Friday, 17 May 2024
Crimes

ตม.หนองคาย บุกทลายร้านคาราโอเกะบังหน้า ค้ากามเด็กสาวลาวอายุต่ำกว่า 18 ปี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.ธานินทร์ อินทพรต ผกก.ตม.จว.หนองคาย ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตม.จว.หนองคาย ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จับกุมนายสงกรานต์ อายุ 49 ปี เจ้าของร้านคาราโอเกะ พร้อมคนต่างด้าวสัญชาติลาว จำนวน 3 ราย ที่ห้องพักรีสอร์ท ใน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ในความผิดฐาน “เป็นผู้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากบุคคลและเด็ก โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี, เป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปซึ่งเด็กที่มีอายุกว่า 15 แต่ยังไม่เกิน 18 ปี เพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี, เป็นผู้ดูแลหรือจัดการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณี และเป็นผู้สนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง” พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาให้หญิงต่างด้าวสัญชาติลาว ทราบว่า “เป็นคนเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต”

ตม.จว.หนองคาย ได้ทำการสืบสวนคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อหาปลายทางการลักลอบว่ามีเป้าหมายไปยังที่ใด ทำงานประเภทใด จนทราบว่า กลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติลาวบางส่วน มักจะลักลอบเข้ามาทำงานขายบริการ ณ ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ จ.หนองคาย ซึ่งมีการลักลอบรับคนต่างด้าวสัญชาติลาวเข้าทำงานโดยผิดกฎหมายและพบว่ามีการลักลอบค้าประเวณีแอบแฝง ซึ่งทางร้านได้ลักลอบเปิดให้นักท่องเที่ยวขาประจำมาใช้บริการกินดื่มและซื้อบริการทางเพศ โดยใช้วิธีปิดไฟภายในร้าน เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ให้หลงเชื่อว่าร้านดังกล่าวไม่ได้เปิดบริการ ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีการนำเอาหญิงชาวลาวอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้บริการอยู่ภายในร้านด้วย

ซึ่งทางเจ้าของร้านจะให้เด็กหญิงภายในร้าน ชักชวนลูกค้าที่มานั่งดื่มเสนอขายบริการทางเพศคิดค่าบริการครั้งละ 1,500-2,000 บาท โดยเจ้าของร้านจะคอยควบคุมและสั่งให้เด็กมาบริการแขก และหากมีการขายบริการทางเพศเจ้าของร้านจะได้ส่วนแบ่งจากการขายบริการ ครั้งละ 300 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมวางแผนให้สายลับเข้าไปใช้บริการในร้านดังกล่าว โดยได้ให้สายลับพรางตัวเข้าไปใช้บริการ โดยต่อมาหญิงชาวลาวได้ชักชวนสายลับเพื่อให้ซื้อบริการทางเพศกับหญิงบริการภายในร้านคาราโอเกะดังกล่าว พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณร้านคาราโอเกะ และบริเวณหน้ารีสอร์ท ที่จะมีการพาหญิงสาวไปเข้าพักเพื่อค้าบริการทางเพศ ต่อมา ทางร้านได้ส่งหญิงชาวลาวคือ ด.ญ.ดาว อายุ 15 ปี ไปให้บริการทางเพศกับสายลับที่รีสอร์ท เมื่อสายลับพา ด.ญ.ดาว เข้าพักที่รีสอร์ทแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม

จากการสอบถามทราบว่า ด.ญ.ดาว ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมพี่สาว ทางช่องทางธรรมชาติ เมื่อประมาณเดือน มี.ค.64 จากนั้นได้มารับจ้างทำงานที่ร้านดังกล่าวเรื่อยมาพร้อมทั้งมีการขายบริการทางเพศให้กับนักท่องเที่ยวจริง โดยจะคิดเงินค่าบริการครั้งละ 1,500 บาท เมื่อเสร็จภารกิจจะนำเงินจำนวน 300 บาท มาให้กับเจ้าของร้านเพื่อเป็นส่วนแบ่ง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงเข้าจับกุมนายสงกรานต์ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานค้ามนุษย์ พร้อมนำตัวส่ง พงส.สภ.โพนพิสัย ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

ตม.มุกดาหาร สกัดเดือดอดีตแก๊งรถตู้ขนแรงงานเถื่อน ผันตัวขนยานรก ค้นรถพบยาบ้าเกือบ 3 หมื่นเม็ด เตรียมส่งมหาสารคาม

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.นพดล รักชาติ ผกก.ตม.จว.มุกดาหาร ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตม.จว.มุกดาหาร ได้ทำการสืบสวนจับกุมนายอภิสิทธิ์ อายุ 35 ปี ซึ่งเคยต้องโทษกรณีลักลอบขนคนต่างด้าวสัญชาติลาว จำนวน 9 คน หลบหนีเข้าเมือง ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้รับโทษ จำคุก 3 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ขณะขับรถตู้ขนยายาบ้าจำนวน 29,965 เม็ด มุ่ง จ.มหาสารคาม

ตม.จว.มุกดาหาร ได้ออกตรวจสืบสวนหาข่าวขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร พบรถตู้ โตโยต้า สีบรอนซ์ ขับขี่มาด้วยความเร็ว ซึ่งเป็นคันเดียวกับที่ถูก ตม.จว.นครราชสีมา จับกุมที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ เพื่อให้พ้นจากการจับกุม” พร้อมกับคนลาวอีก 9 คน ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วนั้น เป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มขบวนการลักลอบขนคนเข้าเมือง โดยได้แวะเข้าไปพักที่ปั๊มน้ำมัน ชุดสืบสวนจึงได้เข้าไปสะกดรอย เฝ้าคอยติดตามรถตู้คันดังกล่าว ต่อมา รถตู้คันดังกล่าวได้เคลื่อนตัวออกจากปั๊มเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ออกติดตามโดยใช้รถยนต์สะกดรอยทั้งหมด 2 คัน ติดตามไป แต่เนื่องจากรถตู้คันดังกล่าวได้ใช้ความเร็วประมาณ 140 กม./ซม. มุ่งหน้า อ.คำชะอี เพื่อเข้ากรุงเทพมหานคร จึงน่าเชื่อว่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายหรือน่าเชื่อว่าได้กระทำผิด จึงได้นำรถตรวจการณ์อัจฉริยะออกติดตาม จนสามารถติดตามจนถึงตัว อ.คำชะอี จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คำชะอี สกัด

และร่วมตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบอุปกรณ์เสพยาเสพติด จึงได้ตรวจค้นพบกล่องพัสดุ ระบุหน้ากล่องว่า “ขวดสเปรย์ TOA จำนวน 2 ขวด” เมื่อเปิดออกมาพบห่อยาเสพติดจำนวน 5 มัด เป็นยาบ้าจำนวน 29,965 เม็ด จากการสอบถาม นายอภิสิทธิ์รับว่า ตนได้รับการติดต่อทาง Facebook ให้ไปรับพัสดุจากร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.มุกดาหาร เพื่อนำส่งไปยัง จ.มหาสารคาม จนกระทั่งมาถูกจับกุมในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหาพร้อมนำตัวส่ง พงส.สภ.คำชะอี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

นิพนธ์ รุดติดตามเหตุไฟไหม้ โรงงานหมิงตี้ เคมีคอล ร่วมถกด่วน “ปภ.-ผู้ว่าฯ ปากน้ำ-ทีมผู้เชี่ยวชาญ” ระดมสรรพกำลังหนุนดับไฟ สั่งฮ.2 ลำบินดับเพลิงทางอากาศ

มูลนิธิร่วมกตัญญู ถนนกิ่งแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ด่วนติดตามสถานการณ์กรณีโรงงานกรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการไฟไหม้ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันเดียวกัน

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "กระทรวงมหาดไทยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ โดยได้ประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งเครื่องจักรกลสนับสนุนการดับเพลิงไหม้โรงงานพลาสติกกิ่งแก้ว พร้อมด้วยเครื่องจักรกลสาธารณภัยสนับสนุนการดับเพลิงฯ ประกอบด้วย รถหอน้ำ รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว รถบรรทุกน้ำช่วยดับเพลิง รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยเพื่อขนโฟมดับเพลิง เฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ลำ ซึ่งจนท.นำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินโปรยโฟมเพื่อดับเพลิงทางอากาศไปแล้ว 3 รอบ โดยจะวางแผนและประเมินสถานการณ์การขึ้นบินเป็นระยะ ซึ่งนักบินขอปรับแผนเป็นเทโฟม 300 ลิตรผสมน้ำ 3,000 ลิตร โปรยโฟมแบบเต็มพื้นที่ พร้อมสนธิกำลังภาคพื้นดิน สถานการณ์โดยรอบยังมีเพลิงลุกไหม้และมีกลุ่มควันดำหนาแน่น เจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าปฏิบัติ เนื่องจากจะต้องทำการบินระดับต่ำ และประเมินเหตุระเบิดซ้ำจากถังสารเคมีที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวกันได้สั่งประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงโรงงานดังกล่าวในรัศมี 5 กิโลเมต รอพยพด่วน เนื่องจากยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ และหวั่นไฟลามไปติดถังสารเคมี 20,000 ลิตรที่อยู่ใกล้เคียง"

สำหรับการดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้เป็นไปตามระเบียบการดูแลสถานการณ์ในการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ และขอให้ปฎิบัติตามกลไกลในการดูแลอย่างรวดเร็วที่สุด” นายนิพนธ์ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 16.15 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แถลงรายงานความคืบหน้าเหตุไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด โดยยืนยัน เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว 1 บ่อ แต่ยังมีอีก 1 บ่อที่จะต้องใช้อากาศยานเข้าไประงับเหตุ ก่อนจะใช้ทีมภาคพื้นดินเข้าตามไป เบื้องต้นหากเป็นไปตามแผน คาดจะสามารถทำให้เพลิงสงบได้ในระยะเวลาไม่นานนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้โฟมผสมน้ำในการรักษาอุณหภูมิจุดที่เกิดเพลิงไหม้ และระดมทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงาน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูอย่างใกล้ชิด

 

โรงงานระเบิด !! ทำบ้านเรือนเสียหายหลายร้อยหลัง ขณะที่ผู้ว่าสั่งอพยพชาวบ้านรัศมี 5 กิโลเมตร

จากกรณีเมื่อช่วงกลางดึกเมื่อคืนนี้ถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่ภายในบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการได้เกิดรั่วและระเบิดขึ้นทำให้ไฟไหม้ตัวโรงงานส่วนแรงระเบิดทำให้โรงงานในละแวกใกล้เคียงและบ้านเรือนประชาชนร่วมทั้งหมู่บ้านหรูที่อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตร หลายร้อยหลังคาเรือนได้รับความเสียหายกระจกฝ้าเพดานรวมทั้งหลังแตกกระจายล่วงลงมา ส่วนโรงงานใกล้เคียงอาคารและหนังปูนถูกแรงอัดจนถล่มลงมาได้รับความเสียหาย และตั้งแต่เกิดเหตุมาจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้เพลิงยังคงลุกลามเข้าใกล้ถังบรรจุเคมีขนาด 20,000 ลิตรหรือ 30 ตัน ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของโรงงาน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าฉีดน้ำสกัดได้เนื่องจากมีกลุ่มควันสีดำที่เกิดจากการเผาไหม้เม็ดโฟรมจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ได้ระดมน้ำยาโฟรมจำนวนมากเข้าทำการฉีดสกัดแต่ยังไม่เป็นผลเนื่องจากลมมีการเปลี่ยนทิศตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้เพลิงยังคงลุกโหมอย่างรุนแรง

หลังเกิดเหตุ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และจากการประเมิลสถานการณ์คาดว่าไม่น่าจะปล่อยภัยเนื่องจากเปลวไฟยังลุกโหมอย่างรุนแรงและเข้าประชิดตัวถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่ของโรงงาน จึงได้มีการประกาศให้ประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรทำการอพยพ ออกจากพื้นที่ เนื่องจากเกรงหากควบคุมเพลิงยังไม่ได้ถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่อาจเกิดการระเบิดได้ชาวบ้านและประชาชนจะได้รับอันตรายจึงได้สั่งอพยพประชาชนทั้งหมดออกจากพื้นที่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ทำให้ประชาชนต่างพากันแตกตื่นและเร่งอพยพออกจากบ้านโดยได้รับร่วมมือจากเจ้าหน้าที่อาสาและมูลนิธิต่าง ๆ ที่ระดมกำลังกันมาช่วยกันขนประชาชนออกนอกพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อความปล่อยภัย โดยได้มีการจัดเตรียมสถานที่เอาไว้ที่บริเวณลานอเนกประสงข้างที่ทำการ อบต.บางพลีใหญ่ และ ลานดินข้างมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมทั้งลานด้านหน้าโรงเรียนบางพลีอนุสรณ์ ไว้ลองรับ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างลำเลียงประชาชนออกจากพื้นที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกันได้รับรายงานว่ามีการร้องขอเฮลีคอปเตอร์ ที่ใช้ดับไฟป่าลำเลียงน้ำเข้ามาปล่อยน้ำเพื่อดับเพลิง  ส่วนค่าเสียหายคาดว่าหลายร้อยล้าน

ขณะเดียวกันโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนกิ่งแก้ว ห่างจากจุดทีเกิดเหตุประมาณ 500 เมตรได้เร่งย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลโดยใช้รถของโรงพยาบาลและรถสองแถว กระจายไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุจึงกลายเป็นจุดที่อันตราย


ภาพ /ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

ตม.เลย รวบต่างด้าวไม่ยอมกลับประเทศ หนีความลำบาก เสี่ยงแพร่เชื้อโควิด-19

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.ชนะพณ สุวรรณศรีนนท์ ผกก.ตม.จว.เลย ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตม.จว.เลย บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามนโยบายสกัดกั้น ป้องกันบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และลักลอบเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันการนำเชื้อไวรัสโควิด–19 เข้ามาแพร่ระบาดในพื้นที่ จ.เลย โดยสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาวได้ 7 ราย กระทำผิดฐาน “อยู่ในรายอาณาจักรเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต” จำนวน 4 ราย และ “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” จำนวน 3 ราย

ตม.จว.เลย ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบบุคคลต่างด้าว พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติ ลาว จำนวน 7 คน กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง

 1. MRS.BOUATOUM อายุ 33 ปี อยู่เกิน 226 วัน

 2. MRS.LAE อายุ 33 ปี อยู่เกิน 116 วัน

 3. MR.BOUNYOK อายุ 38 ปี อยู่เกิน 226 วัน

 4. MR.LATH อายุ 37 ปี อยู่เกิน 166 วัน

 5. ท้าวไร่ อายุ 13 ปี หลบหนีเข้าเมือง

 6. MR.BOUN อายุ 19 ปี หลบหนีเข้าเมือง

 7. MRS.MOR อายุ 20 ปี หลบหนีเข้าเมือง

จากการสอบถามบุคคลต่างด้าวแจ้งว่า ตนกับพวกรับจ้างใช้แรงงานอยู่ในจังหวัดในภาคใต้ ต่อมาถูกเลิกจ้าง ตนกับพวก จึงต้องการเดินทางกลับ สปป.ลาว แต่เมื่อมาถึง จ.เลย เห็นว่า เมื่อกลับไปแล้วจะไม่มีงานไม่มีรายได้ จึงลักลอบอยู่ในพื้นที่ จ.เลย และหางานทำ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุม โดยท้าวไร่ อายุ 13 ปี ตรวจไม่พบเอกสารสำคัญประจำตัว โดยรับว่าตนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวเพื่อมาพักอาศัยอยู่กับ MR.BOUNYOK และ MRS.BOUATOUM บิดามารดา ส่วน MR.BOUN และ MRS.MOR รับว่าพวกตนลักลอบเดินทางข้ามแม่น้ำเหือง ช่วงก่อนสงกรานต์ เพื่อเข้ามาหางานทำ จึงนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองเลย ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

เตือนประชาชน !! ระวังตกเป็นเหยื่อ วายร้ายในคราบนักบุญ แอบอ้างขอรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่ จว.สมุทรปราการ

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานย่านกิ่งแก้ว จว.สมุทรปราการ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัย ที่เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เกิดเหตุจนเสียชีวิตนั้น ปรากฎว่าในสื่อสังคมออนไลน์ มีมิจฉาชีพแอบอ้างขอรับการบริจาคเงินจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา

ขอความช่วยเหลือให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นภัยสังคม เป็นการฉวยโอกาสก่อเหตุโดยอาศัยความเดือดร้อนของผู้อื่น และจะได้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลแอบอ้างดังกล่าว หากประสงค์จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวในทุกกรณี ขอให้ตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน โดยเฉพาะข้อมูลการขอรับการบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพราะอาจมีการแอบอ้างโดยมิจฉาชีพได้ ถ้าเป็นไปได้ขอให้ตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือจากแหล่งข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ

สำหรับผู้ที่กระทำความผิดในการแอบอ้างขอรับบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จะมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สืบ สตม.เปิดยุทธการ “ทะยานฟ้าล่าข้ามเกาะ” บุกจับกุม หัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดชาวเยอรมัน หนีมากบดานที่ไทย

บก.สส.สตม.เปิดยุทธการ ทะยานฟ้าล่าข้ามเกาะ ( Operation 2 Island ) นำหมายจับผู้ร้ายข้ามแดนและหมายค้น เข้าจับกุม 2 ผู้ต้องหาชาวเยอรมัน คดีค้ายาเสพติดที่ทางการเยอรมันต้องการตัวเนื่องจากเป็นหัวหน้าขบวนการผลิตและค้ายาเสพติด(สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท) ให้กลุ่มแก๊งกระจายออกขายทั่วยุโรป ผู้เสพบางรายเสพแล้วถึงกับเสียชีวิต หลังก่อคดีหนีกบดานที่ประเทศไทยนายหลายปี ทางการเยอรมันประสานทางการไทยให้จับกุมและส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมทีมสืบสวน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย,พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ปฎิญญา จีรชนาสิน ผกก.๒ บก.สส.สตม. ติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดชาวเยอรมัน ตามที่สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทยขอให้ส่งตัว นาย Alex KARTUN สัญชาติเยอรมันและรัสเซีย และนาย Alexander WOLFIEN สัญชาติเยอรมัน เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัวไปดำเนินคดีความผิดฐานค้ายาเสพติด (ในรูปแบบของกลุ่มผู้กระทำความผิด) จำนวน 14 คดี  ความผิดฐานค้าสารที่ออกฤทธิ์ทางประสาทชนิดใหม่ (ในรูปแบบของกลุ่มผู้กระทำความผิด) จำนวน 2 คดี 

ทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ให้ข้อมูลว่า ได้ทำการจับกุมกลุ่มขบวนการผลิตยาเสพติด จำนวนประมาณ 20 คน ซึ่งทำการผสมสารเคมีกับสารสมุนไพร ให้ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเหมือนกัญชา และกระจายขายทั่วยุโรป ผู้เสพบางรายถึงแก่ความตาย แต่ปรากฏว่า นาย Alex KURTEN ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการดังกล่าว ได้หลบหนีออกจากเยอรมัน พร้อมกับลูกน้อง นาย Alexander WOLFIEN จึงได้มีการออกหมายจับ และหมายแดง Interpol ในเวลาต่อมา

จากนั้น ทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ส่งคำร้องขอต่อรัฐบาลไทยให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจาก มีข้อมูลว่าบุคคลทั้งสองราย ได้เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย ศาลอาญาจึงออกหมายจับ นายอเล็กซ์ คาร์ตูน (Mr.Alex KARTUN) และ นายอเล็กซานเดอร์ โวลเฟียน (Mr.Alexander WOLFIEN) (หมายจับศาลอาญาที่ 150/2564 และ 151/2564  ลง 20 เม.ย.64) ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ค้ายาเสพติด” (ผู้ร้ายข้ามแดน)  

หลังจากได้รับคำสั่ง พ.ต.ท.ทวีป ช่างต่อ รอง ผกก.2 บก.สส.สตม. พ.ต.ท.พิเชษฐ์ แสงบัณฑิตย์ สว.กก.2 บก.สส.สตม. พร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้แบ่งกำลังออกสืบสวนติดตาม และเฝ้าสังเกตการณ์ จากการสืบสวนทราบว่านายอเล็กซ์ คาร์ตูน (Mr.Alex KARTUN) กบดานอยู่ที่วิลล่าหรูบนเกาะพะงัน จว.สุราษฎร์ธานี ส่วนนายอเล็กซานเดอร์ โวลเฟียน (Mr.Alexander WOLFIEN) กบดานอยู่ที่บริเวณใกล้กับหาดราไวย์ เกาะภูเก็ต โดยทั้งสองคนอยู่กับกลุ่มเพื่อนชาวรัสเซียที่คอยให้ความช่วยเหลือและเป็นหูเป็นตาให้หากมีเจ้าหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการติดตามสืบสวน เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว วันที่ 6 ก.ค. 2564 จึงได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลจังหวัดสมุย แบ่งกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นทั้งสองแห่ง และจับกุมตัวตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อประสานส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป 

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.กล่าวว่าปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามขบวนการผลิตและค้ายาเสพติดรายใหญ่ในประเทศเยอรมัน ซึ่งผู้ต้องหาหลบหนีมายังประเทศไทย และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีหน้าที่ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หากประชาชนพบเห็นการกระทำความผิดของชาวต่างชาติ สามารถแจ้งเบาะแสมายัง สตม. Call center 1178 หรือ www.immigration.go.th

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน !! กรณีการประกาศชักชวนบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยให้ผู้อื่นร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีการประกาศชักชวนบนสื่อสังคมออนไลน์ให้ประชาชนและร้านอาหารออกมาร่วมกันเปิดร้านซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า

จากกรณีที่มีแกนนำกลุ่ม “ราษฎร” ได้ประกาศบนสื่อสังคมออนไลน์ ชักชวนให้พี่น้องประชาชนออกมาร่วมกิจกรรมการเปิดร้านอาหาร หรือกระทำการอื่นใดอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 6 ก.ค. 64 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป หลังจากที่มีการโพสต์เรื่องราวดังกล่าว ก็มีพี่น้องประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นและสนใจ เป็นจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และขอเตือนไปยังผู้ที่ประกาศชักชวน รวมถึงผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า หากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างถึงที่สุด

ดังเช่นในกรณีที่มีการจัดกิจกรรมชุมนุมรวมถึงกิจกรรมลักษณะเดียวกับกิจกรรมข้างต้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 2-4 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานและ มีบุคคลที่ต้องถูกดำเนินคดีกว่า 70 ราย และจะยังมีเพิ่มเติมอีกในภายหลัง

การกระทำในส่วนของผู้ที่ประกาศชักชวนนั้น เข้าข่ายความผิดฐานทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, ความผิดฐานนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14(3), ความผิดฐานโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด มีโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 ส่วนผู้ที่ออกมาร่วมกิจกรรม เข้าข่ายความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยในกรณีดังกล่าว ซึ่งการออกมาทำกิจกรรมหรือการชุมนุมในห้วงนี้นั้นเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลโดยเคร่งครัด เพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และขอขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐบาล ส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า การชักชวนให้ผู้อื่นออกมากระทำสิ่งผิดกฎหมายนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัด และขอให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข้อมูลข่าวสาร หลีกเลี่ยงการถูกชักชวนให้กระทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ไฟในโรงงานผลิตเม็ดโฟม กิ่งแก้ว 21 ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหลังฝนตกลงมา เร่งอัดเคมีโฟมคุมสถานการณ์ไว้ได้

เมื่อเวลา 17.00 น ของวันนี้ วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 ไฟได้เกิดปะทุลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง เนื่องจากในช่วงดังกล่าวมีฝนตกลงมาและมีลมกรรโชกแรง ทำให้เปลวเพลิงยิ่งลุกโหมอย่างรุนแรง ซึ่งขณะเกิดเหตุยังมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงประจำการณ์อยู่ตรงจัดที่เกิดการปะทุของเหลวไฟ โดยกลุ่มควันสีดำจำนวนมากถูกกระแสพัดมาปกคลุมอยู่บนถนนกิ่งแก้วจนไม่สามารถมองเห็นผิวการจราจร เจ้าหน้าที่ตำรวจและมูลนิธิร่วมกตัญญูร่วมทั้งอาสาสมัครกู้ภัยต้องเข้าประจำการตามจุดรวมพลที่อยู่ทางด้านต้นลม เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ระดมฉีดอัดน้ำยาเคมีโฟมใช้เวลาประมาณ 30 นาที กลุ่มควันเริ่มเบาบางลง ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากการที่ฝนตกลงมาแล้วทำให้ชั้นโฟมที่เราฉีดอัดปิดอากาศไว้เกิดเบาบางลงทำให้เกิดไฟปะทุขึ้นมาได้ แต่ขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว

ด้านนายปภินวิช ละอองแก้ว ปภ.จังหวัดสมุทรปราการ ได้กล่าวว่า ขณะนี้ท่านนายอำเภอในฐานะผู้รับผิดชอบในการทำงาน จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของจังหวัด มาการประชุมปรับปรุงแผนการทำงาน เพราะปล่อยไว้ให้เป็นอย่างนี้กันไม่ได้ ก็คงต้องมีการปรับปรุงแนวทางการทำงานใหม่เพื่อที่จะให้ยุติและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนให้มากที่สุด เพราะเราคลุมสถานการณ์อยู่แบบนี้ โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นอีกมันก็ยังมี เราก็เห็นกันอยู่แล้วมันจะดับมันก็ไม่ดับ เพราะฉะนั้นเราถึงได้บอกว่าเราไม่วางใจต้องมีการเฝ้าระวังกันอยู่ตลอด

ซึ่งก็ได้รับแจ้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านมาทางท่านนายอำเภอ ว่าจะมีบริษัทจากจังหวัดระยอง ว่าจะมาสนับสนุนการกำจัดสารระเหย ให้ระเหยขึ้นไปในอากาศได้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจก็คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะการตัดสินใจอะไรต้องผ่านผู้ดูแลในพื้นที่ร่วมไปถึงท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะตัดสินใจว่าจะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมาย

ในส่วนที่ทำให้เกิดเปลวไฟปะทุขึ้นมานั้นส่วนหนึ่งก็เกิดจากแสงแดดตอนกลางวันที่ลงมาเผาเคมีโฟมที่เราฉีดอัดเอาไว้ให้บางลงและเกิดรอยแตกร้าวจึงทำให้เกิดการปะทุขึ้นมาได้ เพราะว่าความร้อนที่อยู่ด้านล่างมันอาจจะยังคงอยู่ โดยขณะนี้ตอนนี้กำลังเริ่มอ่อนล้าเพราะทำงานกันมาตั้งแต่วันแรก

ปภ.จังหวัด โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ได้ให้ระดมสรรพกำลัง อปท.ทุกแห่งในจังหวัดสมุทรปราการ ให้เข้าปฎิบัติหน้าที่เป็นเวรผลัด วันละ 3 ผลัด ในการเฝ้าระวังท้องถิ่นละ 1 คัน ก็เท่ากับว่าผลัดละ 4 คัน ที่จะเข้ามาประจำอยู่ตรงนี้หมุนเวียนกันไปวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องอ่อนล้าเสียกำลัง ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย


ภาพ/ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

อำเภอขุนหาญเปิดยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน กวาดล้างยาเสพติดตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา

เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 2564  ภายใต้การอำนวยการของนายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ/ผอ.ศอ.ปส.จ.ศก. และนายคมป์ สังข์วงษ์ นายอำเภอขุนหาญ ได้สั่งการให้นายจุติเพชร บุญเนตร ปลัดอำเภอ งานป้องกัน เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เลขประจำตัว 620041นำกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อ.ขุนหาญ ที่ 6 สนธิกำลังกับตำรวจ สภ.ขุนหาญ และทหาร ฉก.3 ร่วมกันระดมกวาดล้างอาชญากรรมและการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามแผน "ยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน" ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศป.ปส.อ.ขุนหาญ 

โดยมีผลการดำเนินการดังนี้ เวลาประมาณ 00.01 น.ได้ร่วมทำการจับตัว นายเอกวัฒน์ วรรณพัน ชาวตำบลบึงมะลู อ.กันทรลักษ์  และนายฐิติศักดิ์ เขียวทอง ชาวตำบลบึงมะลู อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยของกลาง เป็น

- ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีส้มกลมแบน จำนวน 1,986 เม็ด
- ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีเขียวกลมแบน จำนวน 14 เม็ด

รวมเป็นยาบ้าทั้งหมดจำนวน 1,200 เม็ด ผลตรวจการปัสสาวะเป็นบวก โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย มีพฤติกรรม ได้นำยาเสพติด(ยาบ้า) เข้ามาจำหน่ายในเขต อ.ขุนหาญ

สถานที่เกิดเหตุ บริเวณประตูทางออกหน้าโรงเรียนสำโรงเกียรติ หมู่ที่ 9 ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ     เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายพร้อมด้วยของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ขุนหาญ เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


ข่าว/ภาพ  ทีมข่าวศรีสะเกษ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top