Monday, 28 April 2025
ElectionTime

‘สามกีบ’ แอบชื่นชม หลัง ‘ชัยวุฒิ’ โชว์ทักษะดีเบตเหนือชั้น แถมชี้ชวนให้กลุ่มอันแฟน ‘ตระหนักถึงรากเหง้า’ ได้อย่างแนบเนียน

จากกรณีเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 66 ที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งใช้เวลา วันหยุดช่วงสงกรานต์ กลับบ้านเกิดหาเสียงที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยในช่วงหนึ่งของการหาเสียงมีข้อความระบุว่า...

"อยากให้ทุกคนคิดถึงรากเหง้าของความเป็นคนไทย บรรพชนที่เสียสละชีวิต เสียสละ เลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินไทย ให้มากๆ และไม่อยากให้มีคนมารณรงค์หาเสียงให้เกิดความชังชาติ ลืมรากเหง้าของความเป็นคนไทย รณรงค์ให้คนไม่ไปเกณฑ์ทหาร ไม่รู้จักเสียสละเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ วันนี้จึงต้องมาช่วยกัน ปลูกฝังค่านิยม รักชาติ รักแผ่นดิน ความเสียสละ ทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ให้ประเทศไทยมั่นคงเข้มแข็ง และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดไป ระหว่างนั้นก็มี กลุ่มผู้เเทน บ้านบางระจัน บอกว่าทุกวันนี้ ที่เเต่งชุด วีรบุรุษค่ายบางระจัน ก็เพื่อ อยากให้ คนรุ่นใหม่ รับรู้ถึงความเสียสละ ความรัก ความสามัคคี ของคนในชาติ ไม่อยากให้คนขัดเเย้งกันมี"

หลังจากนั้น ได้มีการแชร์ในโลกโซเชียลไปมากมาย และปรากฎว่า…

“ต้องยอมรับว่าเค้าดีเบตเก่ง อะไรที่ชัดหรือเขามองว่าเขาจะแก้ไม่ได้ เขาจะพูดแทรก แทรก แทรก แทรก จนเกิดการโต้แย้งและเปลี่ยนประเด็นและยังโยนข้อมูลใส่ร้าย โยนใส่ดื้อ ๆ เพื่อให้ฝั่งที่เชียร์ตัวเองเชียร์เฮ และ พร้อมเชื่อ หรือ คนที่ไม่รู้ข้อมูลอาจเชื่อ”

“ชัยวุฒิฉลาดกว่าในการแถ แบบเนียนๆ”

“ชัยวุฒิ ไพบูลย์ คือมีสกิลนักการเมือง เน้นหาทางวกเข้าเรื่องที่อยากพูด ไม่ได้กะว่าจะต้องตอบคำถามอะไรแบบตรงไปตรงมา คุยกันเรื่องทุนผูกขาด อยู่ดี ๆ พาเข้าทุนไทยซัมมิต ไพบูลย์ก็กฎหมายมันว่ามาอย่างนี้ มันจะไปผิดตรงไหนสุชาตินี้วอแตก ลุกขึ้นยืนเอานิ้วชี้หน้าเลย”

'เสธ.หิ' ฟาด 'เศรษฐา' หลังบิดเบือนข้อมูล 'บิ๊กตู่' ไม่สนใจทุกข์ปชช. ลั่น!! วาทกรรมยุคเก่าใช้ไม่ได้ผล ยุคนี้ปชช. ค้นข้อมูลเป็น

'ดร.หิมาลัย' ฟาด 'เศรษฐา' ไม่ยั้ง บิดเบือนข้อมูล ไม่เอาความจริงมาพูด เหตุใส่ความบิ๊กตู่ไม่สนใจทุกข์ประชาชน ชี้!! วาทกรรมยุคเก่าใช้ไม่ได้ผล ยุคนี้ประชาชน ค้นข้อมูลเป็น

(18 เม.ย.66) จากกรณีที่สื่อมวลชนสอบถามนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับนโยบายให้เงินเดือนละ 1,000 บาท 12 เดือน กับของเพื่อไทยที่ให้เงินดิจิทัล 10,000 บาท นายเศรษฐา ได้ตอกกลับว่า “ท่านคิดว่าตลอดเวลาที่ท่านอยู่มา 8 ปี ประชาชนทุกกลุ่มไม่ได้เดือดร้อนไปหัวระแหงหรอ ก็ขอให้กลับไปดูหน่อย พยายามได้ยินเสียงที่ไม่อยากได้ยินบ้าง ท่านจะได้เข้าใจถ่องแท้ถึงความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน” 

ล่าสุด ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาตอบโต้นายเศรษฐา ถึงประเด็นนี้ว่า "เวลาคุณเศรษฐาออกมาพูดโจมตีท่านพล.อ.ประยุทธ์ มักจะพูดในสิ่งที่ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ไม่มีแหล่งอ้างอิง พูดเกินเลยความเป็นจริงไปมาก ที่พูดว่าอยู่มา 8 ปี ประชาชนทุกกลุ่มเดือดร้อนไปหัวระแหง ตนต้องชี้แจงเรื่องนี้ว่าก็มีความจริงบางส่วน เช่น สถานการณ์โควิด19 แต่ไม่ได้มีเพียงแค่ประเทศไทยเท่านั้นที่เดือดร้อน ประเทศอื่นทั่วโลกก็พบเจอ

"ท่านพล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยนิ่งนอนใจที่เห็นประชาชนทุกข์ยากในเวลานั้น ท่านได้รีบสั่งการทันที โดยจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด19) ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยทยอยลดลง อีกทั้งท่านยังรีบระดมฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุ ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อค่อยๆ ลดลงเช่นกัน

"ส่งผลให้หลายฝ่ายต่างชื่นชมการทำงานของรัฐบาล ในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด19 ของประเทศไทย เช่น คุณอีริค เจฟฟรีย์ โทพอล แพทย์โรคหัวใจชาวอเมริกัน ก็ได้ยกย่องประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศ ที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 หรือ องค์การอนามัยโลก 

"หรือแม้แต่ WHO ก็ได้ยกย่องประเทศไทย ในฐานะ 'แชมป์เปี้ยน' ซึ่งมีการเตรียมความพร้อมด้านระบบสาธารณสุข ไปจนถึงการวางระบบดูแลสุขภาพประชาชนแบบถ้วนหน้า (Universal Health and Preparedness Review (UHPR)) ไว้อย่างยอดเยี่ยม นี่เป็นเครื่องยืนยันว่าท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยนิ่งนอนใจที่เห็นประชาชนทุกข์ยาก ตามที่คุณเศรษฐาออกมาพูดเลย ว่าท่านไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน" 

‘ดรุณวรรณ’ เผย ‘จุรินทร์’ เตรียมนำ ผู้สมัครส.ส. ออนทัวร์ 19 เม.ย. นี้ ตระเวนพบปะปชช. วันเดียว 3 จังหวัด ‘ราชบุรี-สมุทรสงคราม-เพชรบุรี’

‘จุรินทร์’ ออนทัวร์ 19 เม.ย. นี้ วันเดียวสามจังหวัด ราชบุรี-สมุทรสงคราม- เพชรบุรี ตระเวนเดินสายพบประชาชน 

(18 เม.ย. 66) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในวันพุธที่ 19 เมษายน 2566 นี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมนำ ‘จุรินทร์ออนทัวร์’  ลงพื้นที่ในจังหวัดราชบุรี -สมุทรสงคราม- เพชรบุรี เพื่อพบปะกับพี่น้องประชาชนพร้อมเปิดเวทีปราศรัยย่อย

ฟันธง!! 'อุ๊งอิ๊ง-อนุทิน-ลุงตู่' เต็งนายกฯ ส่วนพิธา 'ก้าวไกล' ตัดทิ้งไปได้เลย

(18 เม.ย.66) ส่วนหนึ่งจากคอลัมน์ 'เปลวสีเงิน' ได้นำเสนอบทความในหัวข้อ...นายกฯ 'รำไรๆ' ใต้ขนตา...ระบุความว่า...

ใครๆ ก็มองว่า ลุงป้อมจะไปตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย ที่เขาเอาตำแหน่งนายกฯ มาล่อ หวังแลกมือ ส.ว. สนับสนุนในรัฐสภา

เขาล่อน่ะ…ล่อจริง
แต่ผมเชื่อ ลุงป้อมไม่ยอมให้ล่อหรอก!

เพราะอะไรน่ะหรือ ในมุมมองผมนะ ผมเชื่อศักดิ์ศรีขุนทหารระดับ 'แม่ทัพ' กองทัพไทยของลุงป้อม

ถ้าโลภ จนหลง ยึดประโยชน์ตนเหนือประโยชน์ชาติ วิเคราะห์สถานการณ์ไม่ขาด อ่านเกมฝ่ายตรงข้ามไม่ออก

ทำเนียบกองทัพไทย...จะไม่มีคนชื่อ 'พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ' บรรจุอยู่ในตำแหน่ง 'ผู้บัญชาการทหารบก' ได้แน่นอน!

นั่นอย่างหนึ่ง...

และอีกอย่างหนึ่ง ระดับผู้บัญชาการกองทัพ ต้องเข้าพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงกล่าวนำมาแล้ว

ที่จะให้ 'พลเอกประวิตร' ไปตั้งรัฐบาลกับพรรคที่มีแนวทางอสัตย์ต่อ 'ชาติ-ศาสน์-พระมหากษัตริย์' เลิกมาตรา ๑๑๒ เมื่อได้เป็นรัฐบาล แบบนั้น

พลเอกประวิตร 'ไม่ทำ' แน่นอน!

อย่างสุดท้าย...คุณเคยได้ยินคำนี้มั้ย 'เพื่อนร่วมตาย' เหนือกว่า 'พี่น้องสายโลหิต'

คนเราน่ะ ต่างที่เกิด ต่างที่มา วันหนึ่ง มีวาสนาได้รู้จักกัน คบหากัน กินนอนด้วยกัน ร่วมเป็น-ร่วมตายด้วยกัน ใจผูกเป็นพี่-เป็นน้องกัน

อย่างพลเอกประวิตร-พี่ใหญ่, พลเอกอนุพงษ์-พี่รอง, พลเอกประยุทธ์-น้องเล็ก...ไม่ต่างเหล็กไหล ต่อให้ใช้แสงเลเซอร์ตัด ยืดปานจะหยด แต่ยังไงๆ ก็ตัดเหล็กไหลไม่ขาด!

ความผูกพันของ ๓ ป.เท่าที่ผมดู จะทะเลาะกันบ้าง ขัดใจกันบ้าง งอนกันบ้าง ถึงขั้น 'แตกพรรค-แตกขั้ว' ออกไปจากกันก็เถอะ แต่ก็นั่นแหละ ไหลยืดปานจะขาดจากกัน แต่มันก็ 'ตัด' กันไม่ขาด!

การแตกพรรค ที่ดูเหมือนแตกกัน นั่นมันแค่ 'ยุทธศาสตร์การเมือง' ที่มีแกนยึด จะไม่ 'แตกสามัคคี' จนนำไปสู่การกระทำให้ 'ชาติบ้านเมืองแตก'

เชื่อผมเถอะ ชั่ว, ดี, ถี่, ห่าง อย่างไร 'ทหารเสือนวมินทราชินี' คือ ผู้แก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ผู้สร้างปัญหาให้ชาติบ้านเมือง

ฉะนั้น ผมจึงอยากบอกลุงป้อมว่า ท่านน่ะ 'เลือดผู้นำ' ที่จะให้นั่งอยู่ในรู ปล่อยให้ลูกน้องออกไปสู้ตามลำพังน่ะ นั่นไม่ใช่วิสัยลุงป้อม

ใจบันดาลแรงท่านก็จริง แต่แดดมันแรง การเดินสายหาเสียง ตะกายขึ้นแต่ละเวที คนไม่เคย ไม่รู้หรอกว่า มันสาหัส-สากรรจ์ขนาดไหน?

ผมมองการณ์ข้างหน้า 'หลังเลือกตั้ง' อยากจะบอกว่า รัฐบาลข้างหน้า จะขาดลุงป้อมไม่ได้!

ฉะนั้น ลุงป้อมจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ต้องถนอมตัวไว้ ยังไงๆ พรรคพลังประชารัฐก็ต้องร่วมเป็นรัฐบาลกับฝ่ายที่ 'ไม่ล้มเจ้า' อยู่แล้ว

แล้วมีพรรคไหนบ้างล่ะ ที่ไม่มีแนวทางล้มเจ้า? ก็มีพรรคภูมิใจไทย, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์, ชาติไทยพัฒนา, ไทยสร้างไทย, ไทยภักดี, ชาติพัฒนากล้า เป็นต้น

รัฐบาลหน้า ก็จะอยู่ในกลุ่มพรรคเหล่านี้ ส่วนพรรคไหนจะมี ส.ส.มากที่สุด ได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงจะเอาใครเป็นนายกฯ? นั่นมันเรื่องข้างหน้า 

ตราบใดที่ยังไม่เลือกตั้ง แต่ละพรรคยังไม่มีตัวเลขมาแบบนโต๊ะพูดจา การยกมาพูดตอนนี้ ไม่ต่างกับว่า..."ถ้าได้แต่งกับนางงามจักรวาล จะให้ลูกเรียนโรงเรียนไหนดี?"

มันเพ้อเจ้อข้ามขั้นตอนมากไป ไปหานางงามจักรวาลมาแต่งให้ได้ซะก่อนเหอะ แล้วค่อยมาคุยเรื่องมีลูก เรื่องโรงเรียน!

พรรคภูมิใจไทย ของคุณอนุทิน ชาญวีรกูล โพลทุกสำนักฟันธงว่า จะได้ส.ส.มากเป็นอันดับ ๒ รองจากพรรคเพื่อไทย และเป็นพรรคเดียวในกลุ่มพรรคไม่ล้มเจ้า ที่จะได้ส.ส.ถึงหลักร้อย คือมากกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป!

ส่วน 'พรรครวมไทยสร้างชาติ' ของนายกฯประยุทธ์ เขาประเมินกันแค่ ๔๐ กว่า ส.ส.เท่านั้น

ถ้าผลเลือกตั้งเป็นตามนี้ ภูมิใจไทยของคุณอนุทิน คือตัวชี้ว่า ฝ่ายไหนจะได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล? ถ้าไปรวมกับเพื่อไทย เสียงกว่าค่อนสภา ตั้งรัฐบาลได้เลย

แต่ผมไม่เชื่อ เหมือนที่ไม่เชื่อว่าลุงป้อมจะไปตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายล้มเจ้า

‘พปชร.’ คว้าคะแนนติด TOP 3 ในเวทีดีเบตช่อง 7 คาด!! กระแส ‘ลุงป้อมฟีเวอร์’ กำลังหวนกลับมา

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ ‘sparkupdate’ ได้โพสต์วิดีโอพูดถึงผลโพลที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงเลือกตั้งรอบนี้ โดยระบุว่า…

เกิดอะไรขึ้นกับกระแสของพรรคพลังประชารัฐ ที่อยู่ๆ ก็โดดขึ้นไปมีชื่อบนโลกออนไลน์ หลังจากเวทีดีเบตของทางช่อง 7 ที่เรียกว่าเป็นซูเปอร์เรตติ้งอันดับ 1 ของประเทศไทย ได้มีการถ่ายทอดการดีเบต ซึ่งคะแนนของพรรคพลังประชารัฐในขั้นต้น ติดอยู่ใน TOP 3 เอาชนะฝั่งอนุรักษ์นิยมไปได้อย่างขาดรอย 

‘ธนาธร’ กร้าว!! ‘ปฏิรูปกองทัพ’ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้จริง ไม่แค่ ‘ยกเลิกเกณฑ์ทหาร’ แต่ต้องเอาทหารออกจากการเมือง

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์ที่จัดโดยสถานีโทรทัศน์ช่องวัน (ONE 31) บริเวณหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จังหวัดเชียงใหม่ การดีเบตเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยธนาธรย้ำว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่เพิ่งมีมา เลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อปี 2562 หาเสียงครั้งแรกก็เจอคำถามนี้ 4 ปีที่ผ่านมาหนักกว่าเดิม และหากไปดูการนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเมียนมา จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นทุกปี ปี 2561 ใกล้เคียงกับ 0 บาท ปี 2562 นำเข้า 4,200 ล้านบาท ปี 2563 นำเข้า 7,500 ล้านบาท ปี 2564 นำเข้า 1,200 ล้านบาท ปี 2565 นำเข้า 14,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน นี่คือกำไรของนายทุนที่แลกมาด้วยอากาศบริสุทธิ์และสุขภาพของประชาชน ถ้าจะแก้ไขเรื่องนี้ ต้องกล้าชนนายทุน ตัดวงจรการเผา หยุดผลักภาระให้ประชาชน

ส่วนการแก้ไขปัญหาการทุจริต ธนาธรกล่าวว่า เรื่องการทุจริตเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย มีการทุจริตทุกระดับและส่งผลกระทบกับชีวิตประชาชนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง ระบบเส้นสายในราชการ ตนไม่รู้ว่าพรรคการเมืองอื่นเป็นอย่างไร แต่พรรคอื่นเป็นรัฐบาลกันหมดแล้ว พรรคก้าวไกลยังไม่เคยบริหารประเทศ เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะสัญญาได้ว่าถ้ามีโอกาส มีอำนาจ จะเอาอำนาจไปรับใช้ประชาชน ไม่เอามารับใช้ตัวเอง 

“เริ่มที่หัว ถ้าหัวไม่ทุจริต หางก็ไม่ทุจริต และต้องไม่อยู่ในระบบอุปถัมภ์อย่างนั้น ถ้าเข้าไปอยู่ในระบบอุปถัมภ์ เข้าไปมีอำนาจก็ต้องทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้นต้องเอาคนนอกเข้าไป คนที่ไม่เคยทำงานการเมือง ไม่มีบุญคุณต้องทดแทนใคร ต้องเป็นคนใหม่ที่มีความกล้าหาญถึงจะจัดการทุจริตได้" ธนาธรกล่าว

เมื่อถูกถามถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติด ธนาธรกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด ถามประชาชนมีคนเชื่อจริงๆ ใช่ไหม ที่นักการเมืองรายหนึ่งถูกอภิปรายกลางสภาฯ เรื่องความเกี่ยวข้องกับคดีค้ายาเสพติด แล้วกล่าวว่า ‘มันคือแป้ง’ พรรคไหนโหวตไว้วางใจให้กับนักการเมืองรายดังกล่าว ยกตัวอย่างความกล้าหาญของรังสิมันต์ โรม ที่กล้าทลายทุนจีนสีเทา พูดถึงทุน มิน ลัต และตั้งคำถามถึงพรรคการเมืองที่มีส่วนกับยาเสพติด ดังนั้น จะแก้ปัญหายาเสพติด ต้องทำให้เหมือนที่พูด หากบอกไม่เอายาเสพติด แต่กลับโหวตไว้วางใจให้นักการเมืองที่เกี่ยวกับยาเสพติด แบบนี้ต่างหากที่ตบหน้าประชาชน

‘จุรินทร์’ ตั้ง ‘ลูกหมี ซูเปอร์โมเดล’ นั่งรองโฆษกพรรค ช่วยเสริมการทำงาน-สื่อสารของพรรค สู้ศึกเลือกตั้ง 66

(18 เม.ย.66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้แต่งตั้ง น.ส.รัศมี ทองสิริไพรศรี เป็นรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มอีก 1 คน เพื่อเสริมการทำงานของทีมสื่อสารของพรรคสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

โดย น.ส.รัศมี มีชื่อเล่นว่า ‘ลูกหมี’ เป็นนางแบบระดับซูเปอร์โมเดล นักแสดง นักเขียน ซึ่งล้วนเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในหมู่คนไทย ปัจจุบันเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนการพัฒนาบุคลิกภาพและสอนการเดินแบบชื่อ We Are Model ให้กับนายแบบและนางแบบทั่วประเทศ

‘อรัญ ชาติพัฒนากล้า’ ชวนประชาชน กาหมายเลข 14 เลือกผู้แทนทำหน้าที่ในสภาฯ ดันนโยบายกระจายอำนาจ

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.66) นายอรัญ พันธุมจินดา รองเลขาธิการพรรคชาติพัฒนากล้า ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 3 โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุวันหยุดสงกรานต์ที่กำลังจะผ่านไป หลายคนได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด สิ่งหนึ่งที่พบเห็นได้ก็คือ การพัฒนาของบ้านเกิดของตน บางแห่งพัฒนาไปมากจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน บางพื้นที่ยังรอความหวังจากภาครัฐที่จะดำเนินการ ส่งเสริม สนับสนุน และผลักดันให้เกิดการพัฒนาของเมืองในด้านต่างๆ

การกระจายอำนาจจากรัฐบาลส่วนกลางไปยังท้องถิ่น ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้พื้นที่ในจังหวัด ในอำเภอ ในหมู่บ้าน ทั่วประเทศ สามารถพัฒนาได้ตามแนวทางที่คนในพื้นที่ได้ตั้งความหวังไว้

‘บิ๊กป้อม’ ขอบคุณผลโหวตอันดับ 1 ก้าวข้ามความขัดแย้ง ยอมรับเดินช้า-ขาไม่ดี แต่พร้อมลงพื้นที่ไปทุกจังหวัด

(18 เม.ย.66) นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ในหัวข้อ ‘นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในสายตาประชาชน’ ที่ยกให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เป็นอันดับ 1 ของนายกรัฐมนตรี ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และเป็นอันดับ 1 ของนายกรัฐมนตรีที่สามารถประสานงานจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น ว่า พล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันโหวตให้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความโดดเด่นในทั้งสองด้านดังกล่าว ซึ่งผลโพลที่ออกมาสอดคล้องกับแนวคิด ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ ที่ตนเองและพรรคพลังประชารัฐชูธงนำมาโดยตลอด พร้อมให้ความมั่นใจว่า จะพาคนไทยออกจากวังวนความขัดแย้งได้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าพลิกโฉมประเทศไทยต่อไป

นายชาญกฤช กล่าวว่า แนวคิดการก้าวข้ามความขัดแย้งของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นความมุ่งมั่นที่พยายามทำลายกำแพงความแตกแยก และเป็นการประกาศเริ่มต้นประเทศไทยใหม่ ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากสังคม โดยเฉพาะใจความสำคัญในจดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร ได้พูดถึงแนวทางสมานฉันท์ที่น่าสนใจ คือ ภายหลังการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาคัดเลือกนโยบายที่ทุกพรรคการเมืองใช้ในการรณรงค์หาเสียง เพื่อนำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง โดยไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นพรรคใหญ่ พรรคเล็ก หรือเป็นพรรคการเมืองฝ่ายใด หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพราะเชื่อว่านโยบายของทุกพรรคการเมืองผ่านการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว และมองว่า การเมืองไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด และไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟูและพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงหมดเวลาที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง

นายชาญกฤช ยังให้ความมั่นใจด้วยว่า พล.อ.ประวิตร มีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะอยู่ในวัย 78 ปี ก็ไม่ถือเป็นอุปสรรค ดังคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร ที่เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการทำงานที่ประสบความสำเร็จ ผ่านเทคนิคการบริหาร คือ ‘ช้า เร็ว หนัก เบา’ โดยยอมรับว่า ตัวเองเดินช้า แต่คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว เป็นคนหนักแน่น ไม่หูเบา ส่วนที่เบา คือ เป็นคนไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว ไม่มีห่วง จึงทำงานเพื่อประชาชนและส่วนรวมได้อย่างเต็มที่

รัฐบาลลุงตู่ ผู้ฟื้นสัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯ รอบ30 ปี

จากวิกฤติความสัมพันธ์ สู่ผลงานชิ้นโบแดง รัฐบาลลุงตู่ ผู้พื้นสัมพันธ์ ‘ไทย – ซาอุฯ’ รอบ 30 ปี
25 มกราคม 2565 การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามคำเชิญของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นับเป็นการฟื้นความสัมพันธ์ประเทศไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ในรอบ 32 ปี 

ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ผ่านการเตรียมการมานานกว่า 1 ปี ไม่นับรวมอุปสรรคจากสถานการณ์ระบาดของ โควิด-19 และช่วงก่อนหน้านั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามประสานเจรจากับทางซาอุดีอาระเบียด้วยตนเองในหลายโอกาส ตั้งแต่เวทีหารือ 3 ฝ่ายในช่วงการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (เอซีดี) ครั้งที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2559 ที่กรุงเทพฯ  หรือในช่วงการประชุมผู้นำจี 20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่นช่วงเดือนมิถุนายน 2562  ขณะที่ในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย ยังมีการพบหารือกันเป็นระยะเกี่ยวกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน 

ย้อนรอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย มีจุดเริ่มจากการเกิดคดีฆาตกรรมนักการทูตซาอุดีอาระเบียถึง 4 คนในประเทศไทย เมื่อปี 2532-2533 ที่ทางการไทยไม่สามารถแจงผลการสอบสวนให้เป็นที่น่าพอใจไปยังซาอุดีอาระเบียได้  และในช่วงรอยต่อขณะนั้น ยังเกิดกรณีแรงงานไทย 'เกรียงไกร เตชะโม่ง' ขโมยชุดเครื่องเพชรจำนวนมากขณะเข้าไปทำงานในพระราชวังเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด แห่งซาอุดีอาระเบีย แต่การคลี่คลายคดีของตำรวจไทยกลับไม่เป็นไปในทางที่ดี ขณะที่การติดตามเครื่องเพชรเพื่อส่งคืนส่วนใหญ่ถูกระบุว่าเป็นของปลอม  

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ยังเกิดกรณี 'มูฮัมหมัด อัลลูไวรี่' นักธุรกิจและสมาชิกราชวงศ์ของตระกูลอัล-สะอูดหายตัวไป หลังถูกควบคุมตัวสอบสวนเหตุพัวพันคดีฆาตกรรมนักการทูต ซึ่งต่อมามีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจำนวนหนึ่งในข้อหา 'อุ้มหาย' กรณีนี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ทางการซาอุดิอาระเบียไม่พอใจถึงขั้นลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ออกข้อจำกัดเกี่ยวกับแรงงานไทย ห้ามประชาชนของซาอุดิอาระเบียเดินทางมาประเทศไทย และลดระดับความร่วมมือระดับสูงในทุกด้านลงมาอยู่ระดับต่ำสุด

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยแทบทุกชุด ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหารอยร้าวของสองชาติ แต่ซาอุฯ ไม่เคยใจอ่อนให้ไทย จนกระทั่งมาบังเกิดผลสำเร็จ ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการเป็นผลสำเร็จ เปิดโอกาสความร่วมมือระหว่างกัน 9 ด้าน ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว ด้านแรงงาน ด้านอาหาร ด้านสุขภาพ ด้านพลังงาน ด้านการศึกษาและศาสนา ด้านความมั่นคง ด้านกีฬา และด้านการค้าและการลงทุน ทั้งภาครัฐและเอกชนของทั้ง 2 ฝ่าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top