Friday, 17 May 2024
Crimes

ศาลอาญาฯ สั่งจำคุก 2 ทะลุแก๊ส ‘คเชนทร์-ขจรศักดิ์’ กว่า 10 ปี ‘ปาระเบิดปิงปอง-วางเพลิงป้อมจราจร’ #ม็อบ30กันยา64

(18 ส.ค. 66) เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 66 ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ทางศาลได้มีการนัดฟังคำพิพากษาในคดีของ ‘คเชนทร์’ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี และ ‘ขจรศักดิ์’ (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี สมาชิกกลุ่มทะลุแก๊ส ในข้อหาหลัก คือ ฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องเคอร์ฟิวของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ร่วมกันมี / ใช้วัตถุระเบิดในครอบครอง ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อชีวิตและวัตถุได้ฯ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จากกรณีเข้าร่วมชุมนุม #ม็อบ30กันยา64 และถูกกล่าวหาว่าปาระเบิดปิงปองและระเบิดขวดเข้าใส่อาคาร สน.พญาไท และวางเพลิงป้อมจราจรที่แยกพญาไท ในช่วงหลังเที่ยงคืน ล่วงเข้าสู่วันที่ 1 ต.ค. 2564

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวตอนหนึ่งว่า…

“... ในเวลาประมาณ 02.00 น. ได้มีกลุ่มของผู้ชุมนุมรวมตัวกันและใช้วัตถุเพลิงขว้างปาบริเวณหน้า สน.พญาไท ซึ่งเจ้าหน้าที่ สน.พญาไท ได้แสดงกำลัง กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็ได้แยกย้ายกันบริเวณแยกพญาไท และใช้ระเบิดขวดปาไปที่ป้อมจราจรพญาไท แต่เจ้าหน้าที่ก็สามารถควบคุมเพลิงและดับไว้ทัน ไม่ได้เกิดความเสียหายต่อป้อมจราจรบริเวณแยกพญาไทแต่อย่างใด”

อย่างไรก็ตาม เช้าวันที่ 8 ต.ค. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมวัยรุ่นทั้ง 2 คน ที่บ้านพัก ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 7 ต.ค. 2564 พร้อมทั้งเข้าตรวจค้นที่พัก โดยไม่พบสิ่งผิดกฎหมายในห้องพักของคเชนทร์ ส่วนในห้องพักของขจรศักดิ์ ตำรวจพบระเบิดควัน (CS Smoke) 1 ลูก

นอกจากนี้ บันทึกการจับกุมยังระบุว่า คเชนทร์ได้ให้การเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2564 เวลาประมาณ 02.00 น. ขณะตนกําลังชุมนุมกับพวกอยู่ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ได้มีผู้ชักชวนไปหน้า สน.พญาไท จากนั้นได้รวมกลุ่มจักรยานยนต์ประมาณ 20 คัน มีเยาวชนไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริง ซ้อนท้าย เมื่อไปถึง หน้า สน.พญาไท ตนได้เร่งคันเร่งรถ และบีบแตรเพื่อให้เกิดเสียงดัง และเยาวชนที่ซ้อนท้ายได้ลงจากรถไปดูเหตุการณ์ จากนั้นได้ใช้เส้นทางเดิมกลับไปที่สามเหลี่ยมดินแดง

พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งสองตามหมายจับ ได้แก่ ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น, ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตราย, ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป, ร่วมกันพาอาวุธไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และออกนอกเคหสถานในเวลาห้าม (22.00 – 04.00 น.) และได้แจ้งข้อหาขจรศักดิ์เพิ่มเติมว่า มียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ชั้นสอบสวนทั้งให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ภายหลังการสอบปากคำทั้งสองถูกขังอยู่ที่ สน.พญาไท โดยพนักงานสอบสวนจะนำตัวฝากขังต่อศาลอาญาในวันรุ่งขึ้น (9 ต.ค. 2564) และไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยถูกคุมขังนาน 84 วัน ก่อนได้รับการประกันตัวในวันที่ 31 ธ.ค. 2564

ซึ่งในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 ได้ยื่นฟ้อง คเชนทร์ ในฐานะจำเลยที่ 1 และ ขจรศักดิ์ ในฐานะจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา ในฐานความผิด ดังนี้

จำเลยที่ 1 ถูกกล่าวหาในข้อหาร่วมกันมี / ใช้วัตถุระเบิดในครอบครอง ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อชีวิตและวัตถุได้ฯ, ร่วมกันมี / ใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ฯ, ร่วมกันกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ฯ, ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายฯ, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป โดยผู้กระทำมีอาวุธฯ, ร่วมกันพกอาวุธไปในเมืองฯ, และฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องเคอร์ฟิวของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ในกรณีของจำเลยที่ 2 เขายังถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเพิ่มจากจำเลยที่ 1 อีก 2 ข้อหา ได้แก่ มีวัตถุระเบิดที่ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในครอบครองฯ และมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ เนื่องจากในขณะที่จับกุม ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าเจอวัตถุระเบิดและแก๊สน้ำตาที่จำเลยที่ 2

สืบนครบาล และสืบ111 รวบ 'ไบร์ทบางโพ' นักย่องเบากลางคืนขโมยน้ำกระท่อม 50 ขวด

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดปราบปรามแก๊งโจรกรรมลักทรัพย์ประชาชนบริเวณที่พักอาศัยและแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนและกระทบการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรงเป็นวงกว้าง โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ สืบนครบาล IDMB และ นักเรียนสืบสวน111 ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนจากภาคประชาชนในพื้นที่ กรุงเทพฯ ว่ามีโจรย่องเบาร้านขายกระท่อมลักเงินสดประมาณ 5,000 บาท นํ้ากระท่อมบรรจุขวด ปริมาณ 1.5 ลิตร จำนวน 50 ขวด รวมความเสียหายเป็นเงิน 7,520 บาท

เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย , พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท ณัฐวุฒิ สีเสมอ , พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น สั่งการให้ชุดจับกุม นำโดย  พ.ต.ท.มาโนชย์  ทองแก้ว , พ.ต.ท.วุฒิพันธ์  ผอบทอง , พ.ต.ต.สมพร คำเกตุ , พ.ต.ต.กิติพัฒน์ ใจอารีรอบ สว.กก.สส.2 บก.สส.บช.น. พร้อม นักเรียนสืบสวนคดีอาญา รุ่น 111 ทำการจับกุมตัว นาย ฐิติวัฒน์ หรือไบร์ท ทองอยู่ อายุ 23 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 9 เชิงสะพานพิบูล (ฝั่งซ้าย) แขวงบางชื่อ เขตบางชื่อ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ 2519/2566 ลง 8 สิงหาคม 2566 ข้อหา ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ

โดยพฤติการณ์ในการกระทำความผิดคือ ผู้เสียหายได้มาเช่าร้านค้า ซึ่งตั้งอยู่ ภายในซอยรัชดาภิเษก 36 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อใช้สำหรับเปิดร้านขายกระท่อม และผู้เสียหายได้ขายกระท่อมเรื่อยมา ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 03.15 น. ผู้กล่าวหาได้ทำการปิดร้านค้า เพื่อกลับไปพักผ่อนที่พักอาศัยอยู่ที่คอนโด ต่อมาเวลาประมาณ 12.00 น. (ของวันเดียวกัน) ผู้เสียหายได้มาเปิดร้านค้าเพื่อขายกระท่อม ปรากฎว่าเมื่อเข้าไปภายในร้านค้าพบว่า ทรัพย์สินภายในร้านค้าได้หายไป ประกอบด้วย  เงินสดประมาณ 5,000 บาท นํ้ากระท่อมบรรจุขวด ปริมาณ 1.5 ลิตร จำนวน 50 ขวด ราคาประมาณ 2,500 บาท ใบกระท่อมสด 1 ถุง ราคา 20 บาท รวมทรัพย์สินที่หายไปจำนวน 3 รายการ รวมความเสียหายเป็นเงิน 7,520 บาท และตรวจพบว่าปลั๊กกล้องวงจรปิดได้ถูกดึงออก จากนั้นผู้เสียหายจึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่เชื่อมไว้กับโทรศัพท์ของผู้เสียหาย จากการตรวจสอบพบว่าเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 03.57 น. มีผู้ชาย สวมเสื้อแจ๊คเก็ต สวมกางเกงขายาว  และสวมรองเท้าผ้าใบ โดยผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายฐิติวัฒน์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่เคยมาซื้อกระท่อมกับทางร้าน โดยเข้ามาภายในร้านและทำการรื้อค้นทรัพย์สินภายในร้าน และลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ให้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุตามกฎหมายจนกว่าคดีถึงที่สุด

จากการตรวจสอบประวัติคดีอาญา พบมีประวัติ ดังนี้ 
1.ปี 2558 มีคดีข้อหา พาอาวุธปืนไปในเมืองฯ
2.ปี 2561 มีคดีข้อหา เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 5
3.ปี 2564 มีคดีข้อหา ครอบครองยาเสพติดประเภท 5
4.ปี 2566 ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า นโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้จัดชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่เป็นภัยต่อสังคม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกประเภท ซึ่งมีผลกระทบกับการดำเนินชีวิตปกติของประชาชน

ตร.ไซเบอร์จับอดีต รปภ. ผันตัวรับบท ผกก.เมืองเชียงราย โทรหลอกคุณหมอโอนเงินกว่า 101 ล้าน

สืบเนื่องจากกรณีอดีตแพทย์อายุรกรรม และ อดีต ผอ.ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาเกษียณราชการได้ถูกหลอกโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายกว่า 101 ล้านบาท โดยมิจฉาชีพหลอกว่ามีพัสดุผิดกฎหมายแล้วปลอมตัวเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย สนทนาเพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว จนสามารถหลอกให้โอนเงินไปทั้งสิ้น 101,871,381 บาท โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ เดือน ก.ย.65 ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ออกสืบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานกลุ่มขบวนการที่เกี่ยวข้อง จนสามารถออกหมายจับและจับกุมไปได้แล้วหลายราย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ลงพื้นที่สืบสวนหาข้อมูลจนทราบว่ามีผู้ต้องหาสำคัญในขบวนการดังกล่าวและยังเป็นบุคคลตามประกาศสืบจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 (ลำดับที่ 249) มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.5 ต.ท่าด้วง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ จึงวางแผนเข้าจับกุมและสามารถจับกุมตัว นายชลวิชา อายุ 33 ปี ชาวสมุทรสาคร ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ และร่วมกันฟอกเงิน”

โดยผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่า เดิมเคยประกอบอาชีพเป็น รปภ. แต่มีปัญหาทางการเงินจึงสมัครงานผ่านเพจหางานคาสิโนในเฟชบุ๊ก โดยแอดมินเพจแจ้งเพียงว่ามีลักษณะการทำงานเป็นแอดมินตอบโต้ลูกค้า จึงเดินทางข้ามชายแดนทางพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แล้วมีคนมารับข้ามไปยังประเทศกัมพูชา

เมื่อไปถึงกลับพบว่าเป็นการทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงเหยื่อโอนเงิน โดยจะมีคนสอนให้พูดตามสคริปต์ให้รับบทเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย มีสัญญาการทำงาน 6 เดือน มีค่าตอบแทน 30,000 บาทต่อเดือน และจะได้รับค่าคอมมิสชั่นเพิ่มหากทำงานถึงยอดตามเป้า เมื่อครบกำหนด 6 เดือน จึงเดินทางกลับมาประเทศไทยและถูกจับกุมในที่สุด    

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.พงศ์นริทร์ 
เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.นฤภัทร เทียนชัยทัศน์, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์, 
พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ และ พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘สืบสวนนครบาล’ ทลาย ‘แก๊งไข่หวง’ 4 เจ้าพ่อยาเสพติดไต้หวัน บุกรวบคาเซฟเฮ้าส์หรู พบยัดไอซ์ในเพลารถ เตรียมส่งข้ามชาติ 

(19 ส.ค. 66) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผบ.ตร./ ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ประจำ, พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ/ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วิชัย สมสกุล ผกก.กก.สส.บก.น.1, พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส. 4/ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.บดินทร์ ร้อยกรอง, พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว, พ.ต.ท.ทศพร พวงทอง, พ.ต.ท.เรวัช ประจวบสุข, พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ, ร.ต.อ.ธนัชพงศ์ วัชรราศีวิทย์, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น เจ้าหน้าที่ชุด ศอ.ปส.ตร.ชุดที่ 5 เจ้าหน้าที่ชุดสืบนครบาล และเหล่านักเรียนหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 111 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) อายุ 34 ปี, นายหลี่ หมิง เจิ้น (Mr.Lee Ming Chang) อายุ 26 ปี โดยจับกุมตัวได้ที่ บ้านเลขที่ 89/19 แขวงคลองสองตันนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร

และจับกุมตัว นายเซิง เยี่ยน หมิง (Mr. Tseng, Yen-Ming) อายุ 31 ปี, นายหลิน เฉอ เฉิง (Mr.Lin Che-Cheng) อายุ 24 ปี, นายเฉิน ยี่ เหวิน (Mr.Chen, Yi-Wen) อายุ 23 ปี, นายชู ชุน เยน (Mr.Chu Chun Yen) อายุ 22 ปี ทั้ง 6 คนเป็นชาวไต้หวั่น และนายอภิญญา อุดม อายุ 24 ปี จับกุมตัวได้ที่ บ้านเลขที่ 111/30 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรสาคร

พร้อมของกลาง แท่งเหล็กเพลากลางรถบรรทุก จำนวน 17 แท่ง, ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) จำนวน 1,057 กรัม, กัญชา จำนวน 10 กิโลกรัม, เครื่องมืออุปกรณ์เพื่อตัดแปลงท่อนเพลา เพื่อใช้ซุกซ่อนยาเสพติด กว่า 15 รายการ, ยาไฟว์ไฟว์ จำนวน 29 เม็ด, เครื่องปั่นใช้ผสมยาเสพติด จำนวน 2 เครื่อง, เคตามีน จำนวน 17 กรัม, ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (แฮปปี้วอเตอร์) จำนวน 1 ชอง

พล.ต.อ.ชินภัทร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากช่วงเดือน ส.ค. 66 พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ได้รับแจ้งจากสายลับ ‘กลุ่มชายชาวไต้หวันสักลาย’ ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติสั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ส่งชุดสืบสวนนครบาลและนักเรียนสืบสวนคดีอาญา 111 สะกดรอยแก๊งชาวไต้หวั่นใช้แท่งเพลารถขนยาเสพติดข้ามชาติ

จากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มแก๊งชาวไต้หวั่นระดับราชายาเสพติดไต้หวัน 4 ราย โดยให้ชื่อ ‘แก๊งไข่หวง’ เนื่องจากผู้สั่งการรายใหญ่ชื่อ ‘ไข่หวง’ อยู่ประเทศไต้หวั่น โดยแก๊งผู้ต้องหาดังกล่าวได้ถูกทางการไต้หวันออกหมายจับตามล่า จึงหลบหนีมาอยู่ในประเทศไทย จากการตรวจสอบพบว่า มีการทำงานเป็นขบวนการ โดยให้ทีมงานมาเช่าหมู่บ้านหรูใจกลางกรุงย่านกรุงเทพกรีฑา โดยเช่าบ้านเดือนละ 60,000 บาท ใช้เป็นพื้นที่ในการรับ-ส่งออกยาเสพติด ใช้บริการรถจักรยานยนต์ขนส่งตลอดทั้งวัน ชุดสืบสวนจึงได้แผนนำวางกำลังซุ่มโปร่งแอบดูจนพบว่า มีซุกซ่อนแท่งเพลา 17 แท่ง ห่อแร็บเตรียมส่งออกนอกไปนอกประเทศ

ต่อมาเวลา 08.10 น. ของเช้าวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายแท่งเพลาไปขึ้นเรือขนส่งทางทะเล พล.ต.ต.ธีรเดช พร้อมทีมชุดสืบสวน นำหมายค้นศาลอาญามีนบุรีที่ 535/2566 ลงวันที่ 17 ส.ค. 66 บุกเข้าเซฟเฮ้าส์ บ้านเลขที่ 89/19 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง จ.กรุงเทพมหานคร พบนายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) และนายหลี่ หมิง เจิ้น (Mr.Lee Ming Chang) อยู่บริเวณดังกล่าว ท่าทางมีพิรุธ ก่อนตรวจสอบท่อนเพลาดังกล่าว จากการตรวจสอบพบของกลางยาไอซ์และกัญชาร่วงออกมาจำนวนมาก และยังพบอุปกรณ์การเชื่อมเหล็ก หินเจีย และอีกหลายรายการที่มีไว้เพื่อตัดแปลงท่อนเพลา เพื่อใช้ซุกซ่อนยาเสพติด ก่อนนำส่งออกไปยังประเทศไต้หวัน

จากการตรวจสอบขยายผลนายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) หัวหน้าขบวนการก่อนนำพาเจ้าหน้าที่ไปบุกไปที่ บ้านเลขที่ 111/30 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นที่กบดานของแก๊งไข่หวงที่ผลิตยาแฮปปี้วอเตอร์ และใช้เป็นพื้นที่ ‘ปาร์ตี้ยา’ พบของกลางยาเสพติด ยาไอซ์, เคตามีน,ไฟว์ไฟว์ และแฮปปี้วอเตอร์ จำนวนหลายรายการ รวมไปถึงของจำพวก ซองเปล่า, เครื่องปั่น เพื่อใช้ใส่ยาแฮปปี้วอเตอร์ในจำนวนมาก ก่อนพบและจับกุมผู้ต้องหาในบ้านได้อีกกว่า 5 ราย ขณะพยายามวิ่งหลบหนีเจ้าหน้าที่ขึ้นชั้นบน เพื่อทำลายพยานหลักฐานในบ้าน

พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เดินทางมาควบคุมขยายผลด้วยตัวเองก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย พร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสอบสวนนายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) หัวหน้าขบวนการแก๊งไข่หวง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อ 7 เดือนก่อน ตนได้ถูกตำรวจไต้หวันจับกุมที่ประเทศไต้หวัน และออกข่าวดังเพราะเป็นขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ แต่ได้จ้างทนายสู้คดีและประกันตัวออกมา ก่อนจะหนีออกนอกประเทศไต้หวันด้วยการแอบขึ้นเรือสินค้า เป็นเวลากว่า 15 วัน จนถึงประเทศกัมพูชา จากนั้น จึงค่อยเดินทางเข้ามาตั้งฐานทัพใหม่ในประเทศไทย จนทางการไต้หวันได้ออกหมายจับและตามล่าตน

โดยปัจจุบันตนมาตั้งฐานทัพที่ประเทศไทยและอยู่ระหว่างค้นหาวิธีการที่จะส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศไต้หวัน โดยมีผู้ร่วมขบวนการชื่อว่า ‘เสี่ยวผ้าง’ ซึ่งอยู่ในประเทศไต้หวัน และคอยรอรับยาเสพติดจากตนที่ส่งไปจากประเทศไทย ตนได้เห็นจากข่าวเรื่องการลักลอบขนส่งยาบ้า และเฮโรอีนโดยทำการผ่ายัดลงไปในเพลารถ และเชื่อมเพื่อปกปิดทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย จึงลองนำมาใช้ โดยตนนั้นได้ขับรถไปซื้อเพลารถที่ จ.ชลบุรี โดยยาเสพติดที่หามานั้นซื้อมาจากเพื่อนชาวไต้หวัน ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ จำนวน 1 กก. ในราคา 230,000 บาท และซื้อกัญชา มาจากร้านค้าทั่วไปในกรุงเทพฯ จำชื่อร้านไม่ได้ โดยซื้อมาจำนวน 40 กก. ในราคา 70,000 บาท และจะชำระเงินกันผ่านช่องทางแพลตฟอร์ม Cryptocurrency สกุลเงิน usdt หลายแอปพลิเคชัน หากหลุดรอดไปได้จากขายได้ 10 เท่า เพิ่มเป็น 7 แสนบาท หากนำไปแบ่งขายได้ประมาณ 2.5 ล้านบาท

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า คนร้ายกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นสมาชิกแก๊งขนส่งยาเสพติดข้ามแดนรายใหญ่ ที่ทางการประเทศไต้หวันต้องการตัว จากการขยายผลหัวขบวนการรายนี้ถูกตามล่าจากทางการไต้หวัน จึงหลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติเพื่อกบดาน และใช้ประเทศไทยเป็นฐานสร้างเครือข่ายในการขนส่งยาเสพติดกลับไปยังประเทศไต้หวัน และล่าสุดแก๊งนี้กำลังทดลองเพื่อส่งออกยาไอซ์แต่ทำไม่สำเร็จถูกจับกุมเสียก่อน

หลังปฏิบัติการนี้ ทางการเจ้าหน้าที่ไต้หวันได้ประสานงานมาที่ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ในทันทีเพราะผู้ต้องหาในขบวนการนี้เป็นที่ต้องการตัวของทางการไต้หวันเป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะขยายผลร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันให้ถึงที่สุด เพราะปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติที่หยั่งรากฝังลึกในสังคมไทย และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมาก

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบนโยบายในการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระเร่งด่วนลำดับแรก และสั่งการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทุกมิติ และขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากมีเบาะแส สามารถแจ้งได้ที่ Facebook เพจ ‘สืบนครบาล IDMB’ ตลอด 24 ชั่วโมง

สุดเศร้า ‘เจ้าของร้านอาหารไทย’ ในเบอร์ลิน ถูกฆาตกรรม คนไทยในเยอรมนี ร่วมอาลัย ตร.เร่งสืบสวนหาความจริง

(19 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจ ‘พ่อบ้านเยอรมัน’ ได้เปิดเผยว่า พบศพคาดว่าเป็นหญิงไทย บริเวณใจกลาง Schöneberg ประเทศเยอรมนี ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนอย่างเร่งด่วน

ทั้งยังเปิดเผยเพิ่มเติม โดยอ้างอิงเว็บไซต์ berlin.de ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นประมาณเวลา 00.50 น. ที่บริเวณ Fuggerstr. ซึ่งหลายสำนักข่าวหลายสำนักรวมไปถึงคนไทยหลายท่านที่ Berlin ระบุว่าเป็นหญิงไทย แต่พ่อบ้านขอรอจากทางตำรวจแถลงอีกครั้งเพื่อความชัวร์ที่สุด

ในเบื้องต้นไม่ได้เป็นการเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามธรรมชาติหรืออาการเจ็บป่วย แต่พ่อบ้านขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดถึงลักษณะของการเสียชีวิต เพราะเคารพถึงใจของญาติผู้เสียหาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตคือเจ้าของร้าน ‘Thai-Art’ ที่เบอร์ลิน โดยยังจับคนร้ายไม่ได้ ซึ่งร้านดังกล่าว เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยมาก

พร้อมกันนี้ยังได้แนบข่าวจากเว็บไซต์ bz-berlin ที่ระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงวัย 61 ปี ได้รับบาดเจ็บที่คอ

ทั้งนี้ สำหรับผู้เสียชีวิตนั้น จะบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรม ที่วัดพุทธวิหาร กรุงเบอร์ลิน

โลกออนไลน์ ยังได้ร่วมกันแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ‘คุณกุ้ง’ เจ้าของร้าน Thai-Art จำนวนมาก

‘ชัยวุฒิ’ ขีดเส้น 1 เดือน ปิดกั้น ‘เฟซบุ๊ก’ ไม่ให้บริการในไทย หลังตรวจพบ ‘รับเงินยิงโฆษณา’ จากเพจหลอกลวง ปชช.

(21 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ดีอีเอส จะดำเนินการฟ้องต่อศาล เพื่อขอคำสั่งปิดกั้นแพลตฟอร์ม เฟซบุ๊ก ไม่ให้บริการในไทย หลังจากที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก ได้มีการรับเงินโฆษณาจากเพจปลอมเพื่อเป็นสปอนเซอร์ที่หลอกชักชวนลงทุน จนเกิดความเสียหายต่อคนไทยจำนวนมาก โดยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท โดยจากสถิติการหลอกลวงลงทุนผ่านโซเซียลมีเดียกว่า 70% เป็นการหลอกลวงผ่าน เฟซบุ๊ก และจำนวน 90% เป็นการหลอกขายของออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก

“ที่ผ่านมาเฟซบุ๊กมีการรับเงินจากเพจเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นรายได้เข้าบริษัท แต่กลับไม่มีการตรวจสอบ และสกรีน ว่าเป็นเพจที่หลอกลวงหรือไม่ แต่กลับปล่อยให้เพจเหล่านี้มาหลอกลวงคนไทยจำนวนมาก แม้ที่ผ่านมา ดีอีเอส จะรวบรวมเสนอศาลขอคำสั่งปิดแต่เพจเหล่านี้ก็จะไปเปิดใหม่ เหมือนแมวไล่จับหนู ไม่จบสิ้น”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จะมีการแนะนำให้ผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีกับแพลตฟอร์มด้วย ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาด้วย ขณะที่ทางดีอีเอสจะประสานกับทางตำรวจทำการรวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องต่อศาลเพื่อปิดกั้นแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กไม่ให้บริการในไทย เนื่องจากผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการสมคบกับผู้กระทำผิด โดยการรับเงินโฆษณาจากมิจฉาชีพเหล่านี้ ซึ่งจะขออำนาจศาลปิดภายใน 1 เดือน 

“เป็นการทำตามหน้าที่ ที่ต้องเสนอปิดกั้น ที่ผ่านมาพบการซื้อโฆษณามาหลอกลวงคนไทยจำนวนมาก โดยจะดำเนินการภายในเดือนนี้ แล้วก็มีดุลยพินิจของศาลว่าจะมีคำสั่งปิดกั้นหรือไม่ เป็นอำนาจของศาล และแพลตฟอร์มก็มีสิทธิร้องคัดค้าน ส่วนจะเป็นการกระทบสิทธิของผู้ใช้งานทั่วไปหรือไม่นั้น ก็คงต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณา และก็ไม่กลัวทัวร์ลง โดยตนจะขอทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ฟ้องเฟซบุ๊กเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด ถือเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนลงจากตำแหน่ง”

ด้าน พล.อ.ต. อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เปิดเผยว่า สกมช.ได้ทำการสำรวจ เรื่อง เฟก แอด ในโซเชียลมีเดีย หรือสื่อสังคมออนไลน์ ที่เป็นการหลอกลวง พบว่า คนไทยกว่า 70% พบโฆษณาหลอกลวง บนโซเซียลมีเดีย มากกว่า 50% ของโฆษณาทั้งหมดในแต่ละวัน โดยโฆษณาหลอกลวง ที่พบมากที่สุดเป็นเรื่อง หลอกให้ลงทุนกว่า 52% รองลงมา ชักชวนเล่นพนัน 43% หลอกขายของถูกเกินจริง 40% หลอกทำงาน 24% และอื่น ๆ 14%

ปัจจุบันมีโฆษณาหลอกลวงบนโซเซียลมีเดียจำนวนมาก ทั้งที่ซื้อโฆษณา และที่โฆษณาแฝง เช่น ชักชวนเล่นพนัน และหลอกลวงลงทุน จึงอยากเตือนประชาชน ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ของโฆษณาต่าง ๆ บนโซเซียล มีเดีย อย่าหลงเชื่อง่าย ๆ และหากพบเห็นขอให้ช่วยรายงาน ไปที่ เจ้าของแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่ให้บริการในไทย ซึ่งผู้ให้บริการเหล่านี้ก็พร้อมที่จะตรวจสอบ และทำการแก้ไข ระงับ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานหลงเชื่อ หรือตกเป็นเหยื่อโฆษณาเหล่านี้

‘ลูกทาสยา’ อาละวาดถือมีดหวังฆ่าตัดคอ ‘พ่อ’ ตัวเอง ต้องหนีตายขอความช่วยเหลือ ล่าสุดตร.คุมตัวแล้วเรียบร้อย

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.66) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งจากชาวบ้านบ้านนาหยาด ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่า มีเหตุลูกชายหลอนยาอาละวาดวิ่งถือมีดจะไล่ฆ่าตัดคอพ่อตัวเอง จนพ่อต้องหนีตายมาขอความช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อมาตร.สายตรวจรถยนต์พร้อมอุปกรณ์ไม้ง่าม จึงเดินทางไปที่เกิดเหตุที่บ้านหลังหนึ่งในซอยกลางหมู่บ้าน

เมื่อไปถึงพบกับผู้ก่อเหตุทราบชื่อคือนายนิรันทร์ อินทร์กง หรือ ‘เหน่ง’ อายุ 30 ปี กำลังนอนเล่นกับลูกชายอยู่เปลหน้าบ้าน ตำรวจหวั่นเกรงหนุ่มรายนี้จะหลอนยาฆ่าปาดคอลูกอีก เมื่อเห็นตำรวจนายเหน่งพยายามวิ่งหนี ตำรวจจึงกรูเข้าไปล้อมจับกุมเอาไว้ได้ก่อนจะหลบหนี โดยนายเหน่งมีอาการตกใจ ทำไมมาจับเรื่องอะไร

ขณะที่ตำรวจก็ถามว่า ทำร้ายพ่อไหม นายเหน่งบอกว่าบอกอย่างเสียงดัง ทั้งนั่งยันนอนยัน ไม่ได้ทำร้ายพ่อ ขณะที่ตำรวจถามว่ารอยเลือดที่แผ่นหลังและหยดตามพื้นบ้านคืออะไร แต่นายเหน่งตอบไม่ได้ พูดวกไปวนมาเหมือนคนเมาเหล้าและหลอนยา บอกแค่ว่าพ่อล้มใส่มีดเอง และตำรวจสังเกตว่า ตามลำตัวสักยันต์เต็มแผ่นหลังและหน้าท้องด้วย จึงได้ควบคุมตัวไปยัง สภ.เมืองอุดรธานี

ขณะเดียวกัน นายสมภาร อายุ 56 ปี ผู้เป็นพ่อ มีชาวบ้านได้นำส่งรพ.ศูนย์อุดรธานี เนื่องจากถูกลูกชายใช้ของมีคมฟันเข้าที่ศีรษะด้านซ้ายเป็นแผลฉกรรจ์และเลือดอาบเต็มใบหน้า ผู้เป็นพ่อบอกว่า โดนลูกชายทำร้ายร่างกายใช้มีดไล่ฟัน บอกว่าจะฆ่าตัดคอให้ตาย

ขณะที่ตอนที่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่ลูกชายจะง้างมีดฟันลูกชายที่ไปกินเหล้าในงานศพข้างบ้าน มีอาการเมาหลอนยามา ตนก็ด่าว่าเมาได้ทุกวี่ทุกวัน ลูกชายคงโกรธบอกว่า มาหาว่าลูก จะฆ่าตัดคอให้ตาย ตนก็นึกว่าพูดเล่น แต่เห็นถือมีดปลายแหลมง้างมีดจะตัดคอ ตนหลบทันโดนแค่เฉียดเท่านั้น จากนั้นก็วิ่งหนีตายออกมาขอความช่วยเหลือชาวบ้านรอดตายหวุดหวิด

สำหรับนายเหน่งคนนี้หลอนยาแบบนี้ทำวัน เราเป็นชาวบ้านตาดำๆ กลัวจะถูกลูกหลงไม่รู้จะโดนฆ่าตายวันไหน อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งปราบยาเสพติดให้สิ้นซากเสียที

‘ตร.’ เตือนประชาชนระวังแก๊งหลอกลงทุนออนไลน์ ตุ๋นหมดตัว แฉกลโกง ใช้รูปผู้บริหาร-โลโก้บริษัทใหญ่มาล่อเหยื่อให้ติดกับ

(23 ส.ค. 66) สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. / หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน เนื่องจากในช่วงนี้มีคนร้ายแอบอ้างชื่อหรือใช้โลโก้ของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ต่างๆ แล้วหลอกให้ลงทุน เป็นเหตุให้มีประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก จึงได้ร่วมกันแถลงข่าวให้ประชาชนทราบ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. กล่าวว่า สถิติการรับแจ้งความออนไลน์ วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 กรกฎาคม 2566 รับแจ้ง 300,000 กว่าเคส ความเสียหายกว่า 41,000 ล้านบาท สถิติการรับแจ้งความหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในห้วงเวลาเดียวกัน รับแจ้ง 24,000 กว่าเคส คิดเป็น 8.14 % ของสถิติการรับแจ้งทั้งหมด ความเสียหายกว่า 12,000 ล้านบาท คิดเป็น 35 % ของความเสียหายทั้งหมด สำหรับสถิติการหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ในห้วงสัปดาห์ที่แล้วอยู่อันดับ 6 สัปดาห์นี้พุ่งมาอยู่อันดับ 4 โดยรับแจ้ง 274 เคส ความเสียหาย 188 กว่าล้านบาท

จึงได้เชิญ นางสาวอาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และ ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ประเทศไทย บ.อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด มหาชน มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้

พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. กล่าวว่า การหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นมากในช่วงเดือน พฤษภาคม - กรกฎาคม 2566 คนร้ายใช้วิธีการหลอกผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ 5 อันดับ ดังนี้

1.) Facebook 145 เคส 107,593,333.39 บาท
2.) Website 34 เคส 8,604,561.4 บาท
3.) Line 7 เคส  815,7381.30 บาท
4.) Twitter 1 เคส 7,000 บาท
5.) TikTok 1 เคส 60,6000 บาท

โดยนำรูปผู้บริหารและใช้โลโก้บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น CP AMATA คาราบาวแดง และเครื่องหมายและมีโลโก้ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ ช่วงแรกหลอกให้ลงทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ได้ผลตอบแทน 30-70% เมื่อเหยื่อหลงเชื่อทักไปสอบถาม จะเป็นการสนทนาทาง Messenger (ส่วนใหญ่เป็นระบบอัตโนมัติ) จากนั้นจะแนะนำอาจารย์ หรือโค้ด หรือโบรกเกอร์ เพื่อให้คุยทาง Line หรือเข้ากลุ่ม Open Chat พูดคุยกับสมาชิก แล้วให้เริ่มลงทุน โดยมีหน้าม้าอ้างว่าลงทุนตามที่ได้มีการแนะนำสามารถสร้างกำไรได้ โพสต์ภาพสลิปรับโอนเงินผลตอบแทนให้เหยื่อหลงเชื่อ

ในช่วงแรกเมื่อเหยื่อโอนเงินเพื่อลงทุน คนร้ายจะโอนเงินทุนพร้อมกำไรคืนให้เหยื่อ จากนั้นจะชวนเข้ากลุ่ม VIP มีสมาชิก 5-6 คน เพื่อร่วมกันลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น โดยมีผู้แนะนำการลงทุน 1 คน ที่เหลือก็จะเป็นหน้าม้า ร่วมกันหลอกเหยื่อให้โอนเงินลงทุน หากเหยื่ออยากยกเลิกการลงทุน หน้าม้าจะอ้างว่าหากยกเลิกหรือถอนการลงทุน จะทำให้คนอื่นไม่สามารถถอนเงินได้ และผลประโยชน์ที่ลงทุนไปพร้อมผลตอบแทนที่ปรากฏในหน้าเว็บไซต์ (ปลอม) ก็จะไม่ได้รับคืน จึงต้องลงทุนเพิ่ม สุดท้ายเสียเงินไปจำนวนมาก

โดยมีจุดสังเกต ดังนี้
1.) มี Blue Badge หรือเครื่องหมายบัญชีทางการ สีน้ำเงินหรือสีเขียวหลังชื่อเพจ ที่ส่วนใหญ่บริษัทที่มีตัวตนจริงจะยืนยันข้อมูลไว้กับทาง facebook

2.) การโอนเงินลงทุนใดๆ ที่ใช้เงินน้อย รายได้ดี มีผลตอบแทนสูง ไม่มีอยู่จริง หากผลตอบแทนสูงมากขนาดนี้ คนร้ายคงลงทุนด้วยตนเอง

3.) ในการลงทุน คนร้ายให้เหยื่อกดลิงก์เข้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันปลอม ที่คนร้ายสร้างขึ้นมาให้เหมือนของจริง (เหมือนเฉพาะรูปภาพ แต่ URL จะต่างจากของจริง) และเมื่อเหยื่อโอนเงินลงทุน ในระบบจะขึ้นยอดเงินแสดงให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นยอดเงินจริง ซึ่งความจริงแล้วเป็นเพียงตัวเลขในอากาศที่คนร้ายนำมาหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อเท่านั้น

วิธีการในการป้องกัน คือ

1.) ไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์โฆษณาแปลกปลอม หรือกดเพิ่มเพื่อนไลน์ในรูปแบบสแกน QR Code หรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID Line จากคนที่ไม่น่าเชื่อถือ

2.) หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ Apple Store เท่านั้น อย่าเชื่อคำแนะนำของคนร้ายให้กดเข้าบราวเซอร์อื่น

3.) ควรลงทุนในบริษัทหรือผู้ให้บริการในตลาดทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. โดยตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  https://www.set.or.th

4.) ทำการ copy URL จากเว็บไซต์ลงทุนที่คนร้ายให้มาในใส่ในเว็บไซต์ https://whois.domaintools.com จะเห็นอายุ (Dates) ของเว็บไซต์ว่าเปิดมานานเท่าไรแล้ว  หากเพิ่งเปิดมาร 2-3 เดือน ก็ไม่น่าเชื่อถือ

ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคนิควิศวกรรมและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ในประเทศไทย บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการที่มีเพจปลอมยังระบาดต่อเนื่อง สร้างผลกระทบให้กับประชาชน ต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง อมตะ มีความไม่สบายใจ และไม่เคยนิ่งนอนใจ อมตะได้มีการติดตามและดำเนินการทางกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง และได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่มาโดยตลอด จนสามารถมีความคืบหน้าในการจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง และทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการติดตามอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ประชาชนต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะให้สังเกตเพจของกลุ่มมิจฉาชีพจะมีการตั้งขึ้นมาใหม่ มีอายุไม่นาน ในขณะที่เว็บไซต์ และเพจของกลุ่มอมตะ มีการจดทะเบียนและก่อตั้ง ในปี 2012 ซึ่งมีอายุการดำเนินงานมากกว่า 10 ปี เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของอมตะ และขอให้สังเกตจากเครื่องหมาย Blue Badge หรือเครื่องหมายถูกสีฟ้า ที่แสดงบัญชีทางการว่าเป็น Page หลักของอมตะ

ในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เน้นย้ำการเชิญชวนเพื่อลงทุนใด ๆ จะต้องดำเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์อย่างเคร่งครัด และผ่านตัวแทนโบรกเกอร์ หรือที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่มีการเสนอ หรือเชิญชวนให้ประชาชน มาลงทุนผ่าน Facebook หรือติดต่อผ่านระบบ Line ที่ใช้วิธีการจูงใจให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่สูงผิดปกติจากความเป็นจริง ไม่ว่าจะใช้ชื่อเพจว่าอะไรก็ตาม

ดังนั้น ขอให้ประชาชนมีการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน หากมีข้อสงสัย ให้สอบถามมายังเจ้าหน้าที่ของบริษัท ที่จะสามารถตอบข้อเท็จจริงและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการลงทุนที่ต้องเสียเงินและทรัพย์สิน
ทั้งนี้ ประชาชน และนักลงทุน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 061-035-0007 และ 02-792-0000

นางสาวอาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับปัญหาของภัยหลอกลงทุนซึ่งมีหลากหลายรูปแบบและแพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากขึ้นในสื่อสังคมออนไลน์ สร้างความเสียหายแก่ประชาชน ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการแจ้งเตือนผู้ลงทุนผ่านช่องทางเว็บไซต์ ก.ล.ต. ในหัวข้อ ‘Investor Alert’ การดำเนินคดีตามกฎหมายกรณีแอบอ้างชื่อหรือโลโก้ของ ก.ล.ต. การประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ รวมถึงช่องทางของเครือข่ายหน่วยงานในตลาดทุนเพื่อกระจายข่าวสารแจ้งเตือนภัยหลอกลงทุนให้ขยายวงกว้างออกไปยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ไม่ได้รับรองหรือรับประกันผลิตภัณฑ์ ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบธุรกิจ หรือผลตอบแทนในการลงทุน ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถเช็กรายชื่อผลิตภัณฑ์ บุคคล หรือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตได้ที่ แอปพลิเคชัน SEC Check First หรือ

หรือ สอบถามหรือแจ้งเบาะแสได้ที่ โทร 1207

นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า  ปัจจุบันมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นสื่อกลางทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก ครอบคลุมลักษณะและประเภทธุรกิจที่หลากหลาย มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น  สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)  หน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงได้ออกพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ขึ้น เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและยอมรับในระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อสาธารณะชน โดยกำหนดให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นธุรกิจบริการที่ต้องแจ้งให้ทราบ รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและการควบคุมดูแลเพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลแพลตฟอร์ม ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลจัดทำแนวปฏิบัติที่ดี หรือมีกลไกในการกำกับดูแลตนเองที่เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยพระราชกฤษฎีกานี้ได้เริ่มบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พล.ต.ต.ชูศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงนี้มีเว็บไซต์รับแจ้งความออนไลน์ปลอม โดยคนร้ายโฆษณาผ่านเพจ facebook ปลอม เมื่อเหยื่อเข้าไปค้นหาหน่วยรับแจ้งความออนไลน์ เพจกลุ่มนี้จะซื้อโฆษณาจาก facebook ทำให้เพจขึ้นมาในในระบบค้นหาจากเว็บ Search Engines ต่างๆ ทั้ง Google Bing safari เป็นต้น เมื่อเหยื่อหลงเชื่อกดเข้าเว็บไซต์หรือเพจ facebook ก็จะคุยกับระบบ AI  และให้เพิ่มเพื่อนไลน์คนร้าย จากนั้นส่งต่อให้คนร้ายที่อ้างตัวเป็นทนายความเพื่อหลอกถามข้อมูล แล้วจะอ้างว่า ได้ทำการตรวจสอบเส้นเงินแล้ว พบว่าเงินออกนอกประเทศไปแล้ว และคนร้ายใช้บัญชีม้า ทำให้ตามเงินกลับมาไม่ได้ แต่ว่าเงินยังฟอกไม่สำเร็จ และรู้ว่าเงินเข้าสู่แพลตฟอร์มไหน จากนั้นส่งต่อให้คนร้ายที่อ้างตัวว่าเป็นทีม IT สามารถโจมตีแพลตฟอร์มนี้ เพื่อนำเงินคืนมาให้ได้ จากนั้นส่งต่อให้หัวหน้าของคนร้ายที่เป็นเจ้าหน้าที่  IT อ้างว่า ขณะนี้เงินของเหยื่อได้เข้าสู่แพลตฟอร์ม เว็บพนันออนไลน์ แต่จะช่วยโจมตีเว็บไซต์ดังกล่าวให้ โดยให้เหยื่อสมัครและเล่นในเว็บไซต์พนัน โดยอ้างว่า ไม่ได้พามาเล่นการพนันแต่เป็นการพามากู้เงินคืนจากเว็บไซต์ โดยจะทำการโจมตีให้เหยื่อ แต่มีข้อแม้ต้องใช้เงินตัวเองยิ่งเติมเยอะยิ่งได้คืนมาก และเร็ว ทำได้แต่บางช่วงเวลาของวันเท่านั้น ไม่งั้นเซิร์ฟเวอร์จะตรวจพบ และ ขอหักเงิน 10% เพื่อเป็นค่าทนาย จากรายได้ที่ได้จากการโจมตี เหยื่อหลงเชื่อเพราะคิดว่าจะได้เงินคืน สุดท้ายเสียเงินเพิ่ม

โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้

1.) ไม่มีหน่วยงานราชการหน่วยงานใดให้ประชาชนโอนเงิน เพื่อเล่นเว็บพนันออนไลน์หรือโอนเงินให้ทำอะไรก็ตาม 
เพื่อให้ได้เงินคืน

2.) หากต้องการแจ้งความออนไลน์ให้แจ้งความผ่านระบบ www.thaipoliceonline.com หรือแจ้งความสถานีตำรวจท้องที่ได้ทั่วประเทศ

3.) หากมีข้อสงสัยต้องการสอบถามหรือขอคำปรึกษาได้ที่สายด่วน 1441 หรือ 191

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงขอแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่าปัจจุบันคนร้ายยังคงใช้วิธีการหลอกโดยอาศัยกลโกงเดิมๆ แต่ได้พัฒนาวิธีการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ ดังนั้น เพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.com

‘ตร.’ ทลาย ‘แก๊ง Romance Scam’ รวบหนุ่มไนจีเรียพร้อมพวกชาวไทย ใช้วิธีตีสนิทผ่านโซเชียล ก่อนตุ๋นเงินเหยื่อ พบเงินหมุนเวียนกว่า 800 ลบ.

(25 ส.ค. 66) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. และ พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ รอง ผกก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายแก๊ง ‘Romance Scam ลวงให้รักก่อนเชิดเงินหนี’ หลังนำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 14 จุด ทั่วประเทศ แบ่งเป็นในพื้นที่ กทม. 7 จุด, ปทุมธานี 1 จุด, พิษณุโลก 2 จุด, อุทัยธานี 1 จุด, อุตรดิตถ์ 1 จุด, กำแพงเพชร 1 จุด, พิจิตร 1 จุด

จากปฏิบัติการดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 14 คน แบ่งเป็น ผู้ต้องหาชาวไทย 13 ราย และผู้ต้องหาสัญชาติ ไนจีเรีย 1 ราย พร้อมของกลาง มือถือ จำนวน 21 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 20 เล่ม, บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 18 ใบ, สมุดกองทุนรวมธนาคาร 1 เล่ม, คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง, เอกสารโอนเงินไปต่างประเทศ จำนวน 5 ชุด, ซิมการ์ดโทรศัพท์ 1 อัน, เมมโมรี่กล้อง 3 ตัว และกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ ‘Chanel’ จำนวน 2 ใบ

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อต้นปี 2565 ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายรายหนึ่งว่า ถูกกลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาทำทีตีสนิทผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้โปรไฟล์เป็นรูปภาพหญิงต่างชาติหน้าตาดี อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสาวชาวอเมริกัน กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศซีเรีย เมื่อพูดคุยกันจนสนิทสนม

มิจฉาชีพกลุ่มนี้ก็เริ่มออกอุบายว่า กำลังจะเดินทางมาประเทศไทย เหตุเพราะประทับใจและตกหลุมรักในตัวผู้เสียหายมาก พร้อมอ้างว่าได้ส่งพัสดุภายในเป็นทรัพย์สินมีค่ามาให้ แต่ติดปัญหาไม่สามารถนำออกจากสนามบินได้จึงอยากให้ผู้เสียหายช่วยจ่ายเงินค่าภาษีให้ก่อนแล้วจะคืนเงินให้ภายหลัง

พ.ต.อ.พรศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายเริ่มหลงเชื่อคล้อยตาม กลุ่มคนร้ายก็จะให้ผู้ร่วมขบวนการที่เป็นคนไทย ทำทีโทรศัพท์ติดต่อมายังผู้เสียหายก่อนอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สนามบิน ก่อนหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน ให้อ้างเป็นค่าดำเนินการต่างๆ เพื่อที่จะสามารถนำกล่องพัสดุออกจากสนามบินได้ จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ไปจำนวนหลายครั้งรวมเป็นเงินกว่าล้านบาท เมื่อเห็นว่าได้ยอดเงินตามที่ต้องการแล้ว คนร้ายกลุ่มนี้ก็จะเริ่มออกลาย ตัดขาดการติดต่อแล้วเชิดเงินทั้งหมดหนีหายไปในที่สุด

ด้าน พ.ต.ท.อัครพล กล่าวว่า หลังรับเรื่องทางเจ้าหน้าที่จึงเร่งแกะรอยสืบหาเบาะแสจนพบว่า คนร้ายกลุ่มนี้ทำกันเป็นขบวนการ มีทั้งคนไทยและชาวไนจีเรีย โดยเฉพาะ นายอูโซซูกะวู หรือ ‘Mr.Ezeneche Uzochukwu Jerome’ อายุ 45 ปี ชาวไนจีเรีย ซึ่งก่อนหน้าตั้งแต่ปี 2561 เคยถูกจับในคดีลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข็ดหลาบ กลับมาก่อเหตุซ้ำซากหลายครั้ง

อีกทั้งจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินยังพบว่าเมื่อได้เงินจากผู้เสียหายแล้วกลุ่มคนร้ายจะรีบโอนออกไปยังบัญชีธนาคารต่างประเทศโดยทันที เฉพาะตั้งแต่ปี 2561 – 2564 พบมีเงินหมุนเวียนออกไปยังบัญชีในต่างประเทศรวมกว่า 800 ล้านบาท

“เมื่อมีหลักฐานการกระทำผิดที่แน่ชัดแล้วนั้น จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและนำมาสู่การตามจับกุมตัวนายอูโซซูกะวู พร้อมผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆอีก 13 ราย ได้ดังกล่าว” พ.ต.ท.อัครพล กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า จากการสอบปากคำหนึ่งในผู้ต้องหา ซึ่งทำหน้าที่ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายนั้น ให้การรับว่าขณะนั้นถูกว่าจ้างมาจากแฟนหนุ่มชาวไนจีเรีย ซึ่งเจอกันที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่ปัจจุบันไม่ได้คบหากันแล้ว โดยได้รับส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์จากการหลอกลวงดังกล่าว

อ้างสาเหตุที่ต้องทำ เพราะช่วงนั้นไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ซึ่งหลังจากนี้ จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สืบนครบาลรวบ “บอย-ส้ม คู่รักกุนขแมร์” ตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าทั่วเมืองกรุง

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามจับกุมอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ตลอดจนอาชญากรที่สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริต โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบนครบาล (IDMB) ได้รับทราบถึงกลุ่มคนร้ายออกตระเวนล้วงกระเป๋าตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทั่วกรุงเทพฯ โดยมีวิธีการก่อเหตุคือจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน โดยคนหนึ่งจะทำการประชิดตัวผู้เสียหายเพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะทำการล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินไปก่อนจะหลบหนี  

โดย  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ผู้การจ๋อส่งทีมนักสืบ บช.น. นักสืบ 111 แกะรอยสืบสวน “กลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกลาดตระเวนล้วงกระเป๋า” พบมีการทำหน้าที่กันเป็นรูปแบบ และมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ โดยล่าสุด พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. จับกุมตัว นายบูย ยางฮา สัญชาติกัมพูชา และ นางสาวแมรี่ จีน สัญชาติกัมพูชา คู่รักมือฉมังตระเวนล้วงกระเป๋าทั่วเมืองกรุง พร้อมดำเนินการเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งขบวนการ

เมื่อวันที่ 26  สิงหาคม  2566  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระรองออย รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 บช.น. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.1 บช.น. , พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) นำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว

1. นายบูย หรือบอย ยางฮา อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา 
2.  นางสาวแมรี่ หรือส้ม จีน อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา 

ในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือที่ลักทรัพย์มา และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุรวมกว่า 36 รายการ โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 310 อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือที่ลักทรัพย์มา และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุรวมกว่า 36 รายการ

พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจากปัญหาการก่ออาชญากรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่ตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์สินของชาวบ้านในปัจจุบัน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้วางแนวทางการป้องกันและปราบปราม พร้อมอีกทั้งได้ให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจของ บก.สส.บช.น. เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว ซึ่งต่อมาได้สืบสวนจนพบกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกลาดตระเวนวิ่งราวทรัพย์ล้วงกระเป๋า จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. ทำการสืบสวน จนทราบแผนประทุษกรรมของแก๊งนี้คือ ผู้ก่อเหตุจะออกตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทั่วกรุงเทพฯ โดยมีวิธีการก่อเหตุคือจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน โดยคนหนึ่งจะทำการประชิดตัวผู้เสียหายเพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะทำการล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินไปก่อนจะหลบหนี  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถพบได้ว่ากลุ่มของผู้ก่อเหตุได้โดยสารรถประจำทางมาจากบริเวณห้างอิมพีเรียล สำโรง ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาวันที่ 26 ส.ค. 66 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล ลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้พักอาศัยที่ อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ทราบชื่อภายหลังคือ นายบูย หรือบอย ยางฮา อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา และ นางสาวแมรี่ หรือส้ม จีน อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา โดยระหว่างสืบสวนได้พบว่าทั้งสองคนนั้นได้เดินเข้า-ออกบริเวณห้องพักของตนจำนวนหลายครั้ง อีกทั้งมีการเก็บเสื้อผ้าคล้ายจะเตรียมทำการหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รีบแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้งสอง โดยจับกุมได้ที่ บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 310 อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

 ในชั้นจับกุม นายบูยฯ และนางสาวแมรี่ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2565 ตนทั้งสองได้ลักลอบเข้าประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณ จ.สระแก้ว โดยเมื่อเข้ามาในประเทศไทย ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง จึงได้วางแผนร่วมกันก่อเหตุล้วงประเป๋า โดยได้มีการซักซ้อมกันจนชำนาญ ก่อนที่จะออกก่อเหตุตามบริเวณห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมากในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อนำทรัพย์สินที่ได้ไปขายเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยได้ก่อเหตุรวมมากกว่า 100 ครั้ง หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล จึงได้นำตัว นายบูยฯ และนางสาวแมรี่ฯ 

ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “การเดินทางระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ แต่เมื่อเข้ามาในประเทศของผู้อื่นแล้ว ก็ต้องเคารพซึ่งกฎหมายของแต่ละประเทศเช่นกัน โดยขอฝากเตือนไปยังกลุ่มผู้เข้ามาภายในประเทศไทยโดยที่คิดสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนนั้น ให้คิดเลิกทำ แต่ถ้ายังไม่เลิกทำ เราจะติดตามท่าน จนไปถึงหน้าประตูแม้อยู่นอกกรุงเทพ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top