Friday, 3 May 2024
Crimes

คนร้ายแอบเข้าขโมย ปูไข่ ปูเนื้อ และกั้งทะเล ของร้านขายอาหารในอำเภอขลุง จ.จันทบุรี 3 วันติดต่อกัน ภาพวงจรปิดจับไว้ได้ เหมือนถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์โควิด ตำรวจเร่งตามจับ

ที่ร้านขายอาหารทะเล ชื่อเดชา ปูคอนโด ตั้งอยู่ถนนเทศบาลสาย 3 ต.ขลุง อ.ขลุง จันทบุรี ถูกคนร้ายแอบเข้ามาขโมยปูไข่และปูเนื้อไป ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถจับได้ และเจ้าของร้านนำมาโพสต์เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยร้านค้า และประชาชนให้ช่วยกันระวัง

แต่คืนต่อมาคนร้ายรายเดิมกลับมาอีกครั้ง รวม 3 ครั้ง ครั้งแรกคืนวันที่ 26 มิถุนายน 64 ไม่สามารถบันทึกภาพได้ ส่วนภาพครั้งที่ 2 ไม่ได้เปิดไฟล์ภาพจึงมืดมองไม่ชัด ครั้งที่สองนี้คนร้ายได้ปูไข่กิโลกรัมละ 800 บาท ไปประมาณ 10 กิโลกรัม และภาพล่าสุดชัดเจนมาก เนื่องจากทางร้านได้เปิดไฟแสงสว่าง จึงจับภาพคนร้ายและพฤติกรรมได้อย่างชัดเจน เป็นภาพเวลาประมาณตีหนึ่งเศษของคืนที่ผ่านมา ( 27 มิ.ย.64 )

ครั้งนี้คนร้ายมาพร้อมกับเพื่อนอีกหนึ่งคน เมื่อมาถึงก็มุ่งหน้าไปที่คอนโดปูเหมือนที่เคยขโมยในครั้งก่อน แต่เปิดดูแล้วไม่มีปู เพราะเจ้าของร้านย้ายที่เก็บรักษา จึงหันไปเอากั้งแก้วที่เลี้ยงไว้ ได้ไปประมาณ 2 กิโลกรัม ราคากั้งแก้วตามท้องตลาดกิโลกรัมละ 1,100 บาท ในครั้งแรกทางร้านไม่คิดที่จะแจ้งความ แต่ครั้งนี้ทำซ้ำอีกติดต่อกันแถมเดินเย้ยกล้องวงจรปิดอีกด้วย ตนเองทนไม่ไหวต้องเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองขลุง

หลังก่อเหตุ ยังไปก่อเหตุที่ร้านขายอาหารตามสั่งที่อยู่ติดกันอีกด้วยและได้ขโมยเงินสดไปได้จำนวนพันกว่าบาท จึงอยากให้เจ้าหน้าที่จับตัวขโมยรายนี้มาดำเนินคดี เพราะช่วงนี้รายได้ของร้านก็ลดลงเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ยังถูกขโมยมาซ้ำเติมอีก

ร้านเดชาปูคอนโด เปิดเป็นร้านขายอาหารทะเลสด รับซื้อปูจากชาวประมงพื้นบ้านและนำมาพักเลี้ยงปูเป็น ๆ ในกล่องพลาสติกสีน้ำเงินเรียงเป็นชั้น จึงเรียกว่าปูคอนโด และยังมีกั้งไซส์ใหญ่ ไว้รองรับลูกค้าที่จองโต๊ะมารับประทานที่ร้าน โดยทางร้านเปิดรับจองโต๊ะเพียงวันละ 10 โต๊ะ คือช่วงเที่ยง 5 โต๊ะและช่วงเย็นอีก 5 โต๊ะเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันโควิด-19 รักษาระยะห่าง และดำเนินกิจการตามที่ ศบค.จังหวัดผ่อนปรนให้ เนื่องจากช่วงนี้ลูกค้าก็น้อยอยู่แล้วยังมาเจอกับขโมยเป็นการซ้ำเติมกันอีก อยากวิงวอนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุดเพราะอาจจะไปก่อเหตุแบบนี้กับชาวบ้านในละแวกนี้อีกแน่


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา ผู้สื่อข่าวจ.จันทบุรี

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ศรชล.จว.ชุมพร บูรณาการหน่วยงาน ตรวจจับผู้ลักลอบทำประมงผิดกฏหมาย

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.64 เวลา 11.00-18.00 น. ภายใต้การอำนวยการของ นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ./ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร มอบหมายให้ น.อ.กิตติ พงษ์ พุ่มสร้าง รองผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร และ ศปท.จว.ชพ. บูรณาการร่วมกับ นายพงศ์รันย์ รัตนพรหม ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลจังหวัดชุมพร จัดกิจกรรมควบคุม เฝ้าระวังการทำการประมงพื้นที่ทะเลชายฝั่ง โดยมี นายนุรัตน์ ขาวสะอาด เจ้าพนักงานเดินเรือปฏิบัติงาน เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติงาน พร้อมเจ้าหน้าที่ รวม 4 นาย นำเรือตรวจประมง 324 ออกตรวจพื้นที่ตามภารกิจ ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านที่มีอาชีพเลี้ยงหอย บริเวณชายทะเล อ่าวทุ่งมะขาม อ่าวทุ่งคา และอ่าวสวี ว่ามีการลักลอบนำเครื่องทำการประมงผิดกฎหมายมาใช้ในบริเวณดังกล่าว

ในการนี้ได้ตรวจพบ ลอบพับ (ไอ้โง่) จำนวน 49 ลูก โดยลอบพับ ดังกล่าว เป็นเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และพ.ร.ก.การประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมือลอบพับได้หรือไอ้โง่ ที่มีช่องทางเข้าของสัตว์น้ำสลับซ้ายขาวอยู่ทางด้านข้างใช้สำหรับดักสัตว์น้ำ มีความผิดตามมาตรา 67 มีโทษตามมาตรา 147 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ไม่พบผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนและทำการยึดเครื่องมือประมงดังกล่าว และนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำชุมพร อ.เมือง จว.ชุมพร พร้อมลอบพับ (ไอ้โง่) 49 ลูก ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน และเก็บของกลางไว้ ณ ศปท.จว.ชพ. เพื่อทำการเผาทำลายต่อไป


ภาพ/ข่าว  สนง.ศรชล.ภาค 1 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

วันต่อด้านยาเสพติดโลก ชุดปฏิบัติการพิเศษอำเภอเมืองชุมพรจังหวัดชุมพร จับกุมเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้า 34,000 เม็ด

วันที่ 28 มิถุนายน 2564 เวลา 10.30 น. ของที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอ เมือง จ.ชุมพร นายนักรบ ณ ถลางได้ร่วมนายอภิญญา คนดี ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานยริหารปกครอง (ปลัดอวุโส) นายธีระวุฒิ นุชนงค์ ปลัดอำเภอเมืองชุมพร ฝ่ายความมั่นคง เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. นายลิขิต กิจปกรณ์สันติ ปลัดอำเภอเมืองชุมพร เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. นายกิตติศักดิ์ จีนไทย พร้อมเจ้าหน้าที่สมาชิก อส.อ.เมืองชุมพรที่ 2 ได้ดำเนินการปราบปรามจับกุม ผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชุมพร

สืบเนื่องจากการจับกุม นายนราชัย หรือเก่ง พลดี พร้อมของกลางยาไอซ์ 3.03 กรัม ยาบ้า 3 เม็ด เหตุเกิดที่ห้องเช่าบ้านยังอยู่ ห้องที่ 5 หมู่ที่ 1 ตำบลนาชะอัง อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 64 เวลาประมาณ 03.45 น. โดยบุคคลดังกล่าวได้ขยายผลได้จับกุม ผู้ค้ารายสำคัญ จับกุมนายจิรวัฒน์ หรือเป็ด แซ่ตัน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 64 เวลา 02.50 น. อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/1 หมู่ที่ 3 ตำบลดอนชะเอม อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และว่าที่ ร.ต.หญิงเขมพร หรือกุ๊ก พรานเจริญ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38/2 หมู่ที่ 3 ตำบลหนองตากยา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 60,000 เม็ด จับกุมที่สายท่าแซะ-ปะทิว นำมาตรวจที่กองร้อย อส.อ.เมืองชุมพรที่ 2

จับกุมนายองอาจ หรือยอด แดงแก้ว วันที่ 26 มิ.ย.64 เวลา 06.30 น. อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81/2 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และนายภูริภัทร หรือเนส แดงแก้ว อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 14,000 เม็ด เหตุเกิดบริเวณสวนยางพาราใกล้บ้านเลขที่ 93/5 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

สตูล ตชด.436 จับรถกระบะรั้วที่ใช้ขนส่งสินค้าทางการเกษตร ซุกยาบ้า 60,000 เม็ด

วันนี้ 28 มิถุนายน 2564 ที่กองร้อย ตชด.436 ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ ศรีราชยา ผบ.ร้อย ตชด.436 มอบหมายให้ ร.ต.อ.พรเทพ หมื่นแกล้ว,ร.ต.อ.ปริวรรต หมาดราและเจ้าหน้าที่ตชด.436 สกัดรถยนต์ต้องสงสัยขาวิ่งเข้าตัวเมืองสตูลโดยร่วมกับชุดสืบตำรวจภูธรจังหวัดสตูล,ตำรวจน้ำสตูล,หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 5 หมวดปืนเล็กที่ 3 ร้อยร. 5021

หลังจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า มีรถกระบะต้องสงสัยไม่ทราบยี่ห้อและแผ่นป้ายทะเบียนลักษณะเป็นรถรั้วที่ใช้ขนส่งสินค้าทางการเกษตร คาดว่าน่าจะนำยาเสพติดยาบ้ามาส่งให้กับกลุ่มผู้ค้าในจังหวัดสตูล โดยอำพรางมากับตะกร้าผลไม้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตั้งด่านตรวจ-จุดสกัดทุ่งนุ้ยต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล ตั้งแต่เวลาประมาณ 03.00 น. จนกระทั่งเวลาประมาณ 04.30 น. ได้มีรถกระบะสีขาวยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็ค แผ่นป้ายทะเบียน 1 ฒณ 3099 กทม. ลักษณะมีรั้วและตะกร้าผลไม้ตรงตามที่สายข่าวแจ้ง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ส่งสัญญาณให้รถกระบะคันกระบะคันดังกล่าวหยุดรถโดยมีชายจำนวน 1 คนเป็นคนขับ เมื่อชายคนดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงอาการมีพิรุธ หน้าซีด ตัวสั่น จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมทั้งได้แสดงบัตรเจ้าพนักงานปปส.ของ ร.ต.อ.พรเทพ หมื่นแกล้ว รอง ผบ.ร้อย ตชด.436

จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมควบคุมตัวไว้สอบถามชื่อ นายต่าย ทวีสุข ทราบชื่อสกุลจริงภายหลัง สัญชาติลาว จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เชิญตัวนายต่ายลงมาจากรถกระบะคันดังกล่าว เพื่อทำการตรวจค้นเบื้องต้นก่อนทำการตรวจค้นเบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เชิญตัวนายต่ายมายังกองร้อยตชด 436 ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล เพื่อนำมาตรวจค้นอย่างละเอียด พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้าจำนวน 66 ก้อน แต่ละก้อนพันด้วยเทปกาวสีเหลืองทับตรา 999 (ห้าดาว) ภายในบรรจุยาบ้าจำนวน 5 มัดประทับตรา 999 (ห้าดาว) ห่อด้วยกระดาษสีขาวรวมทั้งหมดจำนวน 30 มัด แต่ละมัดบรรจุยาจำนวน 2,000 เม็ด (รวมยาทั้งหมด 60,000 เม็ด) โดยบรรจุในกระสอบลายสีรุ้งห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำจำนวน 1 ใบ ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ตะกร้าผลไม้สีดำซึ่งวางปะปนกับตะกร้าผลไม้เปล่าบริเวณหลังรถกระบะ ซึ่งนายต่ายเป็นผู้ขับ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง สอบถามนายต่ายให้การยอมรับว่าของกลางยาบ้าดังกล่าวเป็นของตนเองจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาในที่เกิดเหตุว่ากระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมกลางทั้งหมดส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสตูล เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

ผวจ.จันทบุรี สั่งเจ้าหน้าที่คุมเข้มกลุ่มแรงงานแคมป์จากกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด

หวั่นแอบหลบหนีเข้ามาในพื้นที่ ส่วนแหล่งท่องเที่ยวยังพร้อมรับนักท่องเที่ยวตามปกติ ที่บริเวณหน้าวัดนายายอาม อ.นายายอาม จ.จันทบุรี ที่เป็นเขตรอยต่อระหว่างอำเภอแกลงจังหวัดระยองกับจังหวัดจันทบุรี นายธนสาร เจริญสุข นายอำเภอนายายอาม พันตำรวจเอกพลภัทร ธรรมะสนอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรนายายอาม บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ตม.ฝ่ายปกครอง จัดหางานจังหวัด โรงพยาบาล ท้องถิ่น ท้องที่ และ อสม.ร่วมคัดกรองด่านจุดสกัดในพื้นที่ก่อนเข้าจังหวัดจันทบุรี หลังนายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อำเภอนายอาม อำเภอแก่งหางแมว และอำเภอสอยดาว บูรณาการตั้งด่านสกัดเข้มเพื่อตรวจสอบกลุ่มแรงงานต่างด้าวและแรงงานคนไทย ตามข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 25) เพื่อป้องกันสกัดกั้นกลุ่มแรงงานที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด กรุงเทพมหานคร /นครปฐม /ปทุมธานี /สมุทรปราการ/ นนทบุรี / สมุทรสาคร /ปัตตานี /สงขลา/ ยะลา และจังหวัดนราธิวาส เพื่อชะลอการเดินทางและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของ Covid-19

โดยจังหวัดจันทบุรี มีการตั้งด่านสกัดทั้งหมด 5 จุด ที่อำเภอนายายอาม 2 จุด อำเภอแก่งหางแมว 1 จุดและอำเภอสอยดาว 2 จุด โดยบูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครอง ตำรวจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อตรวจคัดกรองการเดินทาง เน้นการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเข้มงวด พร้อมสั่งการให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.เฝ้าระวัง และป้องกันโรคในทุกอำเภอ หมู่บ้าน ออกสำรวจข้อมูลผู้เดินทางกลับภูมิลำเนา และให้ความรู้ในการแยกตัวสังเกตอาการ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่นทั้งในที่พักจนครบ 14 วันนับจากวันที่เดินทางมาถึงภูมิลำเนา รวมทั้งการปฏิบัติตัวในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออย่างเคร่งครัด ซึ่งการตั้งด่านตรวจสกัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ใช้เส้นทางทั้งนี้ยังมีการเรียกตรวจรถขนส่งโดยสารสาธารณะจากกรุงเทพมหานครแต่ยังไม่พบว่ามีแรงต่างด้าวและคนไทยในพื้นที่เสี่ยงเข้ามาในจังหวัดจันทบุรีแต่อย่างใด ส่วนนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปยังสามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดจันทบุรีได้ตามปกติ แต่ต้องอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด – 19 สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ พร้อมให้บริการ ยกเว้นอุทยานแห่งชาติ น้ำตกพลิ้ว น้ำตกกระทิง น้ำตกเขาสอยดาวที่ปิดให้บริการชั่วคราว


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา ผู้สื่อข่าวจ.จันทบุรี

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ตม.2 รวบ 2 หนุ่มแดนมังกร !! หวังใช้ใบสูติบัตรปลอมเพื่อนำเด็กออกนอกประเทศ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ              

      

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม, พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2 ,พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ แสงเสียงฟ้า รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยธนันท์ จิรปิยเศรษฐ์ ผกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

ตม.2  รวบ 2 หนุ่มเมืองมังกรปลอมใบเกิดเด็กไทย       

กล่าวคือ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ในระดับสำนักตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการปฏิบัติระหว่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มบุคคล หรือขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ที่จะเข้ามาดำเนินการสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งนี้ ผลมาจากการบูรณาการปฏิบัติระหว่าง ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง

ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับ กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ตรวจเข้มผู้โดยสารชาวต่างชาตินำเด็กที่เกิดในประเทศไทยออกนอกราชอาณาจักร จนนำมาสู่การจับกุม 2 หนุ่มแดนมังกรปลอมใบเกิดเด็กไทย เปลี่ยนจากบิดาสัญชาติไทย เป็นบิดาสัญชาติจีน โดยแจ้งข้อกล่าวหา “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม” และได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้ทราบ ณ ที่จับกุมแล้ว และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

รายที่ 1 กล่าวคือ ผู้ถูกจับกุมเป็นชาย สัญชาติจีน อายุประมาณ 54 ปี พร้อมด้วยเด็กชายเก่ง (นามสมมติ) สัญชาติไทย อายุ 6 เดือน 22 วัน ได้มาขอรับการตรวจอนุญาตเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยไปยังเมือง

เฉิงตู ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสายการบินเสฉวนแอร์ไลน์ เที่ยวบิน 3U8146 โดยได้ยื่นเอกสารประกอบการนำพาเด็กชายเก่ง ซึ่งเกิดในประเทศไทยให้เจ้าหน้าที่ฝ่าย ตม.ขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินการพิจารณาตรวจอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยอ้างว่า นางสาวบี (นามสมมติ)  ผู้เป็นมารดา สัญชาติไทย เดินทางมาส่งยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทั้งนี้ ระหว่างการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ผู้ตรวจสงสัยในเอกสารประกอบการเดินทางในส่วนของใบสูติบัตร ในรายละเอียดที่ปรากฏตามใบสูติบัตร ซึ่งระบุว่า นางสาว บี เป็นมารดา และ ผู้ถูกจับกุม สัญชาติจีน เป็นบิดา เมื่อเจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบใบสูติบัตรดังกล่าว โดยสแกนข้อมูลจาก QR Code บนใบสูติบัตร ปรากฏข้อมูลหมายเลขประจำตัวประชาชน ตรงกับหมายเลขประจำตัวประชาชนของเด็กชายเก่งที่แสดงในใบสูติบัตรจริง ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวเป็นการตรวจสอบตามหลักการตรวจสอบใบสูติบัตรเบื้องต้น ขณะเดียวกันได้ประสานมายัง กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ในการร่วมตรวจสอบผู้โดยสารรายนี้ โดยเจ้าหน้าที่ กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขประจำตัวประชาชนของเด็กชายเก่งจากระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรที่เชี่อมต่อกับระบบ POLIS ผลการตรวจสอบพบว่า เด็กชายเก่งมีมารดาคือ นางสาวบี ส่วนบิดาไม่ใช่ผู้ถูกจับกุม แต่กลับเป็นนายซี (นามสมมติ) สัญชาติไทย ซึ่งข้อมูลไม่ตรงกับใบสูติบัตรที่ผู้ถูกจับกุมนำมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จึงได้ดำเนินการจับกุมส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รายที่ 2 ผู้ถูกจับกุมเป็นชาย สัญชาติจีน อายุประมาณ 58 ปี พร้อมด้วยเด็กชายเยี่ยม (นามสมมติ) สัญชาติไทย อายุ 1 ปี 6 วัน ได้มาขอรับการตรวจอนุญาตเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยเพื่อเดินทางไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสายการบินไชน่าอิสเทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MU542 โดยผู้ถูกจับกุมได้ยื่นเอกสารประกอบการนำพาเด็กชายเยี่ยม ซึ่งเกิดในประเทศไทยให้เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระหว่างการตรวจสอบ  เจ้าหน้าที่ ผู้ตรวจอนุญาตสงสัยเอกสารประกอบในส่วนของใบสูติบัตรของเด็กชายเยี่ยม ที่ระบุว่ามีมารดาเป็นบุคคลสัญชาติไทย และมีผู้ถูกจับกุม สัญชาติจีนเป็นบิดา เมื่อเจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบใบสูติบัตรดังกล่าว โดยสแกนข้อมูลจาก QR Code บนใบสูติบัตร ปรากฏข้อมูลหมายเลขประจำตัวประชาชน ตรงกับหมายเลขประจำตัวประชาชนของเด็กชายเก่งที่แสดงในใบสูติบัตรจริง ขณะเดียวกันได้ประสานมายัง กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ในการร่วมตรวจสอบผู้โดยสารรายนี้ โดยเจ้าหน้าที่ กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 จึงได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขประจำตัวประชาชน ของเด็กชายเยี่ยม จากระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรที่เชี่อมต่อกับระบบ POLIS ผลการตรวจสอบ พบว่า เด็กชายเยี่ยม มีมารดาและบิดาเป็นบุคคลสัญชาติไทย โดยบิดาไม่ใช่ผู้ถูกจับกุมแต่อย่างใด จึงได้ดำเนินการจับกุมส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตม.1 รวบฝรั่งแดนกังหันลม อยู่เกินนับ 10 ปี ค้ารถเถื่อนยังชีพ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล, พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, พ.ต.อ.ยศเอก  รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.กีรติศักดิ์  ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 นำโดย พ.ต.อ.กีรติศักดิ์  ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.ท.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ รอง ผกก.สส.บก.ตม.1 พ.ต.ท.ทรงพันธุ์ กุลดิลก, พ.ต.ท.ปัฐน์ แสนอินอำนาจ สว.กก.สส.บก.ตม.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ร่วมกันจับกุม MR.STANLEY หรือนายสแตนลีย์ อายุ 35 ปี สัญชาติเนเธอร์แลนด์ พร้อมด้วยของกลาง  รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียนกรุงเทพมหานคร สีดำ, รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน กรุงเทพมหานคร สีขาว

โดยกล่าวหา  ผู้ถูกจับกุม ฐานความผิดตาม ป.อาญา ม.264, ม.265, ม.268 และ ม.81 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม” และ “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตสิ้นสุด”

พฤติการณ์ในการจับกุม ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีเพจใน facebook ชื่อ car planet…ซึ่งเป็นเพจเกี่ยวกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ คาดว่ามีคนต่างชาติเป็นแอดมินเพจ และในเพจดังกล่าว มีรถใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมจำนวนหลายคัน  เมื่อเจ้าหน้าที่ฯได้รับข้อมูลจึงได้เช้าไปตรวจสอบในเพจดังกล่าว พบว่า มีบุคคลใช้ชื่อว่า Stanley เป็นแอดมินเพจ  จากนั้นเจ้าหน้าที่ฯได้เดินทางไปตรวจสอบภายในบริเวณ ซ.รามคำแหง72 ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในเพจ เพื่อตรวจสอบสังเกตการณ์ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ฯ พบรถยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น แอคคอร์ด สีดำ สวมแผ่นป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนปลอม แต่ไม่พบตัว Stanley ซึ่งเป็นแอดมินเพจตามข้อมูลที่ได้รับ เจ้าหน้าที่ฯเชื่อว่า Stanley ต้องมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับรถใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมอย่างแน่นอน แต่เมื่อยังไม่พบตัวเจ้าหน้าที่ฯ จึงได้จัดกำลังซุ่มดูภายในบริเวณดังกล่าวอีกหลายครั้ง  รอจนกระทั่งได้พบกับนายสแตนลีย์ฯ  เจ้าหน้าที่ฯจึงได้แสดงตัวและขอตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่นายสแตนลีย์อ้างว่า หนังสือเดินทางหายไปนานแล้ว เจ้าหน้าที่ฯจึงได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบจัดเก็บข้อมูล Biometrics (ลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า) พบข้อมูลของนายสแตนลีย์ฯ อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดมาแล้ว 3,765 วัน (10 ปี 115 วัน) เจ้าหน้าที่ฯได้สอบถามนายสแตนลีย์ฯ เกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมว่าเป็นรถยนต์ของใคร นายสแตนลีย์ฯ แจ้งว่าเป็นรถยนต์ที่ซื้อต่อมาจากเพื่อนชาวต่างชาติที่พัทยาเนื่องจากเพื่อนคนดังกล่าวผ่อนไฟแนนซ์ไม่ไหว  โดยตนจะสั่งป้ายทะเบียนปลอมมาจากทางอินเตอร์เน็ตแล้วใช้สวมกับรถที่รับซื้อต่อมา เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่กับไฟแนนซ์ และจะนำไปจำหน่ายต่ออีกทอดนึง ซึ่งตนได้ทำอย่างนี้มาแล้วหลายครั้ง นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ฯ ยังได้ตรวจพบรถเก๋งยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีออส สวมแผ่นป้ายกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนปลอมอีกเช่นกัน  สอบถามนายสแตนลี่ย์ฯให้การรับสารภาพว่า เป็นรถยนต์ที่ได้มาในลักษณะเดียวกับรถแอ๊คคอร์ด เจ้าหน้าที่ฯจึงได้แจ้งกับนายสแตนลี่ย์ฯว่า กระทำความผิดในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักโดยการอนุญาตสิ้นสุด”, “ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม” และนำตัวนายสแตนลี่นำตัวส่ง พงส.สน.หัวหมากเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่าง ๆ  รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สืบ ตม.1 จับกุมเครือข่ายขบวนการขนแรงงานชาวกัมพูชา “แก๊งป้ายเอียง”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย  โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล,พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 นำโดย พ.ต.อ.กีรติศักดิ์  ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.ท.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ รอง ผกก.สส.บก.ตม.1 พ.ต.ท.ทรงพันธุ์ กุลดิลก, พ.ต.ท.ปัฐน์ แสนอินอำนาจ สว.กก.สส.บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ร่วมกันจับกุม 1.นายเบิร์ด (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี สัญชาติไทย  2.นายบังซอด (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี สัญชาติไทย 3.นายเชียงฯ อายุ 20 ปี สัญชาติกัมพูชา 4.นางใหม่ฯ อายุ 18 ปี สัญชาติกัมพูชา 5.นายพานุฯ อายุ 40 ปี สัญชาติกัมพูชา 6.MR.SALON (นายซาลอนฯ) อายุ 29 ปี สัญชาติกัมพูชา 7.MISS.SREYROTH (นางซาไลลอทฯ) อายุ 28 ปี สัญชาติกัมพูชา

พร้อมด้วยของกลาง รถยนต์ตู้ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียนกรุงเทพมหานคร สีชมพู, รถยนต์ตู้ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน กรุงเทพมหานคร สีชมพู, โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ OPPO รุ่น A15s สีน้ำเงิน

โดยกล่าวหา ผู้ถูกจับกุมที่ 1 และ 2 ฐานเป็นตัวการร่วมตาม ป.อาญา ม.83 ตาม ม.64 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” และ “ฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558”

ผู้ถูกจับกุมที่ 3-5 ฐานความผิดตาม ม.11, ม.18 และ ม.81 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ “บุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรจะต้องเดินทางเข้ามาหรือออกไปตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง”, “บุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรต้องยื่นรายการตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง และผ่านการตรวจอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมือง” และ “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ผู้ถูกจับกุมที่ 6-7 ฐานความผิดตาม ม.81 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”

พฤติการณ์ในการจับกุม  เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับแจ้งจากสายลับทราบว่า จะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าว (แก๊งค์ป้ายเอียง) ตระเวนรับบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา บริเวณปากซอยรามคำแหง 65 เพื่อจะนำหลบหนีออกไปยังประเทศกัมพูชา ผ่านทางช่องทางธรรมชาติ โดยใช้รถตู้โดยสาร ทะเบียน กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 จึงได้วางกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ จนกระทั่งพบรถยนต์ตู้เป้าหมาย ได้มาจอดรับแรงงานต่างด้าวและมุ่งหน้าไปยังถนนรามอินทรา เจ้าหน้าที่ฯ ได้ขับรถติดตามเพื่อดูพฤติการณ์ และเมื่อถึงบริเวณสถานที่จับกุมบริเวณถนนรามคำแหง ขาออก ตรงข้ามซอยรามคำแหง 110 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ใช้รถยนต์ตรวจการณ์อัจฉริยะ สตม. แสดงตัว ให้สัญญาณเพื่อหยุดรถคันดังกล่าว และทำการแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ 

จากการตรวจสอบคนขับพบว่าคือ นายเบิร์ดฯ (นามสมมุติ) หรือผู้ถูกจับกุมที่ 1 เป็นคนขับรถตู้ และพบแรงงานต่างด้าวจำนวน 8 คน นั่งอยู่ในรถ โดยตรวจพบว่าเป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ไม่มีเอกสารหนังสือเดินทาง จำนวน 3 คน, การอนุญาตสิ้นสุด จำนวน 2 คน มีเอกสารหนังสือเดินทางถูกต้อง 3 คน จึงได้จับกุมตัวนายเบิร์ดฯ ผู้ขับรถตู้และแจ้งข้อหาตาม ม.64 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” และ “ฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558” โดยนายเบิร์ดฯรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นจึงควบคุมตัวนายเบิร์ดฯมาที่ กก.สส.บก.ตม.1 เพื่อสืบสวนขยายผลจากการ

สอบปากคำนายเบิร์ดฯ (นามสมมุติ) ให้การว่ากลุ่มรถตู้ของพวกตนจะใช้สีสันฉูดฉาดเช่น สีชมพู, สีส้ม, สีเขียว และจะติดป้ายทะเบียนลักษณะเอียง 45 องศา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้นำโทรศัพท์ของนายเบิร์ดฯ ยี่ห้อ OPPO รุ่น A15s สีน้ำเงิน มาทำการตรวจสอบกับเครื่องมือตรวจพิสูจน์หลักฐานทางโทรศัพท์ (CELEBRITE) เพื่อค้นหาเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการซึ่งนายเบิร์ดฯ ให้การว่า ตนได้รับการว่างจ้างจากนายบังซอดฯ (นามสมมุติ) หรือผู้ถูกจับกุมที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้างตนให้ไปตระเวนรับแรงงานต่างด้าวในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในราคาต่อเที่ยวครั้งละ 6,500 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดนำส่ง พงส.สน.บางชัน จากนั้นชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจากคำให้การและข้อมูลการเชื่อมโยงทางโทรศัพท์ เพื่อขอศาลอนุมัติออกหมายจับ นายบังซอดฯ 

ต่อมาศาลอาญามีนบุรีได้อนุมัติออกหมายจับนายบังซอดฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้วางกำลังไว้เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณบ้านของนายบังซอดฯ จนกระทั่งพบตัวนายบังซอดฯ จึงได้แสดงหมายจับและทำการจับกุมตัว โดยนายบังซอดฯ (นามสมมุติ) ได้ให้การรับสารภาพว่าตนเป็นคนจัดหาแรงงานต่างด้าวและว่าจ้างให้นายเบิร์ดฯ ตระเวนรับแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาเพื่อไปส่งบริเวณช่องทางธรรมชาติเขตติดต่อ ไทย-กัมพูชา โดยตนหาลูกค้าโดยการติดต่อกับนายบอย (นามสมมุติ) ชาวกัมพูชาซึ่งตนได้รู้จักกันมาก่อนหน้า นายบอยเป็นนายหน้าคอยหาลูกค้าผ่านแอพพลิเคชั่น FACEBOOK ในลักษณะการ LIVE สด  และนอกจากนั้นบังซอดฯ ยังได้ให้การซัดทอดไปยัง นายใหญ่ฯ (นามสมมุติ) สัญชาติไทย ว่าเป็นอีกหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ ซึ่งทาง กก.สส.บก.ตม.1 อยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผลเพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่าง ๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย  ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

กองบัญชาการตำรวจนครบาลรายงานผลการจับกุม ”แหล่งผลิตกัญชาออร์แกนิก”

ตามนโยบายของรัฐบาลให้เจ้าหน้าที่ของภาครัฐปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายเนื่องจากการแพร่ระบาดของยาเสพติดซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่าง ๆ

ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น., เป็นผู้ควบคุมสั่งการ

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร จตร.(สบ 8) ปฏิบัติราชการ บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.นพรัตน์ สินมา รอง ผบก.น.3, พ.ต.อ.ถนัด นักธรรม ผกก.สส.บก.น.3 ได้เดินทางตรวจสอบอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.3 สืบทราบและเข้าตรวจค้น พบเป็นสถานที่เพาะปลูกกัญชาออร์แกนิคบริเวณชั้น 3-4 พร้อมทั้งมีอุปกรณ์การผลิตน้ำมันกัญชา บริเวณชั้น 5 โดยจำหน่ายให้กับลูกค้าทางออนไลน์ ในราคาขวดละ 500 บาท (5 ซีซี) และส่งสินค้าทางบริษัทขนส่งพัสดุ มูลค่าของกลางในที่เกิดเหตุรวมกว่า 8 แสนบาท โดยได้แจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน"ผลิต นำเข้า ส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 โดยไม่ได้รับอนุญาต" ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป             

บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด หากพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่

ตำรวจชุดสืบเมือง ร่วมตำรวจดงหลวงและตำรวจป่าไม้ นำกำลังบุกปิดล้อมสวนยางพาราจับกุมแก๊งมอดไม้ลักลอบเข้าไปตัดไม้หวงห้ามขนาดใหญ่ อายุประมาณ 100 ปีจำนวน 4 ต้น 35 ท่อน ซึ่งมีมูลค่า 1.5ล้านบาท ในที่ดิน ส.ป.ก. ได้ผู้ต้องหา รวมจำนวน 5 ราย

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 29 มิถุนายน 2564 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร ผบก.ตำรวจภูธร จ.มุกดาหาร สั่งการให้ พ.ต.อ.ธนิต ดวงกลาง ผกก.สภ ดงหลวง ประสาน หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มห.2 (ดงหลวง) จ.มุกดาหาร นำกำลังร่วมเข้าตรวจยึดท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่มีแก๊งมอดไม้ลักลอบเข้าไปตัดโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ในที่ดิน ส.ป.ก.4-01 เพื่อลำเลียงท่อนไม้ประดู่ขนาดใหญ่จำนวน 35 ท่อน ของกลางออกจากป่านำส่ง สภ.ดงหลวง

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร ได้รับแจ้งจากจากสายหลับว่ามีแก๊งมอดไม้ลักลอบตัดไม้อยู่ในที่ดิน ส.ป.ก.4-01 อยู่บริเวณป่าสวนยางพาราทางทิศเหนือของ หมู่บ้าน โนนทัน ม.2 ต.ชะโนดน้อย อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร จึงสั่งการให้ชุด สืบ สภ.เมืองมุกดาหาร ร่วมกับตำรวจ สภ.ดงหลวง นำกำลังเข้าปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบพบกลุ่มชายฉกรรจ์ จำนวน 5 คน กำลังเร่งชักลากท่อนไม้ออกจากป่า เจ้าหน้าที่สั่งให้ชายทั้งหมดหยุดอยู่กับที่แล้วเข้าควบคุมตัวชายทั้ง 5 ทราบชื่อคือ

1.นายดาวเรือง ซุยพวง อายุ 54 ปีอยู่บ้านเลขที่180 ม.1ต.หนองบัว อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

2.นายเดชา เชื้อเมืองแสน อายุ 52 ปีอยู่บ้านเลขที่32 ม.2 ต.หนองแคน อ.ดงหลาง จ.มุกดาหาร

3.นายสุกัน วงค์ แก้ว อายุ 44 ปีอยู่บ้านเลขที่40 ม.ม.10ต.พระชอง อ.นาแก จ.นครพนม

4.นายณรงค์ โสมสา อายุ 50 ปีอยู่บ้านเลขที่146  ม.6 ต.พลกรัง อ.เมืองนครราชสีมา และ

5.นายวีระศักดิ์  นวน บุรี อายุ 30 ปีอยู่บ้านเลขที่132 ม.2 ต.อุ่มเม้า อ.ธาตุพนม จ.นครพนม

ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุก10 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุสีฟ้าหมายเลขทะเบียน 85-3498 นครราชสีมา ตรวจสอบพบไม้ประดู่ขนาดใหญ่ความยาว 5 เมตร จำนวนหนึ่งอยู่บนกระบะหลัง และรถบรรทุก 6 ล้อสีขาว ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 80-4436 นครพนม อีก 1 คัน จอดอยู่ในที่เกิดเหตุตรวจสอบไม้ประดู่ถูกตัดโค่นลงรวมจำนวน 4 ต้นซึ่งของกลางทั้งหมดไม่สามารถนำออกมาได้เนื่องจากฝนตกดินทางออกเป็นโคลน รถไม่สามารถเอาออกมาได้จนถึงช่วงบ่ายของวันที่29 มิถุนายน ฝนหยุดตกเจ้าหน้าที่จึงนำกำลังเข้าไปลำเลียงของกลางออกมาพร้อมผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ดงหลวงเพื่อดำเนินการตามกฎหมายในข้อหาผิด พรบ.ป่าไม้ตัดโค่นต้นไม้หวงห้ามในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01ผิดกฎหมาย


ภาพ/ข่าว  ชุด ฉก.พญาอินทรีย์ / เดวิท โชคชัย จ.มุกดาหาร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top