Friday, 9 May 2025
News

‘เชน ธนา’ น้ำตานอง ยันใช้หนี้มาตลอด พร้อมยันเป็นลูกหนี้ที่ดี ลั่น! ใช้หนี้ไปแล้วกว่า 100 ล้าน

(18 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 15.20 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือเชน ธนา กับ นางกณิการ์ ภูศรี ภรรยา เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในฐานความผิดฉ้อโกง กรณีถูกบริษัทอาหารเสริมแห่งหนึ่ง แจ้งเอาผิดฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าจำนวน 79 ล้านบาท โดยตำรวจไม่มีการควบคุมตัว เนื่องจากมาตามหมายเรียกและมีการนัดหมายอีกครั้งในวันที่ 26 พ.ย.

นายธนาตรัยฉัตร เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกครั้งที่ 2 กรณีที่ก่อนหน้านี้มีบริษัทอาหารเสริมเเห่งหนึ่งแจ้งความดำเนินคดีกับตนและภรรยาในเรื่องการฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าจำนวน 79 ล้านบาท เบื้องต้นให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากสินค้าทั้งหมดยังอยู่ และตนไม่ได้นำไปขาย เดิมทีคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมองว่าเป็นคดีแพ่งตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.65 ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจ หากศาลแพ่งมองว่าตนเป็นหนี้ตนยินดีที่จะจ่าย

แต่ต่อมาทางอัยการกลับมีความเห็นสั่งให้ฟ้องในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งเป็นคดีอาญา ทางพนักงานสอบสวนจึงเรียกให้ตนมาเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ยอมรับว่าตนก็ตกใจที่กลายเป็นคดีอาญา โดยหลังจากนี้ตนจะทำตามขั้นตอน และจะนำพยานมาให้การยืนยันสนับสนุนว่าตนไม่ได้มีเจตนาที่จะฉ้อโกง

ซึ่งจุดเริ่มต้นเรื่องนี้ คือตนสั่งสินค้าจากบริษัทผู้เสียหาย ซึ่งสินค้ามีทั้งหมด 2 ล็อต ล็อตแรกขายดีเพียง 7 วันแรก หลังจากนั้นได้รับแจ้งจากทาง อย.ว่ามีปัญหาในเรื่องการขออนุญาตโฆษณา กล่องผลิตภัณฑ์ไม่สามารถนำไปโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ที่ซื้อไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์หรือ Billboard ทำให้ต้องเรียกกล่องสินค้าคืนทั้งประเทศ นอกจากนี้สินค้าไม่ได้ตามที่ตกลง ตอนแรกที่สั่งผลิตภัณฑ์ไปเนื้อเป็นตัวสีเหลือง แต่ของที่ได้รับกลับเป็นสีส้ม ซึ่งตนไม่ได้มองว่ามันไม่ได้มีคุณภาพ แต่ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกัน สินค้าทั้งหมดจึงไม่ได้ถูกนำไปขายและไม่ได้นำเงินมาหมุนแต่อย่างใด ทุกชิ้นยังคงอยู่ที่โกดังสำนักงาน มูลค่าความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท

โดยในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าวนายธนาตรัยฉัตรได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า ส่วนหนึ่งที่การขออนุญาตโฆษณามีปัญหา เพราะมีบุคคลหนึ่งได้แนะนำกับตนว่าให้โฆษณาเกินจริงไปเลย แล้วเดี๋ยวจะจ่ายค่าปรับให้ แต่มันทำไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ อย.ได้มีการตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลตรงนี้ตนได้ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนเป็นหนี้มาตั้งแต่ปี’64 ก็ทำงานหาเงินใช้หนี้มาโดยตลอด ซึ่งบริษัทอมาโด้ ตนเองเอาทั้งชีวิตใส่ไปแล้ว หากอมาโด้ตาย ตนก็ตายไปด้วย และจะไม่อนุญาตให้ตนเองมีความสุข ถ้ายังใช้หนี้ไม่หมด ยอมรับว่าเครียด และมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธุรกิจ เป็นคดีแพ่ง ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมากดดันกัน และตนเองเป็นลูกหนี้ที่ดี ก็ควรได้รับความยุติธรรม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เตรียมใจแล้วหรือไม่ว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง นายธนาตรัยฉัตรกล่าวว่า เชื่อว่าตนมีพยานหลักฐานแน่นพอ มีสัญญาซื้อขาย ส่วนที่เลื่อนหมายเรียกมาหลายครั้งเพราะตนเองได้รับหมายกะทันหัน รวมทั้งต้องไปขอคัดเอกสารจากทางบริษัท เพราะเป็นคดีนิติบุคคล

ส่วนกรณีที่ตนเองถูกแฉว่าเคยโดนดำเนินคดีฉ้อโกงและ พ.ร.บ.เช็ค ก็อยากชี้แจงว่า ในส่วนคดีฉ้อโกงศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว แต่ว่ายังอยู่ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ของโจทก์ แต่สื่อนำมาเล่นโจมตีเพียงด้านเดียว ส่วน พ.ร.บ.เช็คยอมรับว่าถูกศาลสั่งจำคุกจริง ขณะนี้เป็นการประกันตัวระหว่างสู้คดี

“ทุกบริษัทมีหนี้หลายสิบล้าน เราใช้หนี้หมดแล้ว 100 กว่าล้าน เวลาไกล่เกลี้ยหนี้ เราจะออกเอกสารกำลังทรัพย์ให้คู่ค้า ในวันนี้อยากบอกว่ายังสู้ และอยากให้อุดหนุนสินค้า กำลังใจที่ยังสู้ เพราะมีหนี้ จากนี้จะมารับข้อมูลฟ้อง ในวันที่ 26 พ.ย. เวลา 10.00 น.” เชนกล่าว

ทำดีมากแล้ว เชื่อคนไทยปลื้มให้กำลังใจ หลังชวดมง คว้ารองอันดับ 3 Miss Universe 2024

วันที่ (19 พ.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่น้องโอปอล หรือ น.ส.สุชาตา ช่วงศรี Miss Universe Thailand ได้รับรางวัลรองอันดับ 3 ในการประกวด Miss Universe 2024 ว่า

"ส่วนตัวได้ทราบข่าวแต่ไม่ได้ดูการประกวดในช่วงเวลานั้น เนื่องจากติดประชุมเอเปค แต่ขอชื่นชมว่าน้องโอปอลสวยมาก และอยากให้กำลังใจน้องเสมอ เมื่อเราส่งตัวแทนไทยไปแข่งขัน เราก็มักจะรู้สึกภูมิใจอยู่แล้ว เพราะน้องทำได้ดีมาก และไม่ว่าอย่างไร ก็ถือเป็นตัวแทนของประเทศและเป็นสีสันให้กับคนไทย เชื่อว่าเมื่อคนไทยเห็นก็จะส่งกำลังใจให้น้องอย่างเต็มที่" นายกฯ กล่าว

ทางรถไฟขนสินค้าสาย จีน-ยุโรป เชื่อมการค้าสองทวีป แล้วกว่า 11,380 เที่ยว

เมื่อวันที่ (18 พ.ย. 67) ที่ผ่านมา ขบวนรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป เส้นทางจากเมืองอี้อู มณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน ไปยังกรุงมาดริด ประเทศสเปน ได้ให้บริการครบ 10 ปี โดยขบวนล่าสุดได้ออกเดินทางจากเมืองอี้อูพร้อมสินค้าต่างๆ รวมทั้งสิ้น 110 ตู้คอนเทนเนอร์ (TEU) ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และมีกำหนดเดินทางถึงกรุงมาดริดภายในระยะเวลา 16-18 วัน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขบวนรถไฟนี้ได้ดำเนินการเดินทางทั้งหมด 11,380 เที่ยว และขนส่งสินค้ากว่า 932,200 ตู้คอนเทนเนอร์ โดยขบวนรถไฟสินค้าจีน-ยุโรปได้ขยายการเชื่อมต่อไปยัง 50 ประเทศและภูมิภาคในเอเชียและยุโรป ครอบคลุมเมืองกว่า 160 แห่ง รวมถึงเส้นทางหลักทั้งจีน-ยุโรป, จีน-รัสเซีย และจีน-เอเชียกลาง นอกจากนี้ โครงสร้างสินค้าส่งออกก็ได้เปลี่ยนแปลงจากสินค้าขนาดเล็กและสินค้าบริโภคทั่วไป มาเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อะไหล่รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ แผงโซลาร์เซลล์ และรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

ขบวนรถไฟนี้ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีระยะทางยาวที่สุดในจีน และได้ขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการการขนส่ง โดยตั้งแต่ปี 2018 สถานีรถไฟอี้อูได้ติดตั้งระบบจัดการอัจฉริยะสำหรับคอนเทนเนอร์ ทำให้การจัดการและตรวจสอบการขนส่งมีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น เช่น การกำหนดตำแหน่งคอนเทนเนอร์ การย้ายคอนเทนเนอร์ และการขนถ่าย มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ข้อมูลจากบริษัทการรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด รายงานว่า ขบวนรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป ได้ออกเดินทางจากอี้อูมากกว่า 6,700 เที่ยว และขนส่งสินค้ากว่า 670,000 ตู้คอนเทนเนอร์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยรถไฟเหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการขนส่งโลจิสติกส์ของเมืองอี้อู ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "ซูเปอร์มาร์เก็ตของโลก" และช่วยสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั่วโลก

ตลอด 10 ปี ขบวนรถไฟนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศต่างๆ และความร่วมมือที่ยั่งยืนที่จะทำให้การค้าระหว่างประเทศเติบโตและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ข้อมูลจากศุลกากรอี้อูเผยว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 อี้อูมีมูลค่าการนำเข้ามากถึง 65.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 19.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสินค้านำเข้าจากยุโรปผ่านขบวนรถไฟอี้ซิน อาทิ เครื่องสำอาง เครื่องดูแลสุขภาพ อาหาร และเครื่องครัว ได้กลายเป็นสินค้าหลักในครัวเรือนของชาวจีน

ปูตินสั่งแก้กฎยิงนิวเคลียร์ง่ายขึ้น หลังยูเครนใช้มิสไซส์สหรัฐฯ โจมตีแดนหมีขาว

(20 พ.ย. 67) สำนักข่าวสปุตนิกได้เปิดเผยเอกสารแปลฉบับไม่เป็นทางการ หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้ลงนามปรับลดระดับข้อจำกัดการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ส่งผลให้รัสเซียสามารถใช้นิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การโจมตีได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นการโจมตีจากประเทศที่ไม่ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจที่ครอบครองนิวเคลียร์

ระเบียบใหม่ของรัสเซียระบุว่า สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ในกรณีที่รัสเซียถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธวิถีโค้ง หรือการโจมตีทางอากาศโดยอากาศยาน โดรน หรือพาหนะบินได้อื่น ๆ  

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังยูเครนยิงขีปนาวุธ ATACMS ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ เข้าไปในแคว้นไบรอานส์กของรัสเซีย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลในลักษณะนี้ สร้างความเสียหายต่อคลังกระสุนในพื้นที่ดังกล่าว  

การโจมตีเกิดขึ้นในวันครบรอบ 1,000 วันของสงคราม โดยฝ่ายยูเครนระบุว่า ขีปนาวุธสามารถทำลายกระสุนปืนใหญ่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่าสามารถยิงขีปนาวุธตกลงมาได้ 5 ลำ และอีก 1 ลำถูกทำลายในอากาศ  

สถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม (ISW) เผยว่ามีเป้าหมายทางการทหารและกึ่งทหารกว่า 250 จุดในรัสเซียที่อยู่ในระยะทำการของ ATACMS  

ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียเริ่มผลิตหลุมหลบภัยนิวเคลียร์เคลื่อนที่ชื่อ "คับ-เอ็ม" (KUB-M) เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยหลุมหลบภัยดังกล่าวสามารถรองรับคนได้ถึง 54 คน เป็นเวลา 2 วัน พร้อมป้องกันคลื่นกระแทกและรังสี  

กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินมอสโกว์ยืนยันว่า การพัฒนาหลุมหลบภัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมรับมือทั้งอันตรายจากธรรมชาติและเหตุการณ์ที่เกิดจากมนุษย์  

ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนนโยบายและการตอบโต้ด้วยกำลังทางการทหาร ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่นานาชาติยังคงจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายกอังกฤษไม่ขอวิจารณ์จีน หลังฮ่องกงจำคุก แก๊งโจชัว หว่อง หวั่นกระทบเศรษฐกิจ

(21 พ.ย. 67) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ปฏิเสธที่จะกล่าววิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินจำคุกนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย 45 คนในฮ่องกง ที่ศาลฮ่องกงมีคำตัดสินเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยผู้นำอังกฤษให้เหตุผลว่าการแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาควรเกิดขึ้นในที่ส่วนตัว เพื่อไม่ให้กระทบต่อเป้าหมายการสร้าง "ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด" กับจีน  

รายงานระบุว่าสตาร์เมอร์ อยู่ระหว่างการร่วมประชุม G20 ที่ประเทศบราซิล และได้มีโอกาสหารือกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง โดยนายกอังกฤษยอมรับว่า เขาได้พูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับผู้นำจีน เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง อย่างไรก็ตาม เขาเลือกที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวต่อสาธารณะ

ในระหว่างการแถลงข่าว เมื่อถูกถามโดย Financial Times ว่าจะประณามการกวาดล้างผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำ "การล้มล้าง" ในหมู่นักวิชาการ นักข่าว และนักการเมืองในฮ่องกงหรือไม่ สตาร์เมอร์ปฏิเสธและกล่าวว่า

"ในประเด็นที่เรามีความเห็นต่าง เราได้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับที่เราทำเมื่อวานเกี่ยวกับฮ่องกง สิ่งงที่ผมไม่ทำคือสูญเสียโอกาสสำหรับเศรษฐกิจของเราในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่ดีขึ้น ผมต้องการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพราะจีนเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พูดถึงความแตกต่างเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือแนวทางที่ผมใช้ และจะใช้ต่อไป"  

การประชุมแบบตัวต่อตัวระหว่างสตาร์เมอร์และสีในริโอเดจาเนโรเมื่อวันจันทร์ ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำอังกฤษได้พบกับประธานาธิบดีจีนอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีของอังกฤษที่เปิดกว้างมากขึ้นต่อปักกิ่ง  

ความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนเย็นชาลง ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ พบกับสีในปี 2018 ต่อมาภายใต้การนำของริชี ซูนัค ความสัมพันธ์ยังคงตึงเครียด โดยสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวต่อจีน 

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่พรรคแรงงานเข้ามาบริหารในเดือนกรกฎาคม รัฐบาลใหม่ได้มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับจีนมากขึ้น โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ เดวิด แลมมี ได้เดินทางเยือนจีนแล้ว และมีแผนที่ทั้งสตาร์เมอร์และรัฐมนตรีการคลังราเชล รีฟส์ จะเดินทางไปในปีหน้า    

สตาร์เมอร์ยังเน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและจีนควรปราศจาก "ความคลางแคลงใจ" และกล่าวถึงการเปิด "บทสนทนาใหม่" กับปักกิ่งในเรื่องอื่นที่ท้าทายร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม เซอร์เอียน ดันแคน สมิธ อดีตหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม ได้วิจารณ์ท่าทีของสตาร์เมอร์ที่ไม่แสดงจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์จีนในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า "เขาและรัฐบาลของเขาหมกมุ่นกับการค้าเสียจนพร้อมจะมองข้ามความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น"

‘ชัช เตาปูน’ เตรียมแจกข้าวสาร 23 พ.ย.นี้ สืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติที่แจกมาตั้งแต่ปี 2522

เมื่อวันที่ (21 พ.ย. 67) นายชัชวาลล์ คงอุดม หรือชัช เตาปูน สส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ  ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ระบุว่า ขอเชิญพี่น้องทุกท่านมารับข้าวสารจาก "ชัช เตาปูน"  ในวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2567 ณ ตลาดคงอุดม ตั้งแต่เวลา 13.00 น. - 15.00 น.  แล้วพบกันครับ

สำหรับธรรมเนียมการแจกข้าวของ นายชัชวาลล์  เริ่มมาตั้งแต่ปี 2522 จนถึงปี 2566 รวม 44 ครั้ง ในปีนี้จะเป็นครั้งที่ 45 และเคยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการแจกข้าวสารว่า ตนตั้งใจถ้ามีเงินว่าจะแจกข้าวสารในวันเกิด พอดีในงานวันเกิดปี 2522 แขกที่มาในงานขอให้ร้องเพลงให้ฟัง 1 เพลงเขาจะบริจาค 50 กระสอบ ซึ่งก็ตรงกับที่เราอยากจะทำ ก็เลยร้องเพลงเขาก็บริจาคมาอีก 50 กระสอบ ส่วนโต๊ะข้าง ๆ ให้มาอีก 150 กระสอบ จึงแข่งกันแจก ในปีนั้นซื้อข้าว 1,700,000 บาท ได้มาจำนวน 40,000 ถุง จึงจัดเป็นประเพณีแจก 40,000 ถุงมาตลอด แต่ในปี 2566 ที่ผ่านมาเหลือเพียง 20,000 ถุง นั่นเพราะตั้งแต่ปี 2550 ราคาข้าวเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จาก 50  เป็น 80 บาท จาก 70 เป็น 130 บาทต่อถุงละ 5 กิโลกรัม จึงใช้เงินซื้อไป 4.3 ล้านบาท ตั้งแต่วันนั้นจึงคิดทำนาเองดีกว่า

"จึงทำนามาตั้งแต่ปี 51 และทำต่อเนื่องมา แจกข้าวมารวมครั้งนี้ 44 ปีตั้งแต่ปี 2522 ซึ่งเป็นความตั้งใจของผมตั้งแต่แรกจึงไม่ติดค้าง ต้องทำทุกปี พอไม่ทำก็ไม่สบายใจ ในช่วงโควิดก็เอาไปแจกเยอะ ใครเดือดร้อนก็นำไปแจก อย่างน้อยมีข้าวกินก็ยังดี และผมก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ" นายชัชวาลล์ กล่าว

"การโจมตียูเครนไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือของ วลาดิมีร์ ปูติน ตามที่เราเข้าใจกันทุกวันนี้"

ศ.เจฟฟรี่ แซคส์ ศาสตราจาร์ยด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

(21 พ.ย. 67) ศ.เจฟฟรี่ แซคส์ ศาสตราจาร์ยด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวในตอนหนึ่งของงานเสวนาที่จัดขึ้นโดยสมาคมโต้วาที Cambridge Union Society ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีตอนหนึ่งที่ศ.แซคส์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในยูเครนว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นในยูเครนทุกวันนี้ ไม่ใช่ฝีมือของวลาดิมีร์ ปูติน ในแบบที่เราได้ยินกันมา

แซคส์ อธิบายว่า ย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็นช่วงที่เยอมนีตะวันออกและตะวันตกยังคงแบ่งแยก นายมิคฮาอิล กอบาชอฟ ผู้นำโซเวียตในเวลานั้นเห็นพ้องที่จะยุติ ภาวะตึงเครียมของชาติมหาอำนาจสองฝ่าย จึงยอมให้มีการควบรวมชาติเยอรมนีขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรจะไม่ขยายขอบเขตอิทธิพลของตนในยุโรปมากขึ้น 

กระทั่งในช่วงยุคปี 1994 ประธานาธิบดีบิล คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ได้ลงนามคำสั่งขยายอิทธิพลของนาโต้ในยูเครนหรือที่เรียกว่าคำสั่ง 'neocons took power' 

หลังจากนั้นในปี 1999 นาโต้เริ่มขยายตัวมากขึ้นผ่านการเริ่มเข้าไปมีบทบาทในโปแลนด์ ซึ่งในปีเดียวกันนี้ โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และฮังการี เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต้ จากนั้นสหรัฐเริ่มเข้าไปมีบทบาททางการเมืองในเซอร์เบียปี 1999 ส่งทหารเข้าไปเซอร์เบียเพื่อจัดการความขัดแย้งภายใน แสดงให้เห็นถึงการรุกคืบของอิทธิพลของสหรัฐผ่านนาโต้ที่ค่อยๆประชิดยุโรปตะวันออกมากขึ้นเรื่อยๆ

ศ.แซคส์ อธิบายต่อว่า ปูตินเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกช่วงปี 2000 ในขณะนั้นเขายังมีจุดยืนสนับสนุนนาโต้และสนับสนุนสหรัฐ ถึงขึ้นที่อาจจะนำรัสเซียร่วมเป็นพันธมิตรนาโต้ กระทั่งปี 2002 ถึงจุดที่ทำให้ปูตินต้องเปลี่ยนความคิด หลังจากที่สหรัฐถอนตัวออกจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ซึ่งทำให้สหรัฐสามารถนำขีปนาวุธเข้าไปในยุโรปตะวันออกมากขึ้น ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นภัยคุกคาม

ในปี 2009 วิกเตอร์ ยานูโควิช ขึ้นเป็นประธานาธิบดียูเครน เขามีนโยบายเป็นกลางที่ทำให้ยูเครนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งมีส่วนบรรเทาความตึงเครียดในยุโรปตะวันออกลงเนื่องจากชาวยูเครนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการให้เข้าร่วมนาโต้

ต่อมาในปี 2014 สหรัฐมีความพยายามอย่างหนักในการแทรกแซงยูเครนเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดียานูโควิช เพื่อหวังขยายอิทธิพลของนาโต้ในยุโรปตะวันออก ซึ่งในเวลานั้นเป็นผลให้รัสเซียตัดสินใจรุกคืบยุโรปกลับด้วยการประกาศผนวกคาบสมุทรไครเมียในปีเดียวกัน

แซคส์อธิบายต่อว่า ในวันที่ 15 ธันวาคม 2021 ปูตินได้ร่างข้อตกลงความมั่นคงรัสเซีย-สหรัฐ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหรัฐกับรัสเซียจะให้คำมั่นว่าต่างฝ่ายจะไม่ขยายอิทธิพลของตนในยุโรปตะวันออก เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามในยูเครน แต่ทำเนียบขาวภายใต้การนำของรัฐบาลโจ ไบเดน ปฏิเสธการเจรจาข้อตกลงดังกล่าว 

ศาสตราจารย์จากฮาร์วาร์ดอธิบายว่า ที่ผ่านมาผู้นำรัสเซียพยายามหลีกการเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจ แต่สหรัฐกลับเป็นฝ่ายขยายอิทธิพลในยุโรปตะวันออกเสียเองโดยผ่านทางนาโต้ ซึ่งผลสุดท้ายคือการบีบให้ผู้นำรัสเซียต้องทำสงครามกับยูเครนในที่สุด

ฮิวแมนไรท์วอชประณามสหรัฐฯ ส่ง 'ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล' ให้ยูเครน ละเมิดสนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดปี 1997

(21 พ.ย. 67) แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ 2 รายเผยกับวอชิงตันโพสต์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติการส่งมอบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไปยังยูเครน ซึ่งการอนุมัติดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดสนธิสัญญาห้ามใช้กับระเบิด ปี 1997 

แมรี่ วาเรแฮม รองผู้อำนวยการฝ่ายวิกฤตความขัดแย้งและอาวุธ ของฮิวแมนไรท์วอช กล่าวว่า “การตัดสินใจของประธานาธิบดีไบเดนในการมอบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น มีความเสี่ยงต่อชีวิตพลเรือน และขัดขวางความพยายามของนานาชาติในการกำจัดอาวุธเหล่านี้... สหรัฐฯ ควรทบทวนการส่งมอบดังกล่าว ซึ่งรั้งแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้พลเรือนได้รับลูกหลงจากกับระเบิดและต้องทนทุกข์ทรมาณในระยะยาว"

แหล่งข่าวยังเผยว่า รัฐบาลสหรัฐคาดหวังให้ยูเครนใช้อาวุธนี้ เฉพาะในเขตเเดนยูเครนที่ไม่มีพลเรือนอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ฮิวแมนไรท์วอช มองว่าไม่มีอะไรการันตีได้ว่า กองทัพยูเครนจะใช้ทุ่นระเบิดดังกล่าวในพื้นที่ไร้พลเรือนตามที่สัญญา

“การยอมรับและใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคล ถือเป็นความเสี่ยงที่ยูเครนจะละเมิดสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิดเพิ่มเติม” แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอชระบุ  

ด้านโฆษกทำเนียบเครมลิน ดมิทรี เปสคอฟ กล่าวว่า ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ารายงานเกี่ยวกับการอนุมัติของไบเดนในการส่งกับระเบิดไปยังเคียฟเป็นความจริงหรือไม่ แต่ไม่ได้ตัดความเป็นว่ารัฐบาลสหรัฐที่ใกล้หมดวาระกำลังรีบเร่งดำเนินการบางอย่าง

ที่ผ่านมา ทางการรัสเซียย้ำหลายครั้งว่าการส่งอาวุธให้ยูเครนเป็นการขัดขวางการยุติความขัดแย้ง และถือเป็นการที่ประเทศในนาโต้เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง

สำหรับสนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิด ได้รับการลงนามในปี 1997 ที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา โดยปัจจุบันมีชาติที่ร่วมลงสัตยาบันไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแล้วกว่า 164 ชาติทั่วโลก 

“อยากจะให้ทนายเดชา เข้ามาเป็นทนายความให้กับทนายตั้ม เพราะทนายเดชาเป็นผู้ที่มีความอาวุโส มีความสนิทสนมกับทนายตั้ม”

เมื่อวันที่ (25 พ.ย. 67) นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความดูแลคดีให้นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ซึ่งเป็นภรรยาของทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชน ว่า ตนไม่มีทางที่จะรับว่าความให้กับทนายตั้มอย่างแน่นอน เพราะมีการประชุมพูดคุยร่วมกับทนายสายหยุดแล้ว รวมถึงเห็นหลักฐานว่า ถึงต่อสู้ไปก็ไม่มีทางชนะคดี

ส่วนสาเหตุที่ทนายตั้มยังยืนยันว่าจะขอต่อสู้คดีนั้น ตนมองว่าน่าจะมี 2 กรณี อย่างแรกคือทนายตั้มยังคงมั่นใจว่าจะสามารถชนะคดีได้ และกรณีที่ 2 คือทนายตั้มน่าจะรอให้คดีถึงชั้นศาล แล้วค่อยเจรจากับมาดามอ้อย

ซึ่งตนมีความเห็นว่าอยากจะให้ทนายเดชา เข้ามาเป็นทนายความให้กับทนายตั้ม เพราะทนายเดชาเป็นผู้ที่มีความอาวุโส มีความสนิทสนมกับทนายตั้ม

ทนายอาคมยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า ตนเป็นทนายความให้กับภรรยาของทนายตั้มในเฉพาะชั้นสอบสวนเท่านั้น ทันทีที่คดีถึงชั้นศาลตนจะยุติการเป็นทนายความทันที เพราะเชื่อว่ามีคนอื่นที่เหมาะสมกว่าตน

และเชื่อว่าลูกความของตน ไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องเงินที่ทนายตั้มฉ้อโกงเงินมาดามอ้อยมาซื้อบ้าน จึงได้ให้คำแนะนำให้ลูกความของตนคืนบ้านและโฉนดที่ดินให้กับมาดามอ้

แต่ทางทนายตั้มไม่ยินยอม ทำให้ลูกความของตนไม่สามารถทำได้ เพราะผู้ต้องหา 2 คน มีการจดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งสินสมรสจำเป็นต้องมีการยอมความทั้งสองฝ่าย ขณะนี้ตนได้มีการยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 500,000 บาท เพื่อใช้ประกันตัว ซึ่งศาลอยู่ระหว่างการพิจารณา

‘พล.อ.ณัฐพล’ เผย เดินหน้าฟื้นฟูแม่สาย เฟส 2 เล็งเสนอจัดทำแผนระบายน้ำ – พื้นที่รับน้ำ แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

(26 พ.ย. 67) พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม  ( ศปช. ) ให้สัมภาษณ์รายการ สถานีประชาชน ช่อง ThaiPBS ความคืบหน้าการฟื้นฟู อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังประสบสถานการณ์น้ำท่วม โคลนถล่ม ในเฟสแรกมีการส่งมอบพื้นที่ให้ท้องถิ่น 3 แห่ง ได้แก่ เทศบาลตำบลแม่สาย เทศบาลตำบลเวียงพังคำ และเทศบาลตำบลแม่สายมิตรภาพ การฟื้นฟูเฟสที่ 2 เป็นเรื่องของการฟื้นฟูการประกอบอาชีพ พร้อมกับการวางแผนการแก้ไขปัญหาสำคัญ อย่างการสร้างพนังกั้นน้ำ และการขยายลำคลอง 

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า การที่ทำงานสำเร็จ ไม่ใช่เฉพาะทหาร แต่เป็นทุกหน่วยงานราชการร่วมกัน ก่อนมีการตั้ง ศปช.ส่วนหน้า ทุกหน่วยงานก็เข้าพื้นที่ที่ได้รับการประสานงานขอความช่วยเหลือ ตามความพร้อมของแต่ละหน่วยงาน เมื่อตั้ง ศปช.ส่วนหน้าแล้วนั้น ก็มาวางแผนว่า จะดำเนินการอย่างไรให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดได้ ตามภารกิจที่น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธาน ศปช. มอบหมายมาให้ ต้องมีการกำกับติดตาม จึงแบ่งพื้นที่ออกเป็น 5 พื้นที่ และกำหนดหัวหน้ารับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ และให้มีการส่งไทม์ไลน์การทำงานตามกรอบสิ้นเดือนตุลาคม ตามที่ประสาน ศปช.กำหนด แต่ละพื้นที่จดำเนินการอย่างไร เมื่อพื้นที่ไหน ไม่เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่เสนอมา ก็จะมีการประชุมกันทุกวัน เพื่อสรุปงานแต่ละวัน เพื่อหาข้อสรุปปัญหาการเสร็จไม่ตามกำหนดที่เสนอมาของแต่ละพื้นที่ ถ้ามีปัญหา ไม่ว่าจะ คน เครื่องมือ ก็จะส่งเพิ่มเติมให้ พร้อมกับการสนับสนุนของ ประธาน ศปช. การทำงานแต่ละพื้นที่ก็เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนด 

วิธีการทำงานของ พล.อ.ณัฐพล ในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ ได้รับการพูดถึงจากประชาชนที่ได้เห็นการทำงานในพื้นที่อยู่ตลอด ทำการสั่งการหน้างาน พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า การที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทุกวัน ได้ประโยชน์หลายอย่าง อย่างแรก ได้กำกับติดตามงาน ให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนด ทำให้สามารถประเมินได้ว่าหน้างานที่เห็น จะเป็นไปตามไทม์ไลน์ไหม  และเห็นปัญหาหน้างานที่แท้จริง ไม่ต้องรอการรายงานขึ้นมา อย่างที่สอง ทำให้สามารถเยี่ยมเยียนผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ปฏิบัติหน้าที่ เพราะถือว่าการให้กำลังใจคนทำงาน ที่ประหยัดที่สุด คือการเยี่ยมเยียน

การทำงานที่ผ่านมา มีการคงกำลังพลในการปฏิบัติงาน 1,700 นาย ศปช.ส่วนหน้ารักษาระดับกำลังพลอย่างน้อย 1,100 นาย ในพื้นที่ ส่วนที่เหลือให้มีการหมุนเวียนสลับกันไปพัก กำลังหลักมาจากหน่วยทหารในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งบ้านกำลังพลก็ประสบเหตุน้ำท่วมเช่นกัน ทำให้ต่างก็มีความกังวลบ้านของตน ก็ต้องใช้วิธีการให้กำลังใจตรวจเยี่ยมในทุกๆวัน และให้หมุนเวียนกลับไปดูแลบ้านของตน และกำชับผู้บังคับบัญชาในแต่ละกองทัพ ให้ดูแลบ้านของกำลังพลที่มาทำงาน จึงทำให้มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานต่อเนื่องจนจบภารกิจ 

ส่วนในการดูแลเฟสที่ 2 หลังจากส่งมอบพื้นที่ในการฟื้นฟูแล้วนั้น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า  หลังจากส่งมอบพื้นที่แล้ว ทางรัฐบาลทำการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาการแก้ปัญหาในปีหน้า ในส่วนของการทำงานก็ยังติดตามการแก้ปัญหาต่อไป ทั้งในเรื่องการฟื้นฟูเฟสที่ 2 การป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในปีต่อไป ไม่ได้ทอดทิ้งประชาชน เพียงแต่กลับมาร่วมประชุมกับหน่วยงานในส่วนกลางเพื่อเตรียมการในปีหน้า 

ในส่วนการทำงานปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพล ที่เรียกว่าเป็นจิตอาสาเต็มรูปแบบ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในปัจจุบัน กองทัพมีการปลูกฝังกำลังพล ในเรื่องของการเป็นจิตอาสา ทุกระดับ จนถึงนักศึกษาวิชาทหาร มีการอบรมเรื่องนี้มา เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สามารถช่วยประชาชนได้ ก็พร้อมช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยก 

ในส่วนของกลาโหม ในการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า จากตรวจเยี่ยมพื้นที่ทุกวัน ก็มีการสอบถามพูดคุยความเห็นจากประชาชน โดยมีความเห็นว่า ลำน้ำแม่สาย แต่เดิม ลึก 5 เมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 1.5 เมตร  จึงเป็นสาเหตุให้มวลน้ำเอ่อล้นเข้าบ้านเรือน เขตชุมชน จงึต้องทำการขุดลอกลำน้ำ ทาง  พล.อ. ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ได้ประสานงานกับทางประเทศเมียนมาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และได้รับการตอบรับสนับสนุนในการขุดลอกลำน้ำครั้งนี้  ต่อมา จะเป็นในเรื่องของการสร้างเขื่อน ด้วยลำน้ำแม่สาย มีช่วงลำน้ำหลายจุด ที่พัดเข้าสู่ฝั่งประเทศไทย ทำให้เกิดการกัดเซาะตลิ่ง รวมทั้งต้องวางแผนในการทำพื้นที่ระบายน้ำ พื้นที่รับน้ำ ด้วยพื้นที่แม่สายเป็นลักษณะแอ่งกระทะ ทำให้เอื้อต่อการเกิดน้ำท่วม จึงต้องวางแผนจัดทำพื้นที่ระบายน้ำ พื้นที่รับน้ำ 

สำหรับการถอดบทเรียนในเหตุการณ์น้ำท่วมแม่สายนั้น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ทางกองทัพ หลังจากนี้ทางกองทัพจะจัดหายุทโธปกรณ์อะไรมาเพิ่มเติม ทางกลาโหมมีคน ทางมหาดไทยมีเครื่องมือ อนาคตอาจจะมีการทำความร่วมมือระหว่างกันในการทำงาน  รวมทั้งให้มีการจัดทำบัญชีภาคเอกชนและจิตอาสาที่เข้ามาร่วมภารกิจ เพราะหลายๆทีมมีประสบการณ์ หากมีเหตุการณ์จะได้ประสานงานเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top