Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

'บ.สุรา ฉะเชิงเทรา' แจง!! ไม่เกี่ยวธุรกิจคราฟต์เบียร์ที่ 'ปดิพัทธ์' โพสต์เชียร์ แค่รับจ้างผลิตตามข้อตกลง ไม่ใช่กลุ่มทุนร่วมทำธุรกิจ

สืบเนื่องจากที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ชื่อ THAI SPIRIT INDUSTRY CO.,LTD. หรือ บริษัท ไทย สพิริท อินดัสทรี จำกัด ซึ่งชื่อบริษัทแห่งนี้ปรากฏอยู่ข้างกระป๋องเบียร์ ที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล และ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่งได้เผยแพร่ภาพคราฟต์เบียร์ยี่ห้อลงในโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก และ TikTok

โดยข้อความภาษาอังกฤษข้างกระป๋องเบียร์ระบุว่า...

Produce By (ผลิตโดย-สำนักข่าวอิศรา) Thai Spirit Industry 71/25 Moo 5 Thakham Bangpakong Chachoengsao Thailand 24130

Distributed By (กระจายสินค้า-สำนักข่าวอิศรา) Phitsanulok Brewing co,Ltd. 441 /58 Baromtrilokanart 2 Rd. Nai-mueang Phitsanulok Thailand 65000

จากกรณีดังกล่าว ล่าสุด บริษัท ไทย สพิริท อินดัสทรี จำกัด ได้ส่งเอกสารชี้แจงข้อมูลอีกด้านมายังสำนักข่าวอิศรา มีรายละเอียดดังนี้...

จากกรณีที่มีสื่อมวลชนหลายสํานักได้นําเสนอข่าวเกี่ยวกับ บริษัท ไทย สพิริท อินดัสทรี จํากัด เรื่องการรับผลิตเครื่องดื่มคราฟต์เบียร์ให้กับบริษัท พิษณุโลกบรูอึ้ง จํากัด ในชื่อ ‘เครื่องดื่มคราฟพิดโลก’ นั้น บนกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมายทุก ขั้นตอน ทั้งนี้มีข้อมูลที่เผยแพร่ไป และหรือเกิดการจากคอมเมนต์ของบุคคลต่าง ๆ ในพื้นที่โซเชียลมีเดียและสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่พาดพิงถึง บริษัท ไทย สพิริท อินดัสทรี จํากัด อย่างผิดพลาด คลาดเคลื่อน และไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้อง

บริษัทฯ จึงเรียนมาเพื่อ ขอชี้แจงในข้อมูลที่ถูกต้องต่อไปนี้

บริษัทไทย สพิริท อินดัสทรี จํากัด ไม่ใช่กลุ่มทุนของบริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จํากัด หรือ 'เครื่องดื่มคราฟพิดโลก' และไม่มี ความเกี่ยวข้องในการขายและการทําการตลาดของเครื่องดื่มคราฟพิดโลกนี้ ตลอดจนมิได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือร่วมบริหารจัดการกับ บริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จํากัด แต่อย่างใด บริษัทฯ เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตตามข้อตกลงการจ้างและรับจ้างเท่านั้น ซึ่งบริษัทฯ ได้ ดําเนินธุรกิจการรับจ้างผลิตให้กับผู้ประกอบการทั่วไปที่สนใจผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในรูปแบบของ OEM เพื่อผู้ประกอบการผู้ว่าจ้างนั้นจะได้นําไปจัดจําหน่ายทั้งในประเทศและเพื่อการส่งออกจําหน่ายต่างประเทศด้วยตนเองต่อไป

บริษัทฯ มิได้ดําเนินธุรกิจแค่การเลือกคู่ค้ารายใหญ่เท่านั้น บริษัทฯ ให้บริการรับผลิตกับผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศ ไทยที่สนใจผลิตเพื่อจัดจําหน่าย แต่ยังขาดความพร้อมในด้านการผลิตบนระบบการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเพื่อ ความปลอดภัยต่อผู้บริโภคระดับสากล จึงเป็นที่มาของการว่าจ้างให้บริษัทฯ ดําเนินการผลิตให้ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ผลิต คราฟต์เบียร์ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยมาแล้วมากกว่า 56 ตราสินค้าและมีไม่น้อยกว่า 150 รสชาติ

จากประสบการณ์กว่า 20 ปี บริษัทฯ ดําเนินธุรกิจบนนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมไทย ช่วยเหลือชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง เน้นการใช้วัตถุดิบหลักส่วนใหญ่จากประเทศไทยและกําลังจัดเตรียมโครงการ 'สหกรณ์ชุมชน' เพื่อเดินหน้าช่วยเหลืออย่างเต็ม ความสามารถ นอกจากการรับจ้างผลิตแล้ว บริษัทฯ ยังสนับสนุนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรูปแบบ R&D ให้ความเข้าใจในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อผู้ประกอบการที่สนใจอย่างถูกต้องต่อเนื่องเสมอมา อีกทั้งบริษัทฯ ยังดําเนินธุรกิจบนความรับผิดชอบต่อสังคมมาโดยตลอด อาทิเช่น การติดตั้งแผงโซลาเซลล์เพื่อใช้ในโรงงานซึ่งเป็น พลังงานที่สะอาด รักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และมีการติดตั้งระบบบําบัดน้ําเสียเพื่อกําจัดและทําลายสิ่งปนเปื้อนในน้ํา เสียให้หมดไป และไม่ทําให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงดูแลส่งเสริมและทํากิจกรรมของวัด ชุมชน และโรงเรียนรอบ ๆ โรงงานอย่างต่อเนื่อง

จึงเรียนมาเพื่อชี้แจงในข้อมูลที่ถูกต้อง และขอความร่วมมือท่านสื่อมวลชน ได้เผยแพร่แถลงการณ์ฉบับนี้ เพื่อแก้ไขข่าวที่ ไม่ถูกต้องและคลาดเคลื่อน อีกทั้งเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับข้อมูลข่าวสารบนข้อเท็จจริงที่ถูกต้องผ่านสื่อคุณภาพของท่าน

กรมทรัพย์สินฯ ขึ้นทะเบียน GI ‘ปลาทูแม่กลอง’  เป็นสินค้า GI ลำดับที่ 4 ของสมุทรสงคราม

กรมทรัพย์สินฯ เดินหน้าประกาศขึ้นทะเบียน GI ต่อเนื่อง ล่าสุดดัน ปลาทูแม่กลอง สินค้ายอดนิยมสมุทรสงครามที่ชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศขนเงินข้าชุมชนกว่า 12 ล้านบาท

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มีการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อยกระดับสินค้าในท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน พร้อมกับการส่งเสริมการควบคุมคุณภาพสินค้าเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

ล่าสุดได้ประกาศขึ้นทะเบียน ปลาทูแม่กลอง เป็นสินค้า GI ลำดับที่ 4 ของจังหวัดสมุทรสงคราม ต่อจากส้มโอขาวใหญ่สมุทรสงคราม สิ้นจี่ค่อมสมุทรสงคราม และพริกบางช้าง

ทั้งนี้ ‘ปลาทูแม่กลอง’ เป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนาน มีแหล่งอาศัยในบริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนใน มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ และที่ราบชายฝั่งทะเลบริเวณปากน้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเล ลักษณะดินเกิดจากการทับถมของตะกอนแม่น้ำและตะกอนน้ำทะเล ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธาตุอาหาร ทำให้ปลาทูแม่กลองมีลำตัวกว้าง แบน สั้น ผิวหนังขาวเงินมันวาว มีแถบสีน้ำเงินแกมเขียวหรือแถบสีเหลือง ครีบหางสีเหลืองทอง มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งด้านรสชาติและรูปร่าง

โดยเนื้อปลาทูที่นึ่งแล้วจะมีความละเอียดนุ่ม เนื้อแน่น หอม และมันมาก เมื่อนำมาบรรจุลงในเข่งจะมีลักษณะหน้างอ คอหัก ด้วยลักษณะเช่นนี้ จึงทำให้ปลาทูแม่กลองเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายจนมีคำกล่าวที่ว่า ‘ปลาทูแม่กลองของแท้ จะต้องหน้างอ คอหัก’ บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากปลาทูบริเวณอื่นไปโดยปริยาย และหลายหน่วยงานได้นำเอกลักษณ์นี้มาใช้ในการจัดกิจกรรมงานประจำปี ‘เทศกาลกินปลาทูที่แม่กลอง’ ซึ่งจัดมาอย่างยาวนานถึง 24 ปี นับเป็นงานเทศกาลที่มีชื่อเสียง และได้รับการประชาสัมพันธ์จากภาคส่วนต่างๆ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนไปกว่า 12 ล้านบาท 

‘เอ ศุภชัย’ นั่งเก้าอี้ผู้บริหารบริษัท ‘A Entertainment’ มุ่งปั้นนักแสดงหน้าใหม่ - ผลิตงานบันเทิงครบวงจร

(21 ส.ค. 66) เป็นทั้งนักปั้นดารามือทอง เป็นทั้งผู้จัดละคร และล่าสุด ‘เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร’ ก็เปิดตัวอีกครั้งในฐานะซีอีโอ เจ้าของบริษัท เอ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (A Entertainment) ซึ่งตั้งใจจะผลิตงานด้านบันเทิงอย่างครบวงจร โดยเริ่มต้นจากการปั้นนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ ออกสื่อโซเชียล

โดย เอ ศุภชัย เปิดเผยว่า “ตอนนี้พี่เอ ได้ปั้นเด็ก ๆ 7 คน คือ อู๋ กิตติภณ ทิพยทยารัตน์ ซึ่งมีผลงานละครเรื่องกลเกมรัก ทางช่อง 3 แล้วก็มี องศา ธีธัช คุ้มเมือง, อเล็กซ์ อเล็กซานเดอร์ โบว์แมน สองคนนี้ร้องเพลงเก่ง ต่อด้วย มอส กฤติเดช ภูภัทรธราวุฒิ, ดล นภดล ทิพวัฒน์, ทาฆิ อ่องลออ และ เลโอ เลโอนาร์โด ซุนโด ซึ่งแต่ละคนทั้งเป็นนักแสดงและร้องเพลงได้ดี พี่เอส่งทุกคนไปเรียนเพิ่มเติมให้มีความสามารถหลากหลายด้าน ครบเครื่องทุกอย่าง แล้วตอนนี้ก็ได้ชิมลางให้ร้องโคฟเวอร์เพลง เพื่อเตรียมออกช่องยูทูบ ติ๊กต็อก ไอจี เฟซบุ๊ก อะไรต่าง ๆ ให้โซเชียลนำทาง เพื่อให้เป็นที่รู้จัก ตอนนี้พี่เอตั้งใจลุยงานเต็มที่ เดินทางตลอด ไปคุยกับช่องทีวี SBS ที่เกาหลี ไปดูคอนเสิร์ตเกาหลีที่ญี่ปุ่น อาจจะเป็นโปรโมเตอร์ติดต่อคอนเสิร์ตมาจัดที่เมืองไทย ก็จะคิดและมองการขยายงานในมุมธุรกิจที่หลากหลายขึ้น”

“พี่เอขอฝากบริษัท A Entertainment เป็นบริษัทที่พี่เอตั้งใจทำจริง ๆ ให้เป็นบริษัทบันเทิงที่ครบวงจร กับเวลา 30 กว่าปีที่พี่เอสะสมประสบการณ์ในวงการบันเทิง พี่เอตั้งใจว่าเอ็นเตอร์เทนคืออาชีพหลักของพี่เอที่ผสมผสานกับธุรกิจ เพราะฉะนั้นพี่เอขอฝากช่อง A Entertainment ของพี่เอด้วยนะคะ และท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณ ทางผู้บริหารบริษัทโคริเน็ตเวิร์ค (KORI Network) คุณชาแด คิม และเทอุง พัค (CEO) แหนม รณเดช วงศาโรจน์ (ที่ปรึกษาด้าน Entertainment content ของ KORI Network) ที่สนับสนุนสถานที่ถ่ายทำในครั้งนี้ และจะเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำคอนเทนท์ต่าง ๆ ในช่อง A Entertainment ต่อไปในอนาคตด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” พี่เอ ศุภชัย กล่าวในที่สุด

‘รองอ๋อง’ ชี้ สส. ต้องทำงานรับใช้ประชาชน เพราะประชาชนทุกคนคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

‘รองอ๋อง’ ชี้ สส. ต้องทำงานรับใช้ประชาชน เพราะประชาชนทุกคนคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

ไม่นานมานี้ 'หมออ๋อง' ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ได้โพสต์ข้อความจากการร่วมเวทีกิจกรรมเสริมสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย สำนักประชาสัมพันธ์รัฐสภาร่วมกับคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ห้องประชุมสัมมนา อาคารรัฐสภา ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ผมเป็นสัตวแพทย์ คุณเป็นครู เราเรียนจบก็ได้ใบประกอบวิชาชีพ

แต่การจะเป็น สส.ได้ ต้องไปขอคะแนนเสียง เพราะฉะนั้นอาชีพนี้จึงศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ได้ทำให้ผมกับคุณต่างกัน

ผมทำหน้าที่ของผม พวกคุณเป็นคนมอบอาณัติให้ผมเพราะฉะนั้นคุณเป็นเจ้าของอำนาจ

ประชาชนต้องเชื่อเรื่องนี้ให้ได้ ไม่ใช่เลือกตั้งเสร็จผมเป็นเจ้านายพวกคุณ พวกคุณจ้างผมทำงาน เพราะฉะนั้นผมต้องรับใช้พวกคุณ นี่คือสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้น โตไปเป็นครูขอให้สอนเด็ก ๆ ว่าพวกคุณคือ ‘เจ้าของประเทศ’

'มายด์ ณภศศิ' โพสต์ภาพสวมชุดครุย พร้อมแจ้งข่าวดีเรียนจบ ‘ปริญญาเอก’ แล้ว

(21 ส.ค. 66) ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับนักแสดงและนางแบบสาว ‘มายด์ ณภศศิ’ หลังจากที่เจ้าตัวสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัย Lyceum of the Philippines University ประเทศฟิลิปปินส์

โดยล่าสุด สาวมายด์ ณภศศิ ก็มีการโพสต์รูปในชุดครุยสีเหลือง-ดำประจำมหาวิทยาลัย พร้อมภาพบรรยากาศในวันบินตรงไปรับปริญญาถึงฟิลิปปินส์ และเล่าวินาทีแห่งความตื้นตันใจผ่านทางอินสตาแกรมระบุว่า…

"Finally, I graduated I am so honored and happy to announce that I’ve completed my doctoral degree in Management from Lyceum of the Philippines University. It took many late nights, sweat and almost tears. This could not happen without the support of my close friends, family and classmates and professors. I am forever grateful for having all of your support and encouragement หมวยจบแล้วค่าาาา!"

แปลใจความได้ว่า "ในที่สุด มายด์ก็เรียนจบแล้ว รู้สึกเป็นเกียรติและมีความสุขมากที่จะประกาศว่า จบปริญญาเอกการจัดการ จาก Lyceum of the Philippines University มันกินเวลานานหลายคืน หยาดเหงื่อและน้ำตาแทบไหล ซึ่งสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสนิท ครอบครัว เพื่อนร่วมชั้นเรียน และคณะอาจารย์ท่าน มายด์รู้สึกขอบคุณเสมอสำหรับการสนับสนุนและกำลังใจจากทุกคน"

โดยมีทั้งคนในวงการบันเทิงและแฟน ๆ ต่างเข้ามาแสดงความยินดีนับร้อยข้อความ ก็รอลุ้นกันว่างานนี้จะได้เห็นไฮโซหนุ่ม ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ จะมาร่วมฉลองที่ดอกเตอร์มายด์เรียนจบด้วยรึเปล่า

‘ออมสิน’ ปล่อยสินเชื่อหนุนผู้ประกอบการอีวี วงเงินรายละ 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ 3.745% ต่อปี

(21 ส.ค. 66) นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารออมสิน ให้ความสำคัญในการสนับสนุนยุทธศาสตร์การใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยล่าสุด ธนาคารออมสินได้ออกสินเชื่อ ‘GSB EV Supply Chain’ ภายใต้การบันทึกความร่วมมือกับ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ในการส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า Electric Vehicle (EV) และผู้ประกอบการ Supply Chain ของอุตสาหกรรม EV ซึ่งเป็นการผลิตยานยนต์ใช้พลังงานทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สร้างมลพิษทางอากาศ โดยคาดหวังให้ความร่วมมือดังกล่าวเป็นฟันเฟืองสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ภาครัฐให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อเป็นการผลักดันประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และเคลื่อนที่สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission ได้ตามแผนและนโยบายของประเทศ

สินเชื่อ ‘GSB EV Supply Chain’ สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Supply Chain ได้แก่ ผู้ผลิต/ผู้ประกอบยานยนต์ไฟฟ้า (OEM) ผู้ผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อหมุนเวียนทำธุรกิจ หรือลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และ Re-Finance ภายใต้ ‘โครงการสินเชื่อธุรกิจ GSB EV Supply Chain’ โดยเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเก็จ ‘สินเชื่อ Green Loan’ ซึ่งเป็นสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจเศรษฐกิจสีเขียว วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 3.745 % ต่อปี (MOR/MLR-3 % ต่อปี) ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 2 ปี และสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการวงเงินมากกว่า 50 ล้านบาท สามารถใช้วงเงินสินเชื่อ ‘โครงการ GSB For BCG Economy’ ได้ ซึ่งไม่จำกัดวงเงินกู้

อนึ่ง ที่ผ่านมา ธนาคารออมสินได้ออกสินเชื่อเพื่อรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคตามกระแสอนุรักษ์พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ สินเชื่อ GSB Green Home Loan สำหรับผู้บริโภครายย่อยที่มีความต้องการซื้อบ้านประหยัดพลังงาน สินเชื่อ GSB Go Green ตอบสนองผู้ที่ต้องการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดภาระค่าไฟ หรือติดตั้งแผงโซล่าร์ หรือซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และสินเชื่อ GSB for BCG Economy สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG รวมถึง สินเชื่อ GSB Green Biz สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ด้าน นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แก่สมาชิกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้า โดยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ ตลอดจนเข้าถึงความรู้ในการจัดการทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs และ Start up เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ให้เติบโต อย่างมั่นคง

“ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ตามที่ภาครัฐได้ประกาศนโยบายสนับสนุนให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 30 จากการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปี 2573 และตั้งเป้าในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย เดินไปข้างหน้าคือ การระดมเงินทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท กลไกทางการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต” นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าว

ต้นสังกัด ‘พีพี-บิวกิ้น’ โร่ชี้แจง หลังถูกแอบอ้างรับงานแทน ยืนยัน บริษัทยังไม่มีนโยบายรับงานผ่านบุคคลหรือเอเจนซี่

เรียกได้ว่าเป็นคู่หูนักแสดงสุดฮอตจริงๆ สำหรับ ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล’ และ ‘พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร’ ที่ทั้งคู่มักจะมีงานต่างๆ ด้วยกันหรือคล้ายกันอยู่บ่อยๆ ล่าสุดทั้งคู่ก็ได้เจอผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสในการสวมรอยรับงานเหมือนกัน จนขนาดที่ทำให้ทั้ง 2 ต้นสังกัดต้องออกมาร่อนประกาศแถลงร่ายยาวกันเลยทีเดียว

ซึ่งทางต้นสังกัด Billkin Entertainment ของ บิวกิ้น ได้ออกประกาศชี้แจงผ่านทางสตอรี่ไอจี หลังตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มบุคคลให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการรับงานของ หนุ่มบิวกิ้น จนทำให้เกิดความเสียหาย โดยมีเนื้อหาระบุว่า 'ประกาศชี้แจงเรื่องหลักการรับงานของศิลปิน ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์’ เนื่องจากมีผู้ใช้สื่อออนไลน์ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายการรับงานของศิลปิน ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์’ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสามารถติดต่อเรื่องคิวงานของศิลปินผ่านเบอร์โทรศัพท์ 085-821-5119 หรือ LINE: @thai2music

ทางบริษัทฯ ขอชี้แจงให้ทราบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยบริษัทฯ ไม่มีนโยบายการรับงานผ่านบุคคลหรือตัวแทนบริษัท (เอเจนซี่) ดังกล่าว ทั้งการทำงานในประเทศไทยและต่างประเทศ 

สามารถติดต่องานทุกประเภทของศิลปิน ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์’ กับทางบริษัทฯ โดยตรงผ่านช่องทาง [email protected] เท่านั้น'

ด้านต้นสังกัด PP Entertainment ของ พีพี ก็ได้ออกมาประกาศชี้แจงผ่านทางสตอรี่ไอจีเช่นกัน โดยระบุข้อความว่า 'ประกาศชี้แจงเรื่องหลักการรับงานของศิลปิน ‘พีพี กฤษฏ์'’ เนื่องจากมีผู้ใช้สื่อออนไลน์ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายการรับงานของศิลปิน ‘พีพี กฤษฏ์' ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสามารถติดต่อเรื่องคิวงานของศิลปินผ่านเบอร์โทรศัพท์ 085-821-5119 หรือ LINE: @thai2music

ทางบริษัทฯ ขอชี้แจงให้ทราบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยบริษัทฯ ไม่มีนโยบายการรับงานผ่านบุคคลหรือตัวแทนบริษัท (เอเจนซี่) ดังกล่าว ทั้งการทำงานในประเทศไทยและต่างประเทศ 

สามารถติดต่องานทุกประเภทของศิลปิน ‘พีพี กฤษฏ์’ กับทางบริษัทฯ โดยตรงผ่านช่องทาง [email protected] เท่านั้น

'รองโฆษกรัฐบาล' เตือน นักลงทุน เช็ก 11 แอปฯ หลอกลงทุนเงินดิจิทัล-เทรดทอง-เทรดเหรียญ

(21 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอย้ำเตือนประชาชนระวังถูกหลอก ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้สืบสวนสอบสวนจับกุมคนร้ายแก๊งหลอกลงทุนออนไลน์ ที่ชักชวนเหยื่อด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ ปลอมโปรไฟล์เข้าไปตีสนิทก่อนชวนลงทุน หรือโฆษณาในสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล อ้างได้รับผลตอบแทนสูง เป็นต้น ทำให้มีผู้เสียหายหลงเชื่อจำนวนมาก

นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังสร้างแอปพลิเคชันลงทุนปลอมขึ้น โดยบางแอปแอบอ้างใช้ชื่อพ้องกับแอปที่มีอยู่จริง และสร้างกระดานเทรด โชว์ภาพตาราง หรือกราฟการเทรดเงินดิจิทัล เทรดเหรียญปลอมขึ้น เพื่อความสมจริง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า หากมีผู้ชักชวนลงทุนเก็งกำไรสินทรัพย์ดิจิทัลใน 11 แอปพลิเคชันนี้ ขอให้ตรวจสอบด่วน อาจกำลังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพได้ สำหรับ 11 แอปพลิเคชัน มีดังนี้ BChGlobal, OrangeX, NAGA, Cobo, SpotGlobal, Bitmox, Bitgo, BitcoinEX, EthMiner, Paxful, MATH ทั้งนี้ หากสงสัยถูกหลอกลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแอป ขอให้รีบแจ้งผ่านสายด่วนตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) โทร.1441 หากตกเป็นเหยื่อแล้ว สามารถแจ้งความออนไลน์ที่ www.thaipoliceonline.com

“รัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยได้ทำการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มิจฉาชีพเหล่านี้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงได้แยบยลมากขึ้นผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย จึงขอให้ประชาชนพึงระมัดระวังไว้เสมอ มีสติ อย่ารีบตัดสินใจ ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน หากบุคคลใดมีปัญหาการถูกหลอกลวงผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย สามารถร้องเรียนได้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผ่านสายด่วน 1212” น.ส.รัชดา กล่าว

‘ลิซ่า BLACKPINK’ ติด Top 30 ที่มีผู้ติดตาม IG สูงสุดทั่วโลก แถมโพสต์โฆษณาลงแค่ครั้งเดียว สามารถทำเงินได้แบบถล่มทลาย

(21 ส.ค.66) ช่วงนี้มาแรงไม่มีแผ่วจริง ๆ สำหรับไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ ‘ลลิษา มโนบาล’ ที่ทางเว็บไซต์ Hopper HQ ได้มีการจัดอันดับคนดังที่มียอดผู้ติดตามสูงสุดทั่วโลก 100 อันดับ ซึ่งผลปรากฏว่าสาวลิซ่าติดแรงค์ Top 30 โดยเธออยู่อันดับที่ 26

สำหรับสาวลิซ่านั้นถูกจัดให้อยู่ในหมวดของ Celebrity ที่มียอดผู้ติดตามในแอปพลิเคชันอินสตาแกรม หรือ ไอจี เป็นจำนวนมากถึง 95,815,834 ผู้ติดตาม (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ส.ค. 66) ซึ่งลิซ่าจะได้ค่าโฆษณาให้กับสินค้าต่าง ๆ ใน 1 โพสต์เป็นจำนวนเงิน 575,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,309,000 บาท

ทั้งนี้เหล่าคนดังที่มีผู้ติดตามลำดับก่อนหน้าลิซ่าทั้ง 25 อันดับ มีดังนี้

1. Cristiano Ronaldo
2. Lionel Messi
3. Selena Gomez
4. Kylie Jenner
5. Dwayne Johnson
6. Ariana Grande
7. Kim Kardashian
8. Beyonce Knowles
9. Khloe Kardashian
10. Justin Bieber
11. Kendall Jenner
12. Taylor Swift
13. Jennifer Lopez
14. Virat Kohli
15. Nicki Minaj
16. Kourtney Kardashian
17. Miley Cyrus
18. Katy Perry
19. Neymar da Silva Santos Junior
20. Kevin Hart
21. Belcalis ‘Cardi B’ Almánzar
22. Demi Lovato
23. Robyn ‘Rihanna’ Fenty
24. LeBron James
25. Billie Eilish

‘สนธิ’ บุกสรรพากรยื่นสอบ ‘ชูวิทย์’ ปมหมกเม็ดโอนที่เลี่ยงภาษี ชี้!! เป็นนิติกรรมอำพราง ทำรัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินเกือบพันล้าน

(21 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เดินทางเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ให้ตรวจสอบการเสียภาษีอากร กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดอะเดวิส บางกอก

นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ที่มายื่นเรื่องเพราะมีคนร้องเรียนมาว่าคุณชูวิทย์ ขายที่เลี่ยงภาษีให้ตระกูลตัวเอง โดยเป็นการขายจากบริษัทของตัวเองไปให้ลูกๆ และลูกๆ นำไปขายต่อให้อีกบริษัทที่เป็นของตัวเองเช่นกัน โดยคิดราคาที่ดินในการโอนทอดแรกแก่ลูกวาละ 2 แสนบาท และนำไปโอนต่ออีกทอดหนึ่งที่เป็นบริษัทของครอบครัวเหมือนกัน

“บริษัทที่โอนมาเป็นของตัวเองแบ่งที่เป็น 4 แปลง โอนให้ลูก 4 คน หลังจากนั้นโอนต่อให้อีกบริษัทที่ลูกๆ เป็นเจ้าของ คนที่ส่งมาบอกว่าเป็นนิติกรรมอำพราง โอนครั้งแรกเสียภาษีแค่ 11 ล้าบาท แต่ถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี 359 ล้านบาท ถ้าผิดจริงต้องโดนอีกเท่าตัว และรวมหมดตระกูลคุณชูวิทย์ต้องเสีย 900 กว่าล้าน ผมขี้เกียจทะเลาะกับคุณชูวิทย์ เขามั่นใจว่าเขาไม่ผิด เขาทำงานมาเขาเป็นนักบัญชี แต่ความจริงมีหนึ่งเดียว คนที่ชี้ขาดเรื่องนี้ได้น่าจะเป็นสรรพากร ผมจึงนำหลักฐานมาให้ และถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี ถ้าไม่ใช่ก็จบไป ยุติธรรมมาก ไม่ต้องเถียงกัน นั่นคือสิ่งที่ผมมาวันนี้” นายสนธิ กล่าว

ทั้งนี้ ในหนังสือร้องเรียนมีการระบุว่า มีการสมรู้ร่วมคิดกันทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลบเลี่ยงภาษีอากรอันถึงชำระ อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 37 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

สำหรับข้อมูลที่เข้าร้องเรียนในครั้งนี้ มีรายละเอียดบางส่วนระบุดังนี้

ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตรวจพบหลักฐานการทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและการชำระภาษีที่เกิดจากการซื้อขายที่ดินที่ผิดปกติและอาจมีการจงใจหลีกเสี่ยงการชำระภาษี กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก โฉนดที่ดินเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างบริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ผู้ขาย กับนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ซื้อ และการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ขาย กับบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้โฟร์ จำกัด หรือบริษัท เดวิส 24 จำกัด ในปัจจุบัน เหตุเกิดระหว่างวันที่ 23 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 27 กันยายน 2562 ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก จำนวน 2 แปลง เนื้อที่แปลงละ 278.5 ตารางวารวม 557 ตารางวา (ปัจจุบันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539) ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1-4

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 09.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมี น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 1778, 1779 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ นายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์

และในวันเดียวกัน คือวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 11.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 3538, 3539 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 5-8

ภายหลังจากที่ทำสัญญาซื้อขายกับผู้ซื้อรายเก่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 อีก 3 วันถัดมา คือวันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายให้ลูกของนายชูวิทย์ 4 คน ได้แก่ นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล คนละ 1 แปลง ระบุราคาซื้อขายที่แปลงละ 27.86 ล้านบาท รวม 4 แปลง เป็นราคา 111.4 ล้านบาท คิดเป็นตารางวาละ 200,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 9-12

และในวันเดียวกันนั้น นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกนายชูวิทย์ทั้ง 4 คน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายต่อให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตั้งไว้รอการร่วมทุนระหว่างครอบครัวกมลวิศิษฏ์ กับบริษัทไรมอน แลนด์ (มหาชน) จำกัด ระบุราคาขายที่แปลงละ 502,388,500 บาท รวม 4 แปลง ราคา 2,009,554,000 ล้านบาท คิดเป็นราคาตารางวาละ 3.6 ล้านบาทเศษ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 14-17 ซึ่งบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัดมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูลกมลวิศิษฏ์ เป็นผู้ถือหุ้น รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 18-19 การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามูลค่าการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินเป็นการโอนที่ดิน 2 ทอดในวันเดียวกันแต่กลับซื้อขายในราคาที่ต่างกันถึง 18 เท่าตัว โดยการโอนที่ดินทอดแรกจาก ‘บริษัทกงสี’ ให้ ‘ทายาท’ ในราคา ‘ต่ำเป็นพิเศษ’ ซึ่งในวงการอสังหาฯ รู้ดีว่าเป็น ‘นิติกรรมอำพราง’ เพื่อเลี่ยงภาษีเงินได้ของบริษัทจำกัด ในที่นี้คือ บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด บริษัทกงสีของตระกูลกมลวิศิษฏ์ ซึ่งตามแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ(4) ที่เกี่ยวกับ ‘ภาษีเงินได้นิติบุคคล’ สาระสำคัญความว่า บริษัทจำกัดจะต้องโอนขายทรัพย์สินในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาด มิฉะนั้น เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ‘ตามราคาตลาดในวันที่โอน’ ได้ตาม ‘ข้อเท็จจริง’ จึงถือว่าราคา 2,009 พันล้านบาทเศษ เป็น ‘ราคาตลาดในวันโอน’ ทำให้บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องถูกประเมินให้มีกำไรในทางภาษีราว 1,900 ล้านบาท (หักจากราคาที่ขายให้กับนายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ นายชูวิทย์ 111.4 ล้านบาท) และต้องเสียภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท หรือ (1,900x20%) ซึ่งไม่สามารถยึดราคาขายให้แก่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ ของ นายชูวิทย์ 4 คน เพื่อชำระภาษีเพียง 11.4 ล้านบาทเศษได้ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 20

ซึ่งหากคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องชำระตาม "ข้อเท็จจริง" คือ ภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท บวกด้วยเบี้ยปรับ 1 เท่าตัว หรือ 380 ล้านบาท และเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (ตั้งแต่ มิถุนายน 2563-กรกฎาคม 2566) หรือราว 205 ล้านบาท รวมภาษีที่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกทั้ง 4 คนของชูวิทย์ ต้องจ่ายรวมประมาณ 965 ล้านบาท หัก 11.4 ล้านบาทที่ได้ชำระไปแล้ว เท่ากับว่าการโอนที่ดินกรณีดังกล่าวอาจมีการหลบเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน และทำให้รัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินถึง 954 ล้านบาท รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top