Monday, 28 April 2025
ElectionTime

‘ก้าวไกล’ จ่อใช้ 1.2 หมื่นล้านบาท จากงบรายจ่ายประจำปี ‘ปฏิรูปกองทัพ’ ชี้ 12 ประเด็น แยกทหารออกจากการเมือง-เพิ่มสวัสดิการชั้นผู้น้อย ฯลฯ

เมื่อวันที่ 19 เม.ย.66 เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดเผยนโยบายของพรรคการเมือง ที่ใช้ในการประกาศโฆษณาของพรรคที่ส่งผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ตามที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 57 บังคับไว้ 3 เรื่อง 1.วงเงินที่ต้องใช้ 2.ที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการ และ 3.ความคุ้มค่า ประโยชน์ ในการดำเนินการและความเสี่ยง

พรรคก้าวไกล ได้ทำเอกสารชี้แจงกกต. โดยเสนอ 52 นโยบายหลัก เฉพาะในส่วนของนโยบายการปฏิรูปกองทัพนั้น เอกสารระบุว่า ก้าวไกลจะดำเนินการแยกทหารออกจากการเมือง , ปรับกองทัพให้มาอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน, ตั้งผู้ตรวจการกองทัพ, ยกเลิกศาลทหาร, ลดขนาดกองทัพ, ลดจำนวนนายพล, ตัดสิทธิพิเศษที่ไม่เป็นธรรม, ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร, ปฏิรูปการศึกษาทหาร, นำเข้ายุทโธปกรณ์ ต้องจ้างงาน-โอนถ่ายเทคโนโลยี, คืนที่ดินกองทัพให้ประชาชน, คืนธุรกิจกองทัพให้รัฐบาล เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย, ยุบกอ.รมน., ยกเลิกกฎอัยการศึกขายแดนใต้ และยกเครื่องกฎหมายความมั่นคงพิเศษ

'พุทธิพงษ์' ชู!! นโยบาย 'ตั๋ววัน 40 บาท' ช่วยคนกรุงประหยัดค่าเดินทาง แถมลดฝุ่นพิษ PM2.5 - แก้จราจร กทม.ได้ไปในตัว

(20 เม.ย.66) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงนโยบายแก้ปัญหาการจราจรติดขัด โดยเสนอรถไฟฟ้า เป็นทางออกของคนกรุงเทพฯ ที่ทุกคนขึ้นได้ และค่าโดยสารต้องไม่เป็นอุปสรรคหรือเป็นปัญหาต่อคนทุกกลุ่ม รัฐบาลเข้ามาขยายโครงข่ายรถไฟฟ้า โดยที่รัฐบาลเป็นคนลงทุน ค่าโดยสารต้องสมเหตุสมผล จึงไม่ใช่เป็นทางเลือกอีกต่อไป แต่เพื่อเป็นทางออกให้คนกรุงเทพฯ ที่วันนี้กรุงเทพฯไม่ใช่แค่เมืองหลวงของคนกรุงเท่านั้น แต่เป็นมหานครสำหรับคนทั่วโลก จึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับการใช้รถขนส่งสาธารณะ 

นายพุทธพงษ์ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยจึงมีนโยบายออกตั๋วรถไฟฟ้าเป็นตั๋ววัน วันละ 40 บาท ไปกี่เที่ยวก็ได้ และขั้นต่ำถ้าเดินทางสั้นๆ แค่สถานีเดียว 15 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายเมื่อเดินทางเป็นวันละ 40 บาท 5 วันก็อยู่ที่ 200 บาทต่อสัปดาห์ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่อเดือนต่อคน จะตกอยู่ที่ไม่เกิน 800-1,000 บาท สามารถให้มีการบริหารค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อคน ต่อครอบครัวได้ชัดเจน ราคาสมเหตุสมผล ทุกคนมีโอกาสได้ใช้รถไฟฟ้า 

‘บิ๊กป้อม’ หาเสียงฉะเชิงเทรา วอน ปชช. กา พปชร. เบอร์ 37 ลั่น!! หากได้เป็นรัฐบาลจะลดทันทีค่าน้ำมัน-ค่าแก๊ส-ค่าไฟฟ้า

(19 เม.ย.66) ในการปราศรัยหาเสียงของ พรรคพลังประชารัฐ โดยจัดเวทีที่ลานวัดสมานรัตนาราม ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อช่วยผู้สมัคร 4 เขต ประกอบด้วย นายรัฐสภา นพเกต เขต 1 นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เขต 2 นายสายัณห์ นิราช เขต 3 และ พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ เขต 4 ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมฟังปราศรัยจำนวนมาก

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมแล้วที่จะทำงานรับใช้ชาวฉะเชิงเทราให้เจริญรุ่งเรือง พลังประชารัฐได้เลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของชาวฉะเชิงเทราทั้ง 4 เขต โปรดเลือกผู้สมัครทั้ง 4 เขต และขอให้เลือกหมายเลข 37 ด้วย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อยากสื่อสารให้พี่น้องทราบว่าที่ผ่านมาประเทศพัฒนาได้ยาก พลังประชารัฐจึงนำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันทีที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายอำเภอในฉะเชิงเทราได้รับการดูแลจากตน พลังประชารัฐจะแก้ปัญหาความยากจน เราจะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับการศึกษา อย่างถนนหมายเลข 304 จะเป็น 4 เลน เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

นอกจากนี้ นโยบายมีเราไม่มีแล้ง ได้ลงพื้นที่ดูแลเรื่องน้ำหลายครั้งเพื่อดูแลแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ำเค็ม น้ำอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร และได้ทำโครงการต่างๆให้กับพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนมาก เรื่องที่ทำกินได้มอบหนังสืออนุญาตทำประโยชน์หลายครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่เขาตะเกียบ

‘พีระพันธุ์’ ชู ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ แก้ปัญหาคนเบี้ยว กยศ. ใช้แรงงาน-ความรู้ ทำงานให้รัฐแทนการใช้เงินคืน

(20 เม.ย.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงนโยบาย ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ ว่า เป็นนโยบายที่พรรคจะนำมาใช้แก้ปัญหาหนี้ภาครัฐ เช่น หนี้จากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่มีข้อถกเถียงกันมากก่อนหน้านี้ว่า จะยกเลิกหรือจะฟ้องร้องบังคับคดีกับผู้ที่ไม่ยอมใช้หนี้กองทุนฯ หลังจากที่กู้ยืมไปแล้ว โดยเห็นว่านโยบายการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาดังกล่าว มีจุดประสงค์สำคัญคือ การเปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่ขาดโอกาสได้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรู้จากการศึกษา โดยเด็กจำนวนมากไม่มีเงินทุนพอที่จะเรียน จึงเกิดโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาขึ้นมา แต่เมื่อเข้าไปเรียนแล้วได้ความรู้มาแล้ว หลายคนไม่ยอมกลับมาใช้หนี้กองทุนที่กู้ยืมไปจนกลายเป็นปัญหาส่งไปถึงรุ่นน้องๆ ต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า หากพิจารณาจากผู้ที่ไม่กลับมาใช้หนี้ กยศ.นี้จะเห็นได้ว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ตั้งใจจะไม่ใช้หนี้คืนเลยกลุ่มคนประเภทนี้จำเป็นต้องจัดการเด็ดขาด ด้วยการฟ้องร้องบังคับคดีเพราะเป็นคนที่ตั้งใจไม่ใช้หนี้ ทำให้รุ่นน้องเสียโอกาส 

ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งใจโกง แต่ประสบปัญหายังหางานทำไม่ได้ หรือได้งานแต่ว่าเงินเดือนไม่เพียงพอ เขาไม่อยากโกงแต่ไม่มีเงินใช้

‘อรรถวิชช์’ ชี้!! รัฐบาลบริหารไฟฟ้า-พลังงานผิดทาง ลั่น!! ชพก. มีแนวทางแก้ปัญหา-ลดภาระประชาชน

เมื่อวานนี้ (19 เม.ย.66) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ได้พูดถึงเรื่อง ‘ค่าไฟ แพงแล้ว แพงอยู่ แพงต่อ’ โดยระบุว่า ก็เป็นนโยบายรัฐบาลนะ ลุงตู่บอกว่าเป็นเรื่องของสัญญา เป็นเรื่องของธุรกิจกับธุรกิจที่ต้องเป็นไปตามสัญญา ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ตอนนี้ท่านกำลังบริหารด้านไฟฟ้าและพลังงานผิดเลยนะครับ ราคาพลังงานไฟฟ้า ต้นทุนหลักคือแก๊ส โดยแก๊สกินสัดส่วนอยู่ที่ 56.2% ของภาพรวมทั้งหมด ที่เหลือก็จะเป็นพวกไฟฟ้าสำเร็จรูป น้ำ พลังงานทดแทนต่าง ๆ แก๊สที่ใช้กันอยู่มาจากอ่าวไทย โดยอ่าวไทยกินสัดส่วนอยู่ที่ 63.3% แก๊สจากพม่า 16% และ LNG นำเข้า 20.6% จะเห็นได้ว่าแก๊สจากอ่าวไทยคือหัวใจของเรื่องนี้

ราคาแก๊สจากอ่าวไทยมีราคาลดลงมาตลอดเลย แล้วรัฐมนตรีไปใช้วิธีการทำให้ค่าไฟต่อยูนิตแพงได้ยังไง? การคิดค่าไฟจะคิดทุกๆ 4 เดือน (มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน) ตอนนี้เราอยู่ที่เดือนเมษายน (สล็อตแรก) และค่า Ft ไฟฟ้าอยู่ที่ 0.9343 / หน่วย ซึ่งถือว่าแพงแล้ว แพงกว่าตอนมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน แพงกว่าตอนค่าเงินบาทอ่อนเมื่อปีที่แล้ว แพงกว่าตอนมีวิกฤติส่งแก๊สช้ากว่าปีที่แล้วอีกนะ ตอนนั้นราคาไม่หนักเท่าวันนี้

สิ่งที่ช็อกที่สุด และพี่น้องประชาชนยังไม่รู้คือหากยังบริหารแบบนี้ไปเรื่อยๆ ให้แพงแล้ว แพงต่อ เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม (สล็อตที่ 2) สิ่งที่น่าตกใจคือการทำสำรวจจากกระทรวงพลังงาน เสียงข้างมากร้อยละ 30 ที่เห็นด้วยคือการขึ้นค่าไฟ ขึ้นค่า Ft

'ดร.หิมาลัย' แนะ 'อุ๊งอิ๊ง' เลิกท่องวาทกรรม 'รัฐประหาร' ได้แล้ว ซัด!! มีดีอะไร ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ข้ามหัวคนทั้งพรรค

(20 เม.ย.66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณี 'แพทองธาร ชินวัตร' แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ออกมาประกาศว่า “ดูหน้าดิฉันไว้ ใครจะอยากจับมือคนทำรัฐประหาร” โดยระบุ การที่แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ออกตัวว่าจะไม่จับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ ทั้งที่ยังไม่ทราบผลการเลือกตั้ง อาจจะเป็นการดูแคลนพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่มีโอกาสจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน รวมยังใช้วาทกรรมตอกย้ำเรื่องรัฐประหารอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่จะเลือกตั้งอีกไม่กี่วันแล้ว

การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง “สำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็น” วาทกรรมฮิตใช้โจมตีรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย หากสำรองไฟฟ้าไว้ไม่เพียงพอ

ประเด็น ‘ค่าไฟฟ้าแพงมหาโหด’ กลายเป็นข่าวใหญ่ของสื่อหลายสำนัก เป็นประเด็นหาเสียงของนักการเมืองและพรรคการเมือง และถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีของนักเคลื่อนไหว โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นคือจัดให้มีกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นประเด็นที่ใช้โจมตีว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรองกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก เป็นพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนพลังงาน กระทั่งมีคนบางพวกบางกลุ่มกล่าวหาว่า มีการสมรู้กันทุจริตฉ้อโกงประเทศชาติและฉ้อโกงประชาชนด้วยการกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรองมากจนล้นเกิน

ทำไมประเทศไทยจึงต้องจัดให้มีกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก? เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้บริการกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนย่อมต้องทราบดีว่าแต่ละปี แต่ละห้วงเวลา ประเทศไทยต้องใช้กระแสไฟฟ้าเป็นจำนวนเท่าใด จะต้องเตรียมกระแสไฟฟ้าปริมาณเท่าใด เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ของผู้บริโภคในทุกฤดูกาล เมื่อประเทศจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าและจำเป็นต้องมีการสำรองกระแสไฟฟ้าไว้ให้เพียงพอต่อการใช้สอยโดยไม่ขัดสน ซึ่งปริมาณการสำรองที่พอเหมาะพอดีจะมีผลต่อประสิทธิภาพและสมรรถนะในการทำกำไรของการประกอบการธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้สติปัญญาความสามารถและเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบจึงจะสามารถรักษาประโยชน์แห่งรัฐและองค์กร ตลอดจนประโยชน์ของประชาชนได้ 

เพราะหากการสำรองกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้แล้วก็จะเกิดผลกระทบต่อการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะถ้ากระทบต่อการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็จะกลายความเสียหายมากมาย ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีการสำรองกระแสไฟฟ้าไว้จนมากเกินต่อความจำเป็น และเกินกว่าอัตรามาตรฐานปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ควรสำรอง ก็จะเกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน เพราะทุกจำนวนที่มีการสำรองกระแสไฟฟ้านั้นจะต้องจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้จำหน่าย ไม่ว่าจะมีการใช้กระแสไฟฟ้านั้นหรือไม่ก็ตาม เพราะปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุดย่อมต้องทราบดีอยู่แล้ว เพราะสถิติบันทึก จึงสามารถประมาณการความต้องการกระแสไฟฟ้าได้ 

‘การสำรองไฟฟ้า’ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ
1. กำลังผลิตสำรองของระบบผลิตไฟฟ้า (Standby Reserve) เป็นโรงไฟฟ้าสำรองตามแผนการผลิตไฟฟ้า โดยมาตรฐานสากลจะกำหนดไว้ราว 15 เปอร์เซ็นต์ ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดเนื่องจากในการวางแผนการผลิตไฟฟ้า จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างรอบคอบ อาทิ ความต้องการไฟฟ้าที่อาจเพิ่มสูงกว่าการพยากรณ์ การหยุดซ่อมโรงไฟฟ้า การเสื่อมสภาพของโรงไฟฟ้า ความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง ข้อจำกัดของระบบส่งในแต่ละพื้นที่ และลักษณะทางเทคนิคของ โรงไฟฟ้าแต่ละประเภท

2. กำลังผลิตสำรองพร้อมจ่าย (Spinning Reserve) เป็นกำลังผลิตสำรองจากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่ หรือ สามารถ สั่งเพิ่มการจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ระบบมีความต้องการ ซึ่งตามมาตรฐานจะอยู่ที่ 800-1,600 เมกะวัตต์ หรือ อย่างน้อยมากกว่า กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด เพื่อรองรับหากเกิดเหตุการณ์ขัดข้องที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาดใหญ่ เช่น กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติก็สามารถสั่งจ่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทันที ป้องกันปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ ซึ่งอาจลุกลามจนเกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง (Blackout) ได้

อย่างไรก็ตาม ‘การสำรองไฟฟ้า’ ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันขึ้นกับเงื่อนไขและฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานไฟฟ้าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่าความต้องการค่อนข้างสูง โดย กฟผ. ได้ศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าของหลายประเทศเอาไว้ ดังนี้ (ข้อมูลของปี พ.ศ. 2563)

-สเปน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 100% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 80% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 180%

-อิตาลี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 81% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 55% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 136%

-โปรตุเกส มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 65% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 65% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 130%

-เดนมาร์ค มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 32% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 98% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 130%

-เยอรมนี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 13% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบอีก 98% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 111%

-เนเธอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 65% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 28% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 93%

-สวิสเซอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 81% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 11% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิต ที่มากกว่าความต้องการ 92%

-จีน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 68% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 23% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 91%

-ออสเตรเลีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 44% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 21% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 65%

-สวีเดน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 36% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 21% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 57%

-มาเลเซีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 47% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 4% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 51%

-ไทย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 22% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 17% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 39% 
(ที่มา : The Bangkok Insight)

‘ชนินทร์ ปชป.’ ชูนโยบายเฉพาะพื้นที่ ดันโครงการ “คลองสวย ฟ้าใส ใจสะอาด”  หวังพัฒนาพื้นที่เขตบางกอกน้อย-บางพลัด เป็นแหล่งท่องเที่ยว

(20 เม.ย.66) นายชนินทร์ รุ่งแสง ผู้สมัครส.ส.กทม. เขต 33 หมายเลข 7 พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ได้ทยอยออกมาตามลำดับภายใต้แนวคิด สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ และขอยืนยันว่าแต่ละนโยบายของเราอยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบไม่ขายฝัน ทำลายชาติ ไม่ก่อหนี้ให้ประเทศเพิ่มอย่างแน่นอน และยังจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต 5% โดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ 1 ล้านล้านบาท ผลประโยชน์กระจายตรงสู่เศรษฐกิจรากหญ้า

“สิ่งที่จะต้องควบคู่ไปกับบริหารภาพใหญ่ของประเทศ คือนโยบายเฉพาะพื้นที่นั้นๆ สำหรับเขตเลือกตั้งที่ 33 ครอบคลุมเขตบางกอกน้อย บางพลัด ผมขอเสนอโครงการ “เขตคลองสวย ฟ้าใส ใจสะอาด” ส่งเสริมพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯฝั่งธน เพราะในฐานะผมเป็นคนในพื้นที่นี้รู้ว่า ทั้งสองเขตมีคลองและศาสนสถานจำนวนมาก จึงต้องการดึงนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนแบบสบายๆ นั่งเรือ ทำบุญ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคลองสายต่างๆที่ทรุดโทรมจำเป็นจะต้องลอกคลองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นทางให้น้ำได้ระบายอย่างสะดวก และสวยงามโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงนี้” นายชนินทร์ กล่าว

‘ผู้กองมาร์ค’ ชู ‘แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน’ ลั่น!! หาก ‘บิ๊กป้อม’ ได้เป็นนายกฯ พร้อมขจัดทุกปัญหา

(20 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางซื่อ - ดุสิต พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวในงานโครงการลมวิเศษ ณ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ว่า ทุกนโยบายของพรรคพลังประชารัฐสามารถทำได้ทันที โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 หยุดการเผาและลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หยุดเผาป่าเผาไร่นาและเศษวัสดุทางการเกษตร และเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปและนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวล ลดปัญหาหมอกควันในภาคเหนือและเมืองใหญ่ โดยจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ การอนุรักษ์ การป้องกัน บำบัดและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ อากาศ สัตว์ป่า พันธุ์พืช แร่ธาตุ และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล

ชำแหละ!! 5 เขตเลือกตั้ง ‘เมืองคอน’  ใครจะเสยคางใคร หลังรู้เชิงกันแล้ว 

ชำแหละ 5 เขตเลือกตั้งเมืองคอน มวยยก 3 แลกหมัดกันสนุกแน่ หลังรู้เชิงกันแล้ว จับตายกสุดท้ายใครจะเสยคางใคร

หลังมีความสุขกับช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์ เรามาทบทวนกันอีกครั้งสำหรับ 10 เขตเลือกตั้งของนครศรีธรรมราช ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 20 กว่าวัน ก็จะได้เวลาประชาชนพิพากษา 14 พฤษภาคม...ถ้าหากเรียกเป็นภาษามวย ก็ถือว่าเข้าสู่ยกที่ 3 เข้าให้แล้ว

>> เขต 1 
เมืองในเขตเทศบาลนคร ที่มี ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ เป็นแชมป์อยู่ในนามพรรคพลังประชารัฐ ถ้ามองผิวเผินเหมือนจะเป็นการแข่งขันกันของ 4 พรรคใหม่ คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ส่ง ‘พูน แก้วภราดัย’ ลูกชายของ ‘น้อย-วิทยา แก้วภารดัย’ ส่วนประชาธิปัตย์ ส่งอดีตผู้ว่าฯ ‘ราชิต สุดพุ่ม’ พรรคพลังประชารัฐ ส่ง ‘ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ’ และ พรรคภูมิใจไทย ส่งอดีตนักการธนาคาร ‘จรัญ ขุนอินทร์’ 

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปในรายละเอียด น่าจะเป็นการต่อสู้กันระหว่าง ‘ดร.รงค์’ กับ ‘ราชิต’ เป็นหลัก ซึ่งราชิต อาศัยฐานเดิมของประชาธิปัตย์ ที่มีทุนเดิมอยู่บ้างแล้วอย่างน้อยเขตละ 10,000 เพียงแต่จะทำอย่างไรให้คะแนนต่อยอดไปถึง 30,000 นั้น หมายถึงหาเพิ่มอีก 20,000 คะแนน ซึ่งความเป็นอดีตนายอำเภอเมือง และสายสัมพันธ์กับชุมชนในฐานะอดีตนักปกครอง ก็น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับ ดร.รงค์ ที่มีฐานเสียงเดิมในฐานะแชมป์ หลังจากในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา มีทั้งจุดด้อย และจุดเด่น จนเมื่อได้ ‘โกเก้า’ เกรียงศักดิ์ ภู่พันธุ์ตระกูล ผู้กว้างขวางในวงการเมืองเข้ามาจับมือกับ โกจู๋-วิฑูรย์ อิสระพิทักษ์กุล ช่วยกันประสานมือทำคะแนนให้กับ ดร.รงค์ จึงทำ ดร.รงค์ เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวขึ้นมาทันที แต่ราชิตก็ได้ ‘ลุงนึก’ สมนึก เกตุชาติ อดีตนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชเข้ามาช่วย ทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาลุงนึกไม่เอาประชาธิปัตย์เลย แต่คราวนี้หนีไปพ้นเมื่อญาติสนิทลงชิง

ฉะนั้น ราชิต คงต้องหาตัวช่วยที่เข้มแข็งเข้ามาช่วยทำงาน ทั้งคนในและคนนอกพื้นที่ที่มีบารมีพอฟัดพอเหวี่ยงกับสองโกเพื่อเดินไปสู่เป้าหมาย ‘ล้มรงค์’ ซึ่ง ดร.รงค์ก็เป็นนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ชั้นเชิงทางการเมืองก็ไม่ธรรมดา เอาเป็นว่า ‘รู้เขารู้เรา’

>> เขต2 
ถือเป็นเขตปลอด ส.ส.เก่า คือ ไม่มีเจ้า แต่ ‘สายัณห์ ยุติธรรม’ ย้ายจากท่าศาลา มาลงเขตนี้ และย้ายพรรคจากพลังประชารัฐมาอยู่กับ ‘ลุงตู่’ ที่รวมไทยสร้างชาติ เพื่อเปิดทางให้น้องชาย ‘อำนวย ยุติธรรม’ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในบ้านเกิดท่าศาลา ซึ่งสายัณห์แม้จะเป็นอดีต ส.ส.แต่คนละเขต แม้เขตใหม่จะเป็นฐานเดิมอยู่บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด สายัณห์ต้องสร้างฐานใหม่ย่านพระพรหม ซึ่งก็มีอัตราเสียงอยู่ไม่น้อย 

ทว่าแม้เจ้าตัวจะยืนยัน 4 ปีมีผลงาน และคนรู้จัก แต่เมื่อมาดูคู่แข่งแล้ว จะพบว่า ประชาธิปัตย์ลงตัวที่ ‘นายกหนึ่ง’ นายทรงศักดิ์ มุสิกอง อดีตนายกฯ ปากนคร ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะได้สร้างขึ้นมาสืบทอดเจตนารมณ์-อุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ต่อไป ส่วนด้าน พรรคพลังประชารัฐ ‘สจ.สุภาพ ขุนศรี’ ยอมหลีกให้ ดร.รงค์ มาลงเขตนี้ โดยสจ.สุภาพ ออกจาก เครือข่ายผู้นำท้องถิ่น-ท้องที่แล้ว จะต้องอาศัยเครือข่ายของสามี สายนักเลง นักการพนัน แต่เป็นคนต่างถิ่น เอาเป็นว่าเขตนี้ ‘สายัณห์-สจ.สุภาพ’ หายใจรดต้นคอกันเป็นแน่แท้ ส่วนทรงศักดิ์ อยู่ที่องคาพยพของประชาธิปัตย์ จะช่วยกันหอบหิ้วได้แค่ไหน ถ้าประชาธิปัตย์ตั้งเป้าว่านครศรีฯจะต้องได้ 7+ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ จะต้องออกแรงมากกว่านี้ นายกฯ หนึ่งถึงจะเข้าวิน

กล่าวสำหรับพระพรหมแล้ว ถือว่าทุกคนใหม่หมด สจ.สุภาพ มาจากเขตเมือง นายกฯ หนึ่งมาจากปากนคร สายัณห์มาจากท่าศาลา โอกาสจึงเป็นของทุกคน สายัณห์อยู่ในฐานะได้เปรียบ เพราะมีฐานเดิมอยู่บ้างในบางตำบล

>> เขต 3 (หัวไทร-ปากพนัง) 
แม้ ‘เท่ห์-พิทักษ์เดช เดชเดโช’ ลูกชายของ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ นายกฯอบจ.นครศรีฯ น้องชายของแทน-ชัยชนะ เดชเดโช จะเปิดตัวทีหลัง แต่ก็มาแรงแซงขึ้นที่ 1 อย่างรวดเร็ว วิ่งฉิวนำหน้า ขณะที่ ‘มานะ ยวงทอง’ จากภูมิใจไทย ที่เปิดตัวมาร่วมปี และเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันแล้ว แต่ม้าตีนต้นเริ่มแผ่วปลายกับการบริหารจัดการในบางเขต-บางโซน แม้บางเขตจะยังเหนียวแน่นกับเครือญาติก็ตาม แต่บางองคาพยพเริ่มเปลี่ยนค่ายบ่ายหน้าไปค่ายสีฟ้า 

ส่วนพลังประชารัฐ ส่ง ‘สัณหพจน์ สุขศรีเมือง’ ซึ่งเป็นแชมป์เก่า ดูภาพรวมแล้วไม่หวือหวา กระสุนยังไม่ออก ก็เหนื่อยหน่อย ฐานคะแนนเดิมเริ่มถูกแย่ง-ถูกแบ่งแยก สถานการณ์ปัจจุบันเงียบไปนิดหนึ่ง ส่วนรวมไทยสร้างชาติส่ง ‘นนทิวรรธน์ นนทภักดิ์’ คนสนิทของวิทยาลงประชัน ซึ่งนนทิวรรธ์ มีฐานเสียงที่หน้าแน่นอยู่ในตลาดปากพนัง เป็นด้านหลัก แต่โซนหัวไทรยังเป็นจุดบอด ถ้ามีเวลาให้เตรียมตัวมากกว่านี้ และใช้เครือข่ายวิทยาเดินเครื่อง ก็น่าสนใจ เพราะเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวที่เป็นคนพื้นที่ เกิดที่ปากพนัง ขณะที่ พิทักษ์เดช เกิดที่ร่อนพิบูลย์ แต่มีภรรยาคนปากพนัง, สัณหพจน์ เกิดที่เชียรใหญ่ แต่เคยคลุกคลีกับธุรกิจกุ้งในวัยหนุ่ม, มานะ เกิดที่เชียรใหญ่ ไม่ค่อยได้อยู่ในพื้นที่ทำธุรกิจกล่องกระดาษอยู่สมุทรสาคร และชลบุรี ในช่วงโควิดระบาดหนักเขาจึงบริจาคกล่องกระดาษทำเตียงสนามจำนวนมาก และผันตัวเองมาลง ส.ส.

>> เขต 3 
ไม่ควรมองข้าม ‘มนตรี เฉียบแหลม’ จากเพื่อไทย ที่คนเริ่มเบื่อพรรคโน้นพรรคนี้ และมองหาพรรคใหม่ เพื่อไทยจึงเป็นตัวเลือกอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายว่า เพื่อไทยเปิดตัวเขาให้ลงเขตนี้ช้าไป แต่กระแสเพื่อไทยพอมี คะแนนพรรคมีแน่นอน และตัวเลขไม่น่าเกลียดด้วย ฉะนั้นเขต 3 ด้วยเครือข่ายที่มากกว่า เหนียวแน่นกว่า ถึงกว่า ท้ายที่สุดแล้ว ‘โกเท่ห์’ จะเข้าป้าย แต่ตัองระวัง-หลีกเลี่ยงข้อสุ่มเสี่ยง

>> เขต4 (ชะอวด-เชียรใหญ่-เฉลิมพระเกียรติ)
น่าจะเป็นเขตที่สู้กันดุเดือด มีคู่แข่งหลักอยู่ 5 พรรค แชมป์เก่าคือ ‘อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ’ ยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิม และมั่นใจในผลงาน บทบาทหน้าที่ที่ผ่านมา สองปี ส่วน ประชาธิปัตย์ ส่ง ‘ยุทธการ รัตนมาศ’  อดีตรองนายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช เคยมีข่าวโด่งดังในตำแหน่งนายกสมาคมกีฬานครศรีธรรมราช


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top