Tuesday, 10 December 2024
Crimes

สลด พระชาวเมียนมาร์ ผูกคอตัวเองมรณะภาพใต้ต้นไม้ในวัด

เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 21 พ.ค.64 พ.ต.ต.วันชัย แสงอ่วม สว.(สอบสวน)สภ.บ้านบึง ได้รับแจ้งมีเหตุพระสงฆ์ผูกคอตัวเองมรณะภาพภายในวัดเจริญธรรม เลขที่ 186 ซอยหมู่บ้านบึงทองธานี ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี หลังได้รับแจ้งจึงรีบไปตรวจสอบพร้อมหน่วยกู้ภัยศีลธรรมสมาคมบ้านบึง ในที่เกิดเหตุพบเป็นป่าบริเวณหลังวัด พบเข้าตรวจสอบพบพระ ซ้อ ปิตะ( ชาวพม่า) อายุ 31 ปีสภาพใช้ จีวร ทำเป็นเชือกผูกคอตัวเองที่ต้นไม้มรณะภาพ กู้ภัยจึงรีบแกะจีวรนำร่างของพระซ้อ ปิตะ ลงมาจากต้นไม้

จากการสอบถาม นางลักคณา วงศ์ษารุทสิโรจ อายุ 64 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่ชอบมาถือศีลที่วัดนี้เป็นประจำได้เล่าว่าพระซ้อ ปิตะ รูปนี้เป็นพระที่ไม่ค่อยพูดจา ดูนิ่งเฉยไม่ค่อยคุยกับใคร แต่ช่วงสองสามวันมานี้ ตนสังเกตดูว่าเหมือนพระรูปนี้ มีเรื่องอะไรอยู่ในใจ ก็เลยคุยกับพระรูปนี้แต่พระก็ไม่ได้บอกอะไร พอเช้าวันนี้ก็ได้รู้ว่า พระดังกล่าวได้ผูกคอมรณะภาพไปแล้ว

ทางด้านพระเอก เป็นพระลูกวัดได้เปิดเผยว่าพระซ้อ ปิตะ ได้บวชตั้งแต่เด็กเป็นเณร พอโตมาก็มาบวชพระตอนอายุ 20 ปี ก็มาจำวัดที่ไทยอยู่หลายวัดไม่มีญาติที่ใหน โดยมาอยู่คนเดียวเพื่อบวชเรียน จนมาอยู่ที่วัดนี้ โดยมาจำพรรษาอยู่ช่วงหลังสงกรานต์ปีนี้ พระซ้อ ปิตะ เป็นพระเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครและไม่ค่อยคุยกับใครไม่มีใครรู้เรื่องสาเหตุว่าเครียดเรื่องอะไร จึงได้มาผูกคอตัวเองมรณะภาพแบบนี้

ทางด้านตำรวจ จึงให้กู้ภัยฯ นำร่างของพระซ้อ ปิตะ ไปชันสูตรเพิ่มเติมและจะได้ติดต่อทางญาติมารับร่างไปบำเพ็ญพิธีตามศาสนาต่อไป  


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

นรข.เข้มชายแดน กันลักลอบเข้าเมือง หลังคิงส์โรมันโควิดระบาด ด้าน ฉก.ม.3 สกัดลักลอบเข้าเมืองต่อเนื่อง

ค่ำวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา นายประจญ  ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย พล.ต.ต.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.อ.สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง น.อ.จิรัฐ ผูกทอง ผบ.นรข.เขตเชียงราย ร่วมกับปกครอง ตำรวจ และทหาร ออกตรวจตราตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าออกเมือง โดยทาง หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง หรือ นรข.เขต เชียงราย ได้มีการลาดตระเวณ ทั้งทางบก และทางน้ำเพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง จาก สปป.ลาว โดยเฉพาะทางแม่น้ำโขง

ซึ่งที่ผ่านมามีการพบการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส โควิด -19 ในพื้นที่คิงส์โรมัน ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เกาะดอนซาว เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเกือบ 300 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีส่วนหนึ่งที่เป็นคนไทย ซึ่งอาจจะมีการลักลอบเดินทางเข้ามาในเขตประเทศไทยได้

ในส่วนของ ชายแดนด้าน อ.แม่สาย ทางเจ้าหน้าที่่ ทหารร้อย ม.3 บก.ควบคุมที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบคนไทยจำนวน 4 คน เดินอยู่บนถนนทางขึ้นวัดถ้ำผาจม หมู่ 1 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย ติดชายแดนไทย-เมียนมา จึงได้เข้าทำการควบคุมตัวเอาไว้ จากการตรวจสอบทราบว่าชื่อ น.ส.ทาลิธา  เรือนงาม อายุ  47 ปี  ชาว ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี น.ส.กนกพร สิทธิยอดปรีชา อายุ 35 ปีชาว ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย นายนัทที บุญนาวา อายุ 35 ปี ชาว ต.จริม อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ และนายสมใจ สัมพันแพร อายุ  31 ปี ชาว ถ.นครถุง แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพฯ

การสอบถามทั้ง 4 คน ก็สารภาพว่าเดินทางมาจากเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา หลังจากได้ลักลอบข้ามไปฝั่งประเทศเมียนมาเพื่อหางานทำและเยี่ยมญาติ และเมื่อจะเดินทางกลับได้เสียค่าจ้างให้คนนำพาหัวละ 10,000-13,000 บาท  เจ้าหน้าที่จึงดำเนินคดี เป็นบุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทาง  ด่านตรวจคนเข้าเมือง  เขตท่า สถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลาฯ ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดารบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน  พ.ศ.2548 และข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบ คุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (คำสั่ง จ.เชียงรายที่ 1380/2563ฯ ) จากนั้นควบคุมตัวดำเนินคดีและกักตัวเป็นเวลา 14 วันตามมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ตามกฎหมาย  อีกราย เจ้าหน้าที่เฝ้าตรวจบริเวณท่าข้ามหลังวัดถ้ำผาจมใกล้เคียงกับจุดเดิม พบชายทราบชื่อภายหลังคือ นายซออะแว อู อายุ 29 ปีชาวสัญชาติอินเดีย  ได้ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย อ้างว่าจะเดินทางไปกรุงเทพฯ  สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าไม่มีงานทำที่แน่นอน และอาศัยอยู่ในฝั่ง ท่าขี้เหล็กมาหลายปัแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ผลักดันเพื่อกลับไปยังประเทศเมียนมา


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ / เชียงราย

ตม.จว.ชุมพร จับกุมขบวนการขนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง โดยใช้รถนำ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลัง สภ.ปะทิว และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกันจับกุม นายสุธะ อายุ 51 ปี สัญชาติไทย ในความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และนายอาซะ อายุ 44 ปี สัญชาติเมียนมา พร้อมพวกรวม 11 คน ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” “ความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ กรณีแรงงานต่างด้าวข้ามเขตจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต” โดยสามารถจับกุมได้ที่ บริเวณวัดถ้ำเขาพลู หมู่ที่ 3 ต.ชุมโค อ.ปะทิว จว.ชุมพร

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะทิว ภ.จว.ชุมพร ได้รับแจ้งว่า มีรถนำบุคคลต่างด้าวมาปล่อยทิ้งไว้ที่ศาลาหลังเมรุ ภายในวัดถ้ำเขาพลู อ.ปะทิว จว.ชุมพร จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ร่วมตรวจสอบ พบเป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 11 คน ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัวบุคคลต่างด้าวที่ถูกกฎหมายมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร จึงได้ออกติดตามรถที่ขนแรงงานต่างด้าวมาปล่อยทิ้งไว้ จนกระทั่งสามารถสกัดจับรถขนกระเป๋าสัมภาระได้ 1 คัน บริเวณถนนสายปากคลอง-บางสะพานน้อย (รอยต่อระหว่างจว.ชุมพร - จว.ประจวบคีรีขันธ์)

โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านมาบอำมฤต ภ.จว.ชุมพร จากการตรวจสอบพบว่า เป็นรถกระบะสีน้ำตาล มีหลังคาปิดหลังกระบะทะเบียนเลย โดยมีนายสุธะ อายุ 51 ปี เป็นผู้ขับขี่ และพบกระเป๋าสัมภาระ 11 ใบ จึงได้ทำการตรวจยึดไว้และนำมาตรวจสอบพบว่าเป็นกระเป๋าของคนต่างด้าวที่ถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ทั้ง 11 คน สอบถามนายสุธะ ผู้ต้องหา ให้การรับว่ารับจ้างขนกระเป๋าสัมภาระของแรงงานต่างด้าวทั้ง 11 คน โดยรับมาจากบริเวณป่าริมถนนแถว ต.ควนมีด อ.จะนะ จว.สงขลา ได้ออกมาจาก จ.สงขลา โดยใช้เส้นทางถนนสายหลัก เอเชีย 41 และถนนเพชรเกษมมุ่งหน้า จว.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อมาถึงบริเวณ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ได้เลี้ยวขวาเข้ามาทาง อ.ปะทิว จว.ชุมพร เพื่อจะวิ่งบนถนนสายรอง ไปยัง จว.ประจวบคีรีขันธ์ และเมื่อไปถึงบริเวณ ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จว.ชุมพร ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบและจับกุมไว้ได้

การขยายผล จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้ง 11 คน ได้เดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย เพื่อต้องการจะกลับประเทศเมียนมาทางชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก โดยเสียค่าเดินทางให้กับนายหน้าจากประเทศมาเลเซีย เป็นจำนวนคนละประมาณ 3,200 - 3,500 ริงกิต จากนั้นจะมีรถรับพวกตนมาเป็นทอด ๆ โดยการลักลอบหลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นบริเวณใด แต่ได้มีการนั่งเรือหางยาวข้าม ลำน้ำใช้เวลาประมาณ 1 นาที จากนั้นก็มีรถยนต์กระบะมารับพวกตนเป็นทอด ๆ โดยครั้งสุดท้ายก่อนถูกจับกุมได้ขึ้นรถกระบะชนิดตอนครึ่งและนั่งเบียดเสียดกันมาอยู่ด้านหน้ารถทั้งหมด และมีรถกระบะอีกคันทำหน้าที่ขนกระเป๋าสัมภาระ จนกระทั่งถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ ณ ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงทราบว่า รถกระบะคันที่ขนแรงงาน เป็นรถกระบะสีขาวทะเบียนนครราชสีมา นายสุธะ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ ให้การรับว่ารถทั้ง 2 คัน ได้แวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันบางจาก ริมถนนสายเอเชีย 41 (ขาขึ้น) อ.ละแม จว.ชุมพร ก่อนที่จะถูกตรวจค้นและจับกุม

จากการสืบสวนและตรวจสอบกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทางก่อนมาถึงที่เกิดเหตุพบรถกระบะที่นายสุธะ ผู้ต้องหา ขับนำหน้ารถกระบะที่ขนแรงงานต่างด้าวทั้ง 11 คน เพื่อดูเส้นทางตลอดระยะทางกว่า 100 กม. เมื่อเข้าเขต จว.ชุมพร นั้น เชื่อได้ว่า นายสุธะ ผู้ต้องหาที่จับกุมได้ มีพฤติการณ์ร่วมกันกับผู้ต้องหาอีกคนให้การช่วยเหลือ ซ่อนเร้น แก่แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม โดยการนำพาคนต่างด้าวจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจะนำไปส่งยังจุดหมายตามที่ได้รับการว่าจ้าง ซึ่งจากกการซักถามปากคำนายสุธะ ผู้ต้องหา ยังพบข้อมูลการติดต่อทางโทรศัพท์และการโอนเงินทางบัญชีของนายสุธะ ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลหาตัวผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

คืบหน้า หมูไทยไปไม่ถึงเวียตนาม เรือเกิดจมหมูตายเกลื่อน แรงงานกัมพูชาเก็บไปทำอาหารหลังเรือจม

คืบหน้ากรณีเรือขนสุกรส่งประเทศเวียตนาม เกิดล่มชายฝั่ง สุกรตายลอยเกลื่อนทะเล ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น บ่ายวันนี้ทั้งไต๋เรือ คนงาน ช่วยกันเก็บซากสุกรขึ้นเรือ เพื่อนำกลับไปประเทศกัมพูชา แต่จะส่งไปขายประเทศเวียตนามได้หรือไม่ ก็ต้องตรวจซากสุกรทั้งหมดอีกครั้ง โดยมีอาสาสมัครสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดเขตอำเภอคลองใหญ่ นำโดยนายอาทิตย์ หนองแพ รองประธานเขตอาสาสมัครสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดเขตคลองใหญ่พร้อมด้วยอาสาสมัครได้นําเรือตรวจการณ์มาช่วยอำนวยความสะดวกการเก็บซากสุกรดังกล่าวด้วย

ซึ่งการเก็บซากสุกร ไม่มีเจ้าหน้าที่ราชการมาตรวจสอบแต่อย่างไร มีเรือประมงขนาดเล็กของชาวบ้านนำเรือไปช่วยขนลำเลียงซากสุกรขึ้นฝั่ง เพื่อรอขนถ่ายลงเรือชาวกัมพูชา นำกลับไปประเทศกัมพูชา ซึ่งไต๋เรือขนสุกร ไม่เปิดเผยตัว โดยแหล่งข่าวรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 20 ที่ผ่านมา เรือบรรทุกสุกรของพ่อค้ากัมพูชา มาจอดเทียบท่าเรือ เพื่อรอสุกรฝั่งไทย เพื่อนำลงเรือข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หลังนำสุกรลงเรือเรียบร้อย เรือก็ออกจากท่าไปได้ไม่ไกล เรือเกิดล่ม ทำให้สุกรจำนวน 200 ตัว ที่อยูใต้ท้องเรือ และถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก จมน้ำตายเกลื่อนทะเล โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่าเรือที่จมน่าจะเกิดจากการบรรทุกสุกรเกินน้ำหนัก โดยเรือที่บรรทุกมีความยาวประมาณ 5 วา กว่า ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ สำหรับสุกรทั้งหมดอยู่ระหว่างนำส่งลูกค้าที่ประเทศเวียตนาม เรือเกิดพลิกตะแคง น้ำเข้าเรือจนและสุกรตายเกือบหมด เหลือที่รอดตายเพียง 1 ตัวเท่านั้น

ผู้ดูแลการขนส่งสุกรชาวกัมพูชา บอกว่าสุกรทั้งหมด จะต้องนำไปไว้ที่กัมพูชาเสียก่อน ต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าจะนำส่งไปประเทศเวียตนามได้ไหมจะยังใช้บริโภคได้ไหม อาจจะต้องนำไปทิ้งหรือนำไปทำอย่างอื่นในกัมพูชา เพราะจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรือที่จมอยู่ ต้องรอทีมงานกู้เรือ มาทำการกู้เรืออีกครั้ง ขณะเดียวกันชาวบ้านใกล้ที่เกิดเหตุเล่าว่าช่วงค่ำที่ผ่านมา แรงงานกัมพูชาหลายคนที่มาทำงานอยู่บ้านคลองสน พากันไปเก็บซากสุกรที่จมน้ำ ไปทำอาหารกินกัน ล่าสุดพบสุกรตายทั้งหมด 199 ตัว ซึ่งผู้ดูแลบอกว่าไม่เอาเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เหลือจะนำกลับไปประเทศกัมพูชาต่อไป


ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าว จ.ตราด

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย จัดตั้งกองบังคับการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่อาคารออกหนังสือผ่านแดน อ.แม่สาย จังหวัดเชียงราย

เมื่อ 22 พ.ค.64 นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผวจ.ชร./ผอ.รมน.จังหวัดเชียงราย เดินทางมาตรวจเยี่ยมกองบังคับการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวฯ พร้อมทั้งได้จัดประชุมเพื่อมอบนโยบาย ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสกัดกั้นการข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สาย โดยมี พ.อ.กิตติพล ไพรหิรัญ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ช.ร.(ท.), พ.อ.พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หน.กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ/หัวหน้าชุดประสานงานฯ , นายประสงค์ หล้าอ่อน นอ.แม่สาย, ท้องถิ่น/ท้องที่ ให้การต้อนรับและมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย

1) ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย

2) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย

3) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

4) สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย

5) หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองกำลังผาเมือง

​​6) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง

​​​7) ด่านศุลกากรแม่สาย

​​​8) สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย

​​​9) ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สาย

​​​10) สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สาย

​​​11) ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย

​​​12) สถานีตำรวจภูธรแม่สาย

​​​13) กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327 อำเภอแม่จัน

​​​14) หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย

15) หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา เขตพื้นที่ 1

หลังจากนั้นได้เยี่ยมหน่วย ณ ที่ตั้ง บก.สกัดกั้นแรงงานต่างด้าวฯ ภายในอาคารออกหนังสือผ่านแดน อ.แม่สาย จว.ช.ร. พร้อมรับฟังบรรยายสรุป จาก กอ.รมน.จังหวัด ช.ร.

ผวา เจอแก๊งเงินกู้ขู่ทวงดอกเบี้ยโหด ล่าสุดรถซาเล้งเครื่องมือทำกินหาย สงสัยถูกตามมายึด หวันไม่ปลอดภัย โร่แจ้งความ ตร.

โควิด-19 เชื้อโรคร้ายทำลายเศรษฐกิจ พ่นพิษหนักทุกหย่อมหญ้า แม่ค้ากาแฟได้รับผลกระทบ หันหน้ากู้เงินด่วนนอกระบบ จากนายทุนหลายเจ้า ด้วยอัตราดอกเบี้ยสุดหฤโหด ก้มหน้าชงกาแฟหาเงินใช้หนี้ไม่พอชำระ เจอตามทวงไม่กล้าออกทำมาหากิน สุดท้ายซาเล้ง เครื่องมือหาเลี้ยงชีพหาย สงสัยเจ้าหนี้ยกพวกยึด รีบแจ้งความเป็นหลักฐาน หวังได้ซาเล้งขายกาแฟคืน

เมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นางกาญจน์ธิดา รชตพงศ์วิทย์ อายุ 43 ปี แม่ค้ากาแฟ ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.รัชพล แสงสี รองสว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังรถจักรยานยนต์ซาเล้งสูญหายไป จากบ้านเช่า ภายในซอยวัดบุญกัญจนาราม ม.11 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งตนเองสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ที่เอารถซาเล้งที่ใช้ทำมาหากินเลี้ยงชีพของตนเองไป

นางกาญจน์ธิดา ได้เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ตนเอง ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เมืองพัทยาซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากิน ไม่มีนักท่องเที่ยว เศรษฐกิจจึงอยู่ในสภาวะวิกฤต เมื่อรายได้ไม่พอจุลเจือครอบครัว จึงได้ตัดสินใจกู้เงินจากแก๊งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งตนเองตกลงกู้เงินนอกระบบไปหลายเจ้า เมื่อประสบปัญหาหนัก รายได้ที่ขายของแต่ละวันไม่เพียงพอที่จะส่งดอกให้กับเหล่าเจ้าของเงินทั้งหลาย จึงทำให้ตนเองต้องคอยหลบซ่อนตัวจากแก๊งทวงเงิน เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย

ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองก็ได้เจรจาขอลดค่าดอกเบี้ย จนเหลือวันละ 100 บาท แต่มีบางเจ้าที่ไม่ยินยอมตามคำขอ ทั้งยังทวงและด่าทออย่างรุนแรง พร้อมยื่นคำขาดจะต้องส่งวันละ 500 เท่านั้น หากไม่ส่งก็จะต้องตามมายึดทรัพย์สิน แต่ตนเองก็ไม่สามารถหาเงินมาส่งดอกเบี้ยสุดหฤโหดได้ตามที่ตกลง จึงต้องหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่อื่น ไม่กล้าออกไปขายของตามปกติ และจะต้องรอให้สามีมารับถึงจะกล้ากลับเข้าห้องพัก

กระทั่งช่วงดึกที่ผ่านมาเมื่อกลับถึงห้องพัก ได้ตรวจสอบก็พบว่ารถซาเล้งขายกาแฟ เป็นรถจยย.ยี่ห้อเวฟ 125 ไอ สีขาว หมายเลขทะเบียน 1 กญ 362 ชลบุรี  ได้สูญหายไป จึงพากันมาแจ้งความร้องทุกข์ โดยตั้งขอสงสัยว่าต้องเป็นฝีมือของแก๊งเงินกู้อย่างแน่นอน เพราะแก๊งเงินกู้ได้ส่งไลน์ มาข่มขู่ไว้ก่อนหน้านี้ ตนเองไม่รู้จะไปพึ่งใคร จึงต้องรีบพากันมาแจ้งความ หวังว่าจะได้ซาเล้งขายกาแฟเลี้ยงชีพคืน นอกจากนี้ยังสร้างหวาดกลัว เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายหากเจอกับแก๊งเงินกู้ จึงต้องเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐานดังกล่าว


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ตำรวจตามจนเจอ !! แหล่งรับซื้อของโจรเครื่องขยายเสียงที่กาฬสินธุ์ เป็นอาจารย์นักดนตรีและนักการเมืองท้องถิ่น อ้างรับซื้อโดยไม่รู้ว่าเป็นของขโมยมา

ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น นำทีมชุดสืบสวนตามไทม์ไลน์ “ก๊อปซาวด์ มิวสิค” นำเครื่องขยายเสียงที่ขโมยจากหอกระจายข่าวไปขายเป็นเครื่องเสียงมือสอง อึ้ง หลังขยายผลพบแหล่งรับซื้อของโจรเป็นอาจารย์นักดนตรีและนักการเมืองท้องถิ่น อ้างรับซื้อโดยไม่รู้ว่าเป็นของขโมยมา ก่อนเจ้าหน้าที่อายัดของกลางพร้อมเชิญตัวไปสอบปากคำ

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.สามารถ พิมพ์ดีด สว.สส.สภ.น้ำพอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.น้ำพอง จำนวน 20 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้น บ้านเลขที่ 8 หมู่ 21 บ้านโคกก่องใต้ ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ก่อนควบคุมตัวนายสมชัย สุกัณหา อายุ 30 ปี หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค หนุ่มบริการเครื่องเสียงและพ่อค้าเร่กุ้งก้ามกราม ชาว ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ หลังก่อเหตุขโมยเครื่องขยายเสียงหอกระจายข่าว โดยเจ้าหน้าที่ได้ไล่ล่าติดตามมาหลังก่อเหตุหลายคดีและหลายพื้นที่ ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

ล่าสุด พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.สามารถ พิมพ์ดีด สว.สส.สภ.น้ำพอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.น้ำพอง ควบคุมตัวนายสมชัย สุกัณหา หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค ผู้ต้องหา นำชี้แหล่งที่นำเครื่องขยายเสียงไปขายให้กับแหล่งรับซื้อ ที่บ้านหลังหนึ่งในเขตเทศบาลตำบลกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเจ้าของบ้านได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์นักดนตรี โดยมีกิจการบริการเครื่องขยายเสียงและขายเครื่องขยายเสียงมือสอง ทั้งนี้นายสมชัย ยืนยันว่าเคยนำเครื่องขยายเสียงที่ขโมยมา นำมาขายให้กับอาจารย์นักตนตรีรายนี้ 9 ครั้ง ทั้งนำมาส่งที่บ้านและนัดหมายกันส่งตามจุดนัดพบต่างๆ ในราคา 2,000-10,000 บาท

จากนั้น พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.สามารถ พิมพ์ดีด สว.สส.สภ.น้ำพอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.น้ำพอง ได้ควบคุมตัวนายสมชัย สุกัณหา หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค ผู้ต้องหา นำชี้แหล่งที่นำเครื่องขยายเสียงไปขายให้กับแหล่งรับซื้ออีกแห่งหนึ่ง ที่บ้านม่วงนา ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นบ้านของนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง โดยเปิดเป็นร้านจำหน่ายเครื่องเสียงมือหนึ่งและมือสอง ทั้งนี้ จากการสอบปากคำผู้ต้องหา นำเครื่องขยายเสียงที่ขโมยมาขายให้ 4 เครื่อง ก่อนทำการอายัดเครื่องขยายเสียงที่ถูกนำมาขาย

โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานและรูปพรรณเครื่องขยายเสียง ที่ผู้ต้องหาขโมยมาขายให้กับแหล่งรับซื้อแล้ว ยังได้ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบการ และเบื้องต้นแจ้งข้อหารับซื้อของโจร กับอาจารย์นักดนตรี ในเขตเทศบาลตำบล อ.กมลาไสย และนักการเมืองท้องถิ่นชาว ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน จากนั้นได้เชิญตัวเจ้าของร้านไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมกับนำของกลางไปให้เจ้าของทรัพย์ตรวจสอบและรับของคืนในลำดับต่อไป

พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า จากการติดตามตัวคนร้ายและสามารถจับกุมตัวได้ที่บ้านพัก ซึ่งผู้ต้องหาจำนนด้วยหลักฐาน และให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหาลักทรัพย์ในยามวิกาล จากนั้นทำการขยายผล นำตัวชี้จุดที่ผู้ต้องหานำของกลาง ที่ขโมยมาจากหลายพื้นที่มาขายในเขต จ.กาฬสินธุ์ 2 แห่งดังกล่าว ก่อนจะนำตัวไปมอบให้กับพนักงานสอนสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในขณะที่เจ้าของร้านแหล่งรับซื้อทั้ง 2 ราย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหารับซื้อของโจร และเชิญตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติม ที่ สภ.น้ำพองอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

ด้ายนายสมชัย สุกัณหา หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค ผู้ต้องหา กล่าวว่า ตนเคยเป็นพ่อค้าเร่ขายกุ้งก้ามกราม และมีบริการเครื่องเสียงเปิดตามงานบุญประเพณีต่างๆ พอเกิดสถานการณ์โควิด-19 การค้าขายฝืดเคือง ไม่มีงานจ้างบริการเครื่องเสียง จึงหันมาขโมยเครื่องเสียงขายเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ โดยตะเวนลักขโมยตามหอกระจายข่าว ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม และ จ.กาฬสินธุ์ ประกาศทางทางเฟซบุ๊ก ที่ผ่านมานำมาขายให้ลูกค้า 2 แห่ง ที่เขตเทศบาลตำบลกมลาไสย อ.กมลาไสย และ ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน ดังกล่าว

ขณะที่นายเอ (นามสมมุติ) เจ้าของร้านรับซื้อเครื่องขยายเสียง ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ประกอบอาชีพทำนา และเปิดร้านขายเครื่องเสียงมือหนึ่งและมือสองควบคู่กันไป เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเสียงไว้คอยบริการชาวบ้าน ในเวลามีงานบุญงานประเพณีด้วย สำหรับกรณีที่นายสมชัย ผู้ต้องหาที่ติดต่อขายเครื่องขยายเสียงมือ 2 ให้นั้น ทีแรกตนก็ไม่มั่นใจ และสอบถามหลายครั้งว่าก็ยืนยันว่าเป็นเครื่องของเขาเอง ไม่ได้ลักขโมยมา จึงเชื่อใจ และรับซื้อดังกล่าว ทั้งนี้หากตนทราบแต่ทีแรกว่าเป็นสิ่งของที่ขโมยมา จะไม่รับซื้ออย่างแน่นอน เพราะตนเองเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ทำมาค้าขายโดยสุจริต จึงไม่อยากจะมีความผิดด้วย

สตูล ปปส.ภาค 9 ร่วมตำรวจสตูล เข้ายึดทรัพย์ บ้าน ที่ดิน โยงในเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ รวมมูลค่าร่วม 5 ล้านบาท จากกรณีโดนจับคดีค้ายาบ้า 600,000 เม็ด

วันนี้ 24  พ.ค. 2564 พ.ต.อ. เสกสรรค์ ชูรังสฤษฎิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล พร้อมด้วย นายมนตรี ศรีสมัย ผู้อำนวยการการบังคับใช้กฎหมายสำนักงานปปส.ภาค 9 และผอ.สุวิมล ช้างสาร  ผอ.ส่วนตรวจสอบทรัพย์สิน ได้ลงพื้นที่บ้านเลขที่ 9/69 ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล โดยบ้านหลังดังกล่าวนั้นเป็นบ้านเดียวที่ปลูกเสร็จแล้ว โดยบ้านถูกพบว่าเป็นระบบการฟอกเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงได้ติดป้ายของ ปปส.ภาค9  ยุทธ์การ พิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด ภายใต้คำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ที่ 5/2563 นอกจากนี้ยังเดินทางไปยึดทรัพย์ในส่วนของที่ดินว่างเปล่ารกร้างและมีโฉนดที่ดินด้วยจำนวน 2 ห้อง โดยได้ป้ายและเอกสารยึดทรัพย์ไปชี้แจ้งต่อญาติเจ้าของที่ดินที่ถูกจับในคดียาเสพติด

สำหรับการยึดทรัพย์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชปส.ภ.จว.ปัตตานี/กก.สส.ภ.จว.ปัตตานี ได้ร่วมกัน จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 คน คือ 1. นายชัยนาท หรือหีม ภัยช านาญ อายุ 39 ปี ที่อยู่ 95 ม.6 ต.ควนขัน อ.เมืองสตูล จังหวัดสตูล  และคนที่ 2. นางสาววาสนา หรือต้อย ยิ้มเย็น อายุ 36 ปี  ที่อยู่ 35/9 ม.1 ตาสานักขาม อ.สะเดา จังหวัดสงขลา พร้อมของกลาง 1.ยาบ้า จำนวน 600,000 เม็ดและในวันนี้หลังจากขยายคดีความโดยวันนี้ 24 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่  ปปส.ภาค 9 ได้สืบสวนและ ตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 2 รายการ ดังนี้ 1.บ้านพร้อมที่ดิน ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลพิมาน อ.เมืองสตูล จังหวัดสตูล ราคาประมาณ 3,000,000 บาท และจุดที่ 2.ที่ดินตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.คลองขุด อ.เมืองสตูล จังหวัดสตูล ราคาประมาณ 1,000,000 บาท รวมทั้ง 4 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการยึดทรัพย์ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามยาเสพติดฯ เพื่อดำเนินคดี ในส่วนทรัพย์บ้านหรือที่ดินห้ามทำการโยกย้าย และปรับเปลี่ยนแปลงสภาพ ยังคงให้เหมือนเดิม ส่วนคนอาศัยยังคงอยู่ได้จนกว่าคดีความเสร็จเสร็จสิ้นและยังได้ยึดก่อนหน้านี้มี สร้อยคอทองคำ แหวน  และยนต์ส่วนบุคคลเช่นกัน ซึ่งในวันนี้จะมีการยึดทรัพย์สิน 2 จังหวัด ได้แก่จังหวัดสตูล และ จังหวัดนราธิวาส รวม 2 คดี มูลค่าร่วม 11 ล้านบาท ตามนโยบาย ยุทธศาตร์ พิทักษ์ไทย ตัดวงจรยาเสพติด


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

หลวงพ่อจ่อยมาโปรดเกลี้ยกล่อมสำเร็จ อส.ตำรวจปีนเสาโทรศัพท์หวังฆ่าตัวตายพิษโควิด-19

อส ตร.เครียดปีนเสาโทรศัพท์ หวังฆ่าตัวตาย เจอวาทะอาจารย์จ่อยกล่อม ปีนลงมาสารภาพพิษโควิด-19 เงินไม่พอค่าใช้จ่าย

เมื่อคืนวันที่ 24 พ.ค.64 เวลา 21.30 น. พ.ต.อ.ปัญญา ดำเล็ก ผกก.สภ.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุ มีคนปีนเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์  หน้าวัดสามัคคีบรรพต (วัดบางเสร่นอก) ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจ 

ที่เกิดเหตุพบผู้คนจำนวนมาก มาพูดให้กำลังใจกับผู้ที่ปีนอยู่บนเสาสัญญาณโทรศัพท์ อยู่ในระดับสูงประมาณ 20-25 เมตร ได้ผ่อนคลายและไม่กระโดดลงมาโดยได้นำเจ้าหน้าที่ส่วนป้องกันและเจ้าหน้าที่ดับเพลิง พร้อมยานพาหนะ และรถพยาบาลเทศบาลตำบลบางเสร่ มาให้การช่วยเหลือ โดยมี นายกันต์ ธนาอัครชล รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเสร่ เป็นผู้แทนนายชัยวัฒน์ อินอนงค์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเสร่ ช่วยเข้าเจรจา

จนกระทั่ง พระครูเกษม กิตติโสภณ (พระอาจารย์จ่อย) เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต (วัดบางเสร่นอก) ทราบข่าว จึงรีบเดินทางมาร่วมเจรจาเกลี้ยกล่อม จนทำให้ผู้ที่ปีนอยู่บนเสาสูงจิตใจอ่อนลง ยอมปีนลงมาจากเสาสูงอย่างปลอดภัย ทราบชื่อต่อมา นายชัยยง สอนรัตน์ อายุ 54 ปี อส.ตร. (อาสาสมัครตำรวจ) ชาวตำบลบางเสร่ อ.สัตหีบ

จากการสอบถามลูกชาย (ไม่เปิดเผยชื่อและสกุล) ทราบว่า พ่อเป็นคนชอบดื่มเหล้า พอได้ดื่มก็จะมีอาการเครียดกับปัญหาชีวิต โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 บอกลำบากจริง ๆ ก่อนที่พ่อจะปีนเสาโทรศัพท์ได้นั่งพูดคุยกับพนักงานดับเพลิง ทต.บางเสร่ บ่นรำพึงว่าตนเองอยากจะบวชเพราะเครียดกับปัญหาชีวิตและเรื่องเงินไม่พอใช้ จึงคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย แต่พระอาจารย์จ่อย ได้เข้ามาพูดคุยเกลี้ยกล่อมจนยอมลงมาอย่างปลอดภัย ใช้เวลาประมาณ 30 นาที


ภาพ/ข่าว  นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1 เยี่ยมอาการลูกเรือประมง ก.สิริกุล 1 ที่ประสบเหตุจมกลางทะเล

สืบเนื่องจากวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 ทัพเรือภาคที่ 1/ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ทรภ.1/ศรชล.ภาค 1)

 ได้ช่วยชีวิต 8 ลูกเรือประมงของเรือ ก.สิริกุล 1 ที่ประสบเหตุคลื่นลมแรงน้ำเข้าเรือและจมลงกลางทะเล ทำให้ลูกเรือทั้งหมดต้องลอยคอเกาะอุปกรณ์ช่วยชีวิต รอความช่วยเหลือ โดยผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1/ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1) ได้สั่งการให้จัดเครื่องบินลาดตระเวนแบบที่ 1 ขึ้นบินเพื่อกำหนดตำบลที่ของผู้ประสบภัย และส่ง เฮลิคอปเตอร์ ปราบเรือดำน้ำแบบที่ 1 ไปให้ความช่วยเหลือชีวิตลูกเรือลำดังกล่าว จนปลอดภัยทั้ง 8 คน และนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ โดยผู้ประสบภัย 5 คน อาการปลอดภัย สามารถกลับภูมิลำเนาได้ ส่วนอีก 3 คน อาการพ้นขีดอันตราย แล้ว แต่ยังคงต้องนอนพักรักษาตัวที่ โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ต่อไปนั้น

พลเรือโท โกวิท  อินทร์พรหม ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1 ยังคงมีความห่วงใยอาการของลูกเรือทั้ง 3 คน ที่ยังคงนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลฯ จึงพร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา เดินทางไปเยี่ยมอาการของลูกเรือทั้ง 3 คน ณ หอผู้ป่วยพิเศษอายุรเวชกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ  เมื่อวันที่ 24 พ.ค.64 ได้พบกับผู้ประสบภัยทั้ง 3 คน พร้อมมอบกระเช้าเพื่อให้กำลังใจ และสอบถามอาการของผู้ประสบภัยทั้ง 3 คน ด้วยความห่วงใย ทราบว่า ในวันนี้ ตรวจร่างกายแล้วไม่มีอาการข้างเคียงจากการสำลักน้ำทะเล อาการโดยทั่วไปปกติดี ซึ่งในเย็นวันนี้แพทย์เจ้าของไข้ได้อนุญาตให้ทั้ง 3 คน กลับบ้านได้

ทางด้าน นาย สถิตย์ ม่วงทอง เจ้าของเรือประมง ก.สิริกุล 1 ได้กล่าวขอบคุณ ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1 ที่ได้จัดเครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ ออกไปให้ความช่วยเหลือ ลูกเรือทั้ง 8 คน ได้ทันท่วงที ผู้ประสบภัยทุกคนได้รับการช่วยเหลือจนปลอดภัย อีกทั้งยังได้ขอบคุณชมรมวิทยุมดดำนาวี ทัพเรือภาคที่ 1 ทำให้มีช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถติดต่อประสานขอความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความรวดเร็ว รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทีมแพทย์และพยาบาลจาก โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ รวมไปถึงผู้ประสานงานทุกท่าน ที่ช่วยทำให้การช่วยเหลือในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จ


ภาพ/ข่าว  กองกิจการพลเรือน ทัพเรือภาคที่ 1

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top