Friday, 3 May 2024
Crimes

เครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมประเทศไทย (Thailand Wen) จับขบวนการลักลอบค้าเต่าดาวอินเดีย

3 พฤศจิกายน 2566 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับรายงานจากนายประเสริฐ สอนสถาพรกุล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา รายงานว่านายภัคพงศ์  ผาทอง เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญการ หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 เวลา 02.00 น. เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ตรวจสอบภาพเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระที่ต้องสงสัยว่าจะมีการลักลอบขนสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายของหญิงชาวไทย อายุ 24 ปี ที่เดินกำลังจะเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน โดยสายการบิน EVA AIR เที่ยวบินที่ BR206 

จากการเปิดตรวจสอบกระเป๋าดังกล่าว พบว่ามีการซุกซ่อนเต่าดาวอินเดีย จำนวน 17 ตัว  ซึ่งเป็นสัตว์ป่าควบคุมและสัตว์ป่าตามบัญชีอนุสัญญาไซเตส  เพื่อลักลอบออกนอกประเทศ มูลค่าประมาณ 170,000 บาท ทราบชื่อผู้ต้องหาภายหลัง นางสาววริญญา  อายุ 24 ปี สัญชาติไทย เจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้วพบว่า เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 23 เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 มาตรา 31 และ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 และ 244 จึงร่วมกันตรวจยึดของกลางทั้งหมด และจับกุมผู้ต้องหา โดยได้แจ้งสิทธิต่างๆ ตามระเบียบแล้ว และมอบหมายให้หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่านำเรื่องราวไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร (สภ.) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับของกลางนำส่งกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อไป 

ทั้งนี้ สำหรับ Thailand WEN หมายถึง คณะกรรมการเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งประเทศไทย (Thailand Wildlife Enforcement Network : Thailand WEN) ซึ่งมีหน้าที่ในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรเอกชน เพื่อสร้างเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่า และพืชป่าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

ทหารกองกำลังสุรศักดิ์มนตรีตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 1,380,000เม็ด ผู้ต้องหา 6 คน พร้อมรถยนต์ 1 คัน

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าล๊อตใหญ่ จำนวน 4 กระสอบ จำนวน 1,380,000 เม็ด และขยายผล จับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 6 คน พร้อมรถยนต์กระบะ ที่ใช้ขนยาบ้าจากขบวนการค้ายาข้ามชาติ จำนวน 1 คัน พร้อมรถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน บริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี โดย พันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 เป็นผู้แทน พลตรี นรธิป โพยนอก ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 1 พร้อมด้วยหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ แถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 4 กระสอบ จำนวน  1,380,000 เม็ด และขยายผลจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 6 คน พร้อมรถยนต์กระบะ ที่ใช้ขนยาบ้าจากขบวนการค้ายาข้ามชาติ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน บริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ 

โดยในห้วงที่ผ่านมาพันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไม่ทราบจำนวน จากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติล๊อตใหญ่จากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามายังฝั่งประเทศไทย บริเวณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เพื่อลำเลียงขนส่งเข้าสู่พื้นที่ตอนในให้กับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดภายในประเทศ จึงสั่งการให้ร้อยโท โกวิทย์ วงษ์แสง ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 ทำการบรูณากำลังวางแผนร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ทำการลาดตระเวนซุ่มเฝ้าตรวจตามภาพข่าวที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตรวจพบรถยนต์กระบะสีดำขับออกจาก บริเวณที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเป็นเพื่อขอเข้าตรวจสอบรถต้องสงสัย แต่รถยนต์คันดังกล่าว ได้เร่งเครื่องหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามเส้นทางบ้านท่าสีไค้ ตำบลดงบัง แต่คนขับรถยนต์ได้หักรถยนต์ต้องสงสัยลงข้างทาง และวิ่งหลบหนีไป หน่วยจึงประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ 

เพื่อเข้าร่วมตรวจสอบรถคันดังกล่าว ตรวจพบสิ่งของต้องสงสัย จำนวน 4 กระสอบ จึงได้ทำการตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัย ผลการตรวจสอบ พบเป็นยาเสพติดประเภทที่ 1(ยาบ้า) บรรจุอยู่ภายใน จึงได้ทำการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว มายังกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 เพื่อทำการตรวจนับอย่างละเอียด จากขยายผลในครั้งนี้หน่วยพร้อมหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ได้ร่วมจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติเป็นชายไทย จำนวน 6 คน พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 4 กระสอบ จำนวน 1,380,000 เม็ด รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ รุ่น ไตรตัน สีดำ ทะเบียน บล 3098 กาฬสินธุ์ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ เวฟ 100 ไอ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน หน่วยพร้อมหน่วยงานความมั่นคงจึงร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาพร้อมตรวจยึดของกลางทั้งหมดส่งให้ สภ.เหล่าหลวงจังหวัดบึงกาฬ เพื่อดำเนินการตามกกหมายต่อไป

‘ตำรวจทางหลวงขอนแก่น’ รวบ ‘หนุ่มขอนแก่น’ รับจ้างขนยา ‘แก๊งม้าบิน’ ยึดยาบ้า 2.5 ล้านเม็ด

(6 พ.ย. 66) พ.ต.อ.คงกฤช เลิศสิทธิกุล รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (รรท.ผบก.ทล.) สั่งการให้ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง.ผบก.ป. ช่วยราชการ รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.จรุงศักดิ์ จำรูญ ผกก.4 บก.ทล., พ.ต.ต.ฐกร ทองอิงครัต สว.ส.ทล.2 กก.4 บก.ทล. พร้อมกำลังเข้าจับกุมนายธนัตชัย อายุ 31 ปี ชาว จ.ขอนแก่น พร้อมของกลาง ยาบ้า 2,540,000 เม็ด ได้บริเวณริมทางหลวงหมายเลข 224 กม.26-27 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

ก่อนหน้าทางเจ้าหน้าที่รับรายงานว่าจะมีขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เครือข่ายของชาวลาว ลักลอบลำเลียงยาบ้าจากภาคอีสานเพื่อนำลงไปส่งให้ลูกค้าในจังหวัดภาคกลาง และกทม. จึงนำกำลังออกตรวจสอบ จนกระทั่งพบรถเก๋งโตโยต้าวีออส สีเทา ลักษณะมีพิรุธ จึงขับรถติดตามและเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจสอบ พบผู้ขับขี่คือ นายธนัตชัย จากการตรวจค้นภายในรถพบยาบ้าของกลางทั้งหมดจึงทำการจับกุม

นายธนัตชัย รับสารภาพว่า ตนรับจ้างขนยาบ้ามาจริง โดยผู้ว่าจ้างนั้นเป็นชาว สปป.ลาว ที่ติดต่อกันผ่านช่องทางแชตไลน์ใช้ชื่อว่า ‘ม้าบิน’ ที่ให้ตนเดินทางไปรับรถเก๋งของกลาง ซึ่งจอดไว้ริมถนนใน อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ จากนั้นให้ขับรถลงไปส่งที่ จ.สระบุรี ค่าจ้าง 5 หมื่นบาท แต่ตนไปไม่ถึงเพราะถูกจับกุมเสียก่อน นอกจากนี้ผู้ต้องหายังอ้างด้วยว่า เพิ่งจะมาทำเป็นครั้งแรก จึงนำตัวผู้ต้องหาส่งให้พนักงานสอบสวน บช.ปส. สอบสวนขยายผลการดำเนินคดีต่อไป

ตำรวจ ปส. โค่น 3 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ยึดยาบ้ารวมกว่า 12 ล้านเม็ด ซุกรถเตรียมลำเลียงส่งลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและใต้ พร้อมยึดทรัพย์กว่า 9 ล้าน

ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีเจตนารมณ์ที่จะลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เร่งรัดดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติด โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญมุ่งเน้นแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด เป็นไปตามการขับเคลื่อนการทำงานของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. 

วันนี้ 9 พ.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รรท.ผบช.ปส. เป็นประธานแถลงผลการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รรท.รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต. พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต. ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2,พ.ต.อ.อดิศ  เจริญสวัสดิ์ รรท.ผบก.ปส.3, พ.ต.อ.วิทัศน์ บริรักษ์ รรท.ผบก.สกส. และ พ.ต.อ. อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร รรท.ผบก.ขส. ซึ่ง พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ระบุว่า กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เดินหน้าปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดทุกเครือข่ายที่ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสืบสวนขยายผล พร้อมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์เป็นเครื่องมือ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดของเครือข่าย ขณะเดียวกันก็ได้ขับเคลื่อนงานป้องกันอาชญากรรมควบคู่ไปด้วย ล่าสุด ตำรวจ ปส. สามารถตรวจยึดยาบ้าได้ 11,540,000, เม็ด และยึดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่า 8,690,000 บาท    

คดีแรก สืบเนื่องมาจากการจับกุมนายวิฑูรณ์ พร้อมพวก 5 คน พร้อมไอซ์ 200 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จว.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.พ.66 ที่ผ่านมา ของ ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ก่อนจะขยายผล และพบว่ายังมีเครือข่ายของนายวิฑูรณ์ เคลื่อนไหวอยู่ใน จว.สระบุรี มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ เพื่อนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง และใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม นายอาทิตย์, นายณคฤตห์, นายจักรพรรณ, น.ส.ทวีวรรณ,น.ส.ศุภมาสและน.ส.ปรารถนา ได้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 12 ม.9 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จว.เชียงราย พร้อมยาบ้า 7,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะ หมายเลขทะเบียน 1ขษ 44XX กทม. จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย เข้าตรวจค้นบ้านพักจำนวน 7 จุด เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์ 3 คัน, อาวุธปืน GLOCK 2 กระบอก และอื่น ๆ ไว้ตรวจสอบมูลค่ากว่า 8,690,000 บาท  

คดีที่ 2 ตำรวจ ปส.2 ร่วมกับ ตำรวจทางหลวง ได้ทำการสืบสวนขยายผลหลังจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด  และทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน Xกฒ 40XX กทม. และ หมายเลขทะเบียน กต 64XX ราชบุรี ลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งกลางดึกของวันที่ 4 พ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคัน ในเขตพื้นที่ จว.สกลนคร ขับตามกันมุ่งหน้า จว.อุดรธานี ต่อเนื่อง จว.ขอนแก่น เมื่อรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคันขับขี่เข้ามาพื้นที่ อ.เมือง จว.ขอนแก่น ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ แต่รถเป้าหมายได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ขับหลบหนี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวงตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเขตพื้นที่และข้างเคียง กระทั่งเวลา 03.15 น. ของวันที่ 5 พ.ย.66   ตำรวจทางหลวง 2 กก.4 แจ้งว่าพบว่าพบรถเป้าหมายบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 229 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จว.ขอนแก่น จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบพบ นายธนัตชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้า 2,540,000 เม็ด ส่วนรถยนต์อีก 1 คัน ถูกจอดทิ้งอยู่บริเวณข้างคลองน้ำบ้านหัวสระ ต.ดอนช้าง อ.เมือง จว.ขอนแก่น ในสภาพยางล้อหลังซ้ายแตก ตรวจสอบไม่พบบุคคลหรือสิ่งของที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

คดีที่ 3 ตำรวจ ปส. 4 ทำการสืบสวนเครือข่ายรับจ้างลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ พบมีการติดต่อกัน ผ่านแอปพลิเคชัน Line ต่อมาทราบว่าไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี มาพักไว้ในพื้นที่ อ.บางปู จว.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังภาคใต้ในพื้นที่ จว.พังงา และ จว.ภูเก็ต กระทั่งวันที่ 6 พ.ย.66 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายขณะขับรถมุ่งหน้าพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทางรอง เพื่อเลี่ยงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ชุดจับกุมจึงเฝ้าสะกดรอยติดตาม พบว่ามีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฒย 8xxx กทม. และ หมายเลขทะเบียน 1 ฒศ 5xxx กทม. เป็นรถนำ และรถกระบะตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ยข 4xxx ชลบุรี ซึ่งเป็นรถที่ซุกซ่อนยาเสพติด โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 จนมาถึง อ.ตะกั่วทุ่ง จว.พังงา ก่อนจะเข้าพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย และตรวจสอบพบยาบ้า 2,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถกระบะตู้ทึบ จากนี้ ตำรวจ ปส. จะสอบสวนขยายผลเพื่อติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป  

สำหรับเดือน ตุลาคม 2566 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 15 คดี ผู้ต้องหา 22 คน ของกลาง ยาบ้า 21,836,340 ล้านเม็ด, ไอซ์ 748.52 กก. เฮโรอีน 15.17 กก., และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 103,854,167 ล้านบาท 

สืบนครบาลรวบใบเฟิร์นเน็ตไอดอลชื่อดังหลอกลงทุนร้านทำเล็บ จนมุมกลางห้างดัง

“ใบเฟิร์นเน็ตไอดอลดังถ่ายแบบเป็นอินฟลูเอนเซอร์ โปรไฟล์ IG ของเธอจึงมีผู้ติดตามกว่า 120,000 คน โพสภาพคู่กับรถหรูและดาราผู้มีชื่อเสียงอีกหลายๆคน สร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนตุ๋นเหยื่อหลอกลงทุน “ร้านตัดผมและร้านทำเล็บ” โดยมีเหยื่อหลงเชื่อร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ก่อนหายเข้ากลีบเมฆ ผู้เสียหายและทีมงานทนายความชื่อดังประสสนขอความช่วยเหลือกับ น .1 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. โดย เกรงว่าจะมีประชาชนเดือดร้อนเพิ่ม จึงสั่งการให้สืบนครบาลเร่งรัดสืบสวนหาตัว จนกระทั่งทราบเบาะแสว่าหนีมาเข้าถ้ำเสือนครบาล อยู่ใน กรุงเทพ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT5 ส่งชุด PCT5 และ สืบนครบาล ตระเวนปลอมตัวเป็นเอเจนซี่แฝงตัวตามคอนโดหรูย่านทองหล่อ กระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ โดยเธอเผยกับชุดจับกุมว่า “ตอนนี้ตนพยายามหา ซื้อของแบบซื้อมาขายไป หวังว่าถ้ามีเงินก็จะนำไปทยอยคืนให้กับผู้เสียหาย”

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ , ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล ,ตำรวจ PCT5 และ พ.ต.ท.เกียรติศักดิ์ ผัดก๋า รอง ผกก.สส.สภ.สันกำแพง  จว. เชียงใหม่ กับพวกได้ร่วมจับกุม

น.ส.มณฑิรา อินทร์สุวรรณ หรือ “ใบเฟริน” อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 85/2 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน ผู้ต้องหาตามหมายจับ 2 หมายจับ ดังนี้

1.หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ จ.997/2566 ลงวันที่ 5 ต.ค. 66 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” (สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่)
2.หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ จ.1073/2566 ลงวันที่ 26 ต.ค. 66 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” (สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่)

โดยกล่าวหาว่า ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

พฤติการณ์กล่าวคือ ตำรวจชุด PCT5 และชุดสืบนครบาล ติดตามไล่ล่า “เน็ตไอดอลดัง อักษรย่อ บ.” หลังเธอได้ตระเวนก่อเหตุ หลอกลวงให้ลงทุน “ร้านตัดผมและร้านทำเล็บ” โดยมีเหยื่อหลงเชื่อร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ด้วยเธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาดีและยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ออกรายการทีวีต่างๆ ถ่ายแบบ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ โปรไฟล์ IG ของเธอจึงมีผู้ติดตามกว่า 120,000 คน และในเฟสบุ๊คของเธอยังมีการโพสภาพคู่กับรถหรูและดาราผู้มีเชื่อเสียงอีกหลายๆคน สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้มาสอดส่องโปรไฟล์เธอเป็นอย่างดี กระทั่งช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมาเธอได้เริ่มโพสเชิญชวนให้ร่วมลงทุนเป็นหุ้นส่วนการทำร้านตัดผมและทำเล็บ โดยเสนอเป็นแพ็กเกจต่างๆ ยอดปันผลขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลงทุน และเมื่อถึงกำหนดก็จะได้เงินปันผล ซึ่งเมื่อเหยื่อหลงเชื่อและตัดสินใจโอนเงินไปร่วมลงทุนกับเธอแล้ว เธอก็ไม่ค่อยตอบข้อความ อ้างว่างานเยอะ ติดงานต่างๆ ส่วนสัญญาที่พิมพ์มาให้เซ็นก็ผิดๆ ถูกๆ หลายครั้ง และเมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินปันผลเธอก็จะบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงิน จนถึงช่วงปลายเดือน มิ.ย. 66 เธออ้างกับเหยื่อว่า บริษัทถูกยักยอกเงิน ทำให้ไม่มีเงินมาคืนให้กับผู้ร่วมลงทุน และหนีหายเข้ากลีบเมฆไป กระทั่งบรรดาเหยื่อที่ร่วมลงทุนกับเธอได้ทยอยเข้าแจ้งความ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับ  จำนวน  2 หมายจับ ซึ่งล่าสุดเหยื่อได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่าเจ้าตัวได้หลบหนีมากบดาลในพื้นที่ จ.กรุงเทพฯ เรียกได้ว่าหนีมาเข้าถ้ำเสือนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT5 ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัว โดยมีเพียงเบาะแสว่าเธอ “กินหรูอยู่สบายละแวกทองหล่อ” ชุดสืบสวนตระเวนตรวจสอบแต่ยังคงไร้ร่องรอย กระทั่ง พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้เบาะแสจากสายลับว่าเธอควงหนุ่มอยู่ตามห้างดังในพื้นที่ จ.กรุงเทพ จึงตระเวนกระจายกำลังตามห้างดังทั่วกรุงเทพกว่า 5 วัน กระทั่งวันที่ 8 พ.ย. 66 ชุดสืบสวนที่แฝงตัวอยู่ตามห้างได้พบตัวขณะกำลังเดินหาซื้อชุดว่ายน้ำกับหนุ่มชาวต่างชาติ จึงเข้าแสดงตัวและจับกุมตัวเธอได้ โดยจับกุมตัวได้ที่ ห้างยูเนียนมอลล์ แขวงจอมพล เขตจตุจักร จ.กรุงเทพฯ

ในชั้นจับกุม น.ส.มณฑิราฯ หรือใบเฟริน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยภาคเหนือ เปิดร้านทำเล็บอยู่ จ.เชียงใหม่ ล่าสุดเข้ากรุงเทพมาได้เป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้วแต่ไม่ได้เป็นการหลบหนี ในทางคดีตนเองเปิดร้านทำปมและเล็บอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เห็นว่ามีรายได้ดี จึงได้มาร่วมลงทุนร่วมกัน ร้านกู๊ดคัด โดยร่วมลงทุนรายละ 50,000-1,000,000 บาท และเปิดรับลงทุนร่วมรับจำนำของ จากนั้นนำไปขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน  แต่ช่วงหลังกำไรน้อยมาก และซื้อสินค้ามาขายไม่ค่อยได้ ทำไห้ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ร่วมลงทุน  ส่วนร้านทำผมเนื่องจากหาช่างไม่ได้ และลูกค้าน้อย ทำให้ไม่มีเงินจ่ายไห้กับผู้ร่วมลงทุน ตอนนี้ตนพยายามหา ซื้อของแบบซื้อมาขายไป หวังว่าถ้ามีเงินก็จะนำไปทยอยคืนให้กับผู้เสีย” หลังจับกุมตัว ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา และจะมีการขยายผลการจับกุมโดยละเอียด ซึ่งจากข้อมูลที่ได้วิธีการที่ผู้ต้องหารายนี้ใช้หลอกลวง นั้นเริ่มจากการสร้างโปรไฟล์ให้มีความน่าเชื่อถือ ถ่ายภาพคู่รถหรู หรือดาราผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ จากนั้นการหลอกลวงจึงทำได้ไม่ยากนัก จึงขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชนยุคใหม่ว่า การร่วมลงทุนในโลกออนไลน์นั้นมีความเสี่ยง เพราะในปัจจุบันเหล่ามิจฉาชีพจะแฝงตัวอยู่ในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก การตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากโปรไฟล์ในโลกออนไลน์นั้นยังไม่เพียงพอ จะต้องศึกษาหรือปรึกษาผู้มีความรู้ทางด้านการลงทุนให้ดีก่อน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ และขอเตือนไปยังเหล่ามิจฉาชีพทางออนไลน์ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการระดมปราบปรามผู้กระทำผิดทางออนไลน์อยู่ตลอด ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ฉะนั้นผู้ที่ยังทำหรือคิดจะทำขอเตือนว่า มันไม่คุ้มได้คุ้มเสีย เมื่อได้ลงมือก่อเหตุแล้วและมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วยังไงก็ต้องถูกจับกุม เพียงแต่จะช้าหรือเร็วแค่นั้นเอง”

สืบ ตม. ตะครุบชายตากาล็อกใจโฉด ข่มขืนลูกในไส้นาน 10 ปี หนีกบดานไทย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดภาย

ใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ. สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม. ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สืบเนื่องจาก ตร. ได้สั่งการให้ สตม. พิจารณาดำเนินการ กรณีสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจฟิลิปปินส์ มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ แจ้งข้อมูล นายโจนาธาน หรือนายโจ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติ ฟิลิปปินส์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ กระทำความผิดฐานข่มขืน พฤติการณ์การกระทำผิด คือ นายโจได้ข่มขืนบุตรสาวอายุ 7 ปีของตน เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยเมื่อนางเจส (นามสมมติ) มารดาของเด็กทราบเรื่อง จึงได้แจ้งความกับตำรวจฟิลิปปินส์ และทางการฟิลิปปินส์ได้ออกหมายจับนายโจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย 

จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายโจ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ส.ค.66 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และได้รับการอนุมัติให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรถึงวันที่ 15 พ.ย.66 การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายโจ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ ในราชอาณาจักร และได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามตัวนายโจ เพื่อนำตัวมาดำเนินการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ลงบัญชีเฝ้าดู (Watchlist) ไว้ และระดมกำลังสืบสวนติดตามหาตัวนายโจ ตามย่านที่พักอาศัย และสถานที่ท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จนกระทั่งต่อมาสืบสวนทราบว่านายโจ กำลังจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่สนามบินดอนเมือง จึงได้ไปตรวจสอบ พบตัวโจจึงแจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ได้รับทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อรอการส่งกลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตร.ไซเบอร์จับขบวนการหลอกให้เดตสาว พบเชื่อมโยงอีก 12 คดี ความเสียหายรวมกว่า 1 ล้าน

สืบเนื่องจาก ช่วงเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ผู้เสียหายได้รู้จักกับคนร้ายผ่านแอปทวิตเตอร์ ต่อมาได้เปลี่ยนมาพูดคุยกันผ่านทางแอปไลน์ โดยคนร้ายใช้ชื่อบัญชี “ติวเตอร์'จีจี้” อ้างว่าเป็นติวเตอร์ ได้ชักชวนผู้เสียหายทำภารกิจนัดเดทสาวในแอปหาคู่ (Bumble) โดยออกอุบายว่า ให้ผู้เสียหายสร้างโปรไฟล์ในแอปหาคู่ดังกล่าว หากมีผู้หญิงในแอปสนใจแล้วกดแมทช์ ผู้เสียหายก็จะได้รับเงินค่าคอมมิชชั่น โดยผู้เสียหายต้องโอนเงินลงทุนกับคนร้ายไปก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงทำตามอุบายดังกล่าว โดยครั้งแรกได้เงินคืนกลับมาจริง จึงได้ลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในยอดที่สูงขึ้น สุดท้ายหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวน 6 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งหมด 76,115 บาท สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ จึงรู้ตัวว่าโดนหลอกแล้วได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ส่งเจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย พบว่าคดีดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับคดีอื่นอีก 12 คดี ซึ่งมีลักษณะในการหลอกโอนเงินทำภารกิจเหมือนกัน มีความเสียหายรวมทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านบาท สุดท้ายสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องหลายราย

ต่อมา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 16 พ.ย.66 พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้นำกำลังชุดสืบสวนร่วมกันลงพื้นที่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการ จนสามารถนำหมายจับศาลอาญาเข้าควบคุมตัว นางบุญธรรม อายุ 36 ปี ชาวอุบลราชธานี ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคืนอื่น, โดยทุจริตหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยจับกุมตัวได้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี นำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 สั่งการให้ พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘ธนกร’ แนะ!! ตำรวจควรใช้โอกาสนี้ ถอนรากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังรวบเครือข่ายรายย่อยออกจากเล้าก์ก่าย เพื่อหาตัวการใหญ่

(19 พ.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศให้การช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่เล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมา ว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้โอกาสการช่วยเหลือคนไทย ที่มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ว่าอาจถูกหลอกเป็นเหยื่อของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อสาวถึงตัวการรายใหญ่ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน โดยพบว่ามีการว่าจ้างคนไทย หลอกคนไทยด้วยกันเองให้ไปทำงานกับขบวนการนี้และไม่เพียงเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น ยังมีเหยื่อที่ถูกบังคับค้าประเวณี ค้ามนุษย์ และเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย

เมื่อถามว่า แต่ตัวการรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังส่วนมากจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน นายธนกร กล่าวว่า ขบวนการนี้ทำเป็นเครือข่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนมีข้อมูลว่าผู้ต้องหามีทั้งคนไทยที่สมรู้ร่วมคิดหลอกคนในประเทศออกไปทำงานยังประเทศเพื่อนบ้าน หากติดตามสืบสวนสอบสวนแล้วจะสามารถสาวไปถึงตัวการที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยเมียนมา กัมพูชา ไทยได้ประสานความร่วมมือระหว่างกันเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน โดยเฉพาะคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ผ่านมาในรัฐบาลชุดที่แล้ว ได้ประสานกัมพูชา เพื่อดำเนินการเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหามาแล้วหลายราย

“ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้โอกาสที่ช่วยเหลือคนไทยในเมียนมาออกมาได้ สืบสวนสอบสวนสาวให้ถึงต้นตอผู้บงการรายใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังจากที่ใช้เครือข่ายโทรหลอกลวงประชาชนทำสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก บางคนถึงกับหมดเนื้อหมดตัวคิดสั้นก็มี ซึ่งเชื่อว่ามีคนไทยรู้เห็นสมคบคิดในขบวนการนี้ด้วย ทั้งนี้ หากตัวบงการรายใหญ่อยู่ต่างประเทศทั้งในเมียนมาและกัมพูชา ก็สามารถประสานความร่วมมือเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ ขอให้ใช้โอกาสนี้ ถอนรากถอนโคน ใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการเร่งแก้ปัญหาให้กับประชาชน” นายธนกร ระบุ

ตำรวจไซเบอร์รวบขบวนการหลอกทำภารกิจ เหยื่ออยากหารายได้ กลายเป็นสูญเงินเฉียดแสน

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ผู้เสียหายต้องการหารายได้พิเศษ จึงได้ค้นหาบนอินเตอร์เน็ต พบเว็บไซต์ชื่อ “หางานพาร์ทไทม์” จึงได้สนใจและสมัครทำงาน ต่อมาเว็บดังกล่าวได้ให้ผู้เสียหาย แอดไลน์ชื่อ “ฝ่ายบริการพลอย” แล้วให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นไลน์ดังกล่าวได้ให้ผู้เสียหายเริ่มทำภารกิจกับบริษัท Asset shop online โดยอ้างว่ามีค่าตอบแทนให้ประมาณวันละ 500 - 3000 บาท โดยการกดจองออเดอร์สินค้าในแพลตฟอร์มชื่อดังต่างๆ เช่น Shopee Lazada และอีกหลายแพลตฟอร์ม

ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้ทดลองทำภารกิจโดยเริ่มต้นจากการโอนเงิน 50 บาท เข้าบัญชีธนาคารคนร้าย ต่อมาปรากฏเป็นภาพบัญชีกระเป๋าตังค์ของผู้เสียหายในเว็บไซต์ของ Asset shop online พบยอดเงินในบัญชี 50 บาท ผู้เสียหายจึงได้กดเข้าไปที่ร้านค้า Shopee ผ่านทางกระเป๋าตังค์และจากนั้นพบว่ามีผลตอบแทนในกระเป๋าตังค์ของผู้เสียหายเพิ่มมาจำนวน 15 บาท แล้วมีการเงินตอบแทนมายังบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย จำนวน 65 บาท ผู้เสียหายจึงมั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนจริง จึงโอนเงินเพื่อลงทุนเพิ่มอีกเรื่อยๆ ตั้งแต่ 300 - 500 บาท โดยยังคงได้รับผลตอบแทนกลับมาจริง

ต่อมาผู้เสียหายจึงโอนเงินเพื่อลงทุนเพิ่มอีกเรื่อยๆ อีกหลายครั้ง ตั้งแต่ 800 - 3,500 บาท เมื่อโอนเสร็จผู้เสียหายต้องการถอนเงินแต่ทำไม่ได้ อ้างว่าภารกิจยังไม่สำเร็จ ต้องโอนเงินเพิ่มอีก ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปอีก 12,000 บาท เมื่อทำภารกิจเสร็จ มิจฉาชีพแจ้งว่าผู้เสียหายทำภารกิจผิดพลาด ต้องติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อทำการแก้ไขแผนลงทุน จึงให้โอนเงินเพิ่มอีก 32,520 บาท เมื่อโอนเสร็จยังถอนไม่ได้ ต้องโอนเพิ่มอีก 32,520 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป แต่คนร้ายแจ้งว่าดำเนินการไม่สำเร็จ ให้โอนเงินเพิ่มอีกจำนวน 99,907 บาท แต่ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกแน่นอน จึงได้แจ้งความกับตำรวจไซเบอร์เพื่อดำเนินคดี โดยผู้เสียหายโดนหลอกโอนเงินไปทั้งสิ้น จำนวน 82,190 บาท 

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ บก.สอท.3 โดย กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3  ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายบุลากร อายุ 23 ปีชาวบางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็น 1 ในกลุ่มขบวนการดังกล่าวที่ถูกออกหมายจับ จึงทำการวางแผนเข้าจับกุม จนสามารถเข้าจับกุมตัวได้ขณะเดินอยู่ริมถนนหน้าบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.8 ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงแจ้งข้อหา“ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” จึงนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.๓,พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.๓ สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, ร.ต.อ.อาณัติ เข็มทอง รอง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนร่วมกันจับกุม

สตม. จับกุมชาวลาวแอบแฝงเข้ามา รบเร้า ชักชวน เสนอแนะบริการนำเที่ยว หน้าด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย – ลาว จ.หนองคาย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ปิยะอนันต์ โตสกุลวงศ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.สิทธิ์ศิริ กังวานกุล รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี ผกก.ตม.จว.หนองคาย, พ.ต.ท.ธียาฌพัตท์ รังสิพราหมณกุล รอง ผกก.ตม.จว.หนองคาย ร่วมแถลงข่าวการจับกุมชาวลาวแอบแฝงเข้ามา รบเร้า ชักชวน เสนอแนะบริการนำเที่ยว หน้าด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย – ลาว จ.หนองคาย 

วันนี้ (22 พ.ย.66) เวลาประมาณ 09.00 น. ชุดสืบสวน ตม.จว.หนองคาย ออกตรวจสอบคนต่างด้าวเข้ามารบเร้าชักชวนเสนอตัวนำเที่ยวใน สปป.ลาว บริเวณหน้าด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย –ลาว จ.หนองคาย ซึ่งสร้างความรำคาญแก่นักท่องเที่ยว พบ นายวันดี อายุ 60 ปี สัญชาติลาว และนายสวน  อายุ 63 ปี สัญชาติลาว ซึ่งแอบแฝงเข้ามาปะปนกับนักท่องเที่ยวบริเวณหน้าด่านฯ เข้ารบเร้าชักชวนนักท่องเที่ยวจะเดินทางข้ามไป สปป.ลาว ในลักษณะ  ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่นักท่องเที่ยวและสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดหนองคาย จึงได้ควบคุมตัวมาดำเนินคดีในข้อหา “ก่อความเดือดร้อนรำคาญ ฯลฯ ” นำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองหนองคาย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษาเลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top