Saturday, 15 February 2025
News

สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา - ปตท. ขยายความร่วมมือ ต่อยอดพัฒนานวัตกรรม - สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่สู่สังคม

(12 พ.ย. 67) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ณ อาคารรัตนเกษตร สำนักวิชาเกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันทนีย์ ผาสุข รองอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. พร้อมด้วยข้าราชการ ผู้บริหาร และพนักงานเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จฯ

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง เปิดเผยว่า สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และ ปตท. มีความร่วมมือในการส่งเสริมการเรียนการสอนและงานวิจัย เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเกษตร มุ่งสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ พร้อมขยายผลสู่ชุมชน ผ่านบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ฉบับที่ 1 มาตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2566 ตลอดระยะเวลา 3 ปี ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ทำให้เกิดการพัฒนาที่เด่นชัดเป็นรูปธรรม อาทิ การพัฒนาหลักสูตรฝึกประสบการณ์วิชาชีพ “นักเพาะกล้า” การพัฒนาเครื่องมือการประเมินคาร์บอนไดออกไซด์ของพื้นที่สวนยางพาราด้วยเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล การวิจัยติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์การเจริญเติบโตและความหลากหลายทางชีวภาพของป่านิเวศป้องกัน การพัฒนาพื้นที่สวนสมรมเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ รวมถึงการจัดทำระบบฐานข้อมูลสำหรับศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต 

ในการนี้ เพื่อต่อยอดความร่วมมือดังกล่าว สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และ ปตท. จึงเห็นชอบร่วมกันในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ฉบับที่ 2 โดยมีระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี เพื่อร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญระหว่างองค์กรและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ด้วยกรอบการดำเนินงาน 4 ด้าน ได้แก่ สนับสนุนเชิงวิชาการเพื่อพัฒนาการศึกษา พัฒนาศักยภาพบุคลากร ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และจัดหาที่ปรึกษาด้านวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ต่อยอดสู่การสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”

‘นศ. แพทย์พระมงกุฎฯ’ นำทีมคว้าแชมป์ระดับนานาชาติ แข่งเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบิน NASA

(13 พ.ย. 67) “นศ.แพทย์ฯพระมงกุฎฯ” นำทีมเยาวชนไทยคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ในรายการ Kibo Robot Programming Challenge รอบสุดท้าย 

วันนี้ (13 พ.ย. 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขัน Kibo Robot Programming Challenge เป็นการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee หุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ให้ปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศตามที่วางแผนไว้ โดยมีการแข่งขันจริงบนโมดูลคิโบะของสถานีอวกาศนานาชาติ ภายใต้การควบคุมดูแลของ ฌานเน็ตต์ เจ. เอปส์ นักบินอวกาศของ NASA ซึ่งประเทศไทยเรามีตัวแทนไปแข่งขันคือทีมแอสโทรนัต(Astronut) โดยมี ธรรญธร ไชยกายุต นักศึกษาชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า กองทัพบก เป็นหัวหน้าทีมฯ และมีสมาชิกในทีมประกอบด้วย ชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล, ชยพล เดชศร นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยมี ปริทัศน์ เทียนทอง นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ดูแลทีม

ทั้งนี้ ทีมแอสโทรนัต (Astronut) เป็นตัวแทนเยาวชนไทยเข้าแข่งขันรอบสุดท้ายกับตัวแทนเยาวชนจาก 13 ประเทศทั่วโลก ณ ศูนย์อวกาศสึคุบะ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน โดยแต่ละทีมที่เข้าแข่งขันต้องออกแบบการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เพื่อไปทำภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายได้อย่างครบถ้วนและใช้เวลาได้น้อยที่สุด โดยผลปรากฏว่าทีมแอสโทรนัตของประเทศไทยสามารถคว้าอันดับ 1 ด้วยคะแนน 253.09 คะแนน ตามด้วยอันดับ 2 ทีมตัวแทนจากฟิลิปปินส์ 250.88 คะแนน และอันดับ 3 เป็นของตัวแทนจากบังกลาเทศ 153.92 คะแนน โดย โนริชิเงะ คะไน นักบินอวกาศของ JAXA มาร่วมให้ความเห็นระหว่างการแข่งขัน และมอบรางวัลแก่ตัวแทนเยาวชนไทย โดยการแข่งขัน Kibo Robot Programming Challenge ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 โดยมีผู้เข้าแข่งขันรวมกว่า 661 ทีมจาก 35 ประเทศทั่วโลก ก่อนคัดเลือกเหลือ 13 ทีมในรอบสุดท้าย

นายธรรญธร ไชยกายุต นักศึกษาชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า หัวหน้าทีมแอสโทรนัต กล่าวว่า พวกเราดีใจเป็นอย่างมากที่สามารถคว้าชัยชนะมาได้จากความตั้งใจและความพยายามของทีมพวกเรา แม้จะเจอปัญหาซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมจริงในสถานีอวกาศนานาชาติ แต่พวกเราได้เตรียมรับไว้ก่อนอยู่แล้ว จึงทำให้สามารถบรรลุภารกิจได้สำเร็จและยังคงทำเวลาได้ดี การที่ได้นำโค้ดที่พวกเราพัฒนาไปใช้จริงในสถานีอวกาศนานาชาตินับเป็นประสบการณ์อันทรงคุณค่า ซึ่งพวกเราจะนำประสบการณ์เหล่านี้ไปปรับใช้และต่อยอดในงานอื่นๆ ต่อไป

MAHASAMUT SEAFOOD ส่งตรงอาหารทะเลขึ้นห้าง ที่สุดของความสดจากทะเลใต้! การันตีด้วยด้วยมาตรฐาน GI

(14 พ.ย. 67) มหาสมุทรซีฟู้ด (Mahasamutfoods) ผู้จำหน่ายวัตถุดิบอาหารทะเลคุณภาพ เปิดบูธในห้างใหญ่ นำเสนออาหารที่ได้รับมาตรฐาน GI ที่ทั้งสดใหม่ สะอาด อร่อย 

โดยเฉพาะ ‘ปลากะพง 3 น้ำ’ จากลุ่มทะเลสาบสงขลา ซึ่งเจ้าแรกในไทยที่ได้การรับรองความสดอร่อย จากมาตรฐาน GI ด้วยความพิเศษที่ไม่เหมือนใครในเรื่องของคุณภาพ ที่สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าได้ดีสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านตัวแทนจำหน่ายอาหารทะเลสด แม้กระทั่ง ‘เจ๊ไฝ’ เชฟ และเจ้าของร้านอาหารมิชลิน 1 ดาว 7 ปีซ้อน ยังเชื่อมั่นให้ความไว้วางใจในคุณภาพสินค้า มาอุดหนุนถึงร้าน

สำหรับ บูธ มหาสมุทรซีฟู้ด นอกจากปลากะพง 3 จากลุ่มทะเลสาบสงขลา ยังมีผลิตภัณฑ์มาตรฐาน GI อย่าง ปูดำ จากนครศรีธรรมราช และ หอยนางรม จากสุราษฎร์ธานี นำมาจำหน่ายอีกด้วย โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ที่บูธ 3 แห่ง ประกอบด้วย

Gourmet Market Siam Paragon ชั้น G (โซนซีฟู้ด) โซนงาน Gourmet Tastival, Gourmet Market Siam Paragon (ติดกับโซนสลัดบาร์) Gourmet Market The Mall ท่าพระ ชั้น B1
(หน้าร้าน You Hunt We Cook)

‘สนธิ’ เปิดหน้าแฉ ทนายดาวไถ ผกก.โจ้ 10 ล้าน ชาวเน็ตห่วง ‘ทนายเดชา’ จบไม่สวยตามรอย ‘ทนายตั้ม’

(14 พ.ย. 67) เดือด ‘สนธิ’ ถาม ‘ทนายเดชา’ พอทราบไหมมีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน สะกิดข้อเท็จจริงสืบไม่ยาก เข้าไปเจออดีตนายตำรวจคงทราบชื่อนักกฎหมายจอมไถ ก่อนอีกฝ่ายโร่ย้ำรายการช่องดัง ถูกใส่ร้ายท้าไปดูสรุปสำนวนที่ สน.

จากกรณีเปิดศึกน้ำลายออกมากล่าวหาไปจนพาดพิงกันนอกรอบ ระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โดยปมเดือดล่าสุดเป็นประเด็นที่เจ้าของและผู้ก่อตั้งนสพ.ผู้จัดการ ได้ปลุกผีคดีผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ซึ่งมีคดีซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยแต่ลดโทษจากประหารเหลือจำคุกตลอดชีวิต

โดยนายสนธิมีการเกริ่นเนื้อหาบางช่วงที่ระบุ “มีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน” ก่อนจะร่ายยาวในรายการ sondhitalk ระบุ ตนไม่ได้ข่มขู่ใครส่วนนายเดชาเคยไปข่มขู่ใครหรือไม่ ตนไม่อาจทราบได้จริง ๆ แต่มีคนเล่าให้ฟังถึงผู้กำกับโจ้ว่ามีทนายคนหนึ่งมีคลิปว่าคนตายนั้นเสียชีวิตจากที่ผกก.โจ้นั้นคลุมถุง ถ้าไม่ให้เปิด ขอ 10 ล้าน แต่ทนายความของนายตำรวจปฏิเสธ คลิปจึงถูกส่งต่อมาที่ทนายตั้ม

“ตนไม่ทราบว่าใคร ใครทราบช่วยแจ้ง คุณเดชาพอทราบหรือไม่”

หลังจากเปิดโปงพฤติกรรมจนชัดเจนในความไม่ชอบมาพากล นายสนธิยังยืนกรานเรื่องนี้ตรวจสอบไม่ยาก เพียงแค่ตนทำเรื่องขอเข้าไปสอบถามผู้กำกับโจ้ในเรือนจำคลองเปรม “โจ้ครับ มีเรื่องนี้จริงไหม ถ้าเขาบอกว่าจริงก็อาจรบกวนให้ช่วยบอกชื่อหน่อยได้หรือไม่“

ขณะที่นายเดชาหลังถูกพาดพิงก็ออกมาชี้แจงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าทุกครั้ง โดยกล่าวในรายการคนดังนั่งเคลียร์ของช่อง 8 ยืนกรานไม่ใช่คนที่ได้คลิปคลุมถุงผกก.โจ้ ก่อนแล้วไปเรียกเงิน พอไม่ได้จึงส่งให้ทนายตั้ม

ทนายเดชาย้ำเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแน่นอน เนื่องจากสรุปสำนวนคดีอยู่ที่ สน.โคกคราม พร้อมกับเตือนไปถึงคนที่พาดพิง ถ้ายังนำมาเป็นประเด็นนี้มาใส่ร้ายก็เตรียมรอหมายศาลได้เลย

“อันนี้ไม่จริงเป็นความเท็จ และผมได้แจ้งความดำเนินคดีกับทนายตั้มไว้ที่ สน.โคกครามแล้วก็พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปพบผกก.โจ้แล้วสอบปากคำเรียบร้อยแล้วว่าทนายเดชาไม่ได้เข้าไปเรียกเงินแต่อย่างใด สามารถไปขอดูหลักฐานดังกล่าวได้ ถ้าใครอยากจะได้ตนก็พาไปได้ เรื่องพวกนี้เป็นข่าวใส่ร้าย อันนี้ 100% ถ้าใครยังพูดอยู่ เดี๋ยวผมก็จะเอาหมายศาลใส่ไปให้ที่บ้าน” นายเดชา ระบุ

ร.ร.ธรรมภิรักษ์ ประกาศปิดกะทันหัน เปิดดำเนินการปีสุดท้าย เตรียมเปลี่ยนผ่านเป็นโรงเรียนนานาชาติจากสิงคโปร์ปี 69

(14 พ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก โรงเรียนธรรมภิรักษ์ (Thampirakschool) เขตบางพลัด แขวงบางบำหรุ โพสต์ข้อความระบุว่า ประกาศ ด่วนที่สุด เรื่อง โรงเรียนธรรมภิรักษ์ เปิดดำเนินการปีสุดท้าย / โรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์เทเวศร์ เปิดปกติและเริ่มรับสมัครนักเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2568

โดย ผู้บริหารโรงเรียน ขอประกาศแจ้งให้ทราบ ดังนี้

1.โรงเรียนธรรมภิรักษ์ จะเปิดดำเนินการถึงสิ้นปีการศึกษา 2567 (มีนาคม 2568) เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นโรงเรียนนานาชาติ จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะพร้อมเปิดดำเนินการสอน ในเดือนสิงหาคม 2569 (สิงหาคม 2026)

2.โรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์เทเวศร์ เปิดดำเนินการตามปกติ เปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2568 ชั้นเตรียมอนุบาล-อนุบาล 3 ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป จนกว่าจะเต็ม

ทั้งนี้ นักเรียนอนุบาลจากโรงเรียนธรรมภิรักษ์ ที่ประสงค์จะย้ายไปสาขาเทเวศร์ รับสิทธิ์พิเศษ ส่วนลดค่าเทอม ฯลฯ

หลังจากโพสต์เผยแพร่ออกไป มีผู้ปกครองเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่าทางโรงเรียนแจ้งกะทันหันไปมาก ห่วงว่าจะหาโรงเรียนใหม่ให้ลูกไม่ทัน อยากจะให้เวลามากกว่านี้ รู้สึกใจหาย รวมทั้งยังเป็นกำลังใจให้กับทางโรงเรียน ฯลฯ... 

'ยูเนสโก' ยก ‘สุวรรณภูมิ’ ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2024

(15 พ.ย. 67) 'สุริยะ' ปลื้ม! 'ยูเนสโก' ยกย่อง 'ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ' ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2567 ด้าน 'อาคาร SAT-1' สุดปัง! ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสถาปัตยกรรมสวยที่สุดของโลก โชว์ความโดดเด่นด้านความงาม-ความคิดสร้างสรรค์ ชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย ลุ้นประกาศผล 2 ธ.ค.นี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ให้ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s most beautiful List 2024)

ทั้งนี้ ล่าสุดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Prix Versailles หมวดหมู่สนามบิน จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ซึ่งร่วมกับ UNESCO โดยจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเกณฑ์การให้คะแนนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในด้านความงาม ทั้งภายนอก และภายในอาคาร ประกอบด้วย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่ผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับอาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นอาคารสูง 4 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น มีพื้นที่ 216,000 ตารางเมตร มีประตูทางออกเชื่อมต่อกับหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) จำนวน 28 หลุมจอด ถือว่ามีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบ การสร้างประสบการณ์ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการถ่ายทอดความวิจิตรของเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทย สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ทอท.ยังได้มีการออกแบบที่สวยงาม โดยนำจุดแข็งทางวัฒนธรรมมานำเสนอ ประกอบกับการตกแต่งภายในอาคารเป็นแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมกับศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และวิถีชีวิต โดยมีผลงานการตกแต่งประติมากรรมชิ้นเอกเป็นช้างคชสาร ตั้งอยู่บริเวณโถงกลางของชั้น 3 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาออก

ขณะเดียวกัน ภายในชั้น 3 ของอาคารฯ ได้รับการออกแบบให้เป็นสวนตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ตามคติความเชื่อไทยแต่โบราณ เช่น กินนร กินรี เหมราช และหงสา ส่วนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาเข้า ได้ออกแบบเป็นสวนสัญจรที่จัดแสดงงานภูมิทัศน์ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมของไทย เช่น หุ่นละครเล็ก หนังใหญ่ หัวโขน และว่าวไทย เป็นต้น

ในส่วนปลายอาคารทั้ง 2 ด้าน คือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ติดตั้งสุวรรณบุษบก และรัตนบุษบก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธปฏิมา ปางมารวิชัย และปางเปิดโลก โดยถอดแบบมาจากวัดผาซ่อนแก้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อสถานที่ ขณะที่ ห้องน้ำ ได้เสนออัตลักษณ์อันงดงามของแต่ละภาค มีภาพจิตรกรรม 4 ภาคของไทย ไปจนถึงประเพณีวัฒนธรรมของไทยมาใช้ออกแบบรูปลักษณ์ภายใน อีกทั้ง สุขภัณฑ์ทั้งหมดยังใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการประหยัดน้ำอีกด้วย

สำหรับ 6 สนามบินที่เว็บไซต์ www.prix-versailles.com ได้ประกาศ 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 ได้แก่ 1. อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย 2. อาคารผู้โดยสาร E ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน (Logan International Airport) สหรัฐอเมริกา 3. อาคารผู้โดยสารที่ 2 ท่าอากาศยานชางงี (Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์ 4. ท่าอากาศยานนานาชาติซายิด (Zayed International Airport) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5. ท่าอากาศยานนานาชาติเฟลิเป แองเจเลส (Felipe Ángeles International Airport) ประเทศเม็กซิโก และ 6. ท่าอากาศยานนานาชาติแคนซัสซิตี้ (Kansas City International Airport) สหรัฐอเมริกา

มูลนิธินักศึกษาพระปกเกล้าฯ และกลุ่ม SEED Thailand ร่วมหารือ ‘นายกสมาคมมิตรภาพจีน-ไทย’ ถึงความร่วมมือในอนาคต

มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคมและเยาวชน SEED Thailand ให้การต้อนรับนายกสมาคมมิตรภาพจีน-ไทย พร้อมคณะ

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม นายกรรณภว์ ธนภรรคภวิน ที่ปรึกษามูลนิธิฯ และ ดร.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ให้การต้อนรับ Mr. Yang Wanming นายกสมาคมมิตรภาพจีนไทย และคณะ ในโอกาสหารือพูดคุยการดำเนินงานด้านเยาวชนระหว่างประเทศไทยและจีนร่วมกันในอนาคต เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน

ในการนี้ Mr.Yang Wanming ได้กล่าวทักทายผู้บริหารมูลนิธิฯ และตัวแทนเยาวชน SEED Thailand ที่ให้การต้อนรับ ว่า “การทำงานของสมาคมให้ความสำคัญในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจและการศึกษา แต่หน้าที่หลักที่สำคัญคือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนในประเทศจีน และต่างประเทศ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนกับต่างประเทศ ต้องมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันให้ต่อเนื่องจึงจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เนื่องด้วยเยาวชน SEED Thailand และมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า ได้มีการจัดโครงการศึกษาดูงาน ณ ประเทศจีนอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 2 ปี Mr.Yang Wanming ยืนยันว่ารัฐบาลจีนยินดีให้การสนับสนุนการศึกษาดูงานของเยาวชนไทยอย่างต่อเนื่องทุกปี” 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม ได้หารือถึงประเด็นการต่อยอดการศึกษาของเยาวชนไทยและจีน โดยเฉพาะการนำองค์ความรู้ของจีน หลักแนวคิดต่าง ๆ มาปลูกฝังเยาวชนให้เกิดการต่อยอดในทุกด้าน นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาของประเทศจีนร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ร่วมมือกันพัฒนาสถานที่การเรียนรู้ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทยอีกด้วย เพราะการศึกษาเป็นเสมือนสิ่งสำคัญที่สุดของเยาวชน ดังนั้นจึงต้องมีการสนับสนุนเยาวชนให้มีการศึกษาในทุกระดับ 

จุดมุ่งหมายของการหารือในวันนี้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ระหว่างเยาวชนไทยและจีนในอนาคต และการที่เยาวชนไทยเดินทางไปศึกษาดูงานในประเทศจีน ทำให้เกิดการเรียนรู้วัฒนธรรมจีนที่ถูกต้อง รู้จักความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกระดับ ปัจจุบันประเทศจีนมีความพร้อมด้านการศึกษา วัฒนธรรม เทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ จีนพร้อมต้อนรับเยาวชนจากเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ในอนาคต และมุ่งหวังว่ามูลนิธินักศึกษาพระปกเกล้าเพื่อสังคมจะร่วมสร้างกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนไทยและจีนอย่างต่อเนื่อง โดยทางสมาคมฯ พร้อมให้การสนับสนุน

ทั้งนี้ มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม และเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ระบุถึงความยินดีที่จะร่วมการดำเนินงานสนับสนุนเยาวชนร่วมกับสมาคมจีน-ไทยในอนาคต เยาวชนของทั้ง 2 ประเทศ จะดำเนินการร่วมกันในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ในปีที่จะถึงนี้ และเยาวชนของเครือข่าย SEED Thailand ที่ได้ไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศจีนทั้ง 2 ปีที่ผ่านมา จะนำองค์ความรู้ที่ได้ไปศึกษามาต่อยอดการทำงานเพื่อพัฒนาบ้านเกิด ประเทศชาติของตัวเองต่อไป

โรงเรียนสหรัฐฯ ห้ามนักเรียนใส่ ทำเด็กเสียสมาธิ-ดีไซน์อันตราย

(18 พ.ย. 67) บลูมเบิร์กรายงานว่า มีโรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามนักเรียนใส่รองเท้าแตะแบรนด์ Crocs เนื่องจากมองว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยและรบกวนสมาธิของนักเรียน

รายงานระบุว่า Crocs Inc. ปัจจุบันมีมูลค่าถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้นจากการดีไซน์ที่ตอบโจทย์วัยรุ่นและความสบายในการสวมใส่ ซึ่งทำให้เป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมจากเด็กและวัยรุ่นอเมริกันในการใส่ไปโรงเรียน แต่กลับกลายเป็นปัญหาที่ทำให้หลายโรงเรียนในสหรัฐฯ เริ่มห้ามการสวมใส่รองเท้าแบรนด์นี้

Oswaldo Luciano พยาบาลโรงเรียนในนิวยอร์ก กล่าวว่าในโรงเรียนที่เธอทำงาน พบปัญหานักเรียนบาดเจ็บที่เท้า โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่ใส่รองเท้า Crocs ไปเรียน เธอกล่าวว่า "เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครพูดถึงอาการบาดเจ็บที่เท้า สิ่งแรกที่ทุกคนจะพูดคือ 'ฉันพนันได้เลยว่าพวกเขาใส่รองเท้า Crocs อยู่'"

โรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ อย่างน้อย 12 รัฐ ได้ห้ามนักเรียนสวมรองเท้า Crocs โดยอ้างว่านักเรียนบางคนอาจสะดุดล้มขณะสวมรองเท้าแตะที่ไม่มีสายรัดนิรภัยหลังส้น ขณะที่บางโรงเรียนระบุว่ารองเท้านี้ทำให้เกิดอุบัติเหตุและเสียสมาธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากดีไซน์ที่โดดเด่นและสิ่งตกแต่งที่ติดมากับรองเท้า ซึ่งทำให้เด็กๆ สนใจสิ่งเหล่านั้นมากกว่าการเรียน

“นักเรียนทุกคนต้องสวมรองเท้าหัวปิดเพื่อความปลอดภัย (ห้ามสวมรองเท้า Crocs)” นโยบายเครื่องแบบของโรงเรียนประถม Lake City ในแอตแลนตาระบุ ขณะที่โรงเรียนมัธยม LaBelle ในเมือง LaBelle รัฐฟลอริดา ระบุว่า "ต้องสวมรองเท้าที่ปลอดภัยตลอดเวลา" และ "ไม่อนุญาตให้สวมรองเท้า Crocs"

Siobhan Joshua ช่างเทคนิคเภสัชกรรมในเมือง Yonkers รัฐนิวยอร์ก กล่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้ เธอซื้อรองเท้าผ้าใบแบบสวมให้ลูกสาววัย 10 ขวบเพื่อทดแทนรองเท้า Crocs ที่โรงเรียน หลังจากที่โรงเรียนห้ามสวมรองเท้าแบบส้นเตี้ยในช่วงพักกลางวันด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ลูกสาวของเธอเคยได้รับบาดเจ็บจากรองเท้า Crocs ที่ติดบันไดเลื่อนจนทำให้พลัดตก และต้องเย็บแผลที่หน้าแข้งถึง 8 เข็ม แต่ลูกสาวยังคงชอบรองเท้า Crocs และสวมมันนอกโรงเรียน

แอนน์ เมห์ลแมน ประธานแบรนด์ Crocs และรองประธานบริหาร กล่าวว่า บริษัทไม่ทราบข้อมูลที่บ่งชี้ว่ามีการห้ามเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน Crocs ซึ่งมีกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 พบว่า ยอดขายประจำปีเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา จากความนิยมของรองเท้าที่ใส่สบายและมีสีสันสดใส

ด้าน นีล ซอนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการฝ่ายค้าปลีกของ GlobalData กล่าวว่า การซื้อรองเท้าสำหรับใช้ในช่วงเปิดเทอมถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ ถึงแม้ว่าซอนเดอร์สจะบอกว่า ยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ว่าการห้ามรองเท้า Crocs จะส่งผลกระทบต่อยอดขาย

Crocs กล่าวว่า ข้อจำกัดที่โรงเรียนกำหนดนั้น "น่าสับสน" และยังคงยืนยันว่า แม้จะมีบางโรงเรียนห้าม แต่รองเท้าเหล่านี้ก็ยังคงเป็น "รองเท้าสำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน"

ให้เสียงภาษาไทยโดย 'พันธมิตร' ทีมพากย์ที่คนไทยคุ้นหู ประกาศลาวงการ

(18 พ.ย. 67) ปริภัณฑ์ 'โต๊ะ' วัชรานนท์ เจ้าของเสียงพากย์นักแสดงชื่อดังอย่าง เฉินหลง, โจวชิงฉือ และ หลิวเต๋อหัว ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ History ของยูทูบช่อง Songtopia เล่าถึงเส้นทางการพากย์ของตนเอง ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 32 ปีที่แล้วในภาพยนตร์เรื่อง "สายไม่ลับคังคังโป๊ย" ที่นำแสดงโดย โจวชิงฉือ

โต๊ะ ปริภัณฑ์ เผยในรายการว่า ในปีหน้า สงกรานต์จะครบรอบ 33 ปีของการพากย์ในเรื่องแรกอย่าง "สายไม่ลับคังคังโป๊ย" และเขาตั้งใจจะขอปิดฉากอาชีพพากย์เสียงหลังจากนั้น หรืออาจจะเป็นก่อนสงกรานต์ โดยให้เหตุผลว่า เขาทำงานพากย์มานานเกินกว่า 33 ปี และพากย์ภาพยนตร์ไปแล้วกว่า 3,000 เรื่อง ครบทุกแนวแล้ว

"ผมเริ่มพากย์ปี 2536 ตอนสงกรานต์ เรื่อง 'สายไม่ลับคังคังโป๊ย' และปีหน้าสงกรานต์ผมจะครบ 33 ปี...จบ พันธมิตรจบแน่นอน ผมพอแล้ว" โต๊ะกล่าว พร้อมเผยว่าในระยะหลังได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายคนที่ให้คำแนะนำให้ทำต่อไป แต่ในครั้งนี้เขาตัดสินใจปรึกษาตัวเองเพียงคนเดียว เพราะอายุ 60 กว่าปีแล้ว จึงอยากจะใช้ชีวิตอย่างสบายใจบ้าง และอาจรับงานพากย์บางเรื่องที่คิดว่าสนุกๆ แต่สำหรับการทำงานกับทีมพันธมิตรนั้น เขาตัดสินใจที่จะปิดฉากการทำงานร่วมกันแล้ว

"ตอนนี้กำลังรอจังหวะสักเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครเยอะๆ เพื่อที่จะให้พวกน้องๆ ในทีมพันธมิตรมารียูเนียน และทำให้มันเป็นไปได้มากที่สุด อยากให้ทุกคนที่มีตัวให้พากย์มาร่วมกัน ถือเป็นการปิดฉากอย่างสวยงาม"

‘อ.ปานเทพ’ เดินหน้าแฉซ้ำ ‘ทนายตั้ม’ อีกระลอก หลังพบ สอดไส้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก ‘เจ๊อ้อย’

‘อ.ปานเทพ’ เข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบ คดี ‘ทนายตั้ม’ โกง’พี่อ้อย’ แฉพยายามนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมก่อนสอดไส้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก เตรียมจ่อเปิดคลิปสาวไส้ในรายการสนธิทอล์ค พบปม 39 ล้าน โอนให้แก๊งสแกมเมอร์แค่ 1 แสน ที่เหลือนำมาแบ่งกัน เชื่อคดีคลี่คลายในเร็ววัน

(18 พ.ย. 67) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ‘ทนายตั้ม’ ฉ้อโกง น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย โดยนายปานเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญมาเป็นพยาน ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับเรื่องจาก นางจตุพร โดยเมื่อช่วงเช้าวันนี้นางจตุพรได้เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์ เป็นครั้งที่ 3 เพื่อมาขอบคุณนายสนธิ ลิ้มทองกุล เว็บไซต์ผู้จัดการ และฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกค่ายที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้

นายปานเทพ กล่าวว่านอกจากนี้ ยังมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมพิเศษในประเด็นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทำให้เราติดตามประเด็นนี้ต่อไป โดยเฉพาะคลิปที่สื่อมวลชนยังไม่ทราบ โดยเราจะเผยแพร่เป็นระยะ และจะสัมภาษณ์ น.ส.จตุพร เป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม รวมถึงหลังจากนี้รายการ สนธิทอล์ค จะเปิดคลิปที่เกี่ยวข้องกับคดี ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในขณะนี้มั่นใจแล้วว่ากรณีเงิน 39 ล้านบาท จะมีความคืบหน้าในคดีอย่างแน่นอน และจะมีความชัดเจนว่า มีการแบ่งเงินกันเท่าไหร่ และแบ่งไปให้ใครบ้าง ซึ่งทั้งหมดในขณะนี้ พี่อ้อย ได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบแล้วเช่นเดียวกัน จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววันอย่างแน่นอน

นายปานเทพ กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่สังคมอาจจะยังไม่เข้าใจ กรณีที่ นายษิทรา มีความพยายามจะนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมของพี่อ้อย ซึ่งพบว่า แท้ที่จริงแล้วมีขบวนการก่อนหน้านั้น คือการทำพินัยกรรม และให้นายษิทราเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก โดยครั้งที่ 2 สำนักงานทนายความษิทรา มีการแปลงเป็นผู้จัดการมรดก แล้วยังพบว่า มีพฤติการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งเรื่องของการติด GPS ในรถของน.ส.จตุพร จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังชวนไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจจะไม่มีสัญญาณ GPS ซึ่งนางจตุพรได้ปฏิเสธทั้งหมด

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า แม้ขณะนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว แต่นายษิทรายังไม่คืนพินัยกรรมฉบับก่อนไว้เลย แม้จะทวงถามไปแล้ว ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าได้ทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำลายให้เห็นต่อหน้า น.ส.จตุพร ฉะนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประกอบคดี ให้มีความแน่นหนามากขึ้นในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วนลักษณะฉ้อโกงเป็นอย่างไรจะเปิดให้ฟังในรายการสนธิทอล์คอีกครั้งหนึ่ง

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ส่วนมูลค่าความเสียหายก็เป็นพินัยกรรมทั้งหมดที่เป็นสกุลเงินในต่างประเทศ และจะได้เห็นวิธีการ และวิธีคิดของนายษิทรา ตั้งแต่แรกโดยเฉพาะประเด็น 39 ล้านบาท โดยล่าสุดจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นว่า ทั้งหมดแต่ต้นเป็นกระบวนการหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้รู้แม้กระทั่งว่าเงิน 2 ล้านบาทแรก ที่อ้างว่าโอนไปที่ดาราจีน แท้จริงแล้ว มีการโอนเงินเพียงแค่ 1 ครั้งในมูลค่า 100,000 บาทเท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือเป็นเรื่องเท็จ ซึ่งเป็นการโกหก และนำเงินไปเฉยๆ รวมถึงมีการแจ้งความเท็จในเวลาต่อมา ซึ่งที่สำคัญเงิน 39 ล้านบาท มีการแบ่งเงินแล้วชัดเจน และมีก้อนหนึ่งที่เป็นเงิน 20 ล้านบาทที่แบ่งสันปันส่วน ซึ่งมีขบวนการขนเงินกันอย่างชัดเจน ฉะนั้นนายษิทรา จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยตัวเองก็มีการพูดคุยโทรศัพท์ติดต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคืบหน้า และจะเป็นพฤติกรรมที่ร้อยเรียงเรื่องราวสอดรับกับคดี 71 ล้านบาทอย่างแน่นอน

นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า คดีนี้เริ่มปี 2565 และยกเลิกใน 2567 ซึ่งกว่า น.ส.จตุพร จะรู้เรื่องทั้งหมดได้ก็มีปัญหา จึงเป็นที่มาของการยกเลิกในภายหลัง และเรื่อง น.ส.จตุพรพบพฤติกรรมผิดปกติ จึงได้ไปทำพินัยกรรมฉบับที่ 3 กับหน่วยงานภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นพินัยกรรมฉบับเก่าจึงไม่ผูกพัน และทางพี่อ้อยมีเจตนาที่ต้องการจะยกเลิกอย่างชัดเจนเพราะพบว่า มีความผิดปกติในหลายกรณี ทั้งในเรื่องของการใช้เงิน, การใช้รถหรู และรวมถึงกรณีเงิน 71 ล้านบาท จึงคิดว่าต้องมีการยุติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

เมื่อถามว่า นอกจากนายษิทราแล้ว ยังมีใครเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า พยานปากหนึ่งที่สำคัญคือพี่สาวของภรรยานายษิทรา ซึ่งทราบว่ามาให้การกับตำรวจแล้ว โดยจากการดำเนินการทั้งหมด ตนเชื่อว่า พี่สาวของภรรยานายษิทรา ไม่น่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่น่าจะเป็นที่พักเงินหรือให้ทำธุรกรรมบางอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้ก็เป็นไปได้ ดังนั้น พยานปากนี้ถือเป็นพยานที่จะให้ข้อเท็จจริง และให้การเป็นประโยชน์ ซึ่งหากให้การที่ประโยชน์ก็จะส่งผลดีต่อตัวพยานเอง รวมถึงมีเส้นบาง ๆ ระหว่างพยานกับผู้สมรู้ร่วมคิด หากอยู่ในฐานะพยานต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ และหากดูศักยภาพของบุคคลนี้ ก็เชื่อว่า เจ้าตัวไม่มีศักยภาพที่จะเล่นกลอุบายหรือบิดคดีช่วยใคร และน่าจะเป็นผู้ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

นายปานเทพ กล่าวอีกว่าส่วนพยานอื่น ๆ ก็มีการสอบไปเยอะเช่นกัน และเชื่อว่าน่าจะมีความคืบหน้าในรูปของคดี โดยเราต้องเชื่อมั่นว่า ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้บังคับการกองปราบปราม รวมถึงคณะทำงานที่ตั้งขึ้นเป็นคณะทำงานที่มีความเข้มแข็งในเรื่องของการค้นหาข้อมูล และการสืบสวนสอบสวน ส่วนที่มาถึงจุดนี้ได้ ต้องพูดตามตรงว่า น.ส.จตุพร คิดจะดำเนินการเพียงเรื่อง 71 ล้านบาทเท่านั้น แต่ความคืบหน้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคดี 71 ล้านบาท หรือ 39 ล้านบาท จนถึงล่าสุดคือเรื่องของการแบ่งเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสื่อมวลชน ที่คอยผลักดันให้เกิดความจริง แต่อีกส่วนหนึ่งคือตำรวจ ไปแสวงหาข้อเท็จจริงจนกระทั่งรู้ความจริงทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ น.ส.จตุพร สามารถแจ้งความเพิ่มเติม และเพิ่มข้อหาและกรรมเข้าไปได้ รวมถึงตำรวจก็ต้องรวบรวมหลักฐานมา จนนำไปสู่คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้ ฉะนั้นหากเราเชื่อมั่นในตำรวจชุดนี้ เราก็ต้องเชื่อว่า ตำรวจชุดนี้จะทำงานอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า น.ส.จตุพร เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงพยานหลักฐาน แต่เริ่มรู้สึกว่า ตนเองควรได้รับความคุ้มครอง และความปลอดภัย ซึ่งจะเดินทางไปไหนก็มีความรอบคอบและรัดกุมมากขึ้น

ส่วนกรณีนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา ที่บอกว่ามั่นใจในตัวลูกความของตนเองนั้น ตนมองว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีทนายคนไหนไม่มั่นใจลูกความของตนเอง และเป็นธรรมชาติของการต่อสู้คดีความในกระบวนการยุติธรรม แต่ตนเห็นหลักฐานรวมกับที่ นายสายหยุด ได้พูดออกอากาศอยู่หลายครั้ง จึงมั่นใจว่า คดีนี้ฝ่ายโจทก์น่าจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบมากกว่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top