Saturday, 10 May 2025
Crimes

"บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) ลงพื้นที่ สน.ห้วยขวาง ตรวจสอบดูความพร้อม กล้องวงจรปิด พร้อมใช้งาน

ตามนโยบาย ผบ.ตร.วางเป้าหมาย การพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก สร้างพื้นที่ปลอดภัยจากอาชญากรรม ด้วยระบบการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบบูรณาการทุกภาคส่วน โดยใช้นวัตกรรม และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามแนวคิดเรื่อง "เมืองอัจฉริยะ" อันจะนำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืน

วันที่ 6 กันยายน 2564 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) "บิ๊กโจ๊ก" ได้เดินทาง มาตรวจโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซนฯ พื้นที่ สน.ห้วยขวาง ตามนโยบายสำนักงานตารวจแห่งชาติ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ดำเนินโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0  (SMART SAFETY ZONE 4.0) ร่วมกับ พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) พร้อม พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง

โดยพื้นที่ของ สน.ห้วยขวางควบคุม 7.61  ตร.กม  13,583 หลังคาเรือน รวม 53 จุด กล้อง 105 ตัว รวมกับกทม. 32จุด 1กล้อง 105 ตัว และภาคประชาชน 26 จุด กล้อง 28 ตัว

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์  กล่าวว่า ผบ.ตร. สั่งการให้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมดูความพร้อมโครงการนำร่อง สมาร์ทเซฟตี้โซน วันนี้ ช่วงเช้าได้ลงพื้นที่ สน.ภาษีเจริญไปแล้ว ช่วงบ่ายจึงเดินทางมา สน.ห้วยขวาง ผบ.ตร อย่างให้ ผู้หญิงหรือเด็ก มีความเชื่อมั่นในการเดินทางที่เปลี่ยวในช่วงเวลากลางคืน จะเห็นได้ชัดเจน รองรับให้ประชาชนมีความปลอดภัย อุ่นใจ ทั้งชีวิต และ ทรัพย์สิน  ยกตัว  กล้องวงจรปิดภายในชุมชนจะลิงค์ ภาพทั้งหมดเข้าไปที่ สน. ต่อไปจะมีระบบ ai เชื่อมโยงกับกล้องที่มียู่แล้ว ซึ่งรวมกับกล้องเดิม อีก 1 หมื่นตัว จากการลงพื้นที่ 2 สน. เชื่อว่า ประชาชนจะมีความปลอดภัย มากขึ้น  ส่วนนี้ฝากถึงประชาชนทุกท่าน โครงงานนี้ขยายวงออกไปอีก เพื่อควบคุมอาชญากรรมเป็นการทำงนเชิงรุก และ ทั้ง 15 สน. ที่นำร่อง มีความพร้อม

ตม.จว.ระนอง จับกุม! เครือข่ายขบวนการ ‘นำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง’ หลังสารภาพได้รับการว่าจ้าง จัดหาอาหาร มาส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่า เพื่อรอเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบ

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

คดีจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, กก.5 บก.ป., สันติบาล, กก.5 บก.ปคม., ต.ช.ด.ที่ 415, ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3, กก.สส.ภ.8, ตำรวจน้ำระนอง, จนท.ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25 (จุดตรวจคลองจั่น, จุดตรวจศิลาสลัก), ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายข่าวว่ามีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวจาก จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร เส้นทางบ้านคลองจั่น-ท่าแซะ ต่อมา จนท.ทหาร ประจำจุดตรวจคลองจั่น ม.8 ต.จ.ป.ร. อ.กระบุรี จว.ระนอง ตรวจพบ นายเกริกชัยหรือดอน และนายธวัชชัยหรือโอ๋ ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนระนอง ทำหน้าที่ขับรถนำหน้าดูเส้นทาง โดยได้ว่าจ้างให้นายไพโรจน์ ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนสุราษฎร์ธานี บรรทุกนายอาวกู อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 9 คน ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จากพื้นที่ ต.น้ำจืด อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร เป็นเงิน 13,000 บาท เมื่อมาถึงจุดตรวจบ้านคลองจั่น ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และจับกุมตัว ส่ง พงส.สภ.ปากจั่น ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จนท.ตม.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, ตชด.ที่ 415, กก.5 บก.ปคม. และ จนท.ทหารชุด ร้อย ร.2521 ไล่สกัดจับกุมนายต้อยขับรถยนต์กระบะทะเบียนลพบุรี บรรทุกนายอาว อายุ 25 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 17 คน เป็นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จากการสืบสวนขยายผล นายต้อย รับสารภาพว่าว่าได้รับการว่าจ้างจาก นายเกริกชัยหรือดอน ให้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจากซอยบ่อโยก ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ได้รับค่าจ้าง 15,000 บาท โดยมี นายเกริกชัย และนายสุริยัน ทำหน้าที่ขับรถนำหน้า เมื่อมาถึงบ้านหินใหญ่ ม.6 ต.จ.ป.ร. อ.กระบุรี จว.ระนอง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ไล่สกัดจับกุมตัว

ตม.จว.ระนอง, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3, สันติบาล, กก.5 บก.ปคม., ตำรวจน้ำระนอง และ จนท.ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่ามีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มาแอบหลบซ่อนอยู่ในป่าจากบ้านสองพี่น้อง ม.1 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง จึงไปตรวจสอบพบ นายธวัชชัยหรือจ้ง ทำหน้าที่จัดหาอาหารและน้ำดื่ม ไปส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่าจาก จึงจับกุมตัวไว้ ต่อมาจากการสืบสวนขยายผล นายธวัชชัยให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายสุนทร นายหน้าชาวเมียนมา และนายเกริกชัยหรือดอน ให้จัดหาอาหารและน้ำดื่ม มาส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่าจากเพื่อรอเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นในต่อไป

นายเกริกชัยหรือดอน ได้รับการติดต่อกลุ่มขบวนการหรือเครือข่ายลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายในประเทศต้นทาง โดยได้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่ จว.ระนอง จากนั้นนายเกริกชัยหรือดอน ได้ว่าจ้าง สั่งการ ให้กับขบวนการรับขน เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน ไปส่งยังพื้นที่ปลายทางที่แรงงานต่างด้าวต้องการเดินทางไปหางานทำในประเทศไทย หรือส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

ตม.จว.ตาก คุมเข้มชายแดน! จับกุมคนเมียนมา พาเพื่อนร่วมชาติ 44 คน เดินลัดเลาะเขาหลบหนีเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบ

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5, พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายพาเข้าไปทำงานยังพื้นที่ชั้นในโดยวิธีลัดเลาะขึ้นป่าเขา จึงได้ประสานกำลังจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ช่วยกันสกัดกั้น จนกระทั่งคืนวันเกิดเหตุ สามารถจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้ขณะกำลังเดินลัดเลาะแนวเขาบ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก จากการตรวจสอบพบนายเปาเป็ง ไม่มีนามสกุล อายุ 42 ปี สัญชาติเมียนมา ยอมรับว่าตนเป็นชาวเมียนมา เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้ประมาณ 5 ปี ต่อมาตนและเพื่อนอีก 3 คน ได้ตกลงนัดหมายกันที่จะลักลอบพาชาวเมียนมา จำนวน 44 คน เดินทางข้ามมายังฝั่งไทย โดยใช้วิธีเดินเท้าลัดเลาะเขาเพื่อพาไปส่งยังจุดนัดพบที่ อ.บ้านตาก จว.ตาก จะมีกลุ่มขบวนการอีกกลุ่มรอรับอยู่ โดยนายเปาเป็ง ยอมรับว่าตนพร้อมพวกเป็นคนนำทางจริง ได้ค่าจ้างหัวละ 200 บาท ส่วนนายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองอีก 44 คน รับว่าได้ลักลอบเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย โดยได้จ่ายค่าเดินทางให้กับนายหน้าไปแล้วคนละ ประมาณ 7,500 - 20,000 บาท เพื่อเข้าไปทำงานที่เขตบางแค กรุงเทพฯ โดยเดินทางข้ามฝั่งทางเรือมายังฝั่งไทยในเวลากลางคืน แล้วก็มีนายเปาเป็ง กับพวก เป็นคนนำทางพาเดินลัดเลาะป่าเขาจนกระทั่งถูกจับกุม จนท.ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหานำส่ง สภ.พะวอ เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ผู้ถูกจับที่ 1 นายเปาเป็ง ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” ผู้ถูกจับที่ 2 – 45 นายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง (ช.22 ญ.22) ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิด บริเวณกลางป่าไม้บ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใด เห็นเบาะแสการกระทำความผิด  กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตร.เตือน ร่วมทัวร์บูลลี่! กลั่นแกล้ง ให้ร้ายผู้อื่นทางไซเบอร์ เสี่ยงคุก!! “วันนี้สะใจ วันต่อไป ชดใช้กรรม”

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ช่วงที่สังคมไทยมีความคิดเห็นต่าง แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย จะพบเห็นการสร้างวาทะกรรมสร้างความเกลียดชัง มีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างดุเดือด โดยชักชวนกันเข้าไปแสดงความเห็นจำนวนมากในลักษณะที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” กลั่นแกล้งด้วยถ้อยคำต่อว่า ตำหนิ  ดูถูกเหยียดหยาม หยาบคาย เพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย อับอาย ที่เรียกว่า การบูลลี่ หรือ การระรานทางไซเบอร์ (Cyber bully)

โดยที่ผ่านมามีผู้เสียหายหลายรายทั้งบุคคลทั่วไปและบุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา นักร้อง นักแสดงเข้าพบพนักงานสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำให้ตนเองเสียหาย ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการโพสต์ การแสดงความคิดเห็น รวมถึงการแชร์ข้อมูลทั้งที่เป็นภาพ คลิปหรือข้อความ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทำได้ง่ายดาย แต่ผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำ เนื่องจากมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการระรานทางไซเบอร์ ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งบัญญัติเป็นความผิดไว้อย่างขัดเจน ได้แก่

>> กรณีใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม และทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ตาม ป.อาญา มาตรา 326 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการหมิ่นประมาทโดยมีการป่าวประกาศต่อสาธารณะ จะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม ป.อาญา มาตรา 328 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะข่มขู่ทำให้เจ้าของบัญชีเกิดความกลัว จะเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 392 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น และเป็นการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ จะเข้าข่ายความผิดฐานดูหมิ่นด้วยการโฆษณาตาม ป.อาญา มาตรา 393 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> และกรณีนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพตัดต่อของผู้อื่นในลักษณะที่จะทำให้บุคคลนั้นได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่อว่า หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการถูกระรานทางไซเบอร์ สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ได้แก่  บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่กระทำความผิด , ข้อมูลหรือข้อความที่ได้รับความเสียหาย ฯลฯ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเป็นห่วงในปัญหาดังกล่าว จึงฝากเตือนพี่น้องประชาชนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทั้งหลายให้มีสติ ใช้วิจารณญาณ คิดวิเคราะห์แยกแยะ ก่อนแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เนื่องจากสุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดข้างต้น ดังที่มีผู้เคยกล่าวไว้ว่า “วันนี้สะใจ วันต่อไป ชดใช้กรรม”

แถลงผลการจับกุม 2 คดีสำคัญ! รวบ 5 ผู้ต้องหา พบของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด และกัญชา 560 กก.

วันที่ 13 ก.ย. 64 เวลา 10.00 น. ณ บช.ปส. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส., พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.หญิง วนิดา หาญบุญเศรษฐ ผบก.ประจำ บช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี ผู้ต้องหารวม 5 คน ของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด, กัญชา 560 กก. รายละเอียดมี ดังนี้    

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2564 เวลาประมาณ 12.00 - 12.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ กอง 12 ศรภ. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร บก.สส.ภ.5 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสิงห์บุรี และ อยุธยา ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 1 คดี ผู้ต้องหา 3 คน    

1. นายขวัญนภัส ลี้เจริญสุวรรณ อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 18/18 ม.13 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 1) 

2. ส.ต.ตั๋ว เจริญภัย อายุ 40 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ อายุ 82 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 2) ยศ.รด.  3. ส.ต.สิทธิพล เจริญงดงาม อายุ 40 ปี ที่อยู่ 6/2 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 3)  ยศ.รด.

พร้อมของกลาง จำนวน 5 รายการ  

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 27 กระสอบ จำนวนประมาณ 5,400,000 เม็ด

2. รถยนต์กระบะแครี่บอย ยี่ห้อ Nissan สีบรอนด์ทอง จำนวน 1 คัน

3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ Honda รุ่น City สีดำ จำนวน 1 คัน

4. เงินสด จำนวน 17,000 บาท 

5. โทรศัพท์ มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย  โดยไม่ได้รับอนุญาต” บริเวณถนนหมายเลข 3283 ต.ท่างาม อ.อินทร์บุรี จว.สิงห์บุรี ต่อเนื่อง บริเวณถนนหมายเลข 32 ต.โพบางดำออก อ.สรรพยา จว.ชัยนาท เวลาประมาณ 12.00-12.20 น. ของวันที่ 12 ก.ย. 64

ตามที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดอุดรธานี ได้เข้าขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหานายชัยณรงค์ หมั่นเขตรกิจ ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายขณะขับรถ (เสพขับ) ในพื้นที่ สภ.บ้านแพง จว.นครพนม โดยสังเกตพบว่ารถยนต์ตู้ที่ผู้ต้องหาขับขี่มาภายในรถถอดเบาะโดยสารออกทั้งหมด มีลักษณะต้องสงสัย จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการจับกุมเครือข่ายลักลอบลำเลียงกัญชา 274 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว ของ บก.ปส.2 บช.ปส. เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.64 จนกระทั่งทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน  

1. นายนิพนธ์ หรือแสบ เก่งธัญการ อายุ 43 ปี ที่อยู่ 8/2 หมู่ที่ 7 ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์   

2. นายสุรศักดิ์ หรือศักดิ์ พันธุ์สวัสดิ์ อายุ 28 ปี ที่อยู่ 182/1 หมู่ที่ 5 ต.ระบำ อ.ลานสัก จว.อุทัยธานี

พร้อมของกลาง จำนวน 4 รายการ 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) จำนวน  560 แท่ง/กิโลกรัม

2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อเซฟโลเล็ต เทรลเบลเซอร์ สีขาว ทะเบียน 4 กล 516 กรุงเทพมหานครเป็นยานพาหนะใช้ในการลำเลียงยาเสพติด

3. รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีเทา ทะเบียน กษ 6187 นครสวรรค์ เป็นยานพาหนะใช้ในการสำรวจเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด

4. โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” บริเวณถนนบ้านผือ – กุดจับ ในเขตพื้นที่บ้านเม็ก หมู่ที่ 1 ต.ข้าวสาร อ.บ้านผือ จว.อุดรธานี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าวภายใต้การอำนวยการ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.,พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผช.ผบ.ตร.

สตม. รวบสาวใหญ่ อ้าง! ซี้นักการเมือง หลอกตุ๋นต่างด้าว สามารถให้สัญชาติไทยได้ สูญเงินหลายแสนบาท!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุม

น.ส.ชลิดาฯ อายุ 32 ปี ในข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”

ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกลวงคนต่างด้าวที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน ว่าสามารถขอสัญชาติไทยให้ได้ เพราะรู้จักกับนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.ชลบุรี โดยมีการสร้างโปรไฟล์ปลอมเป็นนักการเมืองท้องถิ่นและส่งให้ผู้เสียหายติดต่อ ซึ่งมีการเรียกรับเงินโดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อคน รายละ 60,000 บาท เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและได้โอนเงินให้ น.ส.ชลิดาฯ ไปแล้วนั้น ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้อีก จึงเชื่อว่าตนถูก น.ส.ชลิดาฯ หลอกลวงให้โอนเงิน เบื้องต้นพบผู้เสียหาย 3 ราย เป็นชาวกัมพูชา ความเสียหายประมาณ 200,000 บาท ซึ่งเชื่อว่ามี ยังมีผู้เสียหายในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่ถูกหลอกให้โอนเงินในลักษณะดังกล่าวอีกหลายราย แต่ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดี

ต่อมา ชุดจับกุม สตม. ได้สืบสวนติดตามจนทราบว่า น.ส.ชลิดาฯ หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และ ชุดจับกุม สตม. ได้ร่วมกันจับตัว น.ส.ชลิดาฯ ในข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”ตามหมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ จ.336/2564 โดย น.ส.ชลิดาฯ รับสารภาพว่า เป็นผู้หลอกลวงผู้เสียหายคนต่างด้าวหลายราย โดยการปลอมเป็นนักการเมืองท้องถิ่นรวมถึงเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากตนติดการพนันอย่างหนักและเป็นหนี้สินจึงคิดหาเงินด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งชุดจับกุม สตม. ได้นำตัว น.ส.ชลิดาฯ ส่งสถานีตำรวจภูธรแสนสุข จ.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th  จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

กองบังคับการตรวจ จับกุม 2 คดี! “แก๊งชาวมาเลเซียหลบหนีเข้าเมือง ย่องทำบ่อนคาสิโนออนไลน์ประเทศเพื่อนบ้าน” - “รวบหนุ่มไทยขบวนการขนแรงงานคาบ้านจุดพักคอย แอบซุกแรงงานผิดกฎหมาย”

ตามนโยบายของ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ                 

   

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง ผกก.ตม.จว.จันทบุรี และ พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ พุทธิพงษ์ ผกก.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์  ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ จำนวน 2 คดีดังนี้

1.“จับกุมแก๊งชาวมาเลเซียหลบหนีเข้าเมือง ย่องทำบ่อนคาสิโนออนไลน์ประเทศเพื่อนบ้าน” - ตม.จว.จันทบุรี

กล่าวคือ ตม.จว.จันทบุรี ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ออกตรวจตามแนวชายแดน ช่องทางธรรมชาติ และพื้นที่เสี่ยงต่อการหลบหนีเข้าเมือง เพื่อป้องกันปรามปราบขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ได้ร่วมกันจับกุมคนต่างด้าวสัญชาติมาเลเซีย จำนวน3ราย คือ 1.นายลิม(ขอสงวนสกุล) อายุ33ปี กล่าวหาว่า“เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ซึ่งอยู่เกินอนุญาตเป็นเวลา 536 วัน 2.นายอึง(ขอสงวนสกุล) อายุ 17 ปี และ3.นางเจ๊าะ(ขอสงวนสกุล) อายุ39ปี กล่าวหาว่า“เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิดบริเวณหลังโกดังรับซื้อผลไม้ใกล้คลองกั้นระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ม.4 ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

โดยได้ทำการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ทราบว่า ได้เดินทางจากกรุงเทพฯมายังจังหวัดจันทบุรีในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อที่จะลักลอบหลบหนีตามช่องทางธรรมชาติข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านไปทำงานในบ่อนพนันคาสิโนออนไลน์ โดยได้เสียค่าใช้จ่ายคนละ 10,000 บาท เนื่องด้วยในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้อยู่เป็นจำนวนมาก จากกรณีดังกล่าวมีพยานหลักฐานที่จะต้องดำเนินการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการต่อไป

2.“รวบหนุ่มไทยขบวนการขนแรงงานคาบ้านจุดพักคอย แอบซุกแรงงานผิดกฎหมาย” - ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์

ก่อนเกิดเหตุ ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ทำการสืบสวนขยายผลจากการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายครั้งที่ผ่านพบว่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นทางผ่านมุ่งหน้าไปทำงานปลายทางหลายที่ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือทางใต้เช่นจังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะมาพักคอยเปลี่ยนรถที่ละแวกอำเภอปราณบุรี ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนลงไปจนพบลักษณะบ้านที่ต้องสงสัยอยู่ในพื้นที่ ม.3 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุในครั้งนี้ และต่อมาได้สืบทราบว่ามีแรงงานที่ลักลอบเข้ามามาพักคอยที่บริเวณดังกล่าว จึงได้วางแผนจับกุมโดยวางกำลังซุ่มดู ซึ่งซุ่มดูอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น.ในวันเดียวกันก็พบว่ามีคนหลายคนทั้งหญิงชายอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวภาษาพูดคุยไม่ใช่ภาษาไทย จึงแน่ใจว่าเป็นคนต่างด้าวและได้เข้าไปตรวจสอบพบ นายศักดิ์ชัย(ขอสงวนสกุล) อายุ 54 ปี เป็นเจ้าบ้านและมีคนสัญชาติกัมพูชา จำนวน  5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน และมีคนสัญชาติเมียนมา เป็นเพศหญิงอีก 1 คน ตรวจสอบกับระบบ Biometrics ไม่พบในฐานข้อมูลสอบถามรับว่าเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาจริงและพักคอยอยู่หลายวันแล้ว จึงได้จับกุมทั้งหมดนำดำเนินคดี โดยแจ้งข้อกล่าวหานายศักดิ์ชัยฯ ว่า “ช่วยเหลือ หรือ ซ่อนเร้นด้วยประการใด ๆ เพื่อให้บุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายหรือพ้นจากการจับกุม” และแจ้งข้อกล่าวหา บุคคลต่างด้าวจำนวน 6 คนว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

จากการสอบถามข้อมูลคนต่างด้าวพบว่าหลบหนีเข้ามา ระหว่างนี้พักคอยเพื่อรอติดต่อหางานทำเมื่อได้งานจะมีรถเข้ามารับที่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางต่อไป ปลายทางต้องการไปหางานทำที่จังหวัดภูเก็ตเสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 18,000 บาท โดยนายศักดิ์ชัยฯ เจ้าของบ้านให้การรับสารภาพว่ารับคนมาจากเพื่อนที่รู้จักกัน ให้มานอน พักคอยระหว่างคนต่างด้าวหางานโดยรับค่าจ้างเหมา 1,500 บาทต่อคน ซึ่งจากพยานหลักฐานที่พบจะมีการสืบสวนขยายผลดำเนินไปยังผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ  รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ภายใต้แผนปฏิบัติการ สยบไพรี 64/18 “ปิดฉากนักค้าภาคเหนือตอนล่าง” มุ่งเน้นการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่ 3 โดยผ่านระบบคมนาคมโลจิสติกส์ - บริษัทขนส่งพัสดุทั้งในและต่างประเทศ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว เพื่อร่วมกันทุกฝ่ายในการปราบปราม สืบสวน จับกุม แก้ไขปัญหายาเสพติด ตามยุทธศาสตร์ชาติ

วันที่ 15 กันยายน 2564 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร.(ปป) พร้อมด้วย พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส.,พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภ.6,พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส.(1),พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส.(4),พล.ต.ต.พยูห์ ธนศรีสืบวงศ์ รอง ผบช.ภ.6,พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส.,พล.ต.ต.รพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์, นายสราวุธ ภักดี ผอ.ป.ป.ส.ภาค 6, นายรณกร เผ่าวิจารณ์ นายอำเภอพยุหะคีรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ ด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการ สยบไพรี 64/18 “ปิดฉากนักค้าภาคเหนือตอนล่าง” มุ่งเน้นการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่ 3 โดยผ่านระบบคมนาคมโลจิสติกส์และบริษัทขนส่งพัสดุทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนทำลายเครือข่ายกลุ่มนักค้ายาเสพติดระหว่างประเทศจากพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบนลักลอบลำเลียงมาพักคอยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างเพื่อกระจายเข้าไปในพื้นที่ตอนในของประเทศ

โดยเข้าปฏิบัติการ 125 จุด ผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 78 ราย และตรวจยึดตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ รายละเอียดดังนี้ เงินสดจำนวน 62,000 บาท ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มูลค่าประมาณ 25 ล้านบาท  รถยนต์ 11 คัน มูลค่าประมาณ 11 ล้านบาท รถแทร็คเตอร์ 1 คัน มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ 11 คัน มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง มูลค่าประมาณ 54,900 บาท เงินฝากในบัญชีธนาคาร 8 รายการ มูลค่าประมาณ 90,000 บาท รวมตรวจยึดทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท โดยเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด และส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามพ.ร.บ.มาตรการฯ ต่อไป

ตำรวจเตือน! นักลงทุนแชร์ออนไลน์ ระวังถูกหลอกสูญเงิน ใครคิดโกงระวังโทษหนัก!! แถมถูกยึดทรัพย์อีกด้วย

วันที่ 16 ก.ย.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนต้องการนำเงินเก็บของตนเองมาลงทุนเพื่อให้ได้ผลกำไร หรือต้องการเงินโดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินหรือเงินกู้นอกระบบที่มีการเรียกอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก จึงเข้าร่วมเล่นแชร์ออนไลน์ที่มีการชักชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์  ซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้จักตัวตนจริงของอีกฝ่าย แต่นำเงินหลักหมื่นหลักแสนมาร่วมเล่นแชร์ออนไลน์และถูกมิจฉาชีพหลอกลวงสูญเงินเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งคิดสั้น ตัดสินใจไปก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินคืนมา ยกตัวอย่าง

กรณีนักเรียนมัธยม อายุ 17 ปี ที่ก่อเหตุใช้อาวุธมีดชิงทรัพย์ร้านค้าทอง และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่อไปว่า แต่เดิมนั้น “การเล่นแชร์” ส่วนใหญ่จะเล่นกันในหมู่คนที่ใกล้ชิดหรือคนรู้จักคุ้นเคยกัน เพราะต้อง อาศัยความไว้เนื้อเช่ือใจซึ่งกันและกันพอสมควร แต่มาถึงโลกยุคดิจิทัลที่ประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น จึงมีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนผ่านการเล่นแชร์ออนไลน์ โดยจะมีการโฆษณาชักชวน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้ออมเงินโดยอ้างว่าจะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าสถาบันการเงินสุดท้ายก็ปิดวงแชร์หลบหนีพร้อมเงินที่ผู้เสียหายร่วมเล่นแชร์ หรือ หลอกให้ร่วมลงทุนในธุรกิจ(ที่ไม่มีอยู่จริง)ในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยมิจฉาชีพจะอ้างว่าได้ผลกำไรสูง ในระยะเวลาสั้น ๆ  ซึ่งมิจฉาชีพมักจะทำให้ตายใจด้วยการจ่ายผลตอบแทนตามที่โฆษณาไว้เพื่อเป็นการหลอกให้ลงทุนสูงขึ้น และบางคนถึงขั้นไปชักชวนญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาร่วมลงทุนอีกด้วย ซึ่งสุดท้ายมิจฉาชีพมักจะอ้างว่าธุรกิจขาดทุน มีปัญหา จึงไม่สามารถส่งเงินได้ตามปกติ พร้อมทั้งบอกกับผู้เสียหายว่าอย่าเพิ่งแจ้งความ สุดท้ายจะตัดการติดต่อและหลบหนีไปในที่สุด

สำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องนั้น จะขอกล่าวเฉพาะประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6กำหนดว่า

ห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มีลักษณะ อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้(1) เป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์ รวมกันมากกว่าสามวง

1.1) มีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน

1.2) มีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันทุกวงเป็นมูลค่ามากกว่า จำนวนที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

1.3) นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์นั้นได้รับประโยชน์ ตอบแทนอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่จะได้รับทุนกองกลางในการเข้าร่วมเล่นแชร์ ในงวดหนึ่งงวดใดได้โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ฯ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำท้ังปรับ”

มาตรา 9 ห้ามมิให้ ผู้ใดโฆษณาชักชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในการเล่นแชร์ ผู้ใดฝ่าฝืนต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

2.พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 12 ผู้ใดกระทําความผิดตามมาตรา 4หรือมาตรา 5 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ฉ้อโกงประชาชน ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

นอกจากนี้ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนยังเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนได้ว่าผู้กระทำผิดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือปกปิดที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือกระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดการจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ของทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาหรือครอบครองทรัพย์สิน โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ผู้กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 5 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึง สิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท และอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ จึงขอประชาสัมพันธ์การลงทุนแชร์หรือร่วมทำธุรกิจที่มีการชักชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนตามที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะการลงทุนที่อ้างว่าได้รับผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น ๆ ที่สำคัญการร่วมลงทุนกับบุคคลรู้จักกันในสื่อสังคมออนไลน์ แต่ไม่เคยเจอตัวจริง ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ตร. - แถลงข่าวจับกุม ผู้ต้องหา 8 คน ยาบ้า จำนวน 7,500,000 เม็ด กัญชา จำนวน 1,480 กิโลกรัม

วันที่ 19 ก.ย.64 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส., พล.ท.ธนณัฐ ยังเฟื่องมนต์ ผอ.ศปป.2 กอ.รมน., นายอุดมชัย โลหณุต ผอ.สปป. สำนักงาน ป.ป.ส., พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส.,  พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส. ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 4 คดี ผู้ต้องหา 8 คน ของกลาง ยาบ้า จำนวน 7,500,000 เม็ด กัญชา จำนวน 1,480 กิโลกรัม

ตามนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ปราบปรามแหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด มุ่งเน้นเครือข่ายรายสำคัญและบุคคลที่หลบหนีหมายจับคดียาเสพติด อีกทั้งให้เน้นการขยายผลตรวจยึดทรัพย์สินรวมทั้งการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่ 3 โดยผ่านระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ ตลอดจนทำลายเครือข่ายกลุ่มนักค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 14 ก.ย.64 เวลาประมาณ 02.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ นปส.อุดรธานี กก.3 บก.ปส.2 บช.ปส. ร่วมกับ ศวข.บก.ขส.บช.ปส. และเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ทำการจับกุม ผู้ต้องหา จำนวน 1 คน ดังนี้  

นายเจด็จ สะดีวงค์ อายุ 45 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 11 หมู่ที่ 5 ต.หนองข่า  อ.ปทุมราชวงศา จว.อำนาจเจริญ พร้อมของกลาง จำนวน 3 รายการ คือ

1. กัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวนประมาณ 620 แท่ง/กก.

2. รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบอร์น หมายเลขทะเบียน 1ฒก 4907 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน 

3. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย สถานที่เกิดเหตุ บริเวณถนนบ้านม่วง - สว่างแดนดิน (ถนนหมายเลข 2091) สี่แยกไฟแดงสว่างแดนดิน หมู่ที่ 11 ต.สว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จว.สกลนคร

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ปส.3 และ บก.ขส.บช.ปส. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 1 คน นางกลิ่นนภา หรือกลิ่น  สมรฤทธิ์  อายุ 45 ปี  ที่อยู่ 161 หมู่ 9 ต.นาคำ อ.ศรีสงคราม จว.นครพนม  พร้อมของกลาง จำนวน 3 รายการ 1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (ฝิ่นสุก) จำนวนประมาณ 3 กิโลกรัม 2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) จำนวนประมาณ 861 กิโลกรัม 3. รถยนต์กระบะ จำนวน 2 คัน (นางกลิ่นนภาฯ ผตห.ขับ 1 คัน, จอดทิ้งที่เกิดแหตุ 1 คัน) โดยกล่าวหาว่า  "ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (ฝิ่นสุก) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต" ที่เกิดเหตุ/ตรวจยึด บริเวณริมถนนพระยาพายัพพิริยะกิจ ต.ตลาด อ.พระประแดง จว.สมุทรปราการ ต่อเนื่องหลายพื้นที่หลายจังหวัดริมถนนซอยนวนคร 1 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี   

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top