Saturday, 15 February 2025
News

'อิมาน คาลิฟ' กำปั้นเหรียญทองหญิงโอลิมปิก มีโครโมโซม XY - อัณฑะภายใน

(5 พ.ย. 67) ผลตรวจเพศของอิมาน คาลิฟ นักมวยหญิงเหรียญทองโอลิมปิก 2024 จากแอลจีเรีย ถูกเปิดเผย โดยพบว่าเธอมีโครโมโซม XY และมีอัณฑะภายในซึ่งบ่งบอกถึงเพศชาย 

คาลิฟเป็นหนึ่งในนักมวยสองคนที่มีประเด็นเกี่ยวกับการตรวจเพศสภาพ ร่วมกับหลิน อวี้ถิงจากไต้หวัน ซึ่งทั้งคู่เคยถูกริบเหรียญรางวัลจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี 2023 ที่จัดโดยสมาคมมวยนานาชาติ (ไอบีเอ) เนื่องจากไม่ผ่านการตรวจเพศสภาพ แต่ในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ทั้งสองสามารถร่วมแข่งขันได้ตามปกติ

ก่อนหน้านี้ คาลิฟ วัย 25 ปี สามารถเอาชนะนักชกชาวจีน หลิ่ว ไปด้วยคะแนนขาดลอย 5-0 เสียง ในรอบชิงชนะเลิศมวยสากลสมัครเล่น รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 66 กิโลกรัมหญิง คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมสปารีสไปครอง ขณะที่ในรอบรองชนะเลิศ คาลิฟ ยังชนะ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักมวยชาวไทย เพื่อผ่านเข้ารอบชิง ขณะที่จันทร์แจ่ม จบการแข่งขันด้วยการคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันโอลิมปิก

อย่างไรก็ตาม เรื่องเพศที่แท้จริงของคาลิฟ ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม แม้เจ้าตัวยืนยันว่าเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เกิด โดยล่าสุด เดฟเฟ อัล อัลเดีย ผู้สื่อข่าวชาวฝรั่งเศสได้เปิดเผยเอกสารผลตรวจเพศจากโรงพยาบาลในฝรั่งเศสและแอลจีเรีย ผ่านนิตยสารรีดักซ์

เอกสารแสดงว่า คาลิฟ มีโครโมโซม XY ซึ่งเป็นโครโมโซมของผู้ชาย รวมถึงมีอัณฑะภายใน, องคชาตขนาดเล็ก และไม่มีมดลูก อาการนี้เกิดจากภาวะขาดเอนไซม์ 5-alpha reductase ทำให้เมื่อแรกเกิด คาลิฟ ถูกกำหนดให้เป็นเพศหญิงโดยพิจารณาจากอวัยวะเพศภายนอก

จากเอกสารดังกล่าว คาลิฟเคยถูกแบนจากการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2023 ของไอบีเอมาแล้ว

‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เปิดศึกท้ารบ ‘ทนายเดชา’ เหตุเชื่อว่า ลึก ๆ แอบฟอกขาวช่วย ‘ทนายตั้ม’

(5 พ.ย. 67) คลิปบางช่วงบางตอน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ประกาศชักธงพร้อมรบกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เนื่องจากรู้สึกว่า การที่ทนายเดชา ไลฟ์เฟซบุ๊ก พูดเรื่องคดีมาดามอ้อย ตั้งข้อสังเกต เรื่องเงิน 71 ล้านบาท ทำไมถึงเพิ่งออกมาร้องเรียน บอกว่า สอบปากคำมาหลายครั้ง ไม่มีหมายจับ คดีจะหมดอายุความ นายสนธิ มองว่า ทนายเดชา ออกมาปั่นกระแส เพื่อให้คนหลงทิศ และลึก ๆ ก็เชื่อว่าช่วยทนายตั้ม

ทนายเดชา ได้มาร่วมออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 (วานนี้) ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยฟอกขาวให้ทนายตั้ม สาเหตุที่ นายสนธิ พาดพิงถึงอาจจะไม่พอใจที่ความเห็นไม่ตรงกัน พร้อมให้ตรวจสอบทุกกรณีว่า ไม่มีเรี่องสีเทา ยกเว้นปริมาณแอลกอฮอล์

'น้าหงา' เขียนถึงพฤติกรรม ‘ฝรั่งนักล่าอาณานิคม’ รุกราน - ปล้นชิงเอาสิ่งมีค่า ฝากความยุ่งยากถึงทุกวันนี้

เมื่อวันที่ (5 พ.ย.67) ‘น้าหงา สุรชัย จันทิมาธร’ ศิลปินแห่งชาติ โพสต์ข้อความว่า คิด ๆเขียน ๆ ไปงั้นแหละครับ ในยุคล่าอาณานิคมที่คนส่วนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าคนอารยะ พวกเขาอยู่ในความคิดที่ว่าต้องถือครองโลกเก่า ๆ ใบนี้ไว้ในอุ้งมือ ด้วยพละกำลังศัสตราวุธที่เหนือกว่า จึงเกิดการยึดครองแผ่กระจายไปทั่วทุกทวีปของโลก ไม่เว้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบบประเทศเราและเพื่อนบ้านแวดล้อมเพราะเนื่องมาจากอุดมสมบูรณ์ เขียวชอุ่มไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ นิสัยใจคอของผู้มีอำนาจเหล่านี้มักจะภูมิอกภูมิใจตนเองในนาม 'ผู้พิชิต' หรือนักล่า ล่าทาส ล่าสัตว์ล่าคน ปล้นชิงเอาสิ่งมีค่าแร่ธาตุต่าง ๆ นานา

ทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาลจึงถูกพิชิตอย่างราบคาบในนามนักทำลายที่มีนามว่ามนุษย์ผู้เจริญกว่ากระทำต่อผู้ที่เจริญน้อยกว่า ซึ่งความจริงที่ถูกต้องที่สุดก็คือเจ้าของบ้าน เจ้าของถิ่นที่อยู่อาศัยทำมาหากินมาจนชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง ยกตัวอย่างคร่าว ๆ ก็จะมีให้เห็นเป็นต้นว่าอเมริกาเหนือ~ใต้ก็จะกลุ่มชนอินเดียนหรือที่เราเรียกว่าอินเดียนแดง ทวีปแอฟริกามีคนพื้นเมืองผิวดำ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีกลุ่มพม่าไทยลาวเวียดเขมรและชนกลุ่มย่อยมากมายหลายหลาก คนที่มาทำแผนที่แบ่งเขตแดนแถบนี้ก็เป็นผู้มีอารยะชาวฝรั่งเศสมากำหนดประเทศใหม่กลายเป็นแผนที่ที่ใช้อยู่จนปัจจุบัน และไทยกลายเป็นประเทศไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเราเสียแผ่นดินหรือราชอาณาจักรไปไม่ใช่น้อยหลายแขวงหลายเมือง แม้กระทั่งแม่น้ำโขงมวลแก่งหมู่เกาะก็หาใช่ของเราไม่

ภาพนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างการพิชิตต้นไม้ซึ่งอาจจะเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น มันเกิดขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.18 ต้น ๆ ที่ทวีปอเมริกาเหนือหรือที่ใดที่หนึ่งก็จำไม่แจ่มชัด เพียงเป็นเรื่องอุทาหรณ์สอนใจว่าการเป็นผู้พิชิตของวีรบุรุษในอดีตอาจเป็นค่านิยมที่ผิดพลาด มีผลกระทบต่อโลกใบนี้อย่างที่พวกเขาไม่ได้คาดการณ์และมองไม่เห็นมาก่อน

สำหรับพวกเขาในตอนนั้น มันเท่ สำหรับเราในตอนนี้ ไม่น่าเลย

‘อนุสรณ์ อุณโณ’ นักวิชาการ มธ. คว้ารางวัลวิจัยดีเด่น จากผลงานวิจัย ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา : ขบวนการเยาวชนไทยฯ’

(6 พ.ย. 67) รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คว้ารางวัล ‘ผลงานวิจัยดีเด่น สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2567’ จากผลงานวิจัย ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา: ขบวนการเยาวชนไทยในบริบทสังคมและการเมืองร่วมสมัย’ เป็นงานวิจัยที่รวบรวมเส้นเรื่อง ปัจจัยการก่อตัว แนวทางการเคลื่อนไหว ฯลฯ เปรียบได้กับการบันทึกประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในปี 2563 ที่ค่อนข้างละเอียดครอบคลุม โดยนักวิชาการ 5 คน ประกอบด้วย อนุสรณ์ อุณโณ, สามชาย ศรีสันต์, เสาวนีย์ ตรีรัตน์ อเลกซานเดอร์, อสมา มังกรชัย และ ชัยพงษ์ สำเนียง

ขณะที่ ผลงานวิจัยดังกล่าว ยังถูกนำมาปรับปรุงเป็นหนังสือ ในชื่อเดียวกัน คือ ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา” : ขบวนการเยาวชนไทยในบริบทสังคมและการเมืองร่วมสมัย” โดยเป็นการศึกษาว่า “ขบวนการเยาวชนไทย” ในปัจจุบันก่อตัวขึ้นบนเงื่อนไขปัจจัยอะไร ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยใคร มีมูลเหตุและแรงจูงใจอะไร ขณะเดียวกันก็ศึกษาว่าพวกเขาจัดรูปองค์กรการเคลื่อนไหวในลักษณะใด ในการสร้างเครือข่ายอย่างไร เสนอข้อเรียกร้องอะไร อาศัยกลวิธีใดในการเคลื่อนไหว และได้รับการตอบสนองอย่างไรทั้งจากรัฐและสังคม

นอกจากนั้น ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา’ ยังเป็นประโยคบอกเล่าที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งของสังคม ของบ้านเมือง ได้ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ ถึงเรื่องราวและบริบททางการเมืองและสังคม อันเป็นแรงจูงใจในการชุมนุมเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษาและเยาวชน ที่ขยายตัวอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา โดยการใช้คำพูดนี้ในการประกาศรวมตัวกันเรียกร้องดังที่ปรากฎ “อย่าให้เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นเรื่องของลูกหลานเรา ที่ต้องมาเรียกร้องความยุติธรรมอย่างไม่จบสิ้น…ให้มันจบในรุ่นของพวกเรา…”

หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่าน ‘ทนายวิชัย ทองแตง’ เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิด สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชียล! ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

(7 พ.ย. 67) นายประกิจ เพชรรัตน์ อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า วันนี้ผมมีเวลาหยิบหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่านทนายวิชัย ทองแตง “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” ซึ่งได้อ่านมา 2-3 รอบแล้ว เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิดให้กับผู้สนใจในบางตอน สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชี่ยล! ซึ่งสร้างความสั่นคลอนและเป็นหลุมดำกระทบภาพลักษณ์และวิกฤตศรัทธาของประชาชน สังคม ต่อองค์กรสภาทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนครับ!!

สำหรับ “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” มาจากหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อ จากทนายความมือทอง สู่เซียนหุ้นหมื่นล้าน  ‘ลงทุนสไตล์ วิชัย ทองแตง’ ไขรหัสลับสู่ความสำเร็จ The Last Masterpieces ที่ถ่ายทอดความลับ การลงทุนหมื่นล้าน! ของ ‘คุณวิชัย ทองแตง’ เจ้าของฉายานักเทคโอเวอร์หมื่นล้าน นักลงทุนหุ้น เทิร์นอราวด์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยติดอับดับมหาเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัปให้เติบโต จนได้ฉายาใหม่ว่า ‘godfather of startup’ หรือแปลเล่น ๆ ว่า ‘พ่อทูนหัว’ ของวงการสตาร์ตอัปนั่นเอง

สหรัฐเตรียมคืนโบราณวัตถุบ้านเชียง กรมศิลปากรจัดงานรับมอบวันที่ 14พ.ย.นี้

(7 พ.ย. 67) สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานยูเนสโกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ณ กรุงเทพฯ และกรมศิลปากร จะจัดพิธีส่งมอบโบราณวัตถุจากแหล่งมรดกโลกบ้านเชียง ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พิธีส่งมอบโบราณวัตถุบ้านเชียงและการเสวนาในโอกาสวันสากลเพื่อการต่อต้านการลักลอบค้าทรัพย์สินทางวัฒนธรรม จะจัดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 10:30 - 15:00 น. ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร

ในการนี้ ฯพณฯ โรเบิร์ต แฟรงก์ โกเด็ค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และ ฯพณฯ ราฟีค แมนซัวร์ รองผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จะทำพิธีส่งมอบโบราณวัตถุแก่ ฯพณฯ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ซูฮย็อน คิม ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโกภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ เป็นสักขีพยาน พร้อมกับมีการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสอบถามข้อมูล

นอกจากนี้ ภายในงานทางยูเนสโกได้จัดการเสวนาผู้เชี่ยวชาญเนื่องในวันสากลเพื่อการต่อต้านการลักลอบค้าทรัพย์สินทางวัฒนธรรม โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย พิพิธภัณฑ์ และองค์กรนานาชาติ มาร่วมพูดคุยถึงความท้าทายและแนวทางแก้ไขปัญหาการลักลอบค้าโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันอาชญากรรมดังกล่าว

ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศิลปากร และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน จากนิวยอร์ก จะร่วมกันอภิปรายในประเด็นกรอบกฎหมาย ความร่วมมือระหว่างประเทศ และหลักการซื้อขายอย่างมีจริยธรรมในตลาดศิลปวัตถุและโบราณวัตถุ

รร.นานาชาติโชรส์เบอรี เปิดอาคารใหม่ ซิตี้แคมปัสสร้างสิ่งแวดล้อมเป็นครู

(7 พ.ย.67) โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทย ประกาศเปิดตัวอาคารเรียนส่วนต่อขยายเพื่อการรองรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล (Early Year) วัย 2-5 ปี อย่างเป็นทางการที่สาขาซิตี้แคมปัส ใจกลางย่านสุขุมวิท-พระราม 9 เพื่อรองรับความต้องการสมัครเรียนของนักเรียนระดับวัยอนุบาลที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย 

โดยโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เป็นโรงเรียนหลักสูตรอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกิจกรรมต่างๆ และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้มาตรฐานระดับโลก เปิดรับนักเรียนตั้งแต่อายุ  2-11 ปี

อแมนดา เดนนิสัน ครูใหญ่และครูผู้บริหารรุ่นก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมบัส กล่าววว่า ปัจจุบันโรงเรียนตั้งเป้ารับนักเรียนวัยอนุบาลเพิ่มเป็น 232 คนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 33% จากแผนเดิม ซึ่งส่วนต่อขยายนี้เป็นการรองรับความต้องการของผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาที่โรงเรียนมาขึ้น ด้วยความโดดเด่นของโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานการเรียนรู้ที่แข็งแกร่งแก่เด็กนักเรียนตั้งแต่ยังเล็ก เรามีการออกแบบหลักสูตรที่ให้เด็กเป็นผู้นำการเรียนรู้ บรรยากาศภายในห้องเรียนจึงเน้นการเรียนและเล่นอย่างผสมผสาน สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนเชิงบวกให้กับเด็กครบทุกด้าน

นางอแมนดา ยังกล่าวอีกว่า ในเชิงการออกแบบอาคารมีการคำนึงถึงการสร้างแวดล้อมแห่งการเรียนรู้เป็นพิเศษ โดยได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด 'Environment as the Third Teacher' หรือการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เป็นครูคนที่สามแก่เด็กๆ ช่วยส่งเสริมกระตุ้นการเรียนรู้และความยากรู้อยากเห็นของเด็กตามธรรมชาติ

สร้างบรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลาย มีความสุขพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โรงเรียนจึงได้สร้างอาคารขึ้นมาอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อให้เด็กเล็กใช้เท่านั้น ทั้ง ห้องเรียน เฟอร์นิเจอร์ สิ่งของต่าง ๆ รวมถึงต้นไม่และสวนโดยรอบอาคาร ได้รับการออกแบบจัดวางอย่างเหมาะสมแก่เด็ก ๆ นอกจากนั้นยังมี Early Years Hub ซึ่งเป็นพื้นที่ตรงกลางเชื่อมต่อห้องเรียนเข้ากันอย่างกลมกลืน ไม่มีระเบียงกั้นทางเดินเหมือนกับโรงเรียนโดยทั่วไป เพื่อให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวร่างกายและใช้พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมเสริมทักษะได้อย่างอิสระ นอกจากนั้นบริเวณพื้นที่นี้ยังสามารถให้ผู้ปกครองสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กและระหว่างผู้ปกครองด้วยกันได้อีกด้วย

ด้านนางแคธเทอรีน โอคิล ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายอนุบาลและประถม กล่าวว่า โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2561 นับเป็นการขยายสาขาของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ ที่เปิดการสอนครั้งแรกในกรุงเทพตั้งแต่ปี 2546 โดยสาขาซิตี้ แคมปัส เป็นการขยายเพื่อรองรับการเรียนการสอนนักเรียนระดับก่อนอนุบาล จนถึง ระดับประถมต้น จากนั้นนักเรียนสามารถไปเรียนต่อจนถึงอายุ 18 ปีที่สาขาริเวอร์ไซด์ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย

สำหรับระบบการเรียนการสอนของสาขาซิตี้แคมปัส นางโอคิล กล่าวว่า ด้วยความโดดเด่นของทีมครูผู้สอนที่พร้อมด้วยคุณวุฒิรับรองจากกระทรวงศึกษาของประเทศอังกฤษ (UK's Qualified Teacher Status-QTS) มีการนำหลักสูตรพัฒนาเด็กเล็กของอังกฤษ Early Years Foundation Stage และแนวทางการเรียนรู้แบบ Reggio Emillia Approach มาใช้กับการสอนที่นี่ ทำให้ในแต่ละปีมีเสียงเรียกร้องจากผู้ปกครองรายใหม่อย่างต่อเนื่อง ทางโรงเรียนจึงขยายเพิ่มเติมออกมาจากอาคารหลังเดิม ด้วยเป้าหมายที่จะมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ

"ที่สำคัญเราไม่ได้เพียงแค่เตรียมความพร้อมและให้การศึกษาที่มีคุณภาพสูงแก่นักเรียนเท่านั้น แต่ยังเน้นสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงบวก ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานการเรียนรู้อันแข็งแกร่งที่จะอยู่ติดตัวเด็กๆ ต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน ภายหลังจบการศึกษาแล้ว” เดนนิสัน กล่าวทิ้งท้าย

อาคารอนุบาลหลังใหม่นี้ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์การเรียนรู้และการเล่นของเด็กนักเรียนอย่างเต็มที่ มีสวนธรรมชาติติดกับห้องเรียนทุกห้อง ตั้งแต่ระดับ Nursery ถึง EY2 นักเรียนยังได้รับสิทธิ์ใช้พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ของโรงเรียนอย่างครบครัน เช่น โรงยิม ห้องกีฬา สระว่ายน้ำขนาดใหญ่สองสระ หาดทรายจำลอง สนามฟุตบอลหญ้าธรรมชาติ และศูนย์การเรียนรู้สร้างสรรค์ของโรงเรียน ที่จัดไว้รองรับกิจกรรมด้านดนตรี ศิลปะ การออกแบบ และเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของโรงเรียนที่มุ่งเน้นคุณภาพการศึกษาที่ดีที่สุด

“ยืนยันเป็นสัจจวาจาว่า ไม่รับกระเช้าดอกไม้ ไม่รับการกราบกรานขอโทษ คุณจะคลานจากประตูบ้านพระอาทิตย์ ผมก็ไม่ให้เข้า”

สนธิ ลิ้มทองกุล
กล่าวถึงทนายเดชา กิตติวิทยานันท์
ในรายการ Sondhi Talk เมื่อ 11 พ.ย.67

ไม่รับกราบ ไม่รับกระเช้า บ้านพระอาทิตย์ปิดประตูไม่ต้อนรับ ทนายไร้ราคา

โรงเรียนสาธิต มศว. ปทุมวัน สั่งปิดเรียน 2 สัปดาห์ หลังพบเด็กป่วยโรคไอกรน - ลดเสี่ยงการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ (12 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ได้โพสต์ข้อความว่า สืบเนื่องจากการสอบสวนการระบาดกรณีพบผู้ป่วยโรคไอกรน ตั้งแต่วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2567 จนถึงปัจจุบัน จำนวนมากกว่า 2 รายขึ้นไป ภายในพื้นที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคไอกรนในโรงเรียน และตระหนักถึงความปลอดภัยของบุคลากรและนักเรียนที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าวโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน จึงเห็นสมควรให้ประกาศมาตรการและแนวทางการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

1. ปิดสถานศึกษา ระหว่างวันพุธที่ 13 - วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

2. งดใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียน ระหว่างวันพุธที่ 13 - วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

3.ให้ทุกระดับชั้นจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ

4. การมอบหมายงานของอาจารย์และการปฏิบัติงานกลุ่มของนักเรียน ต้องเป็นงานหรือกิจกรรมที่ไม่มีการมารวมกลุ่มปฏิบัติด้วยกันโดยเด็ดขาด

5. ระหว่างวันพุธที่ 13 - วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ขอให้บุคลากรปฏิบัติงาน ณ สถานที่พักอาศัยของตนเอง (Work from Home) โดยพร้อมรับการติดต่อหรือสั่งการจากผู้บังคับบัญชา ในส่วนของพนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการและสายปฏิบัติงานให้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำการ ตามวันและเวลาที่ได้รับมอบหมาย เพื่อพร้อมรับการติดต่อราชการระหว่างเวลา 08.30 - 15.30 น. ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไอกรนและโรงเรียนกำหนดอย่างเคร่งครัด

6. เปิดสถานศึกษา วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 และดำเนินการสอบกลางภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน - วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ตามปกติ

ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารที่โรงเรียนประกาศอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

‘หมอยง’ ไขข้อข้องใจ ‘ไอกรน’ ระบาด ชี้ ทางออกที่ดีที่สุดให้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

เมื่อวันที่ (13 พ.ย. 67) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กให้ความรู้ถึงโรคไอกรนที่มีการระบาด ว่า 
ไอกรน ไขข้อข้องใจ ที่มีการระบาดอยู่ขณะนี้

ข่าวที่มีการพบโรคไอกรน ในวัยรุ่น นักเรียนและมีการปิดโรงเรียน จำเป็นหรือไม่ วันนี้จะขอให้ความรู้เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง

1. โรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis เป็นโรคตั้งแต่โบราณ เรามีวัคซีนในการป้องกันและใช้ในประเทศไทยมาร่วม 50 ปี ทำให้เกิดโรค ทางเดินหายใจมีอาการ ไอเรื้อรัง โรคนี้จะเป็นอันตรายในเด็กเล็กต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 3 เดือน อาจทำให้เสียชีวิตได้ และอาจจะมีปัญหาอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้สูงอายุที่มีร่างกายอ่อนแอ ในเด็กโตและวัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่จะไม่เป็นปัญหามาก เหมือนโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่ง ที่มียาปฏิชีวนะรักษา 

2. เราใช้วัคซีนในการป้องกันโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ให้ตั้งแต่ 2 เดือนมาเกือบ 50 ปี และให้ตามกำหนดที่ 2 เดือน 4 เดือนแล้ว 6 เดือน กระตุ้นที่ขวบครึ่ง,  4 ขวบ รวมแล้วอย่างน้อย 5 ครั้ง และแนะนำให้มีการกระตุ้นอีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะผู้มีสตางค์ ที่อายุ 10-12 ปี ด้วยใช้วัคซีนรวม  โรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยักสำหรับผู้ใหญ่ จะมีราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะไอกรน สำหรับผู้ใหญ่จะเป็นชนิดที่เรียกว่า ไร้เซลล์ มีอาการข้างเคียงน้อย เราให้ความสำคัญกับคอตีบกับบาดทะยักมากกว่า ส่วนไอกรน ในผู้ใหญ่จะมีราคาแพง จึงฉีดด้วยความสมัครใจ เพราะโรคในผู้ใหญ่ไม่ร้ายแรง ยกเว้นผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีและมีร่างกายอ่อนแอเพราะโรคประจำตัว

3. วัคซีนที่ฉีดในระยะหลังนี้มี 2 ชนิด ชนิดที่ทำมาจากเซลล์ทั้งตัว และชนิดไร้เซลล์ ชนิดไร้เซลล์มีราคาแพงกว่า และอาการข้างเคียงโดยเฉพาะการเป็นไข้หลังฉีดน้อยกว่า ยาชนิดนี้จึงไม่ได้อยู่ในข้อบังคับของกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่จะให้ฟรี จึงฉีดกันเฉพาะในหมู่ผู้ที่สามารถจ่ายได้

4. ประสิทธิภาพของวัคซีนโดยรวมไม่แตกต่างกันทั้ง 2 ชนิด แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด วัคซีนที่ได้ฟรีที่ทำให้มีไข้ได้ นอกจากป้องกันโรคได้แล้ว ยังสามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อไอกรนมาที่หลอดลมทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี ส่วนวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีไข้ต่ำ จะไม่สามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อแบคทีเรีย colonization ได้ แบคทีเรียยังสามารถมาอยู่ที่คอและเพิ่มจำนวน แพร่กระจายได้ แต่ไม่ก่อโรคหรือมีการติดโรคก็มีอาการน้อยมาก ในเด็กถ้าเป็นลูกชาวบ้าน ส่วนใหญ่จะได้แบบของฟรี ส่วนเด็กที่พ่อแม่ให้ความสนใจและกลัวความเสี่ยงที่มีไข้ ก็จะฉีดชนิดไร้เซลล์ โดยเฉพาะเด็กในโรงเรียนที่มีชื่อทั้งหลาย โอกาสที่จะพบเชื้อที่คอจึงมีมากกว่า 

5. เมื่อศึกษาภูมิต้านทานต่อไอกรนที่ศูนย์ของเราทำ จะพบว่าภูมิต้านทานต่อไอกรนสูงมากใน 10 ปีแรกเมื่อหลังอายุ 10 ปีไปแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ได้ฉีดกระตุ้น ภูมิต้านทานจะลดลงโดยเฉพาะในวัยรุ่นตรวจพบภูมิต้านทานได้ประมาณร้อยละ 50 เท่านั้น แต่ในอดีตก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะโรคไม่รุนแรง

6. การตรวจหาเชื้อไอกรน ในอดีตทำได้ยากมากเพราะต้องใช้วิธีการเพาะเชื้อ และเชื้อนี้ขึ้นได้ยาก และใช้เวลาในการตรวจมาก แต่ปัจจุบันนี้การตรวจโรคทางเดินหายใจทำได้ง่ายมากใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง และสามารถทำได้ถึง  23 pathogens รวมไอกรนด้วย  แต่ราคาก็แพงมากทำเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลใหญ่ๆซึ่งมีราคาค่าตรวจประมาณ 5,000 - 6,000 บาท ในนี้จะรวมเชื้อไอกรนอยู่ด้วย ดังนั้น เด็กที่พ่อแม่มีฐานะเท่านั้น เมื่อไม่สบายเล็กน้อยก็อยากจะรู้ว่าเป็นเชื้ออะไร ก็ยอมที่จะทำการตรวจ และจากการตรวจจำนวนมาก จะได้เชื้อหลายชนิดพร้อมกัน ในการแปลผลบางครั้งยากมากว่าเป็นตัวไหนก่อโรค และการตรวจพบไอกรน ด้วยวิธีนี้ จึงง่ายมาก และเมื่อพบเชื้อแล้วก็จะตื่นเต้น ทั้ง ๆ ที่อาการน้อยมาก หรือการพบเชื้อนี้อาจจะพบ เชื้อที่เกาะอยู่ colonization โดยไม่ได้ก่อโรค หรือเป็นการพบโดยบังเอิญเชื้อก่อโรคอาจจะเป็นตัวอื่นก็ได้ และอาการของเด็กก็ไม่ได้มากมายโดยเฉพาะในเด็กโต ก็จะเกิดการตื่นตระหนก ดังนั้น ถ้ามีการตรวจกันมากก็มีค่าใช้จ่ายมาก ก็จะเจอมาก โรงเรียนที่ลูกไม่มีสตางค์ โรงเรียนวัด โรงเรียนชนบท ก็จะไม่มีโรคไอกรนระบาดแน่นอน เพราะไม่ได้ตรวจ

7. อย่างที่กล่าวมาแล้ว ครอบครัวที่สามารถจะใช้จ่ายได้ ก็จะฉีดวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีราคาแพงกว่า เพราะกลัวอาการแทรกซ้อนเรื่องไข้ ดังนั้นโอกาสที่เชื้อไอกรน จะตรวจพบได้ก็จะมีมากกว่า แต่การก่อโรคจะไม่รุนแรงเลย โดยเฉพาะในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ และในอดีตที่ผ่านมาก็เชื่อว่ามีเชื้ออยู่ตลอด เพราะวัคซีนฉีดครั้งสุดท้ายที่อายุ 6 ขวบ เราเพิ่งเอาวัคซีนไอกรนมาฉีดในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ในระยะ 10 กว่าปีที่แล้ว และฉีดอยู่ในหมู่ที่จะเสียเงินเองได้เท่านั้น

8. การพบเชื้อไอกรนในปัจจุบัน ในเด็กโตและผู้ใหญ่จึงเป็นการพบโดยมีเทคโนโลยี PCR ที่ทำได้ง่ายและรู้ผลเร็ว แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตรวจในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ

9. เมื่อมีการตรวจพบและตรวจมากขึ้น ก็จะพบว่ามีการระบาด เพราะเป็นมากกว่า 2 คน และมักจะอยู่ในโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถตรวจเชื้อนี้ได้เท่านั้น ด้วยราคาที่แพง โรงเรียนทั่วไปจะไม่ระบาดแน่นอนเพราะไม่ได้ตรวจ ก็เลยไม่มีปัญหา

10. เมื่อพบการระบาดเกิดขึ้น มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องปิดโรงเรียน ด้วยประการที่ 1 โรคนี้มีความรุนแรงต่ำในเด็กโต อาจจะน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่เสียอีก หรือน้อยกว่าโควิด 19 ส่วนใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัดทั่วไป  และโรคนี้สามารถป้องกันด้วยวัคซีน การปิดโรงเรียนไปแล้ว เมื่อเปิดมาก็จะพบเหตุการณ์แบบนี้อีก เราจะปิดต่อไปไหวหรือ

11. ทางออกที่ดีที่สุดคือเมื่อพบ หรือตรวจ ก็ทำการรักษาไปด้วยยาปฏิชีวนะ และถ้าจะป้องกันไม่ให้เกิดในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถจะใช้จ่ายค่าวัคซีนได้ ก็ควรจะให้วัคซีน จะให้วัคซีนชนิดไอกรนตัวเดียว หรือให้พร้อมกันทั้ง  คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโตก็ได้ โดยทำการตรวจเช็คว่าเด็กที่ฉีดวัคซีนเมื่อ 10-12 ปีที่มีไอกรนอยู่แล้ว อาจจะไปฉีดอีกครั้งหนึ่งทุก 10 ปี เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ชนิดผู้ใหญ่ตอนอายุ 10-12 ปี และไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ก็ควรจะมีการกระตุ้น วัคซีนนี้ทุกคน 

12. เมื่อเด็กได้รับวัคซีนครบแล้ว ถือเป็นเข็มกระตุ้น ภูมิต้านทานจะขึ้นได้ดีหลัง 7 วัน โรคก็จะสงบ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดโรงเรียน เพราะการเรียนของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การศึกษาก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กไทย การเรียนในโรงเรียนดีกว่าเรียนออนไลน์แน่นอน และการให้วัคซีนเป็นการป้องกันระยะยาวอย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไป และโดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่ เราก็ไม่ค่อยได้ตรวจกันทั้งที่เชื่อว่าถ้าตรวจมากก็เจออีก

13. การปิดโรงเรียน 2 สัปดาห์ ไม่เกิดประโยชน์เลย เพราะเปิดมาก็ต้องเจอกันอีก เชื้อไอกรนมีระยะฟักตัว 7-10 วัน ถ้าเป็นโรครุนแรง ถึงกับชีวิต การกักตัว ไม่ให้มีการระบาด เราจะใช้เวลา 2 เท่าของระยะฟักตัว ดังนั้นก็จะเป็น 20 วัน ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับโรคไอกรน ในเด็กโตและผู้ใหญ่

14. การตื่นตระหนก และเป็นอะไรนิดหน่อย ก็ตรวจหาเชื้อ 23 โรคเลย ไม่เป็นประโยชน์เลย และเมื่อตรวจมาแล้วบางครั้งพบเชื้อ 3 4 5 ชนิด ไม่รู้เลยว่าชนิดไหนก่อโรค และก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษามากมาย นอกจากในผู้ที่เป็นรุนแรง และการตรวจนั้นมาประกอบการรักษา โดยเฉพาะโรคที่มียาต้านไวรัสจะเป็นประโยชน์กว่า เช่น ตรวจเฉพาะไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19  เพราะ 2 โรคนี้มียาต้านไวรัส

15. ข้อคิดที่ให้มาทั้งหมดเป็นความรู้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ สำหรับผู้ปกครองเพื่อลดการตื่นตระหนก โดยเฉพาะทุกคนเชื่อว่าห่วงลูกหลานของตน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เรื่องใหญ่โตเลย อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อกระจายออกไปมากๆ ตรวจมากๆ เด็กก็จะขาดเรียนมากๆโดยใช่เหตุ ควรพิจารณาตามสถานการณ์ และข้ออ้างอิงทางวิชาการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top