Monday, 19 May 2025
NewsFeed

ปตท. ส่ง on-ion เดินหน้าขยายสถานีชาร์จ EV ผนึก SC เจาะกลุ่มที่อยู่อาศัย ตั้งเป้า 400 หัวจ่ายในปี 66

(15 ส.ค. 66) นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย นายโทรณ หงศ์ลดารมภ์ Head of EV Charger Business บริษัท อรุณ พลัส จำกัด และนายดิเรก ตยาคี Head of Technology Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC Asset) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาธุรกิจให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่าง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด และ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งเสริมการใช้และให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถ EV เติมเต็มพลังงานสะอาดได้แบบไม่ต้องแวะรอชาร์จ

นายเชิดชัย เปิดเผยว่า บริษัท อรุณ พลัส จำกัด ภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน (on-ion) เร่งเดินหน้าขยายธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ในพื้นที่โครงการบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม และอาคารสำนักงาน โดยจับมือพันธมิตรผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรอย่าง SC Asset ติดตั้ง EV Charging Station ในเฟสแรก จำนวน 40 เครื่อง ภายใต้โครงการเรฟเฟอเรนซ์ (Reference) โค้บบ์ (COBE) และโครงการอื่น ๆ โดยจะเริ่มโครงการแรกที่เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ ใกล้ใจกลางธุรกิจย่านสาทร พร้อมให้บริการช่วงต้นปี 2567 ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย รองรับความต้องการของผู้ใช้ EV ในเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น

“ปตท. มุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพความพร้อมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมบริการครบวงจร ภายใต้แบรนด์ on-ion ให้ครอบคลุมครบทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ พื้นที่ศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร และพื้นที่โครงการที่อยู่อาศัยกว่า 400 หัวจ่าย ในปี 2566 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ของกลุ่ม ปตท.” นายเชิดชัย กล่าว

นายดิเรก กล่าวว่า SC Asset ได้ร่วมมือกับ on-ion ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กับทางสถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่ปี 2563 นับว่าเป็นการเพิ่มศักยภาพในการร่วมมือให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าและบริการของ SC ตามแนวคิด Human-Centric ที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อค้นหาความต้องการ และโซลูชันต่าง ๆ ด้านที่อยู่อาศัย ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง และพัฒนานวัตกรรมให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคซึ่งเทรนด์ปัจจุบันที่มีแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ในอนาคตการมี EV Charging Station ในโครงการ จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้าน และคอนโดฯ นอกจากจะเป็นประโยชน์ทางตรงที่ผู้บริโภคได้รับแล้ว การนำเทคโนโลยีนี้เข้ามายังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ โครงการของ SC ที่มีการติดตั้ง EV Charging Station ลูกค้าจะสามารถ สั่งชาร์จ ตรวจสอบสถานะการณ์ชาร์จ และ ชำระเงิน ผ่านทางรู้ใจแอป (RueJai App) ได้ทันที

ทนายของ ‘จูน’ ภรรยา ‘หนุ่ม กะลา’ เผย มือที่สามขอกลับลำ!! ไม่ยอมไกล่เกลี่ยจ่าย 10 ล้าน ด้านศาลเตรียมนัดสืบพยานโจทก์

(15 ส.ค. 66) อัปเดตความคืบหน้ากรณีมือที่สาม ‘หนุ่ม กะลา’ สามีของ ‘จูน เพ็ญชุลี หนูแก้ว’ เตรียมจ่ายเงินทดแทนให้จำนวน 10 ล้านบาทนั้น ล่าสุด (15 ส.ค. 66) ทาง ‘ทนายชายพัฒน์’ หรือ ‘ทนายพัฒน์’ ทนายความของจูนได้ออกมารายงานความเคลื่อนไหวว่า ทางคู่กรณีของจูนนั้นกลับลำ ไม่ประสงค์จะจ่ายเงินไกล่เกลี่ยเรื่องทั้งหมดแล้ว

ดังนั้น นัดไกล่เกลี่ยที่แต่เดิมจะมีขึ้นในวันที่ 16 สิงหาคม 2566 จำเป็นต้องเลื่อนออกไปตามคำสั่งศาล คือวันที่ 28 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 น.โดยเป็นนัดเพื่อสืบพยานโจทก์ มีรายละเอียดข้อมูล ดังนี้

“เนื่องจากพรุ่งนี้ เป็นวันที่ 16 สิงหาคม 2566 เป็นวัดนัดไกล่เกลี่ยคดีคุณจูน ในกรณีฟ้องเรียกค่าทดแทนจำนวน 10 ล้านบาทจากบุคคลที่สาม แต่เนื่องจากทางบุคคลที่สามแจ้งว่า ไม่ประสงค์ไกล่เกลี่ย ดังนั้น นัดไกล่เกลี่ยที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดลพบุรีในวันพรุ่งนี้จึงต้องยกเลิกไป (สิทธิของจำเลย)

นัดต่อไป คือ วันที่ 28 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 น. เป็นนัดพร้อมเพื่อชี้สองสถาน กำหนดแนวทางนำสืบ หรือสืบพยานโจทก์…

จึงประกาศให้ทุกคนทราบครับ และแม่จูนฝากขอบคุณทุกกำลังใจผ่านผม มาฝากทุกท่านด้วยครับ เธอสบายดีและมีกำลังใจ… #ทีมเมียหลวง #แพงที่ไม่ต้องพยายาม #ทนายชายพัฒน์ #ทนายเมียหลวง”

ท่ามกลางความคิดเห็นของชาวเน็ตที่เอนเอียงไปทางฝ่ายของจูน เพ็ญชุลี โดยหลายคนมองว่าทางคู่กรณีไม่มีทางที่จะชนะคดีนี้ได้อย่างแน่นอน เช่น

“จัดให้หนักกับคนแบบนี้”
“เป็นกำลังใจให้ทั้งคุณทนายและคุณจูนค่ะ”
“จะสู้ยังไงมิทราบ”
“จัดเต็มๆสักหนึ่งผลงานเลยครับ”
“สู้ๆ คะเรากำลังหาหลักฐานยื่นฟ้องเหมือนกันคะทีมเมียหลวงคะ” เป็นต้น

ก็คงต้องติดความคืบหน้าในวันที่ 28 สิงหาคม 2566 กันต่อไป ว่านัดสืบพยานโจทก์จะเป็นอย่างไร หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมในประเด็นนี้ ทางเดอะไทยเกอร์จะนำมารายงานให้ทราบอีกครั้ง

‘เจนนี่’ รีบขอโทษ หลังแฟนคลับเอื้อมมือจับแก้ม ‘ยูจิน’ แต่โดนพี่เลี้ยงปัดออก ชาวเน็ตชื่นชม!! แก้ไขสถานการณ์ได้ดี

(15 ส.ค.66) ชาวเน็ตคอมเมนต์ชื่นชมกันใหญ่ว่าแก้ไขสถานการณ์ได้ดี สำหรับนักร้องสาวอย่าง ‘เจนนี่ รัชนก สุวรรณเกตุ’ หรือ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ และลูกสาว ‘น้องยูจิน’ ที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าชัง 

โดยมีคลิปจากผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ได้เผยคลิปแฟนคลับทักทายขณะที่เจนนี่อุ้มลูกสาวอยู่ และได้เอื้อมมือจะไปจับแก้มน้องยูจิน แล้วถูกพี่เลี้ยงปัดมือออก พร้อมกับบอกว่า "ไม่จับน้องนะคะ น้องเพิ่งออกจากโรงพยาบาล" ด้านแม่เจนนี่ รีบขอโทษ ยิ้มให้กับแฟนคลับและบอกว่าน้องไม่สบาย เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล

งานนี้คอมเมนต์เพียบ ที่เข้ามาชื่นชม ‘สาวเจนนี่’ ที่แก้ไขสถานการณ์ได้ดี และแฟนคลับก็เข้าใจ ว่าเด็กเล็กป่วยได้ง่าย

ผบ.ตร.จัดสรรงบตัดเครื่องแบบให้ตำรวจจราจรทั่วประเทศเกือบ 20,000 คน นับเป็นเครื่องแบบภาคสนามครั้งแรกของสายงานจราจร เกิดความคล่องตัว ปลอดภัย สร้างขวัญกำลังให้ตำรวจจราจร เพื่อดูแลประชาชนบนท้องถนน ดีเดย์พร้อมกัน 15 ก.ย.นี้

วันนี้ (15 ส.ค.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “ ตามดำริ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อปรับปรุงเครื่องแบบสำหรับข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่สายงานจราจร โดยมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะทำงาน คณะทำงานได้ร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ กำหนดหลักเกณฑ์รูปแบบเครื่องแบบ และสำรวจความคิดเห็นจากข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ จนได้ข้อสรุปเครื่องแบบจราจรเสนอ ตร. 

ต่อมา ผบ.ตร.ได้อนุมัติเครื่องแบบสนามตำรวจสายงานจราจรเป็นแบบเดียวกับสายงานป้องกันปราบปราม โดยเครื่องหมายใช้ด้ายสีขาวปักบนพื้นสีเดียวกับเครื่องแบบ และติดเครื่องแบบด้วยแถบหนามเตย ให้มีปลอกแขนจราจรสะท้อนแสง เครื่องแบบสามารถใช้ได้ทั้งสายงานป้องกันปราบปรามและงานจราจร หากมีการเปลี่ยนแปลงสายงาน พร้อมขออนุมัติกรมบัญชีกลาง เบิกจ่ายค่าผ้าและค่าตัดชุดเครื่องแบบสนาม รวมทั้งค่าเครื่องหมายตามที่ราชการกำหนด สำหรับข้าราชการตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่งานจราจรทั่วประเทศ จำนวน 19,662 คน แล้วโอนเงินไปให้หน่วยทำการจัดซื้อจัดจ้าง เร่งรัดดำเนินการตัดเครื่องแบบ กำหนดใส่เครื่องแบบฯ ภายใน 15 ก.ย.66  โดยพร้อมเพรียงกัน”      

โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า “สายงานจราจรมีความสำคัญที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร ออกช่วยเหลือประชาชนบนท้องถนน ปฏิบัติตามนโยบาย ตร.ในการกำหนดมาตรการลดและป้องกันอุบัติเหตุในพื้นที่ รวมถึงภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย 

การมีเครื่องแบบสนามเหมือนกับสายงานป้องกันปราบปราม เป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศ จะช่วยให้การทำงานเกิดความคล่องแคล่ว คล่องตัว ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งการมอบเครื่องแบบภาคสนามสายงานจราจร ของ ผบ.ตร.ในครั้งนี้ ถือเป็นชุดภาคสนามครั้งแรกของตำรวจจราจร เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจสายงานจราจรอีกด้วย”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการพัฒนาบุคลิกภาพและคุณภาพชีวิตตำรวจ รุ่นที่ 2 มุ่งพัฒนา เสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเพื่อรองรับภารกิจดูแลประชาชน

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล(สกพ.) เปิดเผยว่า วันอังคารที่ 15 ส.ค.66 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน ในพิธีเปิด “โครงการพัฒนาบุคลิกภาพและคุณภาพชีวิตของข้าราชการตำรวจ (รุ่นที่ 2)” จำนวนทั้งสิ้น 99 นาย มีการจัดอบรมในระหว่างวันที่ 14-19 ส.ค.66 ณ อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

โครงการพัฒนาบุคลิกภาพและคุณภาพชีวิตของข้าราชการตำรวจ เป็นโครงการที่จัดทำขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ให้กำลังพลที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับประชาชน มีแนวคิดในการเสริมสร้างทัศนคติ ปรับปรุงพัฒนาบุคลิกภาพที่ดี โดยการนำธรรมะซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติ โดยได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ เจ้าอาวาสวัดใหม่ศรีร่มเย็น ตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และคณะวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยา การแพทย์สาธารณสุข ในการสร้างแรงบันดาลใจ

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการเป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการให้มีการส่งเสริมจริยธรรม จรรยาบรรณและการพัฒนาคุณธรรมของข้าราชการตำรวจ โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างพัฒนาทัศนคติ จิตสำนึกและพฤติกรรมให้เป็นผู้มีวินัย มีเป้าหมายเพื่อให้ข้าราชการตำรวจมีโอกาสในการพัฒนาตน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด ทัศนคติ ค่านิยม ตลอดจนการมีจิตสำนึกที่ดี จนนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่พี่น้องประชาชน สมดังเจตนารมณ์ของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานกำลังพลในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้าราชการตำรวจที่ผ่านการอบรมจากโครงการนี้ จะได้นำความรู้ แนวคิด ทัศนคติ ที่ได้รับจากคณะวิทยากร นำไปปรับปรุงพัฒนาตนเองให้เป็นบุคลากรที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม ทั้งในมิติของการปฏิบัติหน้าที่ราชการและการประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป
 

บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนภัยไซเบอร์

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2566 เวลา 13.30 น. นาย ปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด นางสาว ศรีรัชต์ ธนะรัชต์ กรรมการบริหารฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ นางสาว รัชดาวรรณ สุลัญชุปกร รองกรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจค้าปลีกโมบิลิตี้ และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.) พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (รอง ผบช.ภ.1)  พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบช.สอท.) พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี (ผบก.ภ.จว.นนทบุรี) และ พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ตอท.บช.สอท.) ร่วมเปิดโครงการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้และป้องปรามภัยอาชญากรรมออนไลน์  ณ สถานีบริการน้ำมันเชลล์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด มนเทียรรุ่งเรือง (สาขา 6) ถนนกาญจนาภิเษก อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี 

นายปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “บนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นธุรกิจพลังงานที่ยั่งยืนภายใต้กลยุทธ์ Powering Progress หนึ่งในสี่เสาหลักที่เชลล์ให้ความสำคัญคือ Powering Lives ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของทุกคนให้ดีขึ้น นอกเหนือจากการจัดหาพลังงานที่เข้าถึงได้และเชื่อถือได้อย่างยั่งยืน  ด้วยเหตุนี้ เชลล์จึงได้เข้าร่วมสนับสนุนแคมเปญ ผนึกกำลังร่วมใจ ต้านภัยไซเบอร์ ภายใต้หลักการ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการสื่อสารให้เข้าถึงประชาชนให้มากขึ้น  เพราะในแต่ละวัน มีผู้มารับบริการในสถานีบริการเชลล์ทั่วประเทศถึง 5 แสนคน ทั้งการมาเติมน้ำมัน การใช้บริการธุรกิจเสริมต่างๆ และการใช้บริการห้องน้ำที่ได้รับรางวัลระดับประเทศ  การร่วมแคมเปญครั้งนี้ นอกจากจะช่วยสร้างความตระหนักถึงภัยไซเบอร์ที่ใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน ยังช่วยให้ประชาชนสามารถป้องกันตนเองได้ เชลล์จึงยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้สังคมไทยปลอดภัยจากการคุกคามบนโลกไซเบอร์และน่าอยู่ยิ่งขึ้น”  

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ผบ.ตร. กล่าวเสริมว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำระบบรับแจ้งความ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 เปิดดำเนินการรับแจ้งความออนไลน์และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหามาตรการในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้จัดทีมวิทยากรของคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และครูไซเบอร์ทั้งครู ก. และครู ข. ออกบรรยายให้ความรู้แก่ประชาชน รวมทั้งได้มีการนำแบบทดสอบ วัคซีนไซเบอร์ จำนวน 40 ข้อ มาประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ทำแบบทดสอบ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์  โดยเริ่มทำแบบทดสอบได้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2566 หากทำแบบทดสอบครบ 40 ข้อแล้ว  จะได้รับ Whoscall Premium Gift Code ฟรี ซึ่งสามารถใช้บริการ Whoscall Premium Feature ได้ฟรี เป็นระยะเวลา 1 ปี หากทำแบบทดสอบได้ถูกต้องตั้งแต่ 35 ข้อ  ขึ้นไป จะมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล iPhone 14  เดือนละ 20 รางวัล  เป็นเวลา 3 เดือน  รวม 60 รางวัล  และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จับรางวัลผู้โชคดีประจำเดือน กรกฎาคม 2566  จำนวน 20 รางวัล ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้โชคดีสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่ช่องทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com ขณะเดียวกันได้มีการขับเคลื่อนกิจกรรมโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในช่องทางออนไลน์ (Online) และออนไซต์ (Onsite) ในช่องทางออนไลน์ (Online) ได้มีการแถลงข่าวประจำสัปดาห์และนำเสนอในช่องทางของสื่อมวลชนทุกแขนง รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ www.เตือนภัยออนไลน์.com และเพจ https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ สำหรับการประชาสัมพันธ์ในช่องทางออนไซต์ (Onsite) นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางบก องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ผนึกกำลังเตือนภัยออนไลน์บนรถยนต์โดยสารสาธารณะ โดยได้ร่วมกันติดสติ๊กเกอร์เตือนภัยออนไลน์ 6 รูปแบบกลโกง บนรถยนต์โดยสารสาธารณะ (บขส.) รถยนต์โดยสารประจำทาง (รถเมล์) และรถยนต์รับจ้างสาธารณะ (Taxi) ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนที่โดยสารรถยนต์โดยสารและรถยนต์รับจ้าง ได้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ อีกทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการรณรงค์ประชาสัมพันธ์แถลงข่าวเพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบในหลายวิธี หลายช่องทาง ให้ประชาชนได้มีภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ แต่ปรากฏว่ายังมีประชาชนตกเป็นเหยื่อของคนร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ในช่องทางอื่นเพิ่มเติม สำหรับการประชาสัมพันธ์ในวันนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเชลล์ฯ ติดตั้งสื่อภายในสถานีบริการน้ำมัน  เช่น  ภายในห้องน้ำชาย-หญิง  เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างการรับรู้ถึงข้อมูลและข่าวสารได้อย่างกว้างขวาง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลหรือช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันที่จะมีผู้ใช้บริการเดินทางเข้ามาใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์กว่า 700 แห่งทั่ว
ประเทศ”  

ผบ.ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รู้เท่าทันภัยออนไลน์อย่างต่อเนื่อง จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทำแบบทดสอบวัคซีนไซเบอร์ จำนวน 40 ข้อ และขอให้แชร์แบบทดสอบไปให้กับญาติหรือผู้เป็นที่รัก เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ทำแบบทดสอบมีความรู้เท่าทันกลโกงของคนร้ายบนโลกออนไลน์ และไม่ตกเป็นเหยื่อ รวมทั้งขอประชาสัมพันธ์ช่องทางการแจ้งความ  แจ้งเบาะแส  และให้คำปรึกษา ได้ที่ www.thaipoliceonline.com หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรผ่านสายด่วน 1441 สำหรับช่องทางประชาสัมพันธ์เตือนภัยออนไลน์  ประชาชนสามารถศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์รูปแบบต่างๆ ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com และ Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์

ความคืบหน้าครอบครัวหัวร้อน ตั้งวงเหล้าเสียงดังด่าตำรวจหยาบ ล่าสุดขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ถูกตำรวจออกหมายเรียกพร้อมแจ้ง 6 ข้อกล่าวหา

วันที่ 15 สิงหาคม 2566 ความคืบหน้ากรณีที่มีคลิปตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ บันทึกคลิปวีดีโอระหว่างเข้าระงับเหตุวงสุราเปิดเพลงเสียงดัง สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ให้กับชาวบ้านในซอย จึงมีการโทรไปร้องเรียนที่ 191 แต่เมื่อสายตรวจไปถึง พบกับครอบครัวหัวร้อนกร่างใส่ ท้าตำรวจต่อยตัวต่อตัว อ้างบอกเป็นครอบครัวนายตำรวจ รู้จักคนใหญ่คนโต ถ้าไม่กลับไปเดี๋ยวเจอดี และยังบอกว่าสงสัยเป็นตำรวจใหม่ ไม่รู้จักคนในบ้านหลังนี้ ที่มีพี่น้องและคนครอบครัวเป็นนายตำรวจใหญ่ ส่วนตำรวจสายตรวจก็พยายามขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมถอยออกจากบ้านที่เกิดเหตุ แต่ก็ยังถูกว่ากล่าวทำนองดูหมิ่นการทำหน้าที่ ซึ่งคลิปดังกล่าวถูกโพสต์ลง ในโซเชียล มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก 

ล่าสุดทางด้าน พลตํารวจตรี พัลลภ แอร่มหล้า ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า จากที่ได้รับแจ้งจาก พันตํารวจเอกนพดล ช่างเรือน ผู้กํากับการสถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ กรณีมีคลิปการระงับเหตุ ของเจ้าหน้าที่ตํารวจในสื่อมวลชนต่างๆ เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 22.26 น. ศูนย์วิทยุ 191 สมุทรปราการ แจ้งมายังศูนย์วิทยุสถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ ว่ามี ประชาชนแจ้งเหตุ เปิดเพลงส่งเสียงดัง บริเวณร้านอาหารใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศรีนครินทร์ จึงแจ้ง ให้เจ้าหน้าที่ตํารวจเดินทางตรวจสอบเหตุดังกล่าว โดยมีสิบตํารวจตรีสุรวีร์ วีระชาติผู้บังคับหมู่งาน ป้องกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจทรัพย์บุญชัย เดินทาง ตรวจสอบบริเวณดังกล่าว 

เมื่อเดินทางถึงบริเวณสถานที่รับแจ้งเหตุดังกล่าว พบว่าเป็นร้านอาหารมีการเปิดเพลงส่งเสียงดัง จริง จึงได้ประชาสัมพันธ์กับกลุ่มประชาชนที่เปิดเพลงส่งเสียงดังให้ลดเสียงลง และเลิกการกระทําที่ก่อ ความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ซึ่งบริเวณดังกล่าวอยู่ภายในชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่ เป็นจํานวนมาก 

ต่อมา กลุ่มประชาชนดังกล่าว ได้เข้ามาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ใช้คําพูดใน ลักษณะดูหมิ่น ใช้กําลังผลัก และตะโกนไล่เจ้าหน้าที่ตํารวจให้ออกไปจากสถานที่เกิดเหตุ ต่อมาหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตํารวจที่เข้าระงับเหตุ ได้เดินทางออกมาจากที่เกิดเหตุแล้ว ได้รวบรวม หลักฐานคลิปวิดีโอ ขณะปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบเหตุดังกล่าว แจ้งให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อ ดําเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ ตามคลิปดังกล่าวรวม 6 คน โดยแจ้งดําเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนสถานี ตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ จํานวน 6 ข้อหา ดังนี้ 1.ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติ ตามหน้าที่โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทําความผิดด้วยกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,139 และมาตรา 140 ตั้งแต่สามคนข้ึนไป ผู้กระทําต้องระวางโทษ จําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 2.ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กําลัง ประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สาม คนข้ึนไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,138 วรรค 2 และมาตรา 140 3.ร่วมกันดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าท่ี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,136 โทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 4.ร่วมกันทําร้ายร่างกายผู้อื่นไม่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,391 โทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ 5.ร่วมกันเปิดเพลงเสียงดัง ทําให้เกิดเสียงหรือเกิดความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร จน ทําให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อนด้วยการเปิดเพลงเสียงดังในสถานท่ีเกิดเหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,370 โทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท 6.ร่วมกันกระทําประการใดๆต่อผู้อื่นอันเป็นการข่มเหง คุกคาม หรือกระทําให้ได้รับความ อับอายหรือเดือดร้อนรําคาญ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,397 โทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท กรณีกระทํา ในที่สาธารณะ โทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 

และได้ออกหมายเรียกกลุ่มผู้ต้องหาให้มาพบพนักงานสอบสวนไปแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 โดยกลุ่มผู้ต้องหาแจ้งจะเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนในวันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2566 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา จากเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ในการเข้าระงับเหตุครั้ง ที่เจ้าหน้าที่ตํารวจได้กระทําการตามหลักกฎหมายและหลักยุทธวิธี ในการเดินทางตรวจสอบเหตุ รวมทั้ง ประเมินสถานการณ์เหตุการณ์ และยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงมากขึ้น จากเหตุที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน อดกลั้น อย่างถึงที่สุดและปฏิบัติตามขั้นตอนและหลักยุทธวิธี ในการใช้ กําลัง เพื่อไม่ให้เกิดที่รุนแรงมากขึ้น ในส่วนของประชาชน เจ้าหน้าที่ตํารวจมีความห่วงใย จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ผู้กระทําความผิด ให้ตระหนักถึงกรอบของกฎหมาย หากมีการกระทําความผิดจะต้องรับโทษตามที่กฎหมายกําหนด 

พันตํารวจเอกนพดล ช่างเรือน ผู้กํากับการสถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าอีกฝ่ายผู้ต้องหาเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ขอให้ใช้สิทธ์ตามกฎหมายได้ ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าทำหน้าที่ด้วยความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุดแล้ว ส่วนสิบตํารวจตรีสุรวีร์ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักหรือโกรธเคืองกับกลุ่มผู้เสียหายมาก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้ ทางผู้บังคับบัญชาระดับ ตร. และ ผบ.ตร. ก็กล่าวชื่มชมในการทำงานมาด้วย ส่วนการทำงานของ สิบตํารวจตรีสุรวีร์ ที่ผ่านมาก็เป็นคนที่ทำงานดีและขยันอดทนมาตลอด 

'ม.ขอนแก่น' มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต จ่อปรับโฉม 'หอพัก-คอมเพล็กซ์' สร้างพื้นที่ 'น่าอยู่-ปลอดภัย' แก่ 'นักศึกษา-คณาจารย์'

มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีการวางแผนยุทธศาสตร์การบริหาร คือการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ (Transformation) เพื่อวิสัยทัศน์ในการเป็น ‘มหาวิทยาลัยวิจัยและพัฒนาชั้นนําระดับโลก’ ทั้งด้านการจัดการศึกษาการวิจัยการบริการวิชาการการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลและด้านการบริหารจัดการองค์กรเพื่อให้มหาวิทยาลัยยังคงมีความก้าวหน้าและการพัฒนามหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน

สำหรับด้านระบบนิเวศของมหาวิทยาลัย (Ecological) ซึ่งอยู่ภายใต้การรับผิดชอบของฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยขอนแก่น นั้น ผศ.อาวุธ ยิ้มแต้ รองอธิการบดีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม เผยว่า การสร้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้เป็นที่น่าทํางาน (Best place to work) ให้เป็นที่ทํางานที่สนุกและท้าทายทําให้คณาจารย์และบุคลากรอยากทํางานด้วยมากที่สุด โดยจะมีการสร้างมหาวิทยาลัยให้เป็นที่น่าอยู่ (Great place to live) เพื่อให้เป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสมในการใช้ชีวิตมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวมีห้องเรียนด้านพฤกษศาสตร์และมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต (Biodiversity)

ผศ.อาวุธ ยิ้มแต้ กล่าวว่า “โครงการที่เป็นเรือธงในการพัฒนามหาวิทยาลัยขอนแก่น (Flag ship projects) ของฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม คือ การเพิ่มจำนวนที่พักบุคลากรที่พักนักศึกษาและบุคลากรให้มีจำนวนมากขึ้น นำพื้นที่สนามซอฟท์บอล หลังหอ 26 สร้างเป็นหอพักนักศึกษา โดยจะจัดหาพื้นที่ใหม่สำหรับสร้างสนามซอฟท์บอลทดแทน และพื้นที่อยู่ด้านหลังปั๊มน้ำมัน ปตท. รวมสองพื้นที่นี้จะรองรับนักศึกษาได้ประมาณ 4,000 คน ส่วนที่พักบุคลากรนั้นจะอยู่บริเวณฝั่งบึงสีฐาน เป็นพื้นที่ใกล้ๆ กันกับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ การดำเนินการเป็น 2 เฟส คาดว่าจะรองรับบุคลากรได้ประมาณ 2,000 คน ขณะนี้มีความก้าวหน้าอยู่ในช่วงทำร่างขอบเขตงาน (Term of Reference) หรือ TOR เสร็จแล้ว จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนหาผู้ร่วมลงทุนมาดำเนินการก่อสร้างต่อไป”

“อีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับงานพลิกโฉมที่ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบก็คือ เรื่องของการปรับปรุงศูนย์อาหารและบริการ หรือ คอมเพล็กซ์ นั้น เป็นการปรับปรุงใหญ่ซึ่งท่านอธิการให้ความสำคัญเนื่องจาก Complex เป็นพื้นที่ที่บุคลากรส่วนใหญ่ทั้งมหาวิทยาลัยมาใช้งานในพื้นที่นี้ร่วมกัน ขณะนี้อยู่ในช่วงของการออกแบบพื้นที่”

“นอกจากนี้ยังมีระบบประปา ที่มหาวิทยาลัยลงทุนขุดลอกบ่อเก็บน้ำดิบ เพื่อเก็บกักน้ำที่ผลิตได้ให้มากขึ้น ป้องกันการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงการขาดน้ำของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งได้มีการดำเนินการเกือบสมบูรณ์แล้ว สำหรับการสำรองน้ำที่ผลิตเป็นน้ำประปานั้น มีแผนจะนำเอาถังเก็บน้ำที่เลิกใช้เอากลับมาบูรณะใหม่ เพื่อจะเพิ่มปริมาตรการเก็บกักน้ำที่ผลิตเป็นน้ำประปาให้มีน้ำใช้ได้ตลอดปี ส่วนน้ำที่ใช้ในด้านการเกษตร เช่น คณะเกษตรศาสตร์ได้มีการวางท่อจ่ายน้ำที่ผ่านระบบบำบัดน้ำเสีย และสูบน้ำดิบที่ได้มาตามธรรมชาติ สุ่มจ่ายไปหลายจุดนำไปใช้รดต้นไม้ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาบึงต่างๆ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เช่น การขุดลอกหนองหัวช้างซึ่งเป็นสระเก็บน้ำเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันมีความตื้นเขินเพื่อจัดเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร ทั้งยังสร้างระบบนิเวศให้น่าอยู่ ร่มรื่น เพิ่มความผาสุขการทำงานบุคลากรต่อไป” ผศ.อาวุธ ยิ้มแต้  รองอธิการบดีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม  กล่าวในที่สุด

‘ม้า อรนภา’ น้ำตาไหล ‘ไก่ วรายุฑ-นิด อรพรรณ’ มาร่วมงานศพคุณแม่ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก หลังมีเหตุบางอย่างทำให้รู้สึกติดค้างในใจกัน

(16 ส.ค. 66) ‘ม้า อรนภา กฤษฎี’ ออกมาเปิดใจที่แรก หลังสูญเสีย ‘คุณแม่ประมวล’ วัย 98 ปี ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยโรคมะเร็งปอด พร้อมเผยถึงบุคคลในวงการ 2 ราย ที่ทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจจนมีน้ำตากลางงานศพคุณแม่ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่อง One31

สิ่งที่ไม่คาดฝันทั้งหลายกับการที่ในชีวิตอยู่ในวงการ รู้จักคนมาหมดทุกคนมากมายก็แล้วแต่ ไม่เคยคิดว่าทุกคนยังรักและระลึกถึงพี่อยู่เสมอ วันนี้เราได้เห็นอย่างชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่เราคงความดี มีใจที่บริสุทธิ์กับทุกคนมาตลอดเวลา ทุกคนกลับมาหาเราหมด โดยที่เรานึกไม่ถึงเลยว่าเป็นอะไรที่โคตรแห่งความปลาบปลื้มใจ คนที่เคยมีความค้างคาใจ ไม่ว่าจะตอนทำงานช่วงวิกฤตในชีวิตที่ต้องหลุดออกมาจากวงการ ทุกคนก็มาให้กำลังใจดิฉัน มันเป็นอะไรที่มีความรู้สึกโคตรแห่งความซาบซึ้ง (เสียงสั่น) ทุกครั้งที่คนพวกนี้มา มันอดไม่ได้ที่จะปีติ แล้วน้ำตาแห่งความปีติจะหลั่งไหลออกมาตลอด มันพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมาตลอดทั้งชีวิต มันตอบแทนให้เห็นถึงความรักเรา พูดทีไรเรารู้สึกว่าเราดีใจที่สุด (เสียงสั่น น้ำตาคลอ) ไม่รู้จะว่ายังไง ขอบคุณมากจริง ๆ

>> มีแขกท่านนึงมา พี่ม้าชื่นใจแน่นอน เรารู้สึกได้ว่าพี่ม้าชื่นใจ ปีติ เราเห็นแววตาพี่ม้ากับแขกท่านนึง คือ ‘คุณนิด อรพรรณ’ มาที่งาน พี่ม้าเหมือนไม่คิดว่าจะมา?

“บอกตามตรงเลยนะ ตั้งแต่ออกจากวงการนี้มา (เสียงสั่นเครือ) พี่ขอบคุณทุกอย่างที่ให้โอกาส คนที่ให้โอกาสมาตลอด พอวิกฤตที่ออกไป รู้สึกว่าคงจบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทุกคนคงค่อย ๆ ลืมเลือนดิฉันไป ดิฉันไม่ได้หวังอะไร ว่าจะต้องมาเจอกัน มาร่วมงานกันอีก หรือมาร่วมทุกข์ร่วมสุข หรือโอบอุ้มเราต่อไป ดิฉันไม่นึกแล้วนะ ดิฉันปล่อยวางไปเลย ไม่นึกถึง แต่เราก็ไม่คิดว่าเขายังระลึกและรักเราอยู่เสมอ สิ่งนี้เลยทำให้เรารู้สึกว่า เราอาจมองผิดไป ดิฉันไม่ใช่ไม่รัก หรือไม่รู้จักบุญคุณนะ บุญคุณนี้นึกถึงเสมอ ต่อให้ใกล้ตายก็ยังนึกถึงบุญคุณกับทุกคนที่หยิบยื่นโอกาสให้ ไม่เคยลืมเลือน แต่ด้วยเหตุการณ์กับจังหวะชีวิตที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แยกย้ายกันไป ก็ได้แค่ระลึก ไม่นึกว่าจะได้กลับมาเจอะเจอ”

“ช่วงวิกฤตก็มีอีกคนที่เราไม่นึกเลย คิดว่าเขาคงไม่ชอบดิฉันไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าเขาจะมา คือ ‘พี่ไก่ วรายุฑ’ ณ ตอนนั้นดิฉันก็รู้สึกว่าดิฉันได้หลุดออกไปจากทุกรายการที่ดิฉันทำอยู่ทั้งหมด ก็คิดว่าทุกคนคงไม่ได้ชอบฉันแล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิตตัวเอง ก็ให้มันจบ ไม่เป็นไร ขอบคุณที่เราเคยอยู่ร่วมกัน ให้โอกาสเรามา ก็คิดว่าคงไม่มีแล้ว”

>> ได้คุยอะไรกับคุณนิดบ้าง? 
“ก็มีการพูดคุย บอกว่าพี่จำไว้นะ เรายังรักกันอยู่เสมอ ยังไงก็ไม่ทอดทิ้งกันอยู่แล้ว”

>> ชื่นใจมั้ย?
“ดิฉันน้ำตาไหลตลอดเวลาเลย”

>> ตอนพี่ไก่ล่ะ?
“อันนั้นโฮเลย เพราะไม่นึกว่าแกจะมา พี่ไก่พูดว่ายังไงฉันก็เป็นเพื่อนเธอ ฉันไม่มาไม่ได้ (เสียงเครือ) พี่ไก่มาวันเผาแม่ด้วย ไม่เคยนึกนะ เพราะเราคิดว่ามันคงจบไปหมดแล้ว นึกออกมั้ย”

“ขอบคุณที่สุดเลย ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ตั้งแต่อยู่เขาก็ให้โอกาส มันอยู่ในใจเรามาตลอดเวลา แม้เราไม่อยู่เขาก็ยังระลึกถึง ไม่รู้จะพูดยังไง ซาบซึ้งใจมากที่สุดแล้วนะ ที่เราทำไว้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครลืมเรา แม้เราไม่อยู่แล้วก็ไม่มีใครลืมเรา”

นราธิวาส-ผู้แทน เลขาธิการศอ.บต. รุดเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จชต. เพื่อเยียวยาจิตใจให้เข้มแข็ง

ผู้แทนเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำโดย นางสาวเยาวภา อินชะนะ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. และเจ้าหน้าที่เยียวยา ศอ.บต. เข้าเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ โดยในช่วงเช้า ได้เข้าเยี่ยมครอบครัวพลทหาร รีฟวัน เจะแล ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ณ หมู่ที่ 1 ต.สุวารี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยได้พูดคุยให้กำลังใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจำเป็น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบฯ 

พลทหาร รีฟวัน เจะแล เสียชีวิตจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 เวลา 00.10 น. คนร้ายใช้อาวุธปืนและขว้างลูกระเบิดไม่ทราบชนิดใส่ เจ้าหน้าที่ทหารชุดจรยุทธ ขณะกำลังซุ่มนอกฐานที่ตั้ง เหตุเกิดบริเวณโกดังริมแม่น้ำ บ้านศรีพงัน หมู่ที่ 3 ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 

จากนั้นคณะได้เดินทางเยี่ยมครอบครัวสิบตำรวจเอก ไซฟูดีน เจ๊ะซอ หมู่ที่ 4 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เสียชีวิตจากเหตุการณ์ถูกคนร้ายลอบยิงขณะออกทำการสืบสวนหาข่าวในพื้นที่โดยใช้รถจักรยานยนต์ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยคณะได้พูดคุยให้กำลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจำเป็น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นอกจากการช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบแล้ว ศอ.บต.ยังตระหนักถึงการเยียวยาจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบ โดยได้เดินทางเยี่ยมครอบครัวผู้สูญเสียทุกครอบครัว เพื่อให้มีกำลังใจ กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top