Saturday, 10 May 2025
Crimes

ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงแสน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 25 คน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน ผกก.ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

 1. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบพบว่ามีเรือหางยางขับจากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามาจอดบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำโขง จึงตรวจสอบพบนายปั้น ไม่มีนามสกุล สัญชาติลาว เป็นคนขับ จึงตรวจสอบเอกสารประจำตัวและนายปั้น ได้แสดงเอกสารเป็นคนประจำพาหนะ (ลูกเรือ) เรือสัญชาติไทย ซึ่งผ่านการเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อ 10 ก.ค.64  แต่หลังจากนั้นนายปั้น ได้ขับเรือกาบของกลางไปยัง สปป.ลาว และกลับเข้ามา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จับกุมตัวนายปั้น พร้อมยึดของกลางเรือกาบเหล็กสีฟ้า พร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 1 ลำ เป็นของกลางส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า “เดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรไม่ยื่นแบบรายการที่กำหนดในกฎกระทรวงและไม่ผ่านการอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ฝ่าฝืนข้อกำหนดตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และฝ่าฝืนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฯ เหตุเกิด ริมตลิ่งแม่น้ำโขง บ้านป่าสัก หางเวียง ต.เวียง อ.เชียงแสน จว.เชียงราย

 2. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายทึน พร้อมกับพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 8 ราย จึงได้ตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่นายทึน กับพวกไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัวคนต่างด้าวทั้ง 8 ราย โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

3. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายพง พร้อมกับพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 4 ราย จึงได้ตรวจสอบเอกสารประจำตัวแต่คนต่างด้าวทั้ง 4 ราย ไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับ ด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

4. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบ คนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 4 ราย คือ น.ส.สุริยาวงสา, 2.น.ส.ออละวัน, น.ส.คัดสะพอน และ น.ส.วงแสง จากการตรวจสอบเอกสารประจำตัวคนต่างด้าวทั้ง 4 ราย ทราบว่า รายที่ 1 – 3 อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จึงได้ทำการจับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ม.35 (1) พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 "  และกล่าวหา น.ส.วงแสง ว่า “ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ม.35 (1) พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558" นำส่ง สภ.เชียงของ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 5. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบเมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายคำเล็ก พร้อมพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม

8 ราย จึงได้ทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่คนต่างด้าวดังกล่าว ไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับ ด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า  สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบคนต่างด้าว กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และกฎหมายอื่น ๆ ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำ ตม.จว.แนวชายแดน ให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและประเทศเพื่อนบ้าน ดำรงการสื่อสาร แก้ปัญหาร่วมกันโดยคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนในห้วงสถานการณ์โควิด รวมทั้ง หากพบการกระทำผิดกฎหมาย การก่อเหตุอันตรายใด ๆ อันกระทบต่อความสงบสุข ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ  กรุณาแจ้งเบาะแสมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120  หรือหมายเลขโทรศัพท์ สายด่วน 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

แถลงจับกุม 2 คดี!! ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง จับกุมเครือข่ายลักลอบขนชาวเมียนมาเข้าไทย และ ตม.จว.ระนอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม., พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง, พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร, พ.ต.ท.เอกลักษณ์ นุ่นปาน สว.ตม.จว.ระนอง และ พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

1. ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง จับกุมเครือข่ายลักลอบขนชาวเมียนมาเข้าไทย

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังฝ่ายความมั่นคง ร่วมกันจับกุม นายมงคล อายุ 30 ปี สัญชาติไทย และนายสุขสันต์ อายุ 25 ปี สัญชาติไทย ทำหน้าที่ขับรถนำคอยดูต้นทาง เพื่อนำพาชาวเมียนมาที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม โดยสามารถจับกุมได้ที่ จุดตรวจ จุดสกัด ป้องกันคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บริเวณหน้าที่พักสายตรวจบางมาศ ม.12 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ความผิดฐาน “ร่วมกันให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” และต่อมาได้จับกุมชาวเมียนมา ทั้งหมด 22 คน ที่ถูกนำไปทิ้งไว้อยู่ภายในบริเวณสวนยาง ม.17 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะจว.ชุมพร ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

จากการสอบถามชาวเมียนมาทั้ง 22 คน ทราบว่า ทั้งหมดเดินทางมาจากภูมิลำเนาต่าง ๆ ของประเทศเมียนมา มาพักรออยู่ที่บ้านใน จ.เกาะสอง เป็นเวลา 15 วัน และมาพักหมู่บ้านหมาราง (ตรงข้าม อ.กระบุรี) อีกเวลา 2 วัน จึงได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยโดยเรือหางยาวมาตามแม่น้ำกระบุรี ขึ้นฝั่งบริเวณ ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง จากนั้นได้มีรถยนต์มารับ กระทั่งเมื่อพบจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ คนขับได้กลับรถและนำพวกตนมาทิ้งไว้ภายในสวนยางที่เกิดเหตุ ซึ่งทั้งหมดต้องการไปทำงานที่จังหวัดตรัง และจังหวัดปัตตานี โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางคนละประมาณ 18,000 บาท

จากการสอบปากคำ นายมงคล และนายสุขสันต์ ให้การยอมรับว่า ทำหน้าที่ขับรถยนต์เพื่อคอยดูต้นทาง อำนวยความสะดวกให้กับรถยนต์อีกคันที่ใช้ขนชาวเมียนมาที่หลบหนีเข้าเมืองมา โดยได้รับการว่าจ้างจากนายกุ้ง ไม่ทราบชื่อสกุลจริง เป็นเงิน 15,000 บาท โดยรถอีกคันจะมีนายแบงค์ ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ทำหน้าที่ขับรถ ขนชาวเมียนมาหลบหนีมาจากพื้นที่ อ.กระบุรี จว.ระนอง ใช้เส้นทางบ้านรังแตน ต.จปร. อ.กระบุรี จว.ระนอง มาทาง ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร โดยนายมงคล ทำหน้าที่ขับรถนำ ส่วนนายสุขสันต์ เป็นคนนั่งข้าง หากเจอจุดตรวจจะใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับและสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้เพิ่มเติม 2 คน คือ นายเสรี (กุ้ง) อายุ 39 ปี สัญชาติไทย ผู้ว่าจ้าง และนายทวิช (แบงค์) อายุ 26 ปี สัญชาติไทย คนขับรถขนชาวเมียนมา จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำให้สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดีนี้ได้ครบทั้ง 4 คน แล้ว

2. ตม.จว.ระนอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.2521, ฉก.ร.25, ฝ่ายปกครองและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามทราบว่านายสุทัศน์ ที่อยู่ 15 ม.2 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง มีพฤติการณ์ลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย จึงได้เฝ้าสังเกตพฤติการณ์จนทราบว่า นายสุทัศน์จะทำการลักลอบขนส่งแรงงานต่างด้าวจาก อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร ต่อมา เจ้าหน้าที่พบเห็นรถยนต์กระบะสีดำ ทะเบียนระนอง (รถเป้าหมาย) ขับขี่มาจาก อ.กระบุรี-มุ่งหน้ามาทาง อ.ละอุ่น เลียวซ้ายแยกพรุตาโรย ถนนสายบ้านบางแก้ว - เข้าบ้านในโหน ม.1 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงติดตามสกัดจับจากบริเวณถนนบ้านในโหน - มุ่งหน้าบ้านในหุบ จว.ชุมพร ถึงบริเวณถนนลูกรังในสวนยางพาราก่อนถึงโรงเรียนบ้านในหุบ ม.4 ต.เขาค่าย อ.สวี จว.ชุมพร พบรถยนต์คันดังกล่าวจอดทิ้งไว้และผู้ขับขี่ได้หลบหนีไป

ตรวจสอบในรถยนต์คันดังกล่าวพบ นายจอนาย อายุ 25 ปี แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายสัญชาติเมียนมา และพวกรวม 33 คน จากการสอบถามทราบว่าชาวเมียนมาส่วนใหญ่เดินทางมาจาก จว.ย่างกุ้ง จว.มอละแมง และ จว.ทวาย จุดหมายปลายทางต้องการไปหาทำงานในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา จว.สุราษฎร์ธานี จว.ปัตตานี และที่ จว.นครศรีธรรมราช โดยคนต่างด้าวได้ติดต่อกับญาติ และเพื่อนที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย และนายหน้าขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศไทย โดยเสียค่านายหน้าเป็นเงิน 15,000 – 17,000 บาท/คน จากนั้นนายหน้าได้นำพาเดินทางมาพักรออยู่ที่บ้านพักใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่บ้านเพาสุข อ.เขม่าจี จว.เกาะสอง และได้ลักลอบนำพาเข้ามาในพื้นที่ จว.ระนอง 

จากการสืบสวนขยายผลการจับกุม มีพยานหลักฐานยืนยันชี้ชัดว่านายสุทัศน์ เป็นผู้ขับขี่ รถยนต์กระบะสีดำ ทะเบียนระนอง จึงติดตามจับกุมตัวนายสุทัศน์ ได้ที่บ้าน ม.2 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด และสืบสวนข้อมูลการใช้โทรศัพท์ พบว่านายเสรีหรือกุ้ง ได้รับการติดต่อว่าจ้างจาก นายบ่าวเกียจ/โกโซ่ นายหน้าชาวเมียนมา ให้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองจาก จว.ระนอง ไปส่งปลายทาง นายเสรีหรือกุ้ง จึงว่าจ้างให้ นายสุทัศน์ จัดหารถยนต์มารับตัวแรงงานต่างด้าว จำนวน 33 คน ซึ่งลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ ข้างปั้มน้ำมันร้าง บ้านปากสวะ ม.7 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง เพื่อไปส่งให้นายชัยญะ หรือม่อน รอรับช่วงต่ออยู่ที่ จว.ชุมพร และว่าจ้างให้นายวัฒชัย ขับขี่รถจักรยานยนต์ นำทางดูเส้นทางว่ามีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตามเส้นทางหรือไม่

จากนั้นนายเสรีหรือกุ้ง ขับรถยนต์กระบะ ทะเบียนชุมพร นำทางนายสุทัศน์ ที่บรรทุกแรงงานต่างด้าว มุ่งหน้าไปทาง อ.ละอุ่น จว.ระนอง ใช้เส้นทางหลักถนนเพชรเกษม และเลี้ยวซ้ายแยกพรุตาโรย ใช้เส้นทางรองถนนสายบ้านบางแก้ว – บ้านในโหน – ผ่านโรงเรียนบ้านปากแพรก มุ่งหน้าบ้าน ในหุบ จว.ชุมพร เมื่อถึงถนนลูกรังก่อนถึงโรงเรียนบ้านในหุบ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ไล่สกัดจับได้พร้อมแรงงาน ต่างด้าว จำนวน 33 คน

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.บางแก้ว จว.ระนอง ขออนุมัติ ศาลจังหวัดระนองเพื่อออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. นายเสรีหรือกุ้ง ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 72/2564 ลง 8 ก.ค.64

2. นายวัฒชัย ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 73/2564 ลง 8 ก.ค.64

3. นายชัยญะหรือม่อน ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 74/2564 ลง 8 ก.ค.64   

โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ในข้อหา “ร่วมช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวซึ่ง  ตนรู้อยู่แล้วว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการจับกุม, ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อฯ” นำส่ง พงส.สภ.บางแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

ผช.ผบ.ตร.ชื่นชมตำรวจภาค 3 ดำเนินการโครงการชุมชนยั่งยืนได้ดีเยี่ยม ขณะที่ รอง ผบช.ภาค 3 แถลงข่าวผลการจับกุมคดียาเสพติดพบผู้ต้องหา และของกลางจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 ที่ สภ.กันทรลักษ์  จ.ศรีสะเกษ  พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผช.ผบ.ตร.(ปป 6) พร้อมด้วย พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รอง ผบ.ภาค 3 (หน.ปส.) และคณะนายตำรวจ ได้เดินทางไปติดตามผลการดำเนินการตามโครงการชุมชนยั่งยืนของ สภ.กันทรลักษ์ นำโดย พ.ต.อ.นรินทร์ บุพตา ผกก.สภ.กันทรลักษ์ ซึ่งได้ร่วมกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนในเขต อ.กันทรลักษ์ ผลการดำเนินงานตามโครงการพบว่า สามารถดำเนินการบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการได้อย่างดีเยี่ยม

โดย พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รอง ผบ.ภาค 3 (หน.ปส.) ได้แถลงข่าวผลการจับกุมคดียาเสพติด ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 10 คน ของกลางยาบ้า 13,997 เม็ด โดยมี พล.ต.ต.สันติ เหล่าประทาย ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ หัดกล้า ผู้ทรงคุณวุฒิ สตช. พ.ต.อ.ศุภชัย  ศักรินพานิชกุล รอง ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ คณะนายตำรวจ สภ.กันทรลักษ์ และคณะนายทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23  มาร่วมในการแถลงข่าวและให้การต้อนรับ

พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน  ผช.ผบ.ตร.(ปป 6) กล่าวว่า ท่าน ผบ.ตร.มีความห่วงใยเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาด จึงได้มอบหมายให้ตนลงมาเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ ตร.ทุกนาย โดยได้มอบหน้ากากอนามัยและถุงมือให้กับ ผกก.สภ.กันทรลักษ์  เพื่อใช้ในการปฏิบัติราชการให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนชาว อ.กันทรลักษ์

ประกอบกับในเรื่องของยาเสพติดและเรื่องชุมชนยั่งยืนซึ่งเป็นนโยบายของ ฯพณฯนายกรัฐมนตรีและเป็นยุทธศาสตร์ชาติด้วย โดยให้มาดูความคืบหน้าและปัญหาความขัดข้องมีอะไรบ้างที่จะต้องดำเนินการต่อไป ตนจึงได้มาเป็นขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ ตร.ทุกนาย 

ส่วนกรณีที่มีการแอบลักลอบนำเอายาเสพติดเข้ามาในเขตพื้นที่ประเทศไทยนั้น พวกที่ทำผิดกฎหมายก็พยายามที่จะหาช่องทางที่อ้างในเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คงคิดว่าตำรวจจะไม่ทำงาน แต่ว่าตำรวจของเราทุกนายทำงานกันอย่างเต็มที่อยู่แล้วและทำงานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของตำรวจภูธรภาค 3 ได้ดำเนินการอย่างดีเยี่ยมในเรื่องชุมชนยั่งยืนมีการร่วมมือร่วมใจกันทั้งฝ่ายปกครอง อสม. ผู้นำชุมชน ซึ่งในวันนี้ก็มีเกษตรมาช่วยแนะนำในเรื่องอาชีพที่จะต้องทำด้วย และเราจะได้ช่วยกันพลิกกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการดำเนินการในช่วงนี้

พล.ต.ต.คีรีศักดิ์  ตันตินวะชัย รอง ผบช.ภาค 3 (หน.ปส.) กล่าวว่า ตามแนวชายแดนของภาค 3 ตนเชื่อว่า ยาเสพติดเข้ามาน้อยลงมากในช่วงนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย ที่จับได้ในช่วงเดือนที่ผ่านมาระดับหลักหมื่นที่ข้ามแนวลำน้ำโขงเข้ามา เพราะว่าเรามีการใช้แผนพิทักษ์ลำน้ำโขง ก็มีการวางกำลังตามจุดที่ อ.เขมราฐกับ อ.ชานุมาน รวมกันจำนวน 33 จุด และมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุการณ์ปิดหัวท้ายถนนไว้พร้อม

เพราะฉะนั้นการจับกุมในช่วงนี้รวมทั้งในเรื่องของการป้องกันสกัดกั้นตามแนวชายแดนของเราได้ผลดี รวมทั้งการข่าวที่เราได้รับตอนนี้เริ่มจะเบาบางลงแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่ทิ้งเพราะว่าถ้าเราหย่อนเมื่อไหร่การลักลอบขนยาเสพติดก็จะเข้ามาอีก ส่วนยาบ้าที่ระบาดในช่วงนี้ไม่เยอะจะน้อยลง ส่วนมากแล้วจะเป็นรายย่อยเยอะมาก ตามชุมชนหมู่บ้านยังมีอยู่ ตนคิดว่ายาบ้าขาดตลาด เพราะว่าช่วงไตรมาสที่ผ่านมา มียาบ้าจากทางส่วนกลางย้อนกลับเข้ามาในเขตภาคอีสานจำนวนหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ ตร.ได้เฝ้าติดตามเพื่อจับกุมอย่างเต็มที่

พ.ต.อ.ศุภชัย  ศักรินพานิชกุล รอง ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ถ้าเราไปจะเป็นจับกุมทีละ 50,000 เม็ด ถึง 100,000 เม็ดค่อนข้างจะยาก เราจะขยายทำลายเครือข่ายทีละชุดเริ่มจาก เสพครอบครองจับกุมได้ทีละ 2,000 เม็ด ไต่เพดานขึ้นไปชุดละ 3,000 เม็ด 4,000 เม็ด 5,000 เม็ด ไล่ขยายผลไปถึงตัวการใหญ่ไปเรื่อย ๆ

ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือในการขยายผลจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ของกลางครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะน้อย แต่ว่าผู้บังคับบัญชาจะเน้นในการทำลายเครือข่ายยาบ้าระดับล่างระดับรากหญ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดทุกประเภทอย่างยั่งยืนต่อไป


ภาพ/ข่าว  ศิริเกษ หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ. ศรีสะเกษ

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี จับกุมตรวจยึดยาเสพติดประเภท 1 ยาบ้า จำนวน 102,000 เม็ด ที่ลักลอบข้ามฝั่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 ได้จัดกำลัง ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว กองร้อยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 2105 ซึ่งมี พันตรี ยงยุทธ ดวงสุริยา ผู้บังคับกองร้อยกองร้อยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 2105 บูรณาการร่วมกับ สภ.โพนพิสัย, ฝ่ายปกครองอำเภอโพนพิสัย โดยได้รับแจ้งจากสายลับแจ้งว่าจะมีการลักลอบส่งมอบยาเสพติดตามเส้นทางการเกษตรริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณหมู่บ้านหนองกุ้งใต้ หมู่ที่ 2 ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

จึงได้วางกำลังเข้าดักซุ่มจนกระทั้งถึงเวลา 07.15 น. พบเรือกรีบเพลาลอยลำมายังริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมกับได้โยนสิ่งของ เป็นกระสอบสีดำ จำนวน 1 กระสอบ ขึ้นมายังริมฝั่งแม่น้ำโขงแล้วกลับออกไปทันที เจ้าหน้าที่จึ่งซุ่มรออยู่จนกระทั้ง เวลา 08.30 น. ได้มีบุคคลขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา 2 คน โดยรถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาจอดยัง จุดที่โยนกระสอบดังกล่าวพร้อมกับได้ลงมาแบกกระสอบเพื่อกลับขึ้นรถจักรยานยนต์

เจ้าหน้าที่จึงแสดงตนจะเข้าทำการตรวจสอบ แต่เมื่อบุคคลดังกล่าวพบเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ จึงแสดงอาการกำลังจะวิ่งหลบหนี ชุดเจ้าหน้าที่จึงเข้าควบคุมตัว หลังจากนั้นชุดจับกุมจึงตรวจสอบภายในกระสอบพบเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 จำนวน 17 แพ็ค ประมาณ 102,000 เม็ด จึงได้นำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งต่อไปยัง สถานีตำรวจภูธรโพนพิสัย เพื่อดำเนินคดีต่อไป


ภาพ/ข่าว  เดวิท โชคชัย รายงาน

ตม.จังหวัดจันทบุรี จับชาวลาว!! แอบย่องผ่านเข้าไทย ถูกรวบพร้อมขบวนการช่วยเหลือนำพา 3 คดี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

“จับชาวลาว แอบย่องผ่านเข้าไทย ถูกจับพร้อมขบวนการช่วยเหลือ”
ในห้วงเวลาที่ผ่านมาการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในแนวชายแดนจังหวัดจันทบุรีมีความเข้มงวด และกวดขันจับกุมผู้กระผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง อย่างต่อเนื่อง ในกรณีนี้ชุดสืบสวน ตม.จว.จันทบุรี ได้ทำการสืบสวนทราบว่า จะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผ่านในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีจึงได้วางแผนสกัดจับกุมโดยบูรณาการกำลังปฏิบัติกับทหารพรานและตำรวจภูธรพื้นที่ ซึ่งต่อมาขณะที่ตั้งจุดสกัดได้ตรวจพบรถยนต์กระบะยี่ห้อ อีซูสุ สีฟ้า ทะเบียนจังหวัดนครราชสีมา ลักษณะตรงตามข้อมูลที่ทำการสืบสวนจึงได้ทำการเรียกขอตรวจสอบ ซึ่งเมื่อรถยนต์กระบะคันดังกล่าวถูกเรียกก็แสดงพิรุจโดยเคลื่อนตัวช้าๆก่อนเข้ามาที่จุดสกัด จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ขับคือนายวิรุธ (ขอสงวนสกุล) สัญชาติไทย อายุ 26 ปี มีผู้โดยสารนั่งมาในแคป 2 คน ตรวจสอบแล้วพบว่าคือ นายแม็ก สัญชาติลาว อายุ 28 ปี และนางเม สัญชาติลาว อายุ 24 ปี ไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางอย่างใด สอบถามรับว่าหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมตัวนำส่งดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : นายวิรุธ “ช่วยเหลือซ่อนเร้นด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” นายแม็ก และนางเม “ เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ของกลาง : รถยนต์กระบะ มีแคป ติดหลังคา ทะเบียนจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 1 คัน

สถานที่เกิดเหตุวันเวลาเกิดเหตุ : จุดตรวจหน้ากองร้อย ทพ.นย.546 (คลองโป่งน้ำร้อน) ต.คลองใหญ่ อ.โป่งน้ำร้อน จว.จันทบุรี

จากการสอบถาม นายแม็กและนางเมให้ข้อมูลว่าเป็นสามีภรรยากันทำงานอยู่จังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา หลักจากสถานการณ์โควิดที่กัมพูชารุนแรงและไม่มีงานจึงคิดจะกลับประเทศลาวโดยใช้ไทยเป็นทางผ่านเนื่องจากถนนหนทางสะดวก จึงลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติและแอบทำงานเก็บเงินในจันทบุรีเกือบ 1 เดือน จากนั้นจึงติดต่อจ้างนายวิรุธ คนละ 8,500 บาท ให้ส่งกลับบ้าน ส่วนนายวิรุธรับสารภาพว่าปกติทำงานขับรถส่งผลไม้ส่วนงานรับงานขนส่งแรงงานนั้นทำเป็นครั้งคราว

ซึ่งในเคสนี้ก็รับว่าได้รับการติดต่อจากจ้างจากนายแม็กจริง โดยจะนำคนทั้งสองไปส่งที่จังหวัดนครราชสีมา แล้วจะจ้างเพื่อนของนายวิรุธรับไปส่งต่อยังชายแดนหนองคายต่อไป ซึ่ง ตม.จว.จันทบุรี จะดำเนินการสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขยายผลจับกุมเครือข่าย "แก๊งนำพาคนจีน หลบหนีเข้าเมือง"

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ

สืบเนื่องจากการจับกุมขบวนการลักลอบขนคนจีนเข้าประเทศ โดยจับกุมที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 64 ที่ผ่านมานั้น นายสมบุญ ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวได้ให้ข้อมูลว่า ตนได้รับการชักชวนให้ทำงานขนคนครั้งนี้ จากนายไชศักดิ์หรือใหญ่ โดยร่วมทำกันมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งในครั้งก่อน ๆ นายสมบุญ จะทำหน้าที่ขับรถนำคอยแจ้งเรื่องด่านตรวจ ส่วนนายใหญ่จะทำหน้าที่ขับรถคนขนต่างด้าว แต่ในครั้งที่ถูกจับกุมนี้ได้เปลี่ยนหน้าที่กัน โดยนายใหญ่ทำหน้าที่ขับรถนำทางและคอยแจ้งเรื่องด่านตรวจ ส่วนนายสมบุญทำหน้าที่ขับรถขนคนต่างด้าวไปส่งที่หมายและทำให้ถูกจับกุมซึ่งทุก ๆ ครั้ง นายใหญ่ จะเป็นคนรับงานขนคนต่างด้าวและรายละเอียดต่าง ๆ จากนั้นจึงมาชักชวนนายสมบุญให้ร่วมทำงาน โดยแบ่งหน้าที่และแบ่งเงินที่ได้รับด้วยกัน นายใหญ่ เป็นคนรับงานขนคนต่างด้าวมาจากผู้สั่งการ ที่ จว.เชียงราย โดยไม่ได้สนใจว่าคนต่างด้าวที่ตนรับขนนั้นจะเข้าประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว กก.สส.บก.ตม.3 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 331/64 ลง 19 ก.ค.64 ข้อหา "ร่วมกันช่วยเหลือซ่อนเร้นด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม"

ต่อมาได้ดำเนินการสืบสวน ทราบว่า นายใหญ่ หลบหนีและพักอาศัยอยู่บ้านพัก ย่านธัญบุรี คลอง 11 จว.ปทุมธานี จึงได้วางแผนจับกุม เมื่อพบตัวชายลักษณะคล้ายนายใหญ่บุคคลตามหมายจับจึงได้แสงตัว และแสดงหมายจับให้ นายไชศักดิ์หรือใหญ่ ทราบ ก็รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับและไม่เคยถูกจับกุมมาก่อน จึงได้จับกุมและนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป จับกุมได้ที่ถนนภายในหมู่บ้านกรีนการ์เดนโฮม คลอง 11 ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญญบุรี จว.ปทุมธานี

จากการซักถามนายใหญ่ รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับงานมาจากผู้สั่งการ ซึ่งอยู่ที่ อ.แม่สาย จว.เชียงราย โดยการนัดรับคนต่างด้าวทุก ๆ ครั้ง จะนัดรับที่ บริเวณบึงหนองปึ๋ง อ.เมือง จว.เชียงราย ได้รับค่าจ้างตามจำนวนคนต่างด้าว หัวละ 5,000 บาท โดยจะได้รับค่าจ้างเมื่อส่งคนต่างด้าวถึงที่หมาย เงินที่ได้รับค่าจ้างเมื่อหักค่าน้ำมันออก ก็จะแบ่งกับ นายสมบุญ

ซึ่งตนชักชวนมาร่วมงาน โดยแบ่งกันคนละครึ่งทางการสืบสวนพบว่า นายใหญ่ มีการใช้โทรศัพท์ติดต่อผู้สั่งงาน/ว่าจ้างหลายครั้ง และมีจำนวนเงินโอนเข้าออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

รวบแล้ว!! ‘เจ๊เจี๊ยบ’ หัวหน้าขบวนการ ขนแรงงานลงประจวบฯ กก.สส.บก.ตม.3 แถลงการจับกุมตัว

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ 

คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 64 เกิดเหตุ รถขนคนต่างด้าวจำนวน 42 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง จว.ประจวบคีรีขันธ์ จับกุมที่ จุดตรวจประชารัฐ อ.คลองวาฬ จว.ประจวบคีรีขันธ์ โดยจากการตรวจสอบพบ นายพีระ เป็นผู้ขับขี่ เบื้องต้นจากการซักถามคนต่างด้าวให้การว่าจะเดินทางกลับพม่าทางช่องทางด่านสิงขร โดยได้จ่ายค่าดำเนินการประมาณ 5,000-8,000 บาท ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่าในกลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวมีผู้ติดโควิด-19 จำนวน 16 คน จึงทำให้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องควบคุมตัวกลุ่มคนต่างด้าวและคนขับรถดังกล่าวไว้ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อฯ เสียก่อน

ต่อมา กก.สส.บก.ตม.3 ได้ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนขยายผล นายพีระ โดยนายพีระ ได้รับสารภาพทราบว่า ตนเป็นคนขับรถของบริษัท มีชื่อแห่งหนึ่ง ต่อมาตามวันเวลาเกิดเหตุ ได้รับคำสั่งจากนายจ้างชาวไทยให้มารับคนต่างด้าวกับนายหน้าชาวไทยที่ จว.สมุทรสาคร เพื่อเดินทางไปยังด่านสิงขร จว.ประจวบฯ หลังจากรับคนงานแล้วจึงได้รับค่าดำเนินการจำนวนหนึ่งจากนายหน้า พร้อมทั้งได้ข้อมูลผู้ประสานงานที่ จว.ประจวบฯ โดยเมื่อเดินทางไปถึงให้ประสานงานกับ น.ส. เจี๊ยบ เพื่อจะได้นัดหมายพบกันต่อไป ต่อมาจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.3 ทำให้ทราบภายหลังว่าเป็น น.ส.วณิชย์นารา ซึ่งนอกจากกระทำความผิดในคดีนี้แล้ว ยังตรวจสอบพบว่ามีหมายจับของศาลจังหวัดตาก ที่ จ.115/2564 ข้อหาฉ้อโกง จึงได้ทำการสืบสวนจนกระทั่งทราบแหล่งกบดาน

ต่อมาวันที่ 10 ส.ค. 64 จึงได้เข้าจับกุมตัว น.ส.วณิชย์นารา ได้ที่บริเวณหน้าแมนชั่นแห่งหนึ่ง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่กบดานของ น.ส.วณิชย์นารา โดยเบื้องต้นจากการตรวจค้นพบพยานหลักฐานทั้งการติดต่อสื่อสารและด้านการเงินสอดคล้องกับคำให้การของ นายพีระ ซึ่งฝ่ายสืบสวนสอบสวนจะได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

“ไม่ให้ผ่าน ไม่ให้ขาย ไม่ให้เสพ” ศอ.ปส.จ.ชุมพรโชว์ผลงาน รวบผู้ค้ายาทั้งยาบ้าและไอซ์มูลค่านับล้าน

วันนี้ 13 สค. 64 เวลา 10.30 น. ณ ค่าย อส.จ.ชุมพร นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ. ชุมพร ,นายพิทักษ์   พิศสิริวัฒนสุทธิ์ ปลัดจังหวัดชุมพร และเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครรักษาดินแดน จังหวัดชุมพร(อส.จ.ชุมพร) ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหายาเสพติดทั้งยาบ้า จำนวน 8,000 เม็ด ,กัญชา 1 แท่ง และยาไอซ์ มีน้ำหนัก 2 กิโลกรัม

นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ.ชุมพร เปิดเผยว่า การจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดในครั้งนี้ เป็นการขยายผลการจับกุม จากผู้ค้ายาบ้า จากวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้สืบทราบว่าจะมีการส่งมอบยาอีก 2 ครั้งในวันที่ 8 และ 12 สิงหาคม 2564 จึงได้สั่งการให้ชุดเฉพาะกิจโชคชัยวางแผนเข้าจับกุมกลุ่มผู้ค้ายา

โดยในวันที่ 8 สิงหาคม 2564  มีบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง ได้นำกล่องสินค้ามาวางไว้บริเวณหน้าอู่ซ่อมรถ ซ.รุ่งเรือง ต.ปากน้ำชุมพร แต่ผู้ค้ายาเสพติดไหวตัวทัน จึงหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ไปได้ จึงตรวจยึดของกลางทีมีการบรรจุเป็นหีบห่อด้วยผ้าขนหนูขนาดใหญ่ เพื่อพรางตบตาเจ้าหน้าที่ ภายในพบยาบ้า 1 ห่อ นับได้จำนวน 8,000 เม็ด

ต่อมาวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมาได้สืบทราบว่า จะมีการส่งมอบของอีกครั่ง โดยมีคน 2 คนออกไปรับของ จึงซุ่มดูบริเวณโรงแรมในพื้นที่ของ ต.บางหมาก อ.เมือง จ.ชุมพร พบมีผู้ต้องหา 2 คนมารับของ จึงได้จับกุมพร้อมของกลางพบเป็นยาไอซ์จำนวน 2 กิโลกรัม จึงทำการบันทึกจับกุมและนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชุมพรเพื่อดำเนินคดีมียาเสพติดไว้ในครอบครองต่อไป


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

ฟังเสียงประชาชน! ลำปางจัดขบวน #Carmobsลำปาง ขับไล่พลเอกประยุทธ์ ครั้งที่ 2 มีรถเข้าร่วมกว่า 1,000 คัน

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 15 ส.ค. 2564 ที่ จ.ลำปาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ บริเวณสวนสาธารณะเขลางค์นคร อ.เมืองลำปาง กลุ่มพิราบขาวเพื่อมวลชน มธ.ศูนย์ลำปางได้มีการจัดขบวน #carmobsลำปาง โดยเคลื่อนขบวนเวลา 16.00 น.จุดเริ่มต้น สวนสาธารณะเขลางค์ฯ - สามแยกโรงน้ำแข็ง - สวนอากง- วงเวียนหน้าสถานีรถไฟ- แยกดอนปาน - โรงเรียนมัธยมวิทยา - โรงเรียนประชาวิทย์ - ห้าแยกหอนาฬิกา-กาดออมสิน - มิวเซียมลำปาง - หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง -แล้ววกกลับมาที่ ถนนหน้าที่ทำการไปรษณีย์ไทย- ถนนทิพย์ช้าง -กลับไปยังจุดเริ่มขบวนสวนสาธารณะเขลางค์ฯ โดยมีรถนำขบวนรถแห่คันที่ 1 รถจักรยานยนต์มวลชน รถน้ำ รถยนต์มวลชน รถแห่คันที่ 2 รถยนต์มวลชนและ รถปิดท้าย กล่าวถึงการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 โดยมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เข้าร่วมขบวนกว่า 1,000 คัน เคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางดังกล่าวพร้อมกับบีบแตร ชู 3 นิ้วรอบเมือง แสดงพลังขับไล่นายกฯ ก่อนขบวนจะหยุดอ่านแถลงการณ์หน้าจวนผู้ว่าฯ โดยมี ตร.จราจร สภ.เมืองลำปางดูคอยดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรด้วย

ทั้งนี้ #carmobs ลำปางที่จัดขึ้น มีผู้ร่วมอุดมการณ์แสดงเจตนารมย์ในการขับไล่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อขบวนไปถึงหน้าจวนผู้ว่าฯแกนนำได้กล่าวแถลงการณ์ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล เกี่ยวกับการแก้ปัญหาโควิด การจัดหาวัคซีน การรักษาทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก การแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อไม่ให้มีการสืบทอดอำนาจ และให้พลเอกประยุทธ์และ ครม.ลาออก ก่อนเคลื่อขบวนกลับที่จุดเดิมและประกาศสิ้นสุดกิจกรรมก่อนแยกย้ายกันกลับในเวลา 18.00 น. โดยได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ สังเกตุการณ์และรักษาความสะดวกเรียบร้อยจำนวนมาก

"โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากจัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมาเพื่อร้องให้รัฐบาลฟังเสียงประชาชน ประชาชนจับมือและร่วมใจกันลงถนน เพื่อเรียกร้องการมีชีวิตรอดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่รัฐบาลไม่สนใจ นอกจากนี้ยังตอบแทนความหวังดีด้วยการใช้ความรุนแรง การออกมาขับไล่รัฐบาลทรราชย์ จึงเป็นหน้าที่ของประชาชน “ แกนนำกลุ่มฯกล่าว


ภาพ/ข่าว  วินัย / ลำปาง รายงาน

กลุ่มเชียงราย No เผด็จการ ร่วมกับคนเสื้อแดงเชียงราย จัดคาร์ม็อบรอบเมือง ยื่นหนังสือ 2 สภ. เรียกร้อง ทำงานเพื่อประชาชน อย่าทำงานเพื่อนักการเมือง!! ขอไม่ใช้ความรุนแรงกับม็อบหากส่งกำลังควบคุมฝูงชุนไปร่วมที่กรุงเทพฯ

เวลา 16.30 น.วันที่ 15 ส.ค.64 ที่หน้า สภ.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย นายสราวุทธิ์ กุลมธุรพจน์ แกนนำกลุ่มเชียงราย No เผด็จการ ร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงราย จัดคาร์ม็อบครั้งที่ 3 โดยมีรถยนต์เข้าร่วมขบวนกว่า 50 คัน รถจักรยานยนต์ประมาณ 100 คัน มีผู้เข้าร่วมประมาณ 300 คน โดยได้รวมตัวกันที่หน้า สภ.บ้านดู่ เพื่อยื่นหนังสือให้กับ ผกก.สภ.บ้านดู่ มีเนื้อหาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน โดยไม่เข้าข้างนักการเมือง หลังจากอ่านแถลงการแล้วได้มอบหนังสือให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านดู่เพื่อส่งมอบให้กับ ผกก.บ้านดู่

จากขบวนรถคาร์ม็อบได้เคลื่อนขบวนจาก หน้า สภ.บ้านดู่ ไปยัง สภ.เมืองเชียงราย โดยใช้เส้นทาง มุ่งหน้าแยกไฟแดงวัดห้วยปลากั้ง เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปแยกบ้านใหม่ เลี้ยวขวาตรงไป สภ.เมืองเชียงราย โดยที่ สภ.เมืองเชียงราย ได้ยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.อ.โสภน ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย โดยมีเนื้อหา ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงราย ที่จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนที่กรุงเทพฯ ไม่ใช้ความรุนแรง กับผู้ชุมนุม อย่างที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ โดยหลังจากที่อ่านแถลงการณ์แล้ว ก็ได้มอบหนังสือให้กับ ผกก.สภ.เมืองเชียงราย เพื่อส่งให้กับ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย

โดยระหว่างทางได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้ผู้ที่ขับจักรยานยนต์ที่นำขบวนคาร์มอบเปียกฝนแต่ขบวนก็ไม่ได้หยุด และยังเคลื่อนต่อไปโดยใช้เส้นทางผ่านหน้า สภ.เมืองเชียงราย มุ่งหน้าแยกแม่กร เลี้ยวซ้าย เพื่อมุ่งหน้าไปยังห้าแยกมังราย  ระหว่างทางก็ได้มีการบีบแตรรถ แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว โดยรถแต่ละคันได้ติดป้ายต่อว่าการทำงานของรัฐบาล ป้ายเสียดสีการเมือง เรียกร้องวัคซีน  ก่อนจะรวมตัวกันทำพิธีสาปแช่งนากรัฐมนตรี และแยกย้ายกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top