Sunday, 19 May 2024
Crimes

ตำรวจภูธรภาค 5 เร่งรัดการดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อ กรณีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Anti หมวกกันน็อกออนไลน์ ได้นำตัวผู้แทนผู้เสียหายจากการกระทำของขบวนการ Application เงินกู้ออนไลน์ผิดกฎหมาย มาขอความช่วยเหลือจาก ผบช.ภ.5 เนื่องจากกลุ่มผู้เสียหายดังกล่าวเคยเข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในเขต จังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง และลำพูน แล้ว ถูกเพิกเฉย ไม่รับแจ้งความหรือลงบันทึกประจำวัน 

​ตำรวจภูธรภาค 5 ขอเรียนว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Anti  หมวกกันน็อกออนไลน์ ได้มาพบและยื่นหนังสือต่อ ผบช.ภ.5 โดยแจ้งว่าทางกลุ่ม ได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยราชการ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป็นสื่อกลางในการให้การช่วยเหลือ แนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นให้กับประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกลุ่มขบวนการเงินกู้ผิดกฎหมายดังกล่าว และแจ้งด้วยว่ายังมีประชาชนที่อยู่ในเขตจังหวัดจังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง และลำพูน ที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ไม่ทราบถึงวิธีการดำเนินการและแนวทางในการติดต่อเพื่อขอรับความช่วยเหลือและแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งยังได้พาตัวแทนผู้เสียหายจำนวน 4 รายมาพบเพื่อให้รายละเอียดข้อเท็จจริง

ผบช.ภ.5 จึงสั่งการ ให้ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ของตำรวจภูธรภาค 5 (ศปอส.ภ.5) ดำเนินการตรวจสอบข้อมูล สอบถาม ผู้เสียหายทั้ง 4 ราย สรุปได้ว่าทั้งหมดเป็นผู้เสียหาย จาก Application เงินกู้ออนไลน์ และมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ , สันทราย , แม่ออน และเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา โดยทุกสถานีตำรวจดังกล่าว ได้ดำเนินการรับแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดไปตามอำนาจหน้าที่แล้ว ทั้งนี้ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของตำรวจภูธรภาค 5 ได้รวบรวมข้อมูล จากผู้เสียหาย แยกเป็นบัญชี ธนาคาร ที่ Application เงินกู้ ใช้ในการรับโอนเงินกับผู้เสียหาย

โดยได้ทำการตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน และข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ที่กลุ่มทวงเงินใช้ในการกระทำความผิดทวงหนี้โดยการข่มขู่ เพื่อเป็นข้อมูลและพยานหลักฐานเพิ่มเติมจัดส่งให้พนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจที่รับผิดชอบดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป อนึ่ง เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.ประจวบ  วงศ์สุข  ผบช.ภ.5 ได้ประชุมสั่งการให้หัวหน้าสถานีตำรวจ ในสังกัด จำนวน 159 สถานี ให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน ที่จะคิดกู้ยืมเงินผ่าน Application เงินกู้ออนไลน์ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าได้หลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และได้กำชับให้พนักงานสอบสวน รับแจ้งความ และให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหายในทุกคดี “ห้ามปัด ไม่รับแจ้งเหตุ” โดยในรอบปี พ.ศ.2564 นี้ ทางตำรวจภูธรภาค 5 ได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมายแล้ว จำนวน 12 คดี ผู้ต้องหาจำนวน 15 คน มีการตรวจยึดของกลางเช่น เงินสด รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์ บัญชีรายชื่อลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อไว้เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผล

กอ.รมน.สตูล นำกำลังเข้าตรวจยึดป่าชายเลนคืน กว่า 26 ไร่

พ.อ.กิตติ จันทร์เอียด รอง ผอ.รมน.จังหวัดสตูล(ท.),พ.ต.ปิยะเชษฐ์ หนูฉ้ง รอง หัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง กอ.รมน.จังหวัดสตูล,เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดสตูลร่วมกับ สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 7 ,เจ้าหน้าที่ศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนจังหวัดสตูล สทช.7 ,สถานีเรือละงู,เจ้าหน้าที่กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, หน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452, สถานีตำรวจภูธรทุ่งหว้า, ฝ่ายปกครองอำเภอทุ่งหว้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ได้สนธิกำลังเข้าดำเนินการยึด ทำลาย รื้อถอน หรือทำประการใดแก่สิ่งที่เป็นอันตราย หรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พ.ศ. 2559 ลง พฤษภาคม 2559 ท้องที่บ้านขอนคลานตะวันตก หมู่ที่ 3 ตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เนื้อที่ จำนวน 26-0-84 ไร่ ซึ่งได้ดำเนินการรื้อถอนพืชผลอาสินที่ปลูกไว้ในพื้นที่ เป็นต้นมะพร้าว จำนวน 46 ต้น ต้นปาล์มน้ำมัน จำนวน 180 ต้น โดยในการนี้ ได้มอบเรื่องราวให้นายนิพนธ์ เต็มแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 (ทุ่งหว้า สตูล) นำเรื่องราวรายละเอียดการดำเนินการไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรทุ่งหว้า ไว้เป็นหลักฐานต่อไป


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

ชนดับ 3 ศพ ยักษ์ใหญ่รถพ่วงขยี้น้องเล็กรถกระบะ หลังไม่พบตัวคนขับในที่เกิดเหตุแล้ว

เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ศูนย์วิทยุกู้ภัยสายชล มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุบริเวณโค้งสายชล บนถนนเพชรเกษม ฝั่งขาขึ้นกรุงเทพฯ หมู่ 3 ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ห่างจากศาลพ่อตาหินช้างประมาณ 1 กิโลเมตร

ร.ต.อ.สนธยา ไทยประเสริฐ พนักงานสอบสวนเวร สภ.สลุย รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย เขต อ.ท่าแซะ พบรถพ่วง 22 ล้อ ยี่ห้อวอลโว่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ หมายเลขทะเบียน 77-4467 กรุงเทพมหานคร ชนทับอยู่บนรถกระบะ ยี่ห้อนิสสัน บิ๊กเอ็ม รุ่นฟรอนเทียร์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บร 1085 นครปฐม จนทำให้รถกระบะมีสภาพบี้แบนอยู่ด้านล่าง ภายในรถกระบะมีผู้เสียชีวิตที่โดยสารมากับรถกระบะรวม 3 ราย ประกอบด้วย นายวสันต์ เชื้อนุช อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 148/1 ม.4 ต.ทะเลทรัพย์ อ.ปะทิว จ.ชุมพร เป็นผู้โดยสารที่นั่งมาในรถกระบะ นายราเชญ ชาวปากน้ำ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29/2 ม.7 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร คนขับรถกระบะ และ น.ส.ธิดารัตน์ ตั้งซุยยัง อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 ม.4 ต.บางสะพาน อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภรรยาของนายราเชญ ส่วนคนขับรถพ่วงทราบชื่อคือ นายณรงค์ชัย (ไม่ทราบนามสกุล) ไม่พบตัวในที่เกิดเหตุแล้ว

รับแจ้งจากเพื่อน ๆ ของผู้เสียชีวิตที่มาดูที่เกิดเหตุ ทราบว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ทำงานเกี่ยวกับสายเคเบิ้ลซึ่งขณะนี้กำลังทำการซ่อมแซมสายเคเบิ้ลอยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้ที่เกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุเพื่อน ๆ ได้โทรถามทีมผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายว่าอยู่ไหนแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังเก็บอุปกรณ์เพื่อเตรียมกลับที่พัก จากนั้นเสียงก็เงียบหายไป จนมาทราบว่าเพื่อน ๆ ทั้ง 3 ราย ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว

เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่กู้ภัย ต้องช่วยกันนำอุปกรณ์ตัดถ่างงัดซากรถเพื่อนำศพผู้เสียชีวิตออกมาจากใต้ท้องรถพ่วง เพื่อลำเลียงศพไปชันสูตรที่ รพ.ท่าแซะ และแจ้งไปยังญาติ ๆ ให้มารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลทางประเพณี ส่วนพนักงานสอบสวนจะตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และติดตามคนขับรถพ่วงมาสอบปากคำก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

นอภ.สัตหีบ ร่วมตำรวจ ทหาร จับกุมกลุ่มวัยรุ่น ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่วสุมดื่มสุรา 8 ราย ดำเนินคดี

วันที่ 30 มิ.ย. 64 เวลา 20.00 น. นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ บูรณาการสนธิกำลังฝ่ายปกครอง ร่วมกับ พ.ต.อ.ปัญญา ดำเล็ก ผกก.สภ.สัตหีบ จนท.สาธารณะสุขอำเภอสัตหีบ และ จนท.ทหารเรือ จากอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหาร นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สาธารณะสุข ตำรวจ ทหาร เข้าตรวจสอบบริเวณ ริมถนน เส้นทาง กม.10 - ท่าเรือจุกเม็ด หน้าร้านสะดวกซื้อ (เซเว่น อีเลฟเว่น) ม.2 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังได้รับแจ้งจากจากประชาชนว่า มีกลุ่มแรงงานวัยรุ่นของ บริษัท แห่งหนึ่งในท่าเรือจุกเสม็ด ตั้งวงดื่มสุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

จากการตรวจสอบ พบกลุ่มวัยรุ่น ตั้งวงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริเวณริมฟุตบาธและท้ายรถยนต์กระบะ จำนวน 8 คน จึงควบคุมตัวดำเนินคดีที่ สภ.สัตหีบ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ กล่าวว่า จากการตรวจสอบ พบกลุ่มวัยรุ่นรวมตัวกันดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังน่าเป็นห่วง และขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ ป้องกันตนเอง ด้วยการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามมาตรการและคำสั่งของ ศบค.จังหวัดชลบุรี ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยห้ามไม่ให้มีการมั่วสุม หรือ รวมกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการตั้งวงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในร้านอาหาร ชายหาด และที่สาธารณะ หากได้รับแจ้งหรือตรวจพบ จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่มีข้อยกเว้นเด็ดขาด


ภาพ/ข่าว นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

จับได้แล้ว คนร้ายใช้มีดจี้ชิงทองหนัก 60 บาท รับสารภาพเล่นการพนันและติดหนี้เงินกู้นอกระบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 เวลา 19.30 น.ได้มีคนร้ายใช้อาวุธมีดจี้ชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำรวม 60 บาท จากร้านทองบางกอกโกลด์  ห้างโลตัสลำลูกกา คลอง 2 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ท้องที่ สภ.คูคต และคนร้ายวิ่งหลบหนีไปนั้น ต่อมาภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.

พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1

พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร พล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี

พ.ต.อ.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ พ.ต.อ.จักริน พันธ์ุทอง รอง ผบก.ฯ

พ.ต.อ.วิษณุรักษ์ พรหมเมศร์ผกก.สภ.คูคต พ.ต.อ.สมศักดิ์ นิเต็ม ผกก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี พ.ต.อ.อาสาฬห์ ถมยา ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.1 และ จนท.ฝ่ายสืบสวน  สืบสวน และฝ่ายสอบสวนได้ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ คือนายสมชาย พวงบุญ อายุ 33 ปี จึงได้ไปขอศาลออกหมายจับ และศาลจังหวัดธัญบุรี ได้ออกหมายจับ ที่ จ.391/2564 ลง 30 มิถุนายน 2564 และในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.คูคต กั กก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี และ บก.สส.ภ.1 ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายสมชายฯได้พร้อมของกลาง

      1.อาวุธมีด 1 เล่ม

      2.สร้อยคอทองคำ หนักเส้นละ 10 บาท  4 เส้น

       3.ตั๋วรับจำนำสร้อยคอทองคำ จำนวน 2 ฉบับ

ดำเนินคดีในความผิดฐาน

       1.ชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธมีดในเวลากลางคืน

       2.พกพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะฯ

นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.คูคต ดำเนินคดีตามกฎหมาย และต่อมา วันที่ 30 มิถุนายน 2564 เวลา 17.00 น. พล.ต.ต.ชยุตฯ ได้เดินทางมาที่สภ.คูคต และร่วมกับ พ.ต.อ.วิษณุรักษ์ฯพ.ต.อ.สมศักดิ์ ฯ พ.ต.ท.ประสิทธิ์ สมบุญจิตร รอง ผกก.หน.งานสอบสวน

พ.ต.ท.สัมพันธ์ ทิมอิน รอง ผกก.สืบสวนฯ ทำการสอบปากคำ ซึ่งนายสมชายฯให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ ขาวขำ / รายงาน

ผบช.สตม. แจ้งเตือน !! อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นตำรวจ ตม.หลอกตรวจค้นและช่วยเหลือเรียกค่าดำเนินการ หากพบให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

1 กรกฎาคม 2564 ที่กองงานโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะโฆษก สตม. เปิดเผยว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน สืบเนื่องมาจากกรณีมีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กระทำการขอตรวจค้นจับกุม สถานประกอบการ โรงงาน เรียกรับเงินหรือทรัพย์สิน และหลอกหลวงว่าสามารถช่วยเหลือในการดำเนินการต่าง ๆ ได้ โดยทางด้าน พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม ได้กล่าวว่า กรณีที่มีผู้แอบอ้างดังกล่าว ขอให้ประชาชนโปรดอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด และผู้ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มีความผิดทางกฎหมายอาญา มีโทษทั้งจำคุกและปรับ และได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการสืบสวน หาข่าวติดตามผู้ที่มีพฤติการณ์แอบอ้างหลอกลวงดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรเสื่อมเสีย และประชาชนได้รับความเดือดร้อน

พล.ต.ต.อาชยน กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม ได้มีความห่วงใยและตระหนักถึงในกรณีที่มีการแอบอ้างดังกล่าว ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าเป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และกระทำการดังกล่าว หากพบเห็นผู้มีพฤติการณ์ หรือน่าสงสัยว่ามีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง สามารถตรวจสอบเบื้องต้นโดย ขอดูบัตรประจำตัว ข้าราชการ ซึ่งจะระบุ ยศ ชื่อ สกุล สังกัด ที่ชัดเจน หากยังไม่แน่ใจสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งสายด่วน 191 หรือสอบถามไปยังหน่วยงานในสังกัด ที่ได้แจ้งไว้ในบัตรประจำตัวข้าราชการ ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้โดยทันที ทั้งนี้เพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อในการถูกหลอกลวงและแอบอ้างต่อไปอีก

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รองโฆษก สตม. กล่าวว่า ขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนระมัดระวังอย่าหลงเชื่อในกรณีดังกล่าวอย่างเด็ดขาด และ ทาง สตม.พร้อมที่ดูแลสร้างความมั่นใจ อุ่นใจ และความปลอดภัย ไม่ให้มีการซ้ำเติมประชาชนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากต้องการแจ้งเบาะแส หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ที่ตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ที่ท่านอยู่ หรือที่เว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง www.immigration.go.th หรือโทรสายด่วน สตม. 1178 ได้ทันที

ศรชล.และหน่วยงานประมง ร่วมส่งกำลังพล สห.ทร.และ สอ.รฝ. หลังจบภารกิจ ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จากบกสู่แรงงานภาคประมงในทะเล

เมื่อ 1 ก.ค.64 ศรชล.จว. สมุทรสาคร โดย น.อ. เอกภาพ สายโสภา รองผอ.ศรชล.จว.สมุทรสาคร พร้อมด้วย น.อ.สุรศักดิ์ กิ่มบางยาง หน.ศคท.จว.สมุทรสาคร กำลังพลในสังกัด ศรชล จว.สมุทรสาคร/ศคท.จว.สมุทรสาคร นายสนธยา บุญสุข ผอ.ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการด่านตรวจประมงเขต 5 จว.สมุทรสาคร ผู้แทนสมาคมการประมง จว.สมุทรสาคร  ผู้แทนองค์การสะพานปลา จว.สมุทรสาคร

ร่วมส่งกำลังพล สารวัตรทหารเรือ (สห.ทร.) และ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) กองทัพเรือ จำนวน 20 นาย ที่เสร็จสิ้นการปฎิบัติภารกิจ ตั้งจุดสกัดคัดกรองทางน้ำ และภารกิจควบคุมท่าเรือประมงพาณิชย์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จากบกสู่แรงงานภาคประมงทะเลในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ระหว่างวันที่  25 ธ.ค.63 - 30 มิ.ย.64 ตามคำสั่ง กองทัพเรือ/ศรชล. และ คำสั่ง จว.สมุทรสาคร

และในโอกาสนี้ น.อ.เอกภาพ สายโสภา รอง ผอ.ศรชล.จว.สมุทร สาคร ได้กล่าวให้โอวาทและกล่าวขอบคุณ กำลังพลทุกนายในนามของ กองทัพเรือ/ศรชล.และ ในนามของ จว.สมุทรสาคร สมาคมการประมง จว.สมุทรสาคร และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคประมงทะเลสมุทรสาคร และได้ร่วมมอบของที่ระลึกที่ได้รับมอบจาก สมาคมการประมง จว.สมุทรสาคร (ผลิต ภัณฑ์อาหารทะเลตากแห้ง) ส่งมอบให้กับกำลังพล สห.ทร.และ สอ.รฝ. ทุกนาย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและเป็นที่ระลึก ก่อนเดินทางกลับที่ตั้งปกติ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี โดยสวัสดิภาพ ณ ท่าเทียบเรือ องค์การสะพานปลา จว.สมุทรสาคร อ.เมืองสมุทร สาคร จว.สมุทรสาคร

ภายหลังพิธีส่งกำลังพล สารวัตรทหารเรือและ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ แล้วกำลังพลทั้งหมดได้เดินทางไป ที่ วัดศรีสุทธาราม (วัดกำพร้า) และวัดโกรกกราก เพื่อถวายปัจจัย ตู้ทำน้ำเย็นและอุปกรณ์ทำความสะอาด ถวายแด่ เจ้าอาวาสที่มีเมตตาในการจัดหาที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวกและจัดเตรียมสถานที่ ในการปฎิบัติงานตั้งจุดสกัดคัดกรองทางน้ำ ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย


ภาพ/ข่าว  ศรชล.ภาค 1 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี

ผบ.ทรภ. 3 เข้าร่วมประชุมและร่วมกิจกรรม กับคณะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการ PHUKET SANDBOX ในพื้นที่ภูเก็ต

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นวันที่จังหวัดภูเก็ต เริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาพำนักอยู่ในพื้นที่ ตามโครงการ Phuket Sandbox อย่างเป็นทางการ โดยในวันนี้ พลเรือโท เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3  ได้เข้าร่วมการประชุมและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ประกอบด้วย 

เป็นประธานในพิธี เปิดโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว “HUG THAIS HUG PHUKET” จัดโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดภูเก็ต และหอการค้า จังหวัดภูเก็ต ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต

นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการคัดกรองนักท่องเที่ยว เข้า-ออก จังหวัดภูเก็ต ณ ด่านตรวจภูเก็ต (ด่านท่าฉัตรไชย ซึ่งเป็นหน่วยตรวจสอบผู้เดินทางเข้าออกจังหวัดภูเก็ตทางบก) เป็นประธาน การประชุมติดตาม โครงการ Phuket Sandbox ณ โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ โดยได้มอบนโยบายและข้อสั่งการเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนของโครงการ ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนดอย่างเคร่งครัด

นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมความพร้อมการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว เยี่ยมชมการฟื้นคืนสภาพของชายหาด และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยได้ทำกิจกรรมปลูกต้นจิกทะเล และปล่อยเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติสิรินาถ

นายกรัฐมนตรี ต้อนรับนักท่องเที่ยว สายการบินที่เดินทางเข้าประเทศไทย ณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

นับว่าโครงการ Phuket Sandbox นี้ เป็นสิ่งที่ท้าทายชาวภูเก็ตเป็นอย่างมาก ซึ่งหากโครงการนี้สำเร็จ จะขยายไปสู่เมืองอื่น ๆ ในประเทศไทยได้ต่อไป เพื่อให้ประเทศของเราสามารถเดินไปข้างหน้าได้ตามภารกิจ 120 วัน เปิดประเทศให้ได้ที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายไว้


ภาพ/ข่าว ทัพเรือภาคที่3 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

กองบัญชาการตำรวจนครบาลรายงานผลการจับกุม “191 รวบชาวต่างชาติค้ายาอีรายใหญ่ย่านบางขุนเทียน”

ตามนโยบายของรัฐบาลให้เจ้าหน้าที่ของภาครัฐปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายเนื่องจากการแพร่ระบาดของยาเสพติดซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น., พล.ต.ต.สำราญ นวลมา รอง ผบช.น. เป็นผู้ควบคุมสั่งการ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล  โดย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว ผบก.สปพ., พ.ต.อ.ประสงค์ อานมณี, พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์, พ.ต.อ.วรวิทย์ ญาณจินดา, พ.ต.อ.ศุภวัช ปานแดง รอง ผบก.สปพ., พ.ต.อ.ปิยรัช สุภารัตน์ ผกก.สายตรวจ บก.สปพ., พ.ต.ท.อัครพล โทยะ, พ.ต.ท.วสันต์ ธวัชชัยวิรุตษ์, พ.ต.ท.คงศักดิ์ ศรีโหร, พ.ต.ท.สุทธิเดช โอฬาริ รอง ผกก.สายตรวจ บก.สปพ., พ.ต.ท.อัษฎาวุธ ขวัญเมือง สว.งานสายตรวจ 3 กก.สายตรวจ บก.สปพ.

ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติดังนี้ ร่วมกันจับกุมMr.Paschal Nwaeny  อายุ 38 ปี สัญชาติไนจีเรียสถานที่จับกุม บริเวณหน้าอาคาร 39 หมู่บ้านเอื้ออาทร 2 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ต่อเนื่อง ห้องเลขที่ 11 ชั้น 2 อาคาร 39 หมู่บ้านเอื้ออาทร 2 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

พร้อมด้วยของกลาง

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาอี) จำนวนประมาณ 7,140 เม็ด

2. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง

3. รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส ทีเทา ทะเบียน 7กถ - 625  กทม.

โดยแจ้งข้อกล่าวหา

“มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอี) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” พฤติการณ์การจับกุมก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สปพ. ชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดชาวต่างชาติรายใหญ่ ในพื้นที่บริเวณบางขุนเทียน ใช้รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีเทา ทะเบียน 7กถ - 625  กรุงเทพมหานคร ในการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กับลูกค้า โดยเครือข่ายกลุ่มนี้ จะเช่าบ้านในหมู่บ้านเอื้ออาทร 2  แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ในการเก็บซุกซ่อนยาเสพติด

เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนทราบว่าเครือข่ายกลุ่มนี้ใด้เช่าห้องเลขที่ 11 ชั้น 2 อาคาร 39 หมู่บ้านเอื้ออาทร 2 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร เพื่อใช้เป็นที่เก็บซุกซ่อนยาเสพติด จึงได้เฝ้าติดตามพฤติกรรม จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง และนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และได้ทำการสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการลักลอบค้ายาเสพติด และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป

'สำนักงานตำรวจแห่งชาติ'​ ร่วม 'คณะกรรมการอาหารและยา'​ ทลายแหล่งยาลดความอ้วน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กว่า 50,000 แคปซูล

ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 556/2563ลง 29 ตุลาคม 2563 แต่งตั้งชุดคณะทำงานปราบปรามผลิตภัณฑ์และการบริการ ด้านสุขภาพที่ผิดกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ พลตำรวจโท เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพื่อดำเนินการปราบปรามการ การกระทำผิดกฎหมายด้านผลิตภัณฑ์ การโฆษณา และการบริการสุขภาพอย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง ในทุกพื้นที่ เพื่อขจัดปัญหาที่เป็นภัยต่อสุขภาพของประชาชน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้​ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจโท เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติ/หัวหน้าคณะทำงาน พร้อมด้วย พลตำรวจตรี ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บังคับการปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค/เลขานุการ,​ พันตำรวจเอก ทรงโปรด สิริสุขะ รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3/หัวหน้าส่วนปฏิบัติการฯ,​ พันตำรวจเอก ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รองผู้บังคับการปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา​ กระทรวงสาธารณสุขได้รับเรื่องร้องเรียนการขายยาลดน้ำหนัก ทางสื่อสังคมออนไลน์ 

โดยผู้ร้องเรียนแจ้งว่ายาลดน้ำหนักขายกันเกลื่อน การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากมีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค จึงสั่งการให้ พันตำรวจโท เอกรัตน์ ทัศเจริญ รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภูธรหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี /รองหัวหน้าส่วนปฏิบัติการฯ พันตำรวจตรีอนันต์ บัวแก้ว สารวัตร กองกำกับการ1กองบังคับการปราบปราม การกระทำความผิดเกียวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ร้อยตำรวจณฐนน อิ่มกลาง รองสารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และร้อยตำรวจเอก วรัณธรณ์ ภิราษร รองสารวัตรกองกำกับการ กองบังคับการ 1​ ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมเจ้าหน้าที่ ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติหมายค้นจากศาล 

จนเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าวพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นำโดย นางสาวปาวีณา ศิริดำรงค์ เภสัชกรชำนาญการพิเศษ และนายเสริมรัฐ ไชยคุณ เภสัชกรชำนาญการ ได้ร่วมกันนำหมายค้นจากศาลจังหวัดชลบุรี ที่ ค.132/2564 ลง 1 กรกฎาคม 2564 เพื่อทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 50/2 หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี พบ นางสาวเอ (นามสมมุติ เป็นผู้พักอาศัยบ้านหลังดังกล่าวและเป็นผู้นำตรวจค้น

ผลการตรวจค้น ตรวจยึด... 
1.​ ยาแผนปัจจุบันเป็นจำนวนกว่า 50,000 แคปซูล
2.​ วิตามิน B จำนวนกว่า 1,000 แคปซูล
3.​ ยาชุด สำหรับลดความอ้วน จำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้จากการสอบสวนเบื้องตัน สงสัยว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2510 มาตรา 12 ผู้ฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 101 จำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท และ ขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา อันเป็นความผิดตาม มาตรา 32(4) ฝ่าฝืนโทษตาม มาตรา 122 จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากความห่วงใยมายังผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อผู้โฆษณาการขายยาลดน้ำหนักผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อาจจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ซึ่งตามหลักกฎหมายแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการขายยานอกสถานที่ ที่ได้รับอนุญาต ยกเว้น ยาสามัญประจำบ้านที่สามารถขายได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาต จึงขอประชาสัมพันธ์ และ ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน​ หากพบเห็นหรือมีเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้ง ข้อมูลหรือเบาะแสได้ทางสายด่วน 1135, ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ บก.ปคบ., เพจเฟซบุ๊ก​ 'กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค'​ และ​ www.cppd.go.th หรือ สแกน QR CODE


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top