Sunday, 15 December 2024
Crimes

16 พม่าเถื่อน มุดลวดหนามช่องทางธรรมชาติ หลบหนีเข้าประจวบฯ

วันที่ 16 มิถุนายน นายภิรมย์ เรืองโรจน์ ผู้ใหญ่บ้านหนองเป็ดหงส์ หมู่ 11 ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับแจ้งจากชาวบ้านที่ไปหาปลา บริเวณอ่างเก็บน้ำพบต่างด้าวชาวพม่าชาย-หญิง 16 คนพร้อมกระเป๋าสัมภาระ หลบซ่อนตัวห่างจากแนวเทือกเขาตะนาวศรี ชายแดนไทยพม่าประมาณ 10 กิโลเมตร หลังรับแจ้งจึงสนธิกำลังผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ ชรบ.พื้นที่หมู่บ้านชายแดน ร่วมกันตรวจสอบ พร้อมรายงานให้ฝ่ายปกครองอำเภอรับทราบ จากนั้นร่วมกันจับกุมแรงงานเถื่อน ควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.อ่าวน้อย โดยประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจหาเชื้อโควิด-19 มีเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ติดตามข้อมูลการจับกุมที่โรงพัก ก่อนส่งชาวพม่าทั้งหมดไปกักตัว 14 วันที่กองร้อย ตชด.146 ด่านสิงขร ต.คลองวาฬ อ.เมืองฯ

ตรวจสอบชาวพม่าหลบหนีเข้าเมือง มีชาย 9 ราย หญิง 7 ราย อายุระหว่าง 20-40 ปี ส่วนผู้นำพาเป็นชาวพม่า 2 ราย วิ่งหลบหนีไปได้พร้อมกับแรงงานเถื่อนอีกกว่า 20 คน สำหรับผู้ถูกจับกุมทั้งหมดสารภาพว่าเดินทางมาจากประเทศพม่า ทั้งเมืองย่างกุ้ง เมืองตะแว เมาะลำไย เมียวดี และ มะริด อาศัยจังหวะหลบหนีเข้าไทยในวันหวยออก เนื่องจากเชื่อว่าการป้องกันพื้นที่ชายแดนหละหลวม ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตชด. เดินลาดตระเวน โดยก่อนหน้านี้ไปพักรวมพลที่บริเวณโรงน้ำแข็ง บ้านมูด่อง ก่อนเดินเท้าฝ่ารั้วลวดหนาม 3 ชั้น ข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติมาฝั่งไทย เพื่อไปทำงานที่แพกุ้ง โรงงานปลากระป๋อง จ้างทำงานก่อสร้างที่ จ.สมุทรสาคร เสียค่าเดินทางให้กับนายหน้าค้าแรงงานเถื่อนตามระยะทางถึงชายแดน ตั้งแต่ 15,000 - 20,000 บาท บางรายจ่ายค่าเดินทางให้นายหน้าพม่าที่ด่านสิงขร หรือจ่ายส่วยเมื่อไปถึงโรงงานปลายทาง ขณะที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าการจับกุมแรงงานด่างด้าวเถื่อนในรอบ 3 เดือน ไม่มีการขยายผลเพื่อจับกุมนายหน้าคนไทยและชาวพม่าแม้แต่รายเดียว


ภาพ/ข่าว  นิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

คุมตัวมือจี้ธนาคารเชียงของทำแผน หลังมอบตัวเช้ามืดและออกหมายจับวันเดียว

ตำรวจเชียงของ นำตัวผู้จัดการฝ่ายชายรถยนต์ มือจี้ชิงทรัพย์ ธนาคาร ในห้าง อ.เชียงของ มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพหลังทนแรงกดันไม่ไหวมอบตัวแล้วหลังถูกออกหมายจับเพียง 1 วัน

เวลา 09.45 น.วันที่ 17 มิ.ย. 64 ที่ห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาเชียงของ จ.เชียงราย  พ.ต.อ.ชัยยุทธ ฉิมพลี ผกก.สภ.เชียงของ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชียงของ นำตัว นายอุทิศ เสกสันติสกุล อายุ 32 ปี ชาว ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพการจี้ชิงเงินสดที่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาโลตัสเชียงของ  หลังจากเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น.ที่ผ่านมา  โดยมีประชาชนพากันมามุงดูดเป็นจำนวนมาก

โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.ชัยยุทธ ฉิมพลี ผกก.สภ.เชียงของ ได้รับการประสานจากผู้ใหญ่บ้านเวียงหมอก หมู่ 10 ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อนำนายอุทิศ เสกสันติสกุล อายุ 32 ปี เข้ามอบตัว ซึ่งนายอุทิศ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเทิง ที่ 84/2564 ในข้อหาชิงทรัพย์ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส อ.เชียงของ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมเงินสดประมาณ 100,000 บาทโดยนายอุทิศ ได้นำเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ในวันก่อเหตุ และของกลางต่าง ๆ ที่ใช้ มามอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อเปรียบเทียบกับภาพจากกล้องวงจรปิดและการชี้ตัวของพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ 

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่านายอุทิศ เป็นผู้จัดการขายรถยนต์อยู่ใน จ.เชียงใหม่ แต่ประสบปัญหาทางการเงินจึงได้ลงมือก่อเหตุ หลังจากนั้นได้ได้หลบหนีไปอยู่ที่บ้านญาติภายในชุมชนห้วยปลากั้ง อ.เมืองเชียงราย แต่ทางญาติทราบข่าวการออกหมายจับ จึงได้เดินทางมาที่บ้านเวียงหมอกตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมาเพื่อไปหา ภรรยาและผู้ใหญ่บ้านเพื่อให้พาไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ / เชียงราย

‘ตม.-สตูล’ จับกุมเครือข่ายลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด    

                

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ยศพร มาศรีนวล รอง ผกก.ตม.จว.สตูล พร้อมด้วย ว่าที่ พ.ต.ท.หญิง กุลนิดา ศุภสิทธิกุลชัย สว.ตม.จว.สตูล ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้...

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากผู้ดูแลโรงแรมแห่งหนึ่งว่า มีบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 6 คน เข้าพักที่โรงแรมฯ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สตูล ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ละงู, หน่วยงานความมั่นคง, เจ้าหน้าที่สาธารณะสุข ควบคุมตัวคนต่างด้าวทั้งหมดไปกักตัว ณ สถานกักตัว Local Quarantine ตามมาตรการการป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ Covid-19

จากนั้นจึงได้สอบปากคำคนต่างด้าว ทราบว่าคนต่างด้าวทั้งหมดเดินทาง เข้ามาในประเทศไทยโดยใช้เส้นทางธรรมชาติ บริเวณเกาะสอง จ.ระนอง ต้องการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย โดยมีรถกระบะมารับคนต่างด้าวทั้งหมดที่ บริเวณสวนสาธารณะในตัวเมือง จ.ระนอง และเดินทางมาถึง อ.ละงู จ.สตูล โดยมีคนไทยซึ่งเป็นผู้นำพาคนต่างด้าวทั้งหมดเข้าพักที่โรงแรมฯ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบกล้องวงจรปิดทราบว่า มีรถยนต์สองคันนำพาคนต่างด้าวเข้าพักโดยรถคันแรกขับนำทางเข้ามายังโรงแรม โดยมี นายหมัดยอหนน อายุ 62 ปีเป็นผู้ขับขี่ และเป็นผู้ดำเนินการเปิดห้องพักให้คนต่างด้าวเข้าพัก 

ส่วนคนต่างด้าวทั้งหมดและคนขับรถยนต์คันที่สองอยู่ในรถ และไม่ได้ลงจากรถแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงนำภาพทะเบียนรถที่ได้ไปตรวจสอบหาผู้ครอบครองและทราบว่ารถยนต์คันที่สองเป็นรถของนายหมาดเหยด อายุ 62 ปี มีถิ่นที่อยู่ในพื้น จ.ระนอง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลโดยสอบปากคำนายหมาดเหยดฯ ให้การว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของตนจริง แต่ได้มอบให้นายสุรศักดิ์ ซึ่งเป็นลูกเขยของตนไว้ใช้งานมาประมาณ 3 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมข้อมูลและนำภาพนายสุรศักดิ์ฯ มาให้คนต่างด้าวทั้งหมดชี้ตัว โดยทั้งหมดยืนยันว่านายสุรศักดิ์ เป็นผู้ขับรถกระบะคนดังกล่าวไปรับตนที่สวนสาธารณะในตัวเมือง จ.ระนอง และนำพาพวกตนเดินทางมายัง อ.ละงู จ.สตูล จริง เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดสตูลอนุมัติออกหมายจับนายสุรศักดิ์ฯ ที่ จ.107/2564 โดยกล่าวหาว่า “กระทำการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าว เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่าฝืนกฎหมาย”

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เรียกตัว นายหมัดยอหนนฯ ให้ปากคำเพิ่มเติมพร้อมทั้งรับทราบข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย”

เจ้าหน้าที่สภ.ราชกรูด จ.ระนอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สภ.ละงู จับกุมตัวนาย สุรศักดิ์ฯ พร้อมนำรถยนต์ของกลางที่ใช้ในการก่อเหตุ นำส่ง พงส.สภ.ละงู จากการสอบสวนนายสุรศักดิ์เพิ่มเติม นายสุรศักดิ์ฯ ให้การซักทอด น.ส.ไซด้า หรือดา สัญชาติเมียนมา ว่าเป็นผู้จ้างวานตน โดยคิดค่าจ้างเป็นเงิน 5,000 บาทต่อคน และจ่ายเงินมัดจำ 10,000 บาทก่อน ส่วนอีก 10,000 บาท ที่เหลือจะให้เมื่องานสำเร็จ เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดสตูลอนุมัติออกหมายจับ น.ส.ไซด้าฯ จาก ที่ จ.109/2564 โดยกล่าวหาว่า “กระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่าฝืนกฎหมาย” ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.ไซด้า หรือดา มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สรุปผลการปฏิบัติในการบูรณาการทลายในเครือข่ายนี้ สามารถออกหมายจับผู้นำพาบุคคลต่างด้าวผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมืองได้ จับกุมได้จำนวน 1 คน และแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 1 คน อยู่ในระหว่างติดตามตัวเพื่อมาดำเนินคดี จำนวน 1 คน และสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติเมียนมา ได้ จำนวน 6 คน

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘ตม.-ระนอง’ รวบยกแก๊งขบวนการปลอมหนังสือเดินทาง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด        

            

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้...

คดีจับกุมขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทางและนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง ร่วมกับ จนท.ทหาร ชุด ร้อย ร.2521 (จุดตรวจศิลาสลัก จปร.) ตั้งจุดตรวจจุดสกัดกั้นตรวจพบ นายไวเมียว อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนชุมพร บรรทุก นายเนคา อายุ 15 ปี สัญชาติเมียนมา และนายโจเซลา อายุ 16 ปี สัญชาติเมียนมา จากการตรวจสอบพบว่าหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่ม ที่นำมาแสดงเป็นหนังสือเดินทางปลอม จึงจับกุมตัวและสืบสวนขยายผลการจับกุม ทราบว่าหนังสือเดินทางดังกล่าวได้รับมอบมาจาก นายอาวปาย อายุ 30 ปี สัญชาติเมียนมา จึงได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านพัก นายอาวปาย หมู่ 4 ตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง พบหนังสือเดินทางปลอม เพิ่มอีกจำนวน 4 จึงจับกุมตัวนายอายปาย ข้อหา

“มีหนังสือเดินทางปลอมไว้เพื่อจำหน่าย” และสืบสวนขยายผลการจับกุม เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านใน หมู่10 ตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง จับกุม นางเลเลข่าย อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา ข้อหา “รู้ว่าเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือให้คนต่างด้าวนั้นรอดพ้นการจับกุม” และได้สืบสวนขยายผลกระทั้งสามารถออกหมายจับและจับกุมตัว นายสมศักดิ์ ข้อหา “ทำหนังสือเดินทางปลอม”    

การสืบสวนขยายผลการจับกุมขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง มีรายละเอียด ดังนี้...

นายเนคา และ นายโจเซลา สัญชาติเมียนมา ต้องการเดินทางไปหาแม่ที่ จว.สุราษฎร์ธานี ได้ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายทางช่องทางธรรมชาติ และไปเข้าพักอาศัย หลบซ่อนอยู่กับ นางเลเลข่าย สัญชาติ

เมียนมา (น้าสาว) ที่บ้านหมู่ 10 ตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง จากนั้น นางเลเลข่าย ติดต่อว่าจ้าง นางมะแง่หรือโชสุ นายหน้าชาวเมียนมา ให้ดำเนินการช่วยเหลือลักลอบนำพา ขนส่ง เคลื่อนย้ายไปยัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ค่าจ้าง 11,000 บาท/คน นางมะแง่หรือโชสุ จึงให้นางเลเลข่าย ถ่ายรูป นายเนคา และ นายโจเซลา ส่งไปให้ทางเฟซบุ๊ก ชื่อ Tanon Non จากนั้น นางมะแง่หรือโชสุ ได้ส่งรูปภาพต่อไปให้นายอาวปาย ซึ่งนายอาวปาย ได้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ Just You ส่งรูปภาพ นายเนคา นายโจเซลา และคนต่างด้าวอื่นๆ ไปให้นายสมศักดิ์ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Ko Soe Soe เพื่อดำเนินการทำหนังสือเดินทางปลอม นายสมศักดิ์ ได้นำหนังสือเดินทางปลอม จำนวน 6 เล่ม มามอบให้กับนายไวเมียว สัญชาติเมียนมาที่ กม.13 (บ้านจันทร์ทึง ตำบลวังใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร) เพื่อนำไปส่งต่อให้กับนายอาวปาย (ผู้ว่าจ้าง) ที่บ้านหมู่ 4 ตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ต่อมาวันนายอาวปาย ได้ว่าจ้างให้นายไวเมียว ให้นำพาขนส่งนายเนคา และนายโจเซลา ไปส่งยังสถานี บขส.จังหวัดชุมพร โดยได้มอบหนังสือเดินทางปลอม จำนวน 2 เล่ม ให้นายไวเมียว นำไปมอบให้ นายนายเนคา และ นายโจเซลา เก็บไว้กับตัวเพื่อใช้แสดงกับพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อถูกเรียกตรวจสอบระหว่างการเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ก็ถูก จนท.ชุดจับกุม ตรวจสอบพบว่าเป็นหนังสือเดินทางปลอม จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทางครั้งนี้ทั้งขบวนการกลุ่มเครือข่าย ขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทางของนายอาวปาย อายุ 30 ปี สัญชาติเมียนมา มีผู้ร่วมขบวนการเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทุกคน

โดยเข้ามาอยู่อาศัยและได้รับอนุญาตให้ทำงานเป็นกรณีพิเศษ ประเภทกรรมกร การเกษตรและปศุสัตว์ (ในพื้นที่ จังหวัดระนองและจังหวัดชุมพร) นายไวเมียว ยังให้การยอมรับว่า หลังจากมีใบอนุญาตให้ขับขี่รถยนต์ ได้หันรับจ้างบริการนำพาคนต่างด้าวเดิน-ทางไปกลับ จังหวัดระนอง-จังหวัดชุมพร อยู่หลายครั้ง นอกเหนือจากการกรีดยางพารา ซึ่งที่ผ่านมาในการลักลอบนำพา ขนส่ง เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน ต้องอาศัยความชำนาญเส้นทาง รู้เส้นทางรอง เส้นทางหลบเลี่ยงด่านตรวจ จุดตรวจจุดสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากเครือข่าย ขบวนการกลุ่มนี้เป็นบุคคลต่างด้าวทั้งหมด ไม่ชำนาญเส้นทางในการลักลอบนำพา จึงใช้วิธีการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง เพื่อให้แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย นำมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจจุดสกัดระหว่างการเดินทางเมื่อถูกเรียกตรวจสอบ โดยในครั้งนี้คิดว่าเจ้าหน้าที่คงไม่สามารถตรวจสอบหนังสือเดินทางปลอมได้จึงได้รับงาน และถูกจับกุมตัว

สรุปผลการปฏิบัติในการบูรณาการทลายในเครือข่ายนี้ สามารถออกหมายจับผู้นำพาบุคคลต่างด้าวผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมืองได้ จับกุมได้จำนวน 1 คน และแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 1 คน อยู่ในระหว่างติดตามตัวเพื่อมาดำเนินคดี จำนวน 1 คน และสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติเมียนมาได้ จำนวน 6 คน

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5หรือ กก.สส.บก.ตม.5 และด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคนต่างด้าวสัญชาติลาว หลังให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมือง 7 คน เตรียมข้ามไป สปป.ลาว

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด  

                  

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.มนุวัฒน์ กอสนาน ผกก.ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครสวรรค์ ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายพันฯ คนต่างด้าวสัญชาติลาว พร้อมกับนายจางเสวี่ย  คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมือง กับพวกจำนวน 4 คน และร่วมกันจับกุมตัวนายลีเจิ่น คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมือง กับพวกรวม 3 คน ส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า นายพัน ว่า

“ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองพ้นจากการจับกุม ไม่เดินเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางฯ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อฯ และฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 แห่ง พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” และกล่าวหาคนต่างด้าวสัญชาติจีนว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อฯ และฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 แห่ง พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” เหตุเกิด บริเวณช่องทางธรรมชาติบ้านสบรวก และโรงแรมแสนโชคการ์เด้นโฮม ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 

สำหรับพฤติการณ์ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติจีนเข้าพักในโรงแรมแสนโชคการ์เด้นโฮมเพื่อเตรียมตัวหนีออกนอกราชอาณาจักรไป สปป.ลาว จึงรีบไปตรวจสอบโดยแบ่งกำลังเป็นสองชุด โดยให้อีกชุดไปลาดตระเวนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ผลการตรวจสอบพบนายลีเจิ่นฯ คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมืองกับพวกอีก 3 คน พักอาศัยอยู่ในโรงแรม จึงได้จับกุมตัวไว้ และจากการลาดตระเวนยังพบนายจางเสวี่ย คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมืองกับพวกรวม 4 ราย กำลังจะลงเรือยาวสัญชาติ โดยมีนายพัน คอยดูต้นทาง จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม แต่คนขับเรือสัญชาติลาวได้ออกเรือหลบหนีไป จึงได้จับกุมตัวคนต่างด้าวสัญชาติจีนทั้ง 7 คน และคนสัญชาติลาว 1 คน ส่ง พงส.สภ.เชียงแสน ดำเนินคดี

จากการขยายผลพบว่ามีเครือข่ายคนสัญชาติไทยคือ นายโอม เป็นผู้เช่ารถยนต์และให้บุคคลอื่นขับนำคนต่างด้าวสัญชาติจีนมาเข้าพักในโรงแรมดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่ง พงส.สภ.เชียงแสน และ พงส.ฯ ได้แจ้งข้อหานายโอม แล้วว่ากระทำความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองพ้นจากการจับกุม” ส่วนผู้ร่วมกระทำผิดอื่นอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีตามกฎหมาย

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่  507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

 

 

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5หรือ กก.สส.บก.ตม.5 และ ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคนสัญชาติไทย ขับรถยนต์ขนคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 18 คน หวังเข้าพื้นที่ตอนใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด                    

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว สว.ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมแถลงข่าว ดังนี้…

เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครสวรรค์ ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายวัชรพงศ์ สัญชาติไทย พร้อมของกลาง รถกระบะสีขาว ทะเบียน แพร่ (ป้ายแดง) ซึ่งใช้บรรทุกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 18 คนส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหานายวัชรพงศ์ว่า “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองพ้นจากการจับกุม ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานฯ เสพ และมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เป็นผู้ขับขี่รถเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ทำให้เสียทรัพย์ และฝ่าฝืนเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในจังหวัดตากโดยไม่ได้รับอนุญาต” และกล่าวหาคนต่างด้าวว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก และฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดตาก เรื่องมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)”  เหตุเกิดบริเวณริมถนนพหลโยธิน กม.538-539 หมู่ 1 ตำบลสมอโคน อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก

พฤติการณ์ก่อนจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย  โดยใช้รถยนต์ในการขนคนต่างด้าวจากเขตติดต่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ กับ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไปยังพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อมาเวลาประมาณ 01.30 น. พบรถกระบะต้องสงสัยขับมาตามถนนพหลโยธิน หมู่ 7 ตำบลเถินบุรี อำเภอเถินบุรี จังหวัดลำปาง มุ่งหน้าไปทาง จังหวัดตาก จึงได้ขับรถยนต์ติดตามและสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเปิดสัญญาณไฟวับวาบและเรียกให้จอดรถ เมื่อรถดังกล่าวจอดแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถยนต์ส่วนตัว จอดขวางบริเวณด้านหน้ารถและได้นำรถยนต์อีกคันจอดขนาบข้างด้านขวา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจะลงจากรถเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่านายวัชรพงศ์ (ทราบชื่อภายหลังจับกุม) พยายามจะหลบหนีและได้ขับรถชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคันเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จากนั้นได้ขับขี่หลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้ ผลการตรวจสอบพบคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 18 คน อยู่ภายในรถ จึงได้จับกุมตัวนายวัชรพงศ์ ซึ่งเป็นคนขับ พร้อมคนต่างด้าวส่งดำเนินคดี

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตำรวจน้ำโชว์ศักยภาพ นำกำลังเข้าตรวจจับ เฮโรฮีน และยาไอซ์จำนวนมาก ประสานทุกหน่วยเตรียมขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้อง

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 17 มิ.ย. 64 จากนโยบายท่าน พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้ความสำคัญในการตรวจสอบการกระทำความผิดทางทะเล โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง,พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม ผู้กำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำได้รับรายงานจากสายว่า จะมีการขนเฮโรฮีน และยาไอซ์ รวม 2 ชนิดลงเรือในลำคลอง ม. 2 ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล เพื่อส่งไปขายยังไม่ทราบจุดหมายทีแน่ชัดจึงได้ ประสานพ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รองผู้กำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำ, พ.ต.ท.ศิโรดมสนุ่นดี สว.ส.รน.3กก.9บก.รน. เพื่อสนธิกำลัง เจ้าหน้าที่ ร่วมกับ ศรชล จ.สตูล น.อ.จุมพจน์ เสนาะพิณ รอง ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษมผลประโยชน์ของชาติทางทะเล,พ.ต.อ.ธนิสร แสงท่านั่ง ผกก.ตม.จว.สตูลและเจ้าหน้าที่ ฝ่ายตำรวจรวจ

โดยนำเรือ ออกตรวจสอบ พื้นที่ตามเบาะแสที่สายแจ้งมาว่า ซึ่งอยู่ในลำคลองท่าส้ม ม. 2 ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล ซึ่งลำคลองแห่งนี้ สามารถที่จะผ่านออกไปยังลำคลองใหญ่ทางฝั่งตำมะลัง ที่มีรอยต่อระหว่าง ตำมะลังกับ รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย โดยการตรวจสอบ พบยาไอซ์และเฮโรอีนชนิดผงขาวตราสิงห์โตเหยียบลูกโลกห่อในกระดาษห่อชาซึ่งเป็นวัสดุกันน้ำอย่างดีบรรจุในลังพลาสติกและใส่ในตะกร้าผลไม้ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ วางเกลื่อนอยู่ในป่าชายเลนข้างลำคลอง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึด  ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ และถ้าสามารถส่งออกไปยังประเทศปลายทางได้ ก็จะมีมูลค่าหลายร้านบาท

พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รองผู้กำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำกล่าวว่า การตรวจยึดได้ในครั้งนี้นั้น เนื่องจากได้มีสายแจ้งเข้ามาว่าจะมีการนำเฮโรฮีน และยาไอซ์มาซุกไว้ โดยใส่ในตระกร้าผลไม้ จึงได้ประสานทุกหน่วยเพื่อร่วมกันเข้าตรวจสอบ ซึ่งผลการเข้าตรวจสอบก็พบว่า เฮโรฮีนตราสิงโตเหยียบลูกโลก และยาไอซร์ บรรจุในถุงชา และใส่ในตะกร้าผลไม้ 39 ใบ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่และได้วางไว้ในป่าโกงกาง พื้นที่ป่าชายเลน และคาดว่าคงจะรอน้ำขึ้น ก็จะนำขึ้นเรือเพื่อส่งต่อไปยังจุดหมาย สำหรับการจับกุมครั้งนี้ ไม่เจอผู้กระทำผิดแต่ก็ได้มีการจัดชุดตรวจสอบ เพื่อติดตามเจ้าของดำเนินคดีต่อไป

\


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

ทลายแก๊ง App เงินกู้ดอกเบี้ยโหด!! จังหวัดนนทบุรี พบเบื้องหลังเป็นนายทุนจีน ตะลึงยอดลูกหนี้กว่า 70,000 ราย!!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร. มอบหมายให้สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร

ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม. โดยมอบหมายให้พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.​ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ ศปชก.สตม. ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา จํานวน 2 ราย ข้อหา “ร่วมกันประกอบกิจการทวงถามหนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต” กรณีในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย.64 ที่ผ่านมา ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า ได้กู้เงินนอกระบบจากแอปพลิเคชัน ที่โฆษณาตามสื่อออนไลน์ต่างๆ เบื้องต้นพบมี 6 แอปพลิเคชั่น ดังนี้

1.แมวกวัก

2.Tiktak

3.Ubaht

4.Cashdaddy

5.เต่ามงคล

6.ถุงเงิน

พฤติการณ์​ คือ เมื่อประชาชนตกลงกู้เงิน จะต้องทำการส่งข้อมูลส่วนตัวพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ให้กับทางแอปฯ​ ดังกล่าว ยอดเงินกู้ เริ่มตั้งแต่ 2,500-10,000 บาท ซึ่งจะคิดหักค่าธรรมเนียมประมาณ 30-42% ให้เวลาคืน 7 วัน

หากเกินวันแรกดอกเบี้ย+ค่าปรับ 12% วันถัดไปวันละ 5% หากไม่ชำระตามที่กำหนด จะถูกเจ้าหน้าที่โทรตามทวงหนี้ หรือโทรหาญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก เพื่อให้เกิดความอับอาย

ปัจจุบันมีประชาชนตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งมีบางรายถูกโทรข่มขู่ จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งต่อมาศาลได้ออกหมายจับชาวไทย 1 คน และชาวจีน 1 คน

และต่อมาในวันนี้​ (18 มิ.ย.64) จึงได้ขออนุมัติหมายศาลเข้าทำการตรวจค้น 2 จุด คือ...

จุดที่ 1 บ้านเลขที่ 30 ซอยหมู่บ้านจันทิมา ธานี 2 แขวงบางรักพัฒนา เขตบางบัวทอง จ.นนทบุรี ทำการจับกุม Mr.Lian BinBin สัญชาติจีน ตามหมายจับ ที่ 516/2564 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการทวงหนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต

จากการตรวจค้น พบสมุดบัญชี 15 เล่ม , บัตรกดเงิน 10 ใบ และโทรศัพมือถือ 13 เครื่อง

จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 13 ซอยรัตนาธิเบศร์ 30 ต.บางกระสอ อ.เมือง จว.นนทบุรีทำการจับกุม น.ส.ณัฐชุตา กุลเชษฐ์ ตามหมายจับ ศาลอาญา กรุงเทพใต้ ที่ จ 299/2564 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการทวงหนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจ

ค้นพบ คอมพิวเตอร์/โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์ อย่างละประมาณกว่า 100 เครื่อง ซึ่งภายในอาคารดังกล่าว มีกลุ่มบุคคล​ ซึ่งยอมรับว่าเป็นพนักงานโทรทวงหนี้ รวมจำนวน 66 คน (บริเวณชั้นสอง จำนวน 16 คน , ชั้นสาม จำนวน 27 คน และชั้น

สี่จำนวน 23 คน)

ทั้งนี้สตม. จะได้ประสานกับศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสืบสวนสอบสวนขยายผลผู้เกี่ยวข้องในความผิด ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต

ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังเป็นตามการค้าปกติ และให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพ มหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโท รศัพ ท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

'ตำรวจ PCT' จับกุมเครือข่ายลักลอบเปิดเว็บพนันฟุตบอลยูโร 2020

วันนี้ (18 มิ.ย.2564) ที่ศูนย์ PCT ตร. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผอ.PCT เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8, พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. หัวหน้าชุดเทคนิคและสืบสวน PCT นำหมายค้นศาลพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และประจวบคีรีขันธ์ รวม 4 จุด จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันบอลยูโร 2020 www.UFABET.COM พบเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาทต่อเดือน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ กล่าวว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ให้เร่งปราบปรามการพนันทายผลฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (EURO 2020) เนื่องจากมีผู้ปกครองร้องเรียนเข้ามาว่ามีเด็กนักเรียนเข้าไปแทงบอลผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว ชุดเทคนิคและสืบสวน PCT ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเครือข่าย​ www.UFABET.COM ผ่าน Line Official UFA777, UFA368, UFAR1, UBET777 จึงขออนุมัติหมายค้นจากศาล เข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางจำนวน 4 จุด ได้แก่...

จุดที่ 1 หมายค้นศาลแขวงนนทบุรี บ้านเลขที่ 107/112 ม.4 หมู่บ้านปริญญดาไลท์ พระราม 5 ถ.ราชพฤกษ์ ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี

จุดที่ 2 หมายค้นศาลแขวงนนทบุรี บ้านเลขที่ 51/3 ม.4 ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

จุดที่ 3 หมายค้นศาลแขวงธนบุรี ห้องเลขที่ 18/219 ชั้น 19 คอนโด ลุมพินีวิวทาวน์บางแค ถ. สุขาภิบาล1 แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพ

จุดที่ 4 หมายค้นศาลจังหวัดหัวหิน บ้านเลขที่ 391 ต. ทับใต้ อ.หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์

จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 7 คน คือ...

1. นายสุรสิทธิ์ หรือเก่ง คงเจริญ​ อายุ 27 ปี

2. นายสิทธิพงษ์ หรือแบ้งค์ ทับทอง อายุ 28 ปี

3. นายชัยสิทธิ์ หรือบีม ศรประสิทธิ์​ อายุ 27 ปี

4. นายชิภาณุพงศ์ หรือเบียร์ โรจนรุ่งเรืองพร​ อายุ 26 ปี

5. นายพิพัฒน์ หรือแอล เล็กผลา อายุ 27 ปี

6. น.ส.สิริพรรณ หรือแตงโม จันทรวิสูตร อายุ 39 ปี

7. น.ส.วิภาวรรณ หรือกิ๊ก ธานี​ อายุ 26 ปี

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนัน​ (ออนไลน์) ในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” พร้อมด้วยของกลาง...

1. สมุดบัญชี 91 เล่ม

2. บัตรกดเงินสด 51 ใบ

3. โทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง

4. แท็ปเล็ต 2 เครื่อง

5. โน๊ตบุ๊ค 5 เครื่อง

6. คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง

7. จอมอนิเตอร์ 2 เครื่อง

8. อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

9. พระเครื่อง/เครื่องราง 424 องค์  (ประมาณ 5 ล้านบาท)

10. สร้อยคอ เครื่องประดับเพชร ฯลฯ 4 ชิ้น   (ประมาณ 1 ล้านบาท)

11. รถยนต์ 4 คัน   (ประมาณ 11 ล้านบาท)

12. เงินสด 595,000 บาท

มูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดประมาณ 18 ล้านบาท​ เงินสดค้างอยู่ในบัญชีของผู้ต้องหา จำนวน 1.6 ล้านบาท​ นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่ง พงส.สภ.บางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี,​ พงส.สภ.บางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี และ พงส.สน.เพชรเกษม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ย้ำว่า ช่วงนี้มีการแข่งขันฟุตบอล EURO 2020 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและกำชับมิให้มีการเล่นการพนัน โดยเฉพาะการทายผลการแข่งขันฟุตบอล รวมถึงการทายผลทางออนไลน์ด้วย ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมาย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้กำชับให้กวดขันจับกุมผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างเด็ดขาด

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยกรณีมิจฉาชีพ แอบแฝงมากับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนภัยถึงกรณีที่มีหลายหน่วยงานออกมาสนับสนุน แนะนำการลงทะเบียน เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ

เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 3 หรือ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ฯลฯ ว่า

ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ จึงมีหลายหน่วยงานพยายามคิดโปรโมชั่นรวมถึงให้ส่วนลดต่าง ๆ ให้สอดรับกับโครงการของภาครัฐ เพื่อดึงดูดให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีเหล่ามิจฉาชีพที่อาศัยช่องว่างจากความต้องการของพี่น้องประชาชนนี้ในการกระทำความผิด ซึ่งในบางกรณีอาจมีการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรือการส่ง SMS ทางโทรศัพท์มือถือ หรือลิงค์ต่าง ๆ

ที่มีลักษณะให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล เลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขบัตรเครดิต หรือให้ใส่รหัส OTP เป็นต้น เมื่อได้ใส่ข้อมูลลักษณะดังกล่าวไปแล้ว เหล่ามิจฉาชีพก็อาจจะนำข้อมูลที่ได้ไปหาประโยชน์ในทางมิชอบ และทำให้ได้รับความเสียหายในอนาคต

การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนตาม พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยดูจากพฤติการณ์แต่ละกรณีมาประกอบ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากเตือนภัยและประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดังนี้ อย่าหลงเชื่อข้อมูลการโพสต์ หรือลิงค์ที่แนบมาพร้อมกับอีเมลที่ไม่แน่ใจแหล่งที่มา ห้ามเปิดลิงค์ดังกล่าวอย่างเด็ดขาด, ห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวใดๆ ผ่านระบบออนไลน์ ให้กับผู้อื่นหากยังไม่ได้ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน, หากพบ เพจเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ไลน์ หรืออีเมลที่น่าสงสัย ให้ติดต่อสอบถามกับหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องให้แน่ใจเสียก่อน, ในกรณีหลงเชื่อไปแล้ว ให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่านทันที และรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคาร สถาบันทางการเงิน เป็นต้น นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top