Friday, 17 May 2024
Crimes

ตร.เตือน !! ซื้อสินค้าออนไลน์ ควรตรวจสอบให้ดี ก่อนโดนเพจปลอมส่งสินค้าไม่ได้คุณภาพมาแทน

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) บุกทลายโกดังสินค้าแห่งหนึ่งย่านราษฎร์บูรณะโดยได้ตรวจยึดเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท เตารีด พัดลม ไมโครเวฟ ที่ไม่มีคุณภาพกว่า 3,000 ชิ้น ซึ่งพบว่าใช้วิธีการแอบอ้างหลอกลวงผู้บริโภคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กเพราะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยม ประชาชนเข้าถึงง่ายและมีการใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยจะใช้วิธีลงประกาศโฆษณาสินค้าแบรนด์ดังเป็นยี่ห้อที่มีคุณภาพและเป็นที่รู้จัก แต่นำมาจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก ทำให้ประชาชนตัดสินใจซื้อโดยไม่ทันได้ตรวจสอบข้อมูลร้านค้า โดยหากต้องการซื้อสินค้าจะให้กรอกชื่อที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ จากนั้นจะจัดส่งสินค้าให้กับผู้สั่งซื้อแบบเรียกเก็บเงินปลายทาง ส่วนใหญ่ช่วงที่สินค้ามาส่ง จะเป็นช่วงเวลากลางวัน คนที่รับสินค้าอาจเป็นผู้สูงอายุ หรือ ญาติ เป็นผู้รับสินค้าแทน

แต่ปรากฎว่า เมื่อผู้สั่งสินค้า มาเปิดดูสินค้าภายหลัง จะพบว่าเป็นสินค้าที่ไม่ตรงตามที่โฆษณา หรือที่เรียกว่า “ไม่ตรงปก” ตั้งแต่ยี่ห้อก็ไม่ใช่ ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

เมื่อผู้สั่งซื้อไม่พอใจจะเรียกร้องหรือส่งคืนสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพทำได้อย่างยากลำบาก ไม่สามารถติดต่อผู้ขายได้ หรือหากติดต่อได้ก็จะมีขั้นตอนมากทำให้เสียเวลา จนผู้สั่งซื้อท้อใจเลิกไปเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ในกรณีดังกล่าว จึงขอประชาสัมพันธ์ ให้ใช้วิจารณญาณในการสั่งซื้อสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยแนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลร้านค้าก่อนสั่งซื้อสินค้า ดังนี้

1.หลีกเลี่ยงร้านค้าที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะชื่อร้านค้าในสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้พยัญชนะภาษาอังกฤษผสมคำในลักษณะอ่านเป็นคำไม่ได้ การติดต่อสอบถามจะผ่านการแชทเท่านั้นซึ่งจะใช้ระบบอัตโนมัติตอบ โดยมักจะตอบไม่ตรงคำถาม อีกทั้งจะมีการลบความคิดเห็นในแชทที่มีผลในเชิงลบกับร้านค้า ไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกับร้านค้า หรือหากมีก็ไม่สามารถติดต่อได้

2.ควรเลือกซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือร้านค้าออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือ

3.ตรวจสอบความน่าเชื่อถือจาก ข้อมูลความคิดของลูกค้าที่เคยซื้อ(รีวิว แต่ต้องระวังรีวิวจัดตั้งสนับสนุนร้านค้า)

4.ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์หรือเพจจำหน่ายสินค้า หากมีการจัดโปรโมชั่น เช่น ลด แลก แจก แถมในราคาที่อาจเกินความเป็นจริง อาจสอบถามไปยัง call center หรือ แผนกบริการสัมพันธ์ของยี่ห้อ/เจ้าของผลิตภัณฑ์ว่ามีจริงหรือไม่อย่างไร

5.ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร้านค้า เช่น ชื่อร้าน ชื่อผู้ขาย หมายเลขบัญชีร้านค้า ฯลฯ ทางเว็บไซต์ search engine หรือ เพจเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลผู้ขายที่มีประวัติการโกงลูกค้า เพื่ออาจทราบถึงประวัติการโกงลูกค้า

6.เลือกซื้อสินค้าในเว็บไซต์หรือเพจขายสินค้าที่มีหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้จริง สำหรับสอบถามรายละเอียดของสินค้า หรือ ขอความช่วยเหลือกรณีสินค้าที่ซื้อมีปัญหา

7.หากตกลงรับสินค้าและชำระเงินค่าสินค้าแล้ว พบภายหลังว่าสินค้าไม่เป็นไปตามโฆษณา  หรือมีลักษณะผู้ขายมีเจตนาหลอกลวงขายสินค้า สามารถนำหลักฐาน(ข้อมูลการโฆษณาของร้านค้า,หลักฐานการสั่งซื้อ,หลักฐานการชำระเงิน,สินค้าที่ได้รับ ฯลฯ)เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ หรือ บก.ปคบ.ได้

ทั้งนี้หากประชาชนพบเห็นสินค้าที่มีการขายผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบดังกล่าว หรือ มีการขายสินค้าในลักษณะหลอกลวงขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่เป็นไปตามโฆษณาสามารถแจ้งข้อมูล ได้ที่สายด่วน บก.ปคบ. โทร. 1135 หรือผ่านทางเว็บไซต์ บก.ปคบ. www.cppd.go.th

ตำรวจไซเบอร์ 1 แจ้งความดำเนินคดีกับพริตตี้สาวและแฟนหนุ่ม โปรโมทเว็บพนันออนไลน์

ตามนโยบายคุมเข้มพนันออนไลน์บอลยูโร 2021 และโคปาอาเมริกา 2021 หรือฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้  รวมถึงนโยบายให้มีการปราบปรามการโฆษณาเชิญชวนให้เล่นทายผลฟุตบอลและพนันออนไลน์ ของ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.กระทรวง DES และ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี,  พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการกองวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1  

โดย พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 พ.ต.ท.จักร ถนัดอักษา รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครืองมื่อพิเศษ สอท.1, พ.ต.ท.ศุภรฐ โชติจำหงษ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ , พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ คัมภีระ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ 1, พ.ต.ต.นันทพงษ์ ภูนพทอง สว.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.ชาตรี  เขียวงาม สว.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.เอกชัย  ปราบหงส์ สว.วิเคราะห์ข่าวฯ  ให้ทำการสืบสวนหาข่าวผู้กระทำความผิดในลักษณะชักชวนให้เล่นพนันออนไลน์ในสื่อสังคมออนไลน์

พบผู้บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กเพจ “สมใจอยาก Som Jai Yak” ได้โพสต์วิดีโอ มีลักษณะเป็นเว็บไซต์ชักชวนการเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่าผู้กระทำความผิดมี 2 ราย คือนายปัญญากร ชัยพนัส อายุ 24 ปี ที่อยู่ 56/1 หมู่ที่ 4 ต.โคกสลุง อ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี และน.ส. พงธนิตย์ วงษ์ไล่ติ๊ด อายุ 28 ปีที่อยู่ 145/109 หมู่ที่1 ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.64 เวลา ประมาณ 11.00 น. ได้มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในลักษณะ “โฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันออนไลน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการให้ปากคำของผู้ต้องทราบว่าช่วงนี้ พริตตี้ตกงาน ช่วงโควิดรอบแรก เลยเริ่มทำสื่อออนไลน์รีวิวสินค้า รีวิวท่องเที่ยว ต่อมามีคนจ้างให้โฆษณาชักชวนให้เข้าเล่นเว็บพนัน โดยคลิปละไม่เกิน 30 วินาที โดยได้ค่าโฆษณาคลิปละ 3,000 บาท และได้นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางเขนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  

ฝากเตือนไปยังผู้ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียโฆษณาให้ประชาชนเข้าไปเล่นการพนัน ไม่ว่าจะเป็นพริตตี้ คอลัมนิสต์ หรืออินฟูลเรนเซอร์ หากพบว่าเข้าข่ายเชิญชวนให้เล่นการพนัน ถือว่ามีความผิดอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นรข.นครพนม สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง ตรวจยึดไม้พะยูง 32 ท่อน เตรียมลงเรือส่งข้ามโขง

สโมสรนายทหารสัญญาบัตร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง น.อ.เสริมศักดิ์ บุญทา หัวหน้ายุทธการและข่าว หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตนครพนม น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หน.สถานีเรือนครพนม น.ท.บุญเชิด กุลอำภา หน.สถานีเรือบ้านแพง ร่วมแถลงว่า

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข. ได้รับแจ้งจากชาวบ้านผู้หวังดีในพื้นที่ ว่าจะมีการลักลอบไม้พะยูงนำออกนอกราชอาณาจักรบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านพนอมเหนือ ม.5 ต.พนอม อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จึงได้สั่งการให้ น.อ.ฤทธิ์ นาทวงศ์ ผบ.นรข.เขตนครพนมทราบ และให้ น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หัวหน้าสถานีเรือนครพนม จัดชุดลาดตระเวนทางบก ร่วมบูรณาการกับชุดลาดตระเวน สน.เรือบ้านแพง เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับแจ้ง

จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.08 น. ชุด ลาดตระเวน สน.เรือนครพนม ได้ใช้กล้องส่องกลางคืน ตรวจพบชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน กำลังลำเลียงไม้พะยูงลงเรือ ที่จอดไว้บริเวณที่เกิดเหตุ จึงแจ้งชุดลาดตระเวน สน.เรือบ้านแพง พร้อมกับแสดงตนเข้าจับกุม เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์เห็นเจ้าหน้าที่ฯ แสดงตน จึงได้ทิ้งของกลางหลบหนีไปชุดลาดตระเวนได้วิ่งตามกลุ่มชายฉกรรจ์ไปเห็นผู้ต้องหากำลังจะติดเครื่องเรือเพื่อหลบหนี

ชุดลาดตระเวนสามารถควบคุมตัวได้ จำนวน 1 คน สอบถามเบื้องต้นทราบชื่อ คือ ท้าวเพ็ง อานุลัก อายุ 47 ปี เป็นชาว สปป.ลาว บ้านกะวะเหนือ เมืองหินบูน แขวงคำม่วน สปป.ลาว ตรวจพบไม้พะยูงอยู่บนเรือ จำนวน 11 ท่อน อยู่บนรถบรรทุกขนาดเล็ก ยี่ห้อ นิสสัน สีเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 21 ท่อน รวมทั้งสิ้น 32 ท่อน ปริมาตร 1.054 ลบ.เมตร มูลค่า 500,000 บาท จึงได้นำของกลางทั้งหมดมาตรวจสอบโดยละเอียดที่ สน.เรือนครพนม และทำบันทึกการตรวจยึด/จับกุม พร้อมทั้งนำผู้ต้องหาและของกลางทั้งหมดส่ง สภ.ท่าอุเทน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

เจ้าหน้าที่ศุลกากรภาคที่ 4 จับกุมบุหรี่เถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ จำนวน 371,500 ซอง รวม 7,430,000 มวน มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท ในโกดังพื้นที่ จ.นราธิวาส คาดขนมาจากเวียดนามทางเรือและเตรียมส่งขายในพื้นที่

วันนี้ ( 9 ก.ค.64 ) ที่สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกับ นายจรูญ ราชกิจจา ผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 นายภาณุพงศ์ ศรีเกตุ สรรพสามิตพื้นที่ สงขลา,จำแลง บัวสงค์ ผู้อำนวยการส่วนตรวจสอบป้องกันและปราบปรามสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9

ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมบุหรี่ต่างประเทศล๊อตใหญ่หลายยี่ห้อ จำนวน 37 1,500 ซอง รวม 7,430,000 มวน  มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท โดยถูกนำมาเก็บไว้ภายในโกดังไม่มีเลขที่ ใน ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปรามศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตภาคที่ 9 และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่สงขลา เข้าตรวจค้นและจับกุมได้เมื่อวานนี้ ( 8 ก.ค.64 )

หลังจากสืบทราบจะว่ามีการลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบไม่พบหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากร เจ้าหน้าที่จึงยึดเอาไว้

นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนที่มาของบุหรี่ล๊อตนี้โดยคาดว่าลักลอบขนมาทางเรือและต้นทางอาจจะนำมาจากประเทศเวียดนาม และเตรียมกระจายส่งขายตามท้องตลาด ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลที่มาที่ไปและผู้ที่ลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามา


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ผบช.สตม. แถลงผลจับกุมคดีสำคัญ ตม.จว.ชลบุรี กวาดล้างนายห้างแขก เร่ขายสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยโหด ซ้ำเติมประชาชนช่วงโควิด-19

วันนี้ 9 ก.ค. 64 เวลา 10.00 น. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะโฆษก สตม. เปิดเผยว่า พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.ตม.จว.ชลบุรี ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

เนื่องด้วย ตม.จว.ชลบุรี ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่ามีบุคคลลักษณะคล้ายแขก มีพฤติการณ์ออกเร่ขายสินค้าประเภทเงินผ่อน ก่อความเดือดร้อนรำคาญในพื้นที่รับผิดชอบจำนวนหลายราย จึงได้ทำการสืบสวนหาข้อมูลก็พบว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีพฤติกรรมเร่ขายสินค้าและจูงใจให้มีการผ่อนชำระเป็นรายวัน แต่เมื่อรวมยอดเงินที่ผ่อนครบแล้วพบว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก จึงได้รีบสืบสวนหาข่าว จนนำมาซึ่งการจับกุมโดยมีรายละเอียดดังนี้

หลังจากได้รับการร้องเรียนข้างต้น ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนพบคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ทราบชื่อคือ นายรามสัญชาติอินเดีย พร้อมกับกลุ่มชายแขกยังไม่ทราบชื่ออีกจำนวนหนึ่ง ได้เฝ้าดูพฤติกรรมก็พบว่ามีการตะเวนเร่ขายสินค้าให้กับประชาชนทั่วไปในละแวก เมืองพัทยาและทาง ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อยู่หลายครั้งซึ่งชุดจับกุมเข้าไปสอบถามประชาชนในบริเวณที่กลุ่มคนเหล่านี้ตระเวนไป พบว่ามีข้อมูลว่ามีการเสนอให้ซื้อผ่อนชำระในอัตราดอกเบี้ยสูงจริง ต่อมา

ชุดจับกุมได้พบนายราม กำลังเร่ขายสินค้าเช่นเคย จึงได้เข้าไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบพบหลักฐานเป็นเงินสดและหนังสือสมุดพกรายการทางบัญชีลูกค้ากว่า 40 ราย จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน และในบริเวณใกล้เคียงยังพบกลุ่มชายลักษณะคล้ายแขกจำนวน 3 คน จึงได้เข้าตรวจสอบบุคคลดังกล่าว พบนายอูเมส ตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) ๕๓๖ วัน พบนายเอเชรัม อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) 910 วัน และพบนายซีรอม อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) 1,023 วัน จึงได้จับกุมตัวพร้อมกับแจ้งข้อหาในความผิดที่พบเบื้องต้นและจับตัวนำส่งเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : ในเบื้องต้นมีการแจ้งข้อกล่าวหา นายรามฯ ว่า “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน

หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้” (ม.8 พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2561)

 นายอูเมส ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (536 วัน)

 นายเอเชรัม ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (910 วัน)

 นายซีรอม ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (1,023 วัน)

การตรวจยึดของกลาง :

1. เงินสด 100 บาท

2. สมุกพกปรากฎรายการทางบัญชีลูกค้า จำนวน 1 เล่ม

3. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่น N MAX สีดำ ทะเบียน ชลบุรี

สอบถามนายรามฯ รับตนเป็นคนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย ได้รับอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยถูกต้องประเภทเกษียณอายุ ที่ จ.นครสวรรค์ แต่มาประกอบอาชีพขายสินค้ารายการลักษณะเงินผ่อนรายวันในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชุดจับกุมพบว่า เฉพาะนายรามฯคนเดียว อาจมีลูกค้าจำนวนมากกว่า 40 ราย ดอกเบี้ยสูงร้อยละ 20 ถึง 30 ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน มูลค่าความเสียหายประเมินไว้ร่วม 500,000 บาท และในส่วนของนายอูเมส นายเอเชรัม และนายซีรอม ซึ่งพบอยู่บริเวณใกล้เคียง นอกจากจะพบว่าลักลอบอยู่ในประเทศไทยเกินระยะเวลาวีซ่ามาเป็นระยะเวลานานแล้ว ก็ยังมีข้อมูลว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการขายสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยสูงอีกด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบการตรวจสอบในรายละเอียดหากแน่ชัดจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนขยายผลตรวจยึดทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวเนื่องกัน และบุคคลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติที่คอยสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้มาดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.อาชยน กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี   เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์  สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รอง โฆษก สตม. กล่าวว่า ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

เชียงราย ไม่รอด !! ทหารชายแดนจับยาไอซ์ 12 กระสอบ กลางป่าชายแดนอำเภอแม่ฟ้าหลวง

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชากองกำลังผาเมืองเข้าตรวจสอบพื้นที่และของกลางยาเสพติดจำนวนมากหลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาโดยการนำของ พันเอก อุไร ศรีม่วงสุข บก.ควบคุม ปส.พื้นที่ 4 อำเภอ ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบจึงร่วมกับ บก.ควบคุมที่ 1หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 และ บก.ควบคุมพื้นที่พิเศษ 2 อำเภอ อำเภอแม่ฟ้าหลวง-อำเภอแม่จัน ได้ทำการลาดตระเวนในพื้นที่

จนกระทั่งเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่พบนาย อาเคอ เวยเม ชาวเขาสัญชาติเมียนมา อยู่ในกระท่อมบริเวณบ้านสวนป่าหมู่ที่14 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จึงควบคุมตัวมาสอบสวนแต่ให้การวกไปวนมา เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจบริเวณใก้ลเคียงพบกระสอบจำนวน 12 ใบ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเปิดดูภายในพบว่าเป็นยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 156 กิโลกรัม ต่อมาทางด้าน พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลงผาเมืองบอกว่ายาล็อตนี้เป็นของกลุ่มอาข่าบ้านผาขาวและกลุ่มว้า

จากข่าวที่ได้รับแจ้งพบของกลางทั้งหมด 70 กระสอบ มีทั้งยาบ้าและยาไอซ์ ซึ่งตอนนี้พบแล้ว 12 กระสอบ เป็นยาไอซ์ทั้งหมด โดยใช้คนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นคนลำเลียง มีคนในพื้นที่นำทางและจะมีคนมารับต่อไปอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการขยายผลดำเนินการต่อไป


ภาพ/ข่าว  สันติ วงศ์สุนันท์ / ผู้สื่อข่าวเชียงราย

ดีอีเอส-ศปอส.ตร. บุกจับพนันออนไลน์เครือข่าย MGM99 เงินหมุนเวียน 1.2 พันล้าน

ดีอีเอส ประสานความร่วมมือ ศปอส.ตร. วันเดียวบุก 6 จุดเมืองปทุมธานี จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ MGM99 เงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท จ่อใช้ยาแรงทั้ง พ.ร.บ.การพนันฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายฟอกเงิน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (12 ก.ค. 64) กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประสานความร่วมมือกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เข้าสืบสวนติดตามจับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ เครือข่าย MGM99  โดยจากการสืบสวนพบเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ ไลน์ไอดี @MGM99VP,@MGM99TH และเว็บไซต์ WWW.PD24H.COM  มีเงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท ดำเนินการมาประมาณ 2 ปี

โดยช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเทคนิคและสืบสวนชุดที่ 1 และ 3   (ศปอส.ตร.)  ได้นำหมายจับผู้ต้องหาศาลแขวงปทุมวันในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดธัญบุรีเพื่อทำการตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยกระทำความผิด จำนวน 6 จุด ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จับกุมผู้ต้องหารวม 18 ราย (ผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 ราย ผู้ต้องหาอื่น 15 ราย) พร้อมตรวจยึดของกลางซึ่งรวมถึงรถยนต์หรู 8 คัน และเงินสดของกลางประมาณ  11 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และความผิดฐาน “ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่รวมกันมากกว่า 5 คน) ประกอบคำสั่งจังหวัดปทุมธานี ที่ 6728/64 ลง 11 ก.ค. 64” (เฉพาะจุดตรวจค้นที่ 3)

“เนื่องจากคดีการพนันออนไลน์เป็นความผิดมูลฐาน ตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งทาง ศปอส.ตร.จะได้ดำเนินการประสานกับทาง ปปง. เพื่อยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีฐานฟอกเงินต่อไป” นายชัยวัฒน์กล่าว

สำหรับประชาชนที่พบเห็นหรือทราบถึงการกระทำความผิดของผู้ลักลอบชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ ในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อันเป็นการมอมเมาเยาวชน และทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ สามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เพจอาสาจับตาออนไลน์ https://m.facebook.com/DESMonitor/ ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งมายัง ศปอส.ตร. ได้ที่สายด่วนหมายเลข 1599 และ สายตรง 081-8663000 เวลาราชการ  เพื่อดำเนินการสืบสวนหาพยานหลักฐานจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ดีเดย์บังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน สมุทรปราการเริ่มวันแรกจับจริง หากมีการฝ่าฝืน

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 นายณัชวันก์  อัลภาชน์ เตชะเสน นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมือง ออกตรวจเยี่ยมการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจจุดสกัดคัดกรองโควิด- 19 ซึ่งเป็นบูรณาการกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนันผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 

เพื่อป้องกันการเดินทางข้ามจังหวัด อำเภอ และการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ บริเวณด่านตรวจจุดสกัดป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 และสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิทขาเข้านครบาล หน้าปั้มน้ำมันเชลล์ ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตามประกาศคำสั่งการห้อมออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00- 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตามข้อกำหนดมาตร 9 แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 27 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันนี้เป็นวันแรก โดยบังคับใช้อย่างน้อย 14 วัน พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจจุดสกัดทุกนายปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

โดยนายอำเภอเมืองสมุทรปราการ ได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียงให้ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาทราบเรื่องการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างจริงจัง สร้างการรับรู้สร้างความเข้าใจบอกข่าวสารแจ้งประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่บังคับใช้ พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างจริงจัง ห้ามเคลื่อนย้ายห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 21.00 น. ไปจนถึงเวลา 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น หากพี่น้องประชาชนที่ยังสัญจรไปมาและอยู่นอกเคหสถานโดยไม่มีเหตุจำเป็นหรือเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ก็จะมีความผิดฐาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน

โดยจะมีการตรวจบัตรประชาชน และหนังสือรับรองเหตุผลความจำเป็นจากหน่วยงานของรัฐ ว่าด้วยเหตุใดที่จำเป็นต้องออกนอกเคหสถานในห่วงเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในวันนี้เป็นการดีเดย์วันแรกของการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก.ฉุกเฉิน จึงเน้นการเตือนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ผ่านไปมาได้ทราบและเข้าใจและดูเจตนา และในวันพรุ่งนี้จะเริ่มบังคับใช้กฎหมาย พรก.ฉุกเฉิน อย่างจริงจัง หากยังมีการฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามที่ข้อกฎหมายกำหนดก็จะต้องถูกดำเนินคดีส่งฟ้องศาลต่อไป


ภาพ/ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

จับ ‘กัญชาบิ๊กล็อต’ !! ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี แถลงจับ พร้อมขบวนการ

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอหว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พล.ต.บุญสิน พาดกลาง ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี นายสมศักดิ์ บุญจันทร์ นายอำเภอหว้านใหญ่ พ.อ.วิระ สอนถม รอง ผอ.รมน.จว.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.จารึก พุ่มระย้า ผกก.สภ.หว้านใหญ่ ร่วมกันแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการค้ากัญชาข้ามชาติได้ผู้ต้องหา 2 คน พร้อมกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน  528 แท่ง

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายสมศักดิ์  บุญจันทร์ นายอำเภอหว้านใหญ่ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบกลุ่มคนกำลังขนห่อพลาสติกสีดำขนาดใหญ่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงบ้านโป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จึงได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กองร้อยเคลื่อนที่เร็วที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หว้านใหญ่ ออกไปตรวจสอบบริเวณพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้งพบนายอาทร มีลา หรือโอม อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 10 ม.4 บ้านนาดี ต.คำใหญ่ อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ และนายธนพงศ์ ศรีประสงค์ หรือไมค์ อายุ 20 ปี บ้านเลขที่ 3 ม.8 บ้านสุขสำราญ ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พร้อมพวกกำลังช่วยกันขนห่อพลาสติกขนาดใหญ่ขึ้นจากริมฝั่งแม่น้ำโขงมาซุกซ่อนไว้บริเวณป่าละเมาะที่อยู่บริเวณริมตลิ่ง เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้พากันวิ่งหลบหนีแต่เจ้าหน้าที่สามารถติดตามไปควบคุมตัวนายอาทรและนายธนพงศ์ไว้ได้

จากการตรวจสอบบริเวณพื้นที่โดยรอบ พบห่อพลาสติกบรรจุสิ่งของสีดำขนาดใหญ่ถูกวางทิ้งไว้รวม 12 ห่อ เมื่อเปิดออกดูพบว่าภายในเป็นกระสอบบรรจุกัญชาแห้งอัดแท่งหุ้มด้วยแผ่นฟอยล์สีทองรวม 528 แท่ง น้ำหนักประมาณ 528 กก. โดยนายอาทรและนายธนพงศ์ให้การยอมรับว่าร่วมกันขนกัญชาแห้งอัดแท่งจริงและทำมาแล้วหลายครั้ง โดยได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 4,000 - 7,000 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ(กัญชา)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และควบคุมตัวพร้อมกับกัญชาแห้งอัดแท่งของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.หว้านใหญ่ เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ชุด ฉก.พญาอินทรีย์ / เดวิท โชคชัย

'ตร.เตือน'​ ควรตรวจสอบก่อนรับเพื่อนในโลกออนไลน์ หากเป็นบัญชีอวตาร อาจเป็นภัยกับตัวเองได้

ตร.เตือน ให้ตรวจสอบก่อนรับเพื่อนในโลกออนไลน์ หากเป็นบัญชีอวตาร อาจเป็นภัยกับตัวเองได้

เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันพี่น้องประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยม เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ไอจี ทวิตเตอร์ เป็นต้น จึงมีการกดรับเพื่อนในโลกออนไลน์ มาเป็นเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งหลายๆ​ ท่านไม่มีการคัดกรองบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่มาขอแอด หรือ ขอเป็นเพื่อน ทำให้มีบุคคลที่ไม่หวังดี ใช้บัญชีอวตาร​ (Avatar) ในลักษณะที่เป็นบัญชีไร้ตัวตน อาจใช้รูปผู้อื่น ชื่อผู้อื่น ชื่อที่ไม่ใช่ชื่อคนทั่วไป เป็นคำกลอน หรือ ใช้รูปการ์ตูน รูปสิ่งของ หรือ ภาพวิวทิวทัศน์ ฯลฯ มาขอเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์

ซึ่งหากเรารับบัญชีเหล่านี้เป็นเพื่อนในโลกออนไลน์ เราก็จะถูก​ 'ส่อง'​ หรือติดตามพฤติกรรม ทัศนคติที่เราโพสต์ สถานที่ที่เราไป หรือแม้กระทั่งบ้านที่พักอาศัย สมาชิกในครอบครัว กิจวัตรประจำวัน ฯลฯ ซึ่งมีความเสี่ยงที่ถูกประทุษร้ายทั้งในโลกออนไลน์และโลกความเป็นจริง เช่น ถูกเข้าถึงข้อมูลของเราโดยมิชอบ(Hack), การหลอกลวงฉ้อโกงในรูปแบบต่างๆ (Fraud, Romance Scam, Email Scam), การแชร์ข่าวหรือข้อมูลปลอม(Fake News), นำภาพหรือชื่อเราไปเปิดบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม อาจถูกข่มขู่ คุกคาม หรือ ประทุษร้ายต่อทรัพย์หรือร่างกาย เป็นต้น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ ยังได้กล่าวต่อไปว่า จากสถิติการรับแจ้งความของ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี​ (บก.ปอท.) ในครึ่งปีแรกของปี 2564 พบว่า สื่อสังคมออนไลน์ที่มิจฉาชีพใช้ประทุษร้ายมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ เฟซบุ๊ก,ไลน์,​ ไอจี ตามลำดับ  ซึ่งพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงความห่วงใยประชาชน จึงได้มีนโยบายในการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนในการป้องกันตัวเองมิให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรในทุกรูปแบบ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงฝากเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังการรับเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ ดังนี้... 

1.ไม่ควรรับคนที่ไม่รู้จักเป็นเพื่อน

2.หากต้องการรับที่ไม่รู้จักมาเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์ ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง มิใช่เป็นบัญชีอวตาร เช่น มีการโพสต์เป็นปกติหรือไม่ หรือมีแต่การแชร์ข่าวต่างๆ เป็นต้น และพิจารณาให้ดีก่อนว่าจะรับบุคคลดังกล่าวเป็นเพื่อนหรือไม่

3.ไม่ควรรับบัญชีที่ใช้ภาพวิวทิวทัศน์ หรือ ไม่ใช้ชื่อ นามสกุล เป็นเพื่อน

4.หากเป็นคำขอเป็นเพื่อนจากบุคคลที่เราไม่รู้จัก และบัญชีดังกล่าวใช้รูปโปรไฟล์ที่ดูดี หน้าตาดี มีฐานะ หรืออ้างว่าเป็นชาวต่างชาติ ให้ระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้ไม่หวังดีแอบอ้างเป็นบุคคลตามภาพ เพื่อเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากเรา

5.ตรวจสอบประวัติการโพสต์ รูปภาพ การเชคอินสถานที่ต่างๆ ตลอดจนวันที่สร้างบัญชี หากเป็นบุคคลจริง มักจะมีการโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัว มีการแสดงความคิดเห็นในโพสต์โดยบุคคลในครอบครัว หรือเพื่อน และบัญชีดังกล่าวถูกสร้างมาเป็นเวลานานพอสมควร หากเข้าเงื่อนไขดังกล่าว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่บัญชีดังกล่าวจะเป็นบัญชีของจริง

6.ไม่ควรตั้งค่าสาธารณะและไม่ควรเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เช่น ทรัพย์สินมีค่า บ้านพักอยู่ที่ใด มีสมาชิกในบ้านกี่คน ช่วงเวลาไหนที่อยู่บ้านคนเดียว หรือไม่มีคนอยู่บ้าน เป็นต้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top