกฯ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบเหรียญหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ไอ้ไข่สิทธิ์หลวงพ่อทวด รุ่นเจริญก้าวหน้า มหาเศรษฐี ให้เป็นที่ระลึก

โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับข้าราชการว่า “ขอบคุณข้าราชการทุกคนมากๆ ที่สนับสนุนการทำงานของนายกฯ มาเป็นอย่างดี ขอให้ทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และหลังจากเกษียณไปแล้วแนะนำให้หากิจกรรมทำหลังเกษียณ ดำรงชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข” จากนั้น บรรดาข้าราชการก็ได้ร่วมถ่ายภาพกับ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นที่ระลึกอีกด้วย

‘เดชอิศม์’ นำทีม 16 สส.ปชป. แจงหลังแหกมติพรรคโหวตนายกฯ ชี้!! ไม่อยากเอาความแค้นในอดีตมากำหนดอนาคตประเทศชาติ

(24 ส.ค. 66) นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเพื่อน สส.กลุ่ม 16 (ยกมือเลือกเศรษฐา ทวีสิน สวนมติพรรค) ร่วมกันแถลงข่าวถึงการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ต้องขอโทษสื่อมวลชนที่ติดต่อขอสัมภาษณ์ แต่ติดต่อไม่ได้ เนื่องจากติดภารกิจสำคัญ

นายเดชอิศม์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เริ่มไม่มีเอกภาพมาตั้งแต่การประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ มีการล้มการประชุมถึงสองครั้ง ซึ่งเป็นเจตนาของใครบางคนที่ต้องการให้ล่ม สร้างความเสียหายให้กับพรรค สมาชิกพรรคที่ต้องเดินทางมาประชุม พรรคก็เสียหาย ต้องจ่ายค่าจัดการประชุมครั้งละ 3 ล้านบาท จนถึงขณะนี้เราก็ยังกำหนดวันประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ไม่ได้

นายเดชอิศม์ กล่าวอีกว่า มาถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี มีการประชุม สส.ของพรรคเพื่อกำหนดแนวทางในการโหวต ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นออกเป็นสองแนวทาง คือไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง

“ฝ่ายไม่เห็นชอบก็ยกเหตุผลจากความโกรธแค้นในอดีตที่รัฐบาลในยุคก่อนจัดสรรงบประมาณอย่างไม่เป็นธรรม จัดงบพัฒนาภาคใต้ แต่ สส.น้อง ๆ รุ่นใหม่ เสนอให้แยกเรื่องความแค้นกับการเดินหน้าทางการเมืองออกจากกัน ฝ่ายที่เสนอให้เห็นชอบก็มองว่า เมื่อประเทศมาถึงทางตัน จึงควรจะมีทางออก บ้านเมืองจะเกิดศูนย์ยากาศทางการเมืองนานไม่ได้ แต่เสียงจำนวนมาก เห็นว่าควรงดออกเสียง”

นายเดชอิศม์ กล่าวอีกว่า เมื่อมาถึงจุดนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคจึงตัดบทว่า เรื่องนี้ไม่อยากให้มีการโหวต การลงมติเป็นเอกสิทธิ์ของ สส. วันนั้นจึงไม่มีการโหวต จึงไม่รู้ว่ามติเป็นอย่างไร

“วันโหวตพวกเราส่วนใหญ่มานั่งคุยกันถึงคุณสมบัติของนายเศรษฐา พร้อม ๆ กับนั่งดูการโหวตไปด้วย นายจุรินทร์โหวตงดออกเสียง นายชวน นายบัญญัติ โหวตไม่เห็นชอบ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การโหวตไปคนละทิศคนละทางกัน”

นายเดชอิศม์ กล่าวอีกว่า พวกเรามานั่งพูดคุยกัน ก็เห็นตรงกันว่า การจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลสมานฉันท์ จะทำให้ชาติเดินหน้าไปได้ จึงควรสนับสนุนนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี

“วันนี้เราเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว เราไม่กระเหี้ยนกระหือรือเป็นรัฐบาล การร่วมรัฐบาลต้องเป็นไปตามระเบียบพรรค มติเป็นอย่างไรทุกคนต้องปฏิบัติตามนั้น หลักของเรายังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง”

เมื่อถูกถามว่า เมื่อการโหวตเป็นการโหวตสวนมติพรรค ไม่กลัวจะถูกขับออกจากพรรคหรือ นายเดชอิศม์ กล่าวว่า ตามระเบียบพรรค การขับสมาชิกพรรคต้องใช้เสียง สส. 3 ใน 4

“ตอนนี้เสียงส่วนใหญ่อยู่ฝั่งนี้หมดแล้ว แล้วใครจะขับใครเราไม่อยากให้เอาความแค้นในอดีตมาส่งมอบให้กับพวกเราคนรุ่นใหม่ แต่ถ้าเป็นนโยบายดี ๆ เรายินดีรับต่อ” นายเดชอิศม์ กล่าว

‘สี จิ้นผิง’ รับเครื่องอิสริยาภรณ์ จาก ‘ปธน.ไซริล รามาโฟซา’ ตอกย้ำความร่วมมือพันธมิตร ‘จีน-แอฟริกาใต้’ อันแน่นแฟ้น

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, พริทอเรีย รายงานว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์แห่งแอฟริกาใต้ (Order of South Africa) จากไซริล รามาโฟซา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ณ นครพริทอเรีย

พิธีมอบเครื่องอิสริยาภรณ์ดังกล่าว มีขึ้นหลังจากสี จิ้นผิงประชุมร่วมกับรามาโฟซาระหว่างการเยือนแอฟริกาใต้อย่างเป็นทางการ ซึ่งเขาจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ ครั้งที่ 15 และเป็นประธานการเสวนาคณะผู้นำจีน-แอฟริกา ร่วมกับรามาโฟซา

สี จิ้นผิงกล่าวว่า ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านจีน-แอฟริกาใต้ได้เข้าสู่ยุคทอง โดยความไว้วางใจซึ่งกันและกันทางการเมือง ระหว่างสองฝ่ายเดินหน้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น และความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่ได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ในหลากหลายด้านผลิดอกออกผลมากมาย

ทั้งสองประเทศได้รักษาการประสานงานและความร่วมมือใกล้ชิดในกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาและการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีส่วนส่งเสริมเชิงบวกต่อการคุ้มครองผลประโยชน์ร่วมของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

สี จิ้นผิงสำทับว่าไม่ว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทั้งสองฝ่ายจะยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือฉันมิตรระดับทวิภาคีให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงกล่าวว่าเขาจะสงวนรักษาเครื่องอิสริยาภรณ์นี้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศ พร้อมแสดงคำมั่นเดินหน้าผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-แอฟริกาใต้อย่างแน่วแน่

‘ตั๊ก มยุรา’ เปิดใจ สาเหตุที่ไร้เพื่อน เพราะหาคนจริงใจไม่ได้ เผย แม้มีสเปซเป็นของตัวเองทำให้คบคนยาก แต่มีความสุขดี 

(24 ส.ค. 66) นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง ‘ตั๊ก มยุรา เศวตศิลา’ สาวสองพันปีที่อยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน ล่าสุดมาเปิดใจในรายการ WOODY FM เผยในชีวิตนี้ไม่มีเพื่อนเพราะหาคนที่จริงใจไม่ได้ และย้อนเล่าการทำงานในวงการบันเทิงยุคแรก ๆ สุดยากลำบากต้องทำเองทุกอย่าง

>> ต้องบอกว่าพิเศษจริง ๆ เพราะพี่ตั๊ก น้อยครั้งมากที่จะมีโอกาสมานั่งเปิดใจคุยกับเราในหลายๆ เรื่องราว ผมรู้สึกว่าพี่ถึงจุดที่แลนดิ้งมานานมากแล้ว และที่เหลือคือโบนัสของชีวิตพี่ หมายถึงว่าฉันไม่ต้องการดังมากไปกว่านี้ ไม่ต้องการอยู่หน้าจอตลอดเวลา?

“คืออย่างที่บอกยุคมันเปลี่ยนไป วู้ดดี้สังเกตุไหมว่าตอนนี้ใครที่อยากอยู่หน้าจอก็จะต้องมีเรื่อง ที่มันไม่ใช่เรียบง่าย ครอบครัวดีน่ารักไม่ใช่ มันต้องมีเรื่องแรงๆ เพราะว่าพี่ก็ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ก็เลยไม่ค่อยได้มีอะไรมาก”

>> เป็นยังไงบ้างระหว่างคนทำธุรกิจกับเป็นเซเลบริตี้ ต่างกันยังไงบ้าง?

“ต่างสิ พี่ก็ชอบทำธุรกิจนะ พี่ไม่ชอบสังคม พี่ไม่ชอบไปไหน พี่ไม่มีเพื่อน ตลกไหม”

>> พี่ไม่มีเพื่อน ?

“พี่ไม่มีเพื่อน พี่ไม่คบใคร แต่เจอหมดนะ เจอคนนี้สวัสดีค่ะเสร็จแล้วก็จบไป จะไม่มีกลุ่มเพื่อน อย่างล่าสุดพี่มีกลุ่มเพื่อนหนึ่งอยู่ในวงการ เฮ้ย! เธอดูแลตัวเอง เธอผอมอยู่เลย เธอรู้ไหมฉันมีเพื่อนตั้ง 5 กลุ่มแน่ะ เราก็บอกฉันไม่มีสักกลุ่ม ซึ่ง 5 กลุ่มนี้ มันกินกันทุกวันเลย เดี๋ยวก็ไปกินแชร์ เดี๋ยวก็ไปเจอกัน เดี๋ยวก็ดริ๊งอะไรกันไป พี่ไม่มี ถามว่ารู้สึกยังไงไม่รู้สึก พี่ก็มีความสุขของพี่ เพราะดันทะลึ่งไปมีสเปซ พี่คบคนยากนะ”

>> ความอยากคืออะไร?

“คือเราจะ...อือ! ไว้ก่อน แต่ไม่ได้มองว่า คนนี้จะเข้ามามีผลประโยชน์ไม่ใช่ แต่พี่มีความรู้สึกว่าทุกอย่างอะไรก็ตามถ้ามันยาก มันมักจะมีราคา มองอย่างงี้คือจะมีบางกลุ่มที่แกดีกับฉัน ทำไมแกเป็นอย่างนี้เป็นอย่างงั้น ซึ่งเราก็ไม่รู้ใครจริงใจกับเรา พอเราเจอกันแล้วเราก็จะรู้ไง หาคนจริงใจไม่ได้ ก็เลยไม่มีเพื่อน คนที่รักเรามากที่สุดคือตัวเอง พี่รักตัวเองมากเลย รักเขาน้อยกว่ารักตัวเอง สมัยก่อนนะพี่เคยพูดว่าคุณหนุ่ย สัก 10 กว่าปีแล้วนะ ถ้าไม่มีคุณหนุ่ยอยู่ตอนนี้ ตั๊กไม่รู้จะอยู่ยังไง พี่ก็มีแนวอ้อน ๆ ของพี่อยู่ จะอยู่ได้ไหมก็ไม่รู้ แล้วหันไปถามเขาว่าถ้าไม่มีตั๊กคุณอยู่ได้ไหม ผมอยู่ได้ จบ! เขาก็รักตัวเอง พี่ก็รักตัวเอง เพราะงั้นเรารักตัวเองดีกว่า ไม่มีใครจริงใจกับเราในโลกนี้ แต่จริงไหมล่ะ”

>> อยากจะย้อนกลับไปตอนที่พี่เข้าวงการตอนอายุ 17 วันนั้นกับวันนี้คนละเรื่องเลย ดาราก็น้อยมาก ดังนั้นเราจะเห็นมยุราแทบทุกเรื่อง ทุกอย่าง?

“ก็มันดังจริง ๆ ในตอนนั้น อย่างเวลาเปิดหนังเรื่องหนึ่ง ก็จะลงหนังสือพิมพ์อย่างเดียว อีกอาทิตย์หนึ่งถึงจะเห็นในหนังสือพิมพ์ สมัยก่อนจะมีหนังสือพิมพ์เข้าไปอยู่ตามกองถ่าย เมื่ออายุ 17 พี่ได้ค่าตัวครั้งแรก 25,000 บาท พี่ว่าเยอะนะ เพราะงั้นยุคมันเปลี่ยนแล้ว ถ้าย้อนกลับไปมันเหนื่อยมาก ดารารุ่นนี้โชคดีที่สุด ต้องขับรถเอง กระเป๋าแต่งหน้าต้องเอาไปเอง เสื้อผ้าต้องหิ้วไปเอง แล้วสมัยก่อนจะมีคนส่งคิว ขับรถมาเสียบไว้หน้าบ้าน ไม่มีไลน์อย่างสมัยนี้นะ แล้วเราก็มาดูพรุ่งนี้มีซีนอะไร ใส่เสื้ออะไร ชุดนอน 3 ชุด ชุดเที่ยว 3 ชุดก็ว่าไป แล้วเราก็จัดใส่รถไป ไม่มีแผนกคอสตูมให้เราเดาเอาเอง ในสมัยนั้นพระเอกนางเอกก็ขนเสื้อผ้าไปเองและแต่งหน้าเอง แต่ว่าพอมาละครก็ดีขึ้น ก็มีช่างมาแต่งหน้า ก็มาตามยุคสมัย เพราะงั้นพี่โชคดีพี่อยู่ทุกสมัย เห็นทุกสมัย มันก็น่าสนุก”

>> ที่ผ่านมาตลอดชีวิตนี้ เรื่องที่ทำให้พี่สุขที่สุดคือเรื่องอะไร?

“สุขแรกคือการเป็นตัวเอง เพราะพี่ไม่ใช่เด็กเรียนหนังสือ พี่ขี้เกียจเรียนมาก แม่ให้ไปเรียนให้ไปซื้อชุดบัลเลต์พี่เป็นเด็กนาฎศิลป์ เอาไปทำอย่างอื่น ไม่เอาไม่ชอบเรียน เราก็เลยต้องไขว้คว้า ดันไปเชื่อพระ บอกว่าเราวาสนาดีที่สุดในพี่น้อง สมัยก่อนดาราเป็นยากมาก พี่ก็อยากเป็นดารา หน้าตาเราก็เริ่มดี ก็ฝั่งอยู่ในหัว พี่คิดว่าคนเราถ้าอยากทำอะไรจิตมันจะบอก คิดอยู่ตลอดว่าฉันน่าจะได้เป็นดารา ปรากฎว่าไปเดินช้อปปิ้ง สมัยก่อนเป็นห้างไทยไดมารูไปกับแม่ก็มีแมวมองเขาถ่ายรูปไป พี่ก็เริ่มได้ถ่ายหนังสือลลนา ขึ้นปกหนังสือ นั่นแหล่ะคือที่มาของการเป็นดารานักแสดง”

>> ตอนเป็นดาราสมัยนั้นต้องปิดหลายเรื่องไหม?

“คบกับใครหรือมีคนจีบพูดไม่ได้ ถ้าจะมารับต้องจอดอยู่ในรถ มีแฟนแล้วความนิยมจะตกเขาคิดอย่างงี้ไง สมัยก่อนเราเด็กก็ไม่รู้เรื่อง สมัยก่อนเราก็ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเลยเพราะเด็ก พูดอะไรก็จะกลัวหมดไม่กล้าพูดไม่กล้าตอบ แต่การเป็นพิธีกรมันฝึกให้เรากล้า พี่เพิ่งมากล้าตอนหลังนี่แหล่ะ ตอนแต่งงานยังไม่กล้ามาก”

>> พิธีกรแรกคือรายการอะไร?

“ก่อน 7 สีคอนเสิร์ต มี 2 รายการพร้อมกันเลย มีรายการโชคติดปุ่มอะไรสักอย่างแล้วก็ทำช่อง 7 ทั้งสองอัน นั่นแหล่ะรายการสดมันสอนเรา มันต้องเป๊ะมันต้องแก้ปัญหา ซึ่งตอนนั้นคู่กับ พี่เบิร์ด หลังจากนั้นเบิร์ดก็ไปโด่งดังทำอัลบั้ม หลังจากนั้นก็เป็น แซม ก็มาทำต่อ”

>> ยากที่สุดในการใช้ชีวิต?

“การมีชีวิตคู่ คุณหนุ่ยนี่อยู่มากกว่าพ่อแม่นะ วู้ดดี้สังเกตไหมว่าเด็กรุ่นใหม่อยู่กันไม่ค่อยรอด ขีดความอดทนมนุษย์สมัยพี่มันมีมากกว่า ผู้หญิงมันจะอดทน จะเจอเรื่องมากมายเข้ามาในชีวิต ตอนแรกเราแต่งก็โอเคเราเลือกคนนี้ถูกแล้ว เราจะไปตายเอาดาบหน้า เราไม่ได้คิดถึงตอนที่จะมีเรื่องอะไร พอเรามีชีวิตคู่ปุ๊บเคยเหนื่อยแค่นี้เราต้องเหนื่อย 2 อย่าง การที่ต้องคอนโทรล และต้องอยู่กับคนที่มาจากอีกครอบครัวหนึ่ง อยู่มากกว่าพ่อแม่เรา แล้วทำยังไงที่จะให้มันจูนอยู่ได้ตลอดเวลา เพื่อให้ศิลป์เสมอกัน นั่นคือการทดสอบ ยากนะ แต่มันก็ทำได้”

>> กลัวอะไรมากที่สุด?

“กลัวตายยังไม่อยากตาย เราเกิดในครอบครัวธรรมดา เราก็จะมีลูกหลานที่ต้องดูแล เหมือนเราไม่ปล่อยวาง เรายังต้องดูเขาอยู่ แต่บางบ้านในเวลาเขามีครอบครัวแล้วไม่เอาลูกหลานเลยนะ ชีวิตของพี่ย้อนกลับไปที่ความสุข สุขของพี่คือครอบครัว ครอบครัวพี่ก็ต้องดีด้วย เพราะฉะนั้นคนใกล้ตัวพี่ต้องมีความสุขด้วย เพราะฉะนั้นยังตายไม่ได้”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top