Monday, 28 April 2025
ElectionTime

‘เศรษฐา’ ร่วมหารือผู้ประกอบการร้อยเอ็ด เรื่องผลผลิตราคาตกต่ำ ชี้ ทุกคนเห็นปัญหา แต่ไร้ผู้นำในการแก้ไข ขอเสนอ ‘พท.’ ช่วยกู้วิกฤต

‘เพื่อไทย’ พบกลุ่มนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเกษตรกร จังหวัดร้อยเอ็ด สะท้อนราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ ข้าว-วัวราคาถูก รวมถึงระบบชลประทานที่ยังขาดแคลน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ชี้ว่าทุกคนเห็นปัญหาร่วมกันแต่ไร้คนขับเคลื่อนแก้ไข เพื่อไทยขอเสนอตัวเข้าไปแก้ไขปัญหาเอง

(18 เม.ย. 66) ที่สาเกต ฮอลล์ ​จังหวัดร้อยเอ็ด แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ​แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, น.ส.พานทองแท้ ชินวัตร ที่ปรึกษาศูนย์ปฎิบัติการเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย, นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรค, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ​ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร​ คณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทยทั้ง 8 เขต พบปะตัวแทนกลุ่มนักธุรกิจ และผู้ประกอบจังหวัดร้อยเอ็ดกว่า 30 คน

ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร สะท้อนปัญหาข้าวหอมมะลิของทุ่งกุลาร้องไห้ว่า ตอนนี้ราคาข้าวหอมมะลิราคาตกลง ตั้งแต่หลังรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกษตรกรชาวนาไม่ได้รับการดูแลสนับสนุน จึงอยากให้รัฐบาลใหม่ส่งเสริมให้ราคาข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้นและใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มเหมือนเช่นอดีต ซึ่งสิ่งที่เกษตรกร ต้องการคือ 

1.) ต้องการขายข้าวและพืชผลการเกษตรได้ราคา หรือในราคาสูง เพราะทุกวันนี้ขาดทุนอยู่ทุกวัน
2.) โค กระบือ ราคาตกลงอย่างมาก คนทำฟาร์มเลี้ยงไปไม่รอด 
3.) ปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งวันนี้ระบบชลประทานยังเข้าไม่ถึงพื้นที่

ขณะที่ ตัวแทนสภาหอการค้า สะท้อนว่าจังหวัดร้อยเอ็ดติดลำดับเมืองที่ยากจน วันนี้เราต้องผลักดันเกษตรแปรรูป สร้างอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เพราะราคาข้าวตกต่ำ ต้องนำไปแปรรูปเช่น เหล้าสาเก รวมถึงปัญหาราคาต้นทุนพลังงาน ที่ทั้งประชาชนและภาคอุตสาหกรรมต้องแบกภาระ จึงอยากให้ดูแล

นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวว่า รู้สึกว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็นอะไรที่เราอัดอั้นตันใจ ค้าขายก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดี ตนคิดว่าเรื่องของรายได้เกษตรกรถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของพรรคเพื่อไทย ซึ่งนโยบายหลักของเราคือ รายได้ของพี่น้องเกษตรกรต้องโตขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี และต้นทุนซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของพี่น้องต้องต่ำลง โดยเราจะมีการนำนวัตกรรมมาเสริมเพื่อลดต้นทุนตรงนี้

'ชัยวุฒิ' ยก 'บิ๊กป้อม' มือประสานทุกฝ่าย ชี้!! เป็นนายกฯ โลกความจริง ไม่ใช่โลกออนไลน์

(18 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการยกเลิกการเกณฑ์ทหารของบางพรรคการเมืองว่า ทุกคนเห็นต่างกันได้ พรรคการเมืองที่มีความเห็นไม่ตรงกับพรรคพลังประชารัฐ ก็จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของเรา ตนก็มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองอื่นเช่นเดียวกัน ถือเป็นการใช้สิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะที่มีบางพรรคพูดถึงเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีนโยบายนี้ เราเห็นด้วยกับการคงนโยบายการเกณฑ์ทหารไว้ และให้มีการพัฒนากองทัพ ให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพราะเราเชื่อว่าความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเรื่องของการเกณฑ์ทหารมีระบบการสมัครใจอยู่แล้ว หัวใจสำคัญคือ ต้องดูแลทหารให้ดีขึ้น ให้คนที่ผ่านการเกณฑ์หรือสมัครเข้ามาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีประสบการณ์และได้รับการฝึกฝนที่ดี

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่อยากให้ทำนโยบายที่คิดถึงแต่ความนิยม หรือเอาใจประชาชน จนทำให้เกิดค่านิยมที่ผิด ค่านิยมไม่เสียสละเพื่อแผ่นดิน ตนไม่อยากใช้คำว่าชังชาติ แต่คิดว่าเป็นค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง อยากให้มองว่ากองทัพเป็นสิ่งสำคัญ ต้องช่วยกันสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เพราะนี่คือความมั่นคงของชาติที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะทำให้เศรษฐกิจของเราเดินหน้า ต่อไปได้ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายพรรคมองว่านโยบายการเกณฑ์ทหารควรได้รับความสมัครใจจากผู้ที่ประสงค์จะสมัครเป็นทหาร นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เป็นแนวคิดของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งในข้อเท็จจริงวันนี้เรามีแผนพัฒนากองทัพ และมีการวางแผนใช้กำลังทหารอยู่แล้ว และปัจจุบันมีการปรับลดจำนวนทหารเกณฑ์ จาก 100,000 คนเหลือเพียง 6 หมื่นคน แต่ปัจจุบันผู้ที่สมัครเข้ามามีจำนวนไม่เพียงพอ จึงยังต้องคงระบบการเกณฑ์ทหารเอาไว้ ตนเชื่อว่าภัยคุกคามประเทศยังคงมีอยู่ บางเรื่องที่นักการเมืองไม่รู้แต่ฝ่ายความมั่นคงรู้ ก็ควรจะรับฟังและพูดคุยกันด้วยเหตุผล

ผู้สื่อข่าวถามถึงผลโพลที่ออกมา ที่ระบุว่า พล.อ.ประวิตร เป็นอันดับ 1 ในการก้าวข้ามความขัดแย้ง นายชัยวุฒิ กล่าวว่า นี่เป็นนโยบายหลักของพรรคอยู่แล้ว พล.อ.ประวิตร มีแนวคิดและแนวทางในการทำงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว ในเรื่องของการประนีประนอม และพูดคุยกับทุกฝ่าย ทุกวันนี้สังคมไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสุดโต่ง มีทั้งฝ่ายซ้ายจัด ขวาจัด บางคนก็อยากเปลี่ยนประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นการเปลี่ยนที่ไกลเกินไป จนคนไทยรับไม่ได้ และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต รวมถึงบางคน ที่คิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องของครอบครัว มากเกินไป ก็จะทำให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งรับไม่ได้เช่นกัน

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง อาจจะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และทำให้บ้านเมืองมีปัญหาในอนาคต พล.อ.ประวิตร จึงต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง รับฟังทุกกลุ่มทุกฝ่าย ประสานให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้ ที่สำคัญคือเราคิดต่างกันได้ แต่ต้องมาหาทางออกร่วมกัน

“เชื่อว่าลุงป้อม จะเป็น Soft Power ที่จะทำให้ทุกคนมาทำงานร่วมกันได้ และสามัคคีกันได้ และเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศชาติของเราเดินหน้าไปได้ ประชาชนก็จะอยู่ดีกินดีก้าวข้ามความขัดแย้งก้าวข้ามความยากจน"

‘พปชร.’ ประกาศ ‘ไฟฟ้าประชาชน’ มั่นใจ!! ลดฮวบ ‘ไฟบ้าน’ เหลือ 2.50 บาท ‘ไฟอุตฯ’ เหลือ 2.70 บาท

(18 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ แถลงผลประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นประธานโดยที่ประชุมได้ข้อสรุปการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ รวมไปถึงการลดราคาน้ำมันและค่าแก๊ส และการลดค่าไฟฟ้า เป็นเวลา 1 ปี

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมาจาก 4 แห่งใหญ่ คือ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จากนั้นจ่ายผ่านการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไปยังธุรกิจอุตสาหกรรม และประชาชน ซึ่งคนไทยทั้งประเทศใช้ไฟฟ้าประมาณ 200,000 ล้านหน่วยต่อปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใช้ไฟมากกว่า 60% 

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า โครงสร้างราคาไฟฟ้า คือ ค่าไฟฟ้าฐาน และ ค่า FT มาบวกกัน ถึงออกมาเป็นค่าไฟฟ้าต่อหน่วย โดยปัจจุบันนี้อัตราค่าไฟของประเทศในอาเซียน ประเทศไทยถือว่าแพง พรรค พปชร.จึงต้องแก้ปัญหานี้ให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยรื้อและปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ภายใต้กรอบวินัยการเงิน และการคลัง 

กาฬสินธุ์ เพื่อไทยยกทัพตอกเสาเข็มแลนด์สไลด์กาฬสินธุ์ทั้ง 6 เขต

เพื่อไทยยกทัพนำขุนพลเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย “บอล” พลากร พิมพะนิตย์ ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 2 ตอกเสาเข็มกาฬสินธุ์ต้องแลนด์สไลด์ทั้ง 6 เขต  ด้าน“อุ๊งอิ๊ง”วีดีโอคอลอ้อนคิดถึงชาวกาฬสินธุ์ขออย่าปันใจ ย้ำพรรคเพื่อไทยไม่มีสาขา  ให้เลือกทั้งคน ทั้งพรรคแลนด์สไลด์ทั่วประเทศ ขณะที่ “เศรษฐา”ประกาศเดินหน้านโยบายกระเป๋าตังค์ดิจิทัลให้คนละ 10,000 บาท ยืนยันไม่ยกเลิกบัตรคนจน ระบุพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนจนจะหมดไปเอง


เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 18 เมษายน 2566 ที่สนามกีฬาโรงเรียนวังมนวิทยาคาร ต.หัวงัว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายอดิศร เพียงเกษ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย  และนายพานทองแท้ ชินวัตร เปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยนายพลากร พิมพะนิตย์ ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 2 พรรคเพื่อไทย เบอร์ 4 โดยมีนายวิรัช พิมพะนิตย์  ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 พรรคเพื่อไทย นางยรรยงรัตน์ ไชยศิวามงคล ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 3 นายทินพล ศรีธเรศ ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 5 และผู้สมัคร ส.ส.จาก จ.ร้อยเอ็ดเข้าร่วมปราศรัย พร้อมประกาศตอกเสาเข็มแลนด์สไลด์กาฬสินธุ์ทั้ง 6 เขต ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมรับฟังกว่า 20,000 คน หลังจากเมื่อช่วงเวลา 15.00 น.ได้เปิดเวทีปราศรัยจุดแรกที่อำเภอกมลาไสย


โดยเวทีการปราศรัยครั้งนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ยังได้ปราศรัยผ่านระบบออนไลน์ หรือวีดีโอคอลมาถึงพี่น้องประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งนางสาวแพทองธาร บอกว่า คิดถึงพี่น้องชาวกาฬสินธุ์ รอคลอดน้องแล้วจะไปหา พร้อมขอแรงเชียร์ แรงใจ จากพี่น้องประชาชนชาวกาฬสินธุ์ เลือกพรรคเพื่อไทย เราไม่มีพรรคอื่น ขออย่าปันใจ ให้เลือกทั้งคน ทั้งพรรค เลือกพรรคเพื่อไทยเท่านั้นให้แลนด์สไลด์ทั้ง 6 เขต และแลนด์สไลด์ทั่วประเทศ เพื่อเข้าไปเป็นรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติด และแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศ


ด้านนายอดิศร เพียงเกษ  กล่าวปราศรัยว่า ผ่านมา 8 ปีแล้ว และหมดเวลาแล้วสำหรับการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาล"ประยุทธ์"  ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยพร้อมที่สุด พร้อมทั้ง ส.ส.เขต พร้อมทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และพร้อมทั้งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่จะเข้าไปกู้หน้าตาให้ประเทศไทยกลับคืนมา ขอพี่น้องประชาชนเปิดโอกาสให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลและขอพี่น้องชาวกาฬสินธุ์เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ทั้ง 6 เขต

‘เศรษฐา’ ประกาศชัด!! นาทีนี้ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง วอน ปชช.แทงตรง!! เลือกเพื่อไทยทั้ง 2 ใบเท่านั้น

(18 เม.ย.66) พรรคเพื่อไทย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย น.ส.พานทองแท้ ชินวัตร ที่ปรึกษาศูนย์ปฎิบัติการเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรค ผู้บริหารพรรค พร้อมด้วย ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ ได้แก่ นายวิรัช พิมพะนิตย์ เขต 1 เบอร์ 9, นายพลากร พิมพะนิตย์ เขต 2 เบอร์ 4, นางยรรยงรัตน์ ไชยศิวามงคล เขต 3 เบอร์ 7, นายพีระเพชร ศิริกุล เขต 4 เบอร์ 3, นายทินพล ศรีธเรศ เขต 5 เบอร์ 8, และ นายประเสริฐ บุญเรือง เขต 6 เบอร์ 9 เปิดปราศรัยที่สวนสุขภาพข้างที่ว่าการ อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ท่ามกลางประชาชนผู้ฟังกว่า 5,000 คน

นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ชาวนาถือว่าเป็นอาชีพหลักของพี่น้องกาฬสินธุ์ ปัจจุบันค่าปุ๋ยแพง ต้นทุนการผลิตสูง ทำให้รายได้ไม่พอกินพอใช้ ประชาชนอยู่ได้อย่างไม่มีศักดิ์ศรี ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาบริหารจัดการ เราจะใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ให้ไปเปิดตลาดใหม่ ๆ ในการค้าขายให้พี่น้องทุกคน ด้านสิทธิที่ดินทำกิน พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะให้ที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ภายใน 4 ปี เพื่อให้พี่น้องมีที่ดินอย่างมีศักดิ์ศรี

“นโยบายดี ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล วันนี้พรรคเพื่อไทยมาวิงวอนหาเสียงให้พี่น้องคนกาฬสินธุ์ เข้าคูหากาเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ เรายอมไม่ได้ให้ใครมาบอกเป็นพรรคพี่พรรคน้อง วันนี้ต้องแทงตรงอย่างเดียวคือ เลือกพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าว

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวปราศรัยว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ถ้าคนหนึ่งได้เป็นนายก อีกสองคนก็จะร่วมกันทำงาน ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทย คือเพื่อไทย ต้องกาเพื่อไทย ไม่มีพรรคเพื่อน ไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง ขอให้พี่น้องเลือกให้เพื่อไทยชนะขาดลอย และถ้าต้องการให้ประยุทธ์ ประวิตร กลับบ้าน ต้องกาพรรคเพื่อไทย คราวนี้ต้องชนะแลนด์สไลด์ ตนจึงชวนประชาชนล้มอำนาจ 3 ป. และ 250 สว.

“กาฬสินธุ์ เว้นเขตใดเขตหนึ่งไม่ได้ ฟันหลอไม่ได้ เพราะว่าถ้าพลาดแม้แต่แต้มเดียว พวกนั้นทึกทักเอาอีก สิทธิ์ในการตั้งรัฐบาลของพวกเขาคือเสียงข้างน้อย หรือใช้กล้วย มีงูเห่า ฉะนั้น ต้องฆ่างูเห่าล่วงหน้า ด้วยการกาเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์” นายณัฐวุฒิ กล่าว


ที่มา : https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid0vAFHspD1zYpC9drW88CJQJLMRBURmrFNaDpyvhGRqnG6EmFUYkQ25TusRJ52ickPl

‘ปิยบุตร’ ร่วมปราศรัย จ.หนองบัวลำภู ย้ำ ต้องเร่งแก้รัฐธรรมนูญ ลั่น!! ถ้า ‘ก้าวไกล’ ได้เป็น รบ.พร้อมดันประชามติทั้งประเทศทันที

‘ปิยบุตร’ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภูหาเสียง ประชาชนร่วมเวทีอบอุ่นคับคั่ง ปราศรัยย้ำความจำเป็นเร่งแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อถ้าเปลี่ยนขั้วอำนาจหลังเลือกตั้งแล้วไม่รีบแก้ เกิดการใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญล้มรัฐบาลแน่ ชี้ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ภายใน 100 วัน พร้อมดันประชามติถามประชาชนอยากได้รัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ทันที

(18 เม.ย.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู ในหลายเขต พร้อมกับ นายอภิชาติ ศิริสุนทร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ‘ครูใหญ่’ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล

โดยเริ่มต้นกิจกรรมช่วงเช้าที่ วัดสุวรรณาราม อำเภอสุวรรณคูหา ช่วยหาเสียงให้กับนายสมเกียรติ เชษฐสุมน ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 3 (เบอร์ 8) ก่อนที่ช่วงบ่ายจะเดินทางต่อไปยัง วัดศรีชมชื่น อำเภอนาวัง ช่วยหาเสียงให้กับ นายทรงเดช มหาเสนา ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 2 (เบอร์ 7) ซึ่งในทั้งสองเวที ต่างได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่ร่วมการรับฟังและส่งเสียงตอบรับชื่นชอบตลอดการปราศรัย

‘ปชป.’ ลุยดอนเมือง อ้อน ปชช.หนุน ‘ธัญญ์นิธิ’ เข้าสภาฯ เผย พรรคทำงานหนักต่อเนื่อง เชื่อ ทุกคนเห็นความตั้งใจ

ทีม ปชป. กทม. ลุยหาเสียงเขตดอนเมือง ช่วย ‘ธัญญ์นิธิ’ ด้าน ‘องอาจ’ วิงวอน ปชช.หันกลับมาเลือกประชาธิปัตย์ ขณะที่ ‘มาดามเดียร์’ ยืนยัน เดินหน้าลงพื้นที่-จัดเวทีปราศรัย หลังคะแนนนิยมพรรคยังเป็นรอง

(18 เม.ย. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง และ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม.ลงพื้นที่เขตดอนเมือง ช่วยหาเสียงให้ นายธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ ผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง หมายเลข 7 โดยเริ่มต้นด้วยการขึ้นรถแห่รอบถนนสรงประภา และพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนจะลงเดินทักทายรับฟังปัญหา และแนะนำผู้สมัคร ส.ส.ที่บริเวณตลาดโกสุม

นายองอาจ กล่าวว่า ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนเดิมตั้งแต่ปี 2562 และอยู่ในพื้นที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชนมาโดยตลอด เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเห็นว่านายธัญญ์นิธิ เป็นที่ไว้วางใจและเป็นตัวเลือกเข้ามารับใช้ประชาชนในพื้นที่ต่อไป ซึ่งปกติแล้วทุกพื้นที่ก็จะมีอดีต ส.ส.ที่มีฐานเสียงเดิมอยู่แล้ว คนใหม่ก็ต้องทำงานหนักขึ้น

เมื่อถามว่าเขตดอนเมือง ถือเป็นเขตที่ยากสำหรับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง อยู่ที่ช่วงจังหวะเวลาการเมืองในขณะนั้นมีหลายเงื่อนไข หลายปัจจัย ที่จะมีส่วนในการตัดสินใจของประชาชน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทีมงานพรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัคร ทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนเห็นความตั้งใจจริง และจากการลงพื้นที่มาตลอดเชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาส ผู้สมัครเขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์

นายองอาจ ยังกล่าวถึงภาพรวมของพรรคจากการลงพื้นที่ว่า ประชาชนให้การตอบรับดี และมีประชาชนหลายคนเข้ามาพูดว่าขอโทษที่ครั้งที่แล้วไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์และจะกลับมาเลือกซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ว่าประชาชนที่คอยสนุบสนุนพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะใน กทม.ที่พรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่า 1,000,000 เสียงมาโดยตลอด แต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เหลือคะแนนเพียง 390,000 เสียง

เพราะฉะนั้น คราวนี้ขอร้องวิงวอนพี่น้องประชาชน ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ขอให้กลับมาเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเชื่อว่าเสียงที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ กทม.แล้วไปเลือกพรรคอื่นในการเลือกตั้งปี 62 หากกลับมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ ส.ส.ใน กทม.อย่างแน่นอน

'นายชวน' ชู 'อภิมุข เบอร์ 7 บางคอแหลม' เป็นคนตั้งใจ วอน!! เลือก ปชป. เบอร์ 26 ซื่อสัตย์สุจริตดูแลเงินภาษีปชช.

(19 เม.ย.66) นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 มาพื้นที่ริมถนนเจริญกรุงเมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน และขอความสนับสนุนคะแนนเสียงให้แก่ นายอภิมุข ฉันทวานิช ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางคอแหลม-ยานนาวา เบอร์ 7 

รวมถึงได้ปราศรัยเป็นระยะเวลาสั้นๆ ถึงนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ นมโรงเรียน กองทุน กยศ. ฯลฯ 

ตอนหนึ่ง อดีตนายกฯ ชวน ได้ขอให้พี่น้องประชาชนสนับสนุนพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่มีความซื่อสัตย์ เพื่อที่จะเข้าไปทำหน้าที่ดูแลงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนซึ่งมีจำนวนมหาศาล

“ขอพี่น้องได้เลือกเส้นทางประเทศ เลือกพรรคที่ซื่อสัตย์สุจริต เพราะบ้านเมืองของเรา แม้จะเก็บภาษีจากพี่น้องไปมากกว่า 3 ล้านล้านก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า เงินเหล่านั้นไม่ได้ไปถึงชาวบ้านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก ด้วยมีการรั่วไหลอันมาจากนักการเมืองไม่สุจริต 

‘บิ๊กป้อม’ ร่อนจดหมายตอบปม ‘จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร?’  ย้ำ!! พปชร. พร้อมตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของคนไทย

(19 เม.ย.66) เพจเฟซบุ๊กพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเพจทางการของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความระบุว่า จะ ‘จัดตั้งรัฐบาล’ อย่างไร ดูจะยังเป็นประเด็นสับสน เกิดการพูดต่อๆ กันไปมากว่า ‘พลังประชารัฐ’ คิดอย่างไรกับการ ‘จัดตั้งรัฐบาล’ การเมืองไทยตอนนี้มีความซับซ้อน ผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และผมคิดว่า ‘การจัดตั้งรัฐบาล’ ควรจะทำอย่างไร

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ที่ว่า ‘การเมืองไทยขณะนี้ซับซ้อน’ เพราะมีหลายปัจจัยที่นำมาใช้กำหนดความเป็นไปของอำนาจทางการเมืองในทุกเรื่อง ตรงนี้มาพูดกันเฉพาะเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งกันอย่างไร ต้องเริ่มจาก “ผลการเลือกตั้ง” มาดูกันว่าประชาชนเลือกพรรคไหนมาเท่าไร แต่ละพรรคมี ส.ส.ได้รับเลือกเข้ามากี่คน เห็นตัวเลขแต่ละพรรคแล้ววางไว้ก่อน มาสู่ขั้นตอนเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา อันหมายถึง ส.ส.และ สว.รวมกันไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 376 คน

ขั้นตอนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นขั้นตอนที่เป็นทางการขั้นตอนแรก หลังจากนั้นจึงมีการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการหาความตกลงร่วมกันว่าพรรคไหนจะร่วมกับพรรคไหน ในวิถีที่ควรจะเป็น คือจะต้องรวมกันแล้วมีเสียงส.ส.อย่างน้อยมมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือเกินกว่า 250 เสียง ต้องพยายามหาทางให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด คือเสียง ส.ส.ร่วมสนับสนุนมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น หากได้รับโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ได้ แต่คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนอยากให้เป็นรัฐบาลแบบนี้

ขั้นตอนอย่างเป็นทางการเริ่มต้นอย่างนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน แต่ในทางปฏิบัติจริง มีประเด็นที่ต้องมาพิจารณาซับซ้อนกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรมของพรรคการเมือง ที่ได้ ส.ส.มากที่สุด ต้องมีสิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน พรรคการเมืองต่างๆ จะแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างไร / ร่วมกับใครแล้วได้รับการตอบสนองข้อเสนอดีกว่า ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ระหว่างอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ซ่อนอยู่ในกลไกตามรัฐธรรมนูญ อันไหนมีอิทธิพล หรือสามารถกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลได้มากกว่า และอื่นๆ อีกมากมาย หลายเรื่องที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ เป็นเงื่อนไขที่ยังไม่เกิดขึ้นเสียด้วยซํ้า คนที่มีประสบการณ์การเมืองจะรู้ว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้งที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไป ไม่เคยเป็นไปอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงทั้งนั้น มีข้อมูลที่จะพูดถึงการปรับเปลี่ยนของพรรคเพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชนมากที่สุดเสมอ

ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2562 ผู้นำพรรคการเมืองหลายพรรคประกาศตัวไว้อย่างหนึ่ง แต่พอถึงการจัดตั้งรัฐบาลจริง ต้องเข้าร่วมด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เช่นพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมโดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แค่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาใช้อ้าง

เช่นเดียวกับ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” ให้สัมภาษณ์ในข่าวลงวันที่ 8 มีนาคม 2562 ใจความสำคัญกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ลั่นอยู่คนละขั้วกับทหาร-พปชร. และได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ในเนื้อหาข่าวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 ว่าเฉลยแล้วปี 62 จับมือ พปชร.ตั้งรัฐบาล เพราะผมไม่อยากอยู่กับระบบ คสช. ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่ง หากได้เป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายก็รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกประหลาดอะไร อย่างที่บอกว่า หากมีประสบการณ์การเมืองมายาวนานเพียงพอจะรู้ว่า “นี่คือความปกติของการเมืองไทย” แม้ว่าสื่อและสังคมไทยจะไม่ยอมรับก็ตาม การเมืองไทยทุกเรื่องจึงขึ้นอยู่กับการเจรจาตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า โดยเฉพาะเรื่องสำคัญระดับ “จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร จะร่วมรัฐบาลกับใคร” จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรอขั้นตอนที่เหมาะสม การตัดสินใจประกาศว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นที่รู้กันว่านั่นเป็นแค่การหาเสียง ที่เป็นจริงคือการเจรจาด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า

‘กรณ์’ ลงพื้นที่บางกะปิ รับฟังปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ประกาศรื้อโครงสร้างพลังงาน คืนความเป็นธรรมให้ ปชช.

(19 เม.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่เพื่อช่วย นายธาม สมุทรานนท์  ผู้สมัครส.ส.เขตบางกะปิ เบอร์ 8 และนายกอบกฤต สุขสถิตย์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตห้วยขวาง เบอร์ 13 ณ ตลาดลาดพร้าว 87 โดยมีพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งสะท้อนปัญหาค่าไฟที่เพิ่มขึ้นให้กับนายกรณ์ฟัง เนื่องจากทราบว่า นายกรณ์ เป็นผู้ที่ต่อสู้เรื่องค่าไฟฟ้า และพรรคชาติพัฒนากล้าเองก็ประกาศจะรื้อโครงสร้างพลังงานเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน 

นายกรณ์ กล่าวว่า ประชาชนสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกครัวเรือน และในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ รัฐบาลประกาศขึ้นค่าไฟฟ้า ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือนจาก 4.72 บาท เป็น 4.77 บาท แต่ลดให้ภาคอุตสาหกรรมจาก 5.33 ลงมาเท่ากับภาคครัวเรือนคือ 4.77 บาท เดือนพฤษภาคมจึงเป็นวันเผาจริงของประชาชน

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้โดยภาคอุตสาหกรรม ตนเห็นด้วยที่จะลดราคาให้ แต่ขอให้ลดเพียง 8-9% ได้ไหม เพราะเป็นจำนวนที่ไม่ต้องเพิ่มภาระให้ประชาชนในช่วงที่พวกเขาเดือดร้อน และมันก็ไม่มีเหตุผลที่มีตรรกะอธิบายได้ว่าทำไมต้องขึ้นเวลานี้ เนื่องจากต้นทุนสำคัญในการผลิตไฟฟ้าคือการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ ในอดีตแก๊สที่เราใช้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สจากอ่าวไทย แต่ในช่วงหลังมีประเด็นปัญหา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปริมาณแก๊สลดลงตามธรรมชาติ อีกส่วนคือโอนถ่ายสัมปทาน ที่เป็นปัญหาที่เกิดจากการทำงานของบริษัทในเครือ ปตท.คือ ปตท.สผ. พอปริมาณแก๊สที่เราผลิตจากอ่าวไทยลดลง มันเลยทำให้เราต้องไปซื้อแก๊สที่เป็น LNG จากต่างประเทศมากขึ้น และโชคไม่ดีไปเจอช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนค่าไฟในช่วงเวลานั้นสูงขึ้น แต่ถ้าเรามาดูความเคลื่อนไหวของราคาแก๊ส LNG ตั้งแต่ระดับช่วงที่สูงที่สุดอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ ต่อล้านบีทียู และได้ลดราคาลงมาอย่างรวดเร็วภายใน 6 เดือนเหลือ 11 ดอลลาร์ต้นทุนค่าใช้จ่ายของตัวเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าลดลง ทำไมถึงต้องปรับค่าไฟเพิ่มขึ้น 

นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเรารักษาเสถียรภาพได้ดี ต้นทุนในการซื้อแก๊สก็ถูกลงด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อต้นทุนราคาแก๊สถูกลง เงินบาทก็แข็ง ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปรับขึ้นค่าค่าไฟ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนเรื่องของโครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงาน โดยเฉพาะเรื่องของค่าไฟฟ้า วันนี้ประชาชนรับภาระเต็ม ๆ โดยที่ไม่ได้มีการประเมินเลยว่าสาเหตุที่ต้นทุนมันเพิ่มขึ้นด้วยเหตุใด มีการอภิปรายในสภาหลายครั้ง ว่า กฟผ.ในอดีต ได้ไปอนุมัติเซ็นต์สัญญาที่จะซื้อไฟจากภาคเอกชนในปริมาณที่มากเกินความต้องการ โดยปกติการรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรมไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 15% ซึ่งเป็นปริมาณที่เหลือเฟือเพียงพอแล้ว แต่วันนี้กำลังผลิตของเรามีมากกว่าความต้องการถึง 50% ซึ่งมันเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายของการไฟฟ้าที่ต้องไปจ่ายให้กับภาคเอกชน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20%  ที่โยนภาระให้ประชาชนแบกรับ 

อีกปัญหาคือ เรื่องของปริมาณแก๊สที่เราสามารถผลิตในอ่าวไทย ตรงนั้นมันก็เกิดจากความผิดพลาด ในการถ่ายโอนตัวสัมปทานระหว่างเชฟรอน กับ ปตท.สผ. ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณแก๊สที่เราผลิตได้ในต้นทุนราคาที่ต่ำในอ่าวไทย มีปริมาณน้อยมาก  น่าแปลกตรงที่ ปตท.สามารถที่จะโอนต้นทุนที่จะต้องไปซื้อแก๊สจากต่างประเทศมาในราคาที่แพงให้ขึ้นให้กับการไฟฟ้าได้  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตผิดพลาดก็สามารถที่จะโอนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของการไฟฟ้าส่งต่อมาให้กับประชาชนได้ ประชาชนเป็นผู้รับภาระแต่ผู้เดียวไม่มีอำนาจที่จะเจรจาต่อรองใด ๆ เลย ซึ่งตรงนี้เป็นโครงสร้างที่ต้องปรับต้องเปลี่ยน  เป็นเรื่องที่ชาติพัฒนากล้าจะต้องมาทุบเรื่องนี้แน่นอน

“ระบบการกำหนดค่าไฟบ้านเราเป็นระบบส่งต่อให้ประชาชนทั้งหมด ผู้ผลิตไม่รับความเสี่ยงอะไรเอาไว้เลย ต้นทุนเท่าไร ก็ส่งมาที่ประชาชน ไม่แปลกที่จะทำให้มีคนร่ำรวยจากการสร้างโรงไฟฟ้า ผมมองว่ามันไม่ยุติธรรม และที่มีการออกมาให้ข่าวว่าไม่สามารถจะลดค่าไฟฟ้าได้ เนื่องจากได้ลงนามในสัญญาแล้ว ก็ต้องรอการเปลี่ยนแปลงครับ ถ้าท่านไม่ทำจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าทำได้มันอยู่ที่ความตั้งใจ เรื่องของการรื้อระบบ การคำนวณราคาค่าไฟฟ้ามัน เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อทุนใหญ่แน่นอน เพราะมันมีผู้เสียประโยชน์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราไม่กลัว และสาเหตุที่เราเลือกอยู่พรรคเล็ก เพราะเราการมีอิสระทางความคิดและทางนโยบาย เราไม่ต้องพึ่งทุนมากมายจากใคร ทำให้เราสามารถรักษาความซื่อสัตย์ต่อประโยชน์ที่มีต่อประชาชนไว้ได้” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top