Saturday, 10 May 2025
Crimes

เชียงราย CAR MOB ขับไล่รัฐบาล รถร่วมขบวนกว่า 200 คัน นำโดยกลุ่ม ‘Chiangrai No เผด็จการ’

เวลา 16.40 น. วันที่ 1 ส.ค. 64 กลุ่ม Chiangrai No เผด็จการ กลุ่มคนเสื้อแดงเชียงราย เยาวชนและประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายนำโดย นายสราวุทธิ์ กุลมธุรพจน์ แกนนำกลุ่ม Chiangrai No เผด็จการ ได้พากันมารวมตัวที่บริเวณห้าแยกมังราย ติดกำแพงดิน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อจัดกิจกรรมCAR MOB ขับไล่รัฐบาล พร้อมกับจังหวัดอื่นทั่วประเทศ โดยได้มีมวลชนกว่า 300 คน มีรถยนต์ร่วมขบวนกว่า 100 คันและจักรยานยนต์อีกกว่า150 คัน โดยได้ตั้งขบวนก่อนจะขับรถเคลื่อนขบวนไปตามถนนสายต่าง ๆ ตั้งแต่ห้าแยกมังราย ไปตามถนนพหลโยธินสายนอกมุ่งหน้าไปแยกแม่กรณ์

โดยมีการนำป้ายมาติดที่รถเป็นข้อความวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลรวมไปถึงบีบแตรและแสดงสัญลักษณ์ชูสามนิ้วตลอดเส้นทาง จากนั้นตัดเข้าสู่ถนนพหลโนธินสายในมุ่งสู่ในเมืองเชียงราย ผ่านแยกประตูสลีผ่านหอนาฬิกา โดยมีการจำลองการเก็บศพริมถนน แยกประตูเชียงใหม่ จากนั้นมุ่งหน้าสู่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ซึ่งทางกลุ่มม็อบได้นำขบวนจักรยายนต์แวะเข้าศาลากลางส่งหนังถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย โดยมอบให้เจ้าหน้าที่ประจำศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยอ่านข้อความที่ส่งถึงจังหวัด

โดยมีเนื้อหาเรียกร้องให้จัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและผลการันตีรับรองคุณภาพในป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 มาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายอย่างเร่งด่วน และเรียกร้องให้ทางจังหวัดอนุญาตให้ร้านอาหารหรือร้านเหล้าสามารถเปิดและจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ โดยทางจังหวัดได้ส่งผู้แทนมารับมอบหนังสือเพื่อนำไปเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป

จากนั้นทางขบวนผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนต่อโดดยอ้อมผ่านถนนนอกเมืองทางชุมชนน้ำลัด ผ่านแยกตลาดบ้านใหม่ จากนั้นมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองอีกครั้งทางสะพานขัวพญามังราย ผ่านสถานีตำรวจเมืองเชียงรายและเคลื่อนขบวนไปทำกิจกรรมที่บริเวณสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ เขตเทศบาลนครเชียงรายเป็นพื้นที่สุดท้าย

โดยที่สวนตุงและโคม เทศบาลนครเชียงราย ได้มีการนำรถมาจอดเพื่อทำการปราศรัย โดยผลัดกันกล่าวถึงการทำงานของรัฐบาล จากนั้นได้มีการนำหุ่น มาทำการประหารตัดคอด้วยเครื่องกิโยติน ก่อนจะนำหุ่นไปใส่โลงศพ แล้วเผา จากนั้นได้มีการแสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว และบีบแตร ก่อนจะแยกย้าย


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ เชียงราย

จนท.อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตรวจยึดรถบรรทุกขนไม้ท่อนเถื่อน โดยกระทำความผิดไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เวลา 19.16 น. คณะเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ภายใต้การนำของ นายบัณฑิต ฉิมชาติ เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน เจ้าหน้าที่สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 3 ภาคเหนือ (สปป.3) เจ้าหน้าที่สายตรวจปราบปรามสายที่ 2 ส่วนป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้นาหมื่น และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวนหนึ่ง ร่วมกันตรวจยึดไม้ประดู่ท่อนจำนวน 7 ท่อน ปริมาตร 0.94 ม3 คิดเป็นค่าเสียหายที่รัฐพึ่งได้รับ 32,900 บาท พร้อม รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า (รถตู้) สีบอนด์เงินมีแถบข้างสีเลือดหมู ทะเบียน ฮษ 9984 กทม จำนวน 1 คัน

โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิด

1. ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 11 ประกอบมาตรา 73 ฐานร่วมกันทำไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาต มาตรา 48 ประกอบมาตรา 73 มีไม้อันยังมิได้แปรรูป (ไม้ประดู่ท่อนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต

2. ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกอบมาตรา 31 ฐานร่วมกันทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตและประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่

106/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ข้อที่ 2 ข้อหาฐานมีไม้กระยาเลยท่อน (ไม้ประดู่) ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต

3. ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา19 (2) ประกอบมาตรา 42 ฐานร่วมกันเก็บหานำออกไปทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นฮันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้(ไม้ประดู่ท่อน) หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น

พฤติการณ์แห่งคดี ตามคำสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติที่ 1/2561 เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 คำสั่งอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ที่ 3 /2561 เรื่อง ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) ส่วนหน้า จังหวัดน่านและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (แปก.พป.) ส่วนหน้า จังหวัดน่าน ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 และตามการลาดตระเวนระบบเชิงคุณภาพ(Smart Patrol System) จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันออกตรวจลาดตระเวนป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ในพื้นที่รับผิดชอบท้องที่บ้านประมงปากนาย หมู่ 17 ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน จากการสืบทราบข่าวว่า มีกระบวนการลักลอบทำไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ บริเวณป่ารอยต่ออุทยานแห่งชาติศรีน่าน อุทยานแห่งชาติขุนสถานและอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน เมื่อลักลอบทำไม้แล้วเสร็จ จะชักลากไม้บรรทุกด้วยเรือยนต์หางยาวมาส่งบริเวณท่าโปะข้ามฟาก(อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน-อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์) ท้องที่บ้านประมงปากนาย หมู่ที่ 17 ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ตามวันและเวลาดังกล่าว จนท.ชุดจับกุม มาถึงบริเวณที่ได้รับแจ้งได้จัดกำลังลงตรวจสอบทางน้ำและเดินตรวจสอบบริเวณท่าโป๊ะ

ขณะที่คณะเจ้าหน้าที่ตรวจมาถึงบริเวณ ที่เกิดเหตุสังเกตเห็นรถตู้และกลุ่มคนประกอบด้วยผู้ชายและผู้หญิงประมาณ 8-10 คน รวมกลุ่มนั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ห่าง จากรถตู้ประมาณ 2-3 เมตร หน.ชุดจึงได้สั่งการให้คณะเจ้าหน้าที่แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตตรวจสอบ กลุ่มคนดังกล่าว เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่จึงจะพยายามเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ตะโกนบอกให้อยู่ในความสงบ อย่าได้คิดขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยได้มีการพูดจาโต้ตอบกับกลุ่มคนดังกล่าวในการปฏิบัติหน้าที่ได้บันทึกภาพและวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน

ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่จำได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวมี นายอิทธิพล ได้เข้ามาพูดจาข่มขู่เจ้าหน้าที่ และนายหนึ่งไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง ได้เข้ามาใช้เท้าถีบ นายเอกลักษณ์ ทาอิน พนักงานพิทักษ์ป่าประจำอุทยานแห่งชาติศรีน่าน คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ป้องกันตัวและระดมกำลังเข้าช่วยเหลือเมื่อกลุ่มคนดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่มาจำนวนมาก จึงได้ใช้อาศัยความชุลมุนวิ่งลงเรือยนต์หางยาว ซึ่งจอดรออยู่จำนวน 4 ลำหลบหนีไปทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำน่าน คณะเจ้าหน้าที่จึงได้พยายามติดตามแต่ไม่ทัน สันนิษฐานว่ากลุ่มคนที่ประกอบด้วยผู้ชายและผู้หญิงดังกล่าวน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการชักลากไม้ที่บรรทุกอยู่ภายในรถตู้ จนท.ชุดจับกุมจึงได้สั่งการให้ตรวจสอบรถตู้คันดังกล่าว พบว่าเป็นรถตู้ที่ใช้ปฏิบัติในราชการตำรวจของสถานีตำรวจภูธรนาหมื่น อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ยี่ห้อโตโยต้า (รถตู้ สีบอนด์เงินมีแถบข้างสีเลือดหมู ทะเบียน ฮษ 9984 กทม  มีโลโก้สำนักตำรวจแห่งชาติติดที่ประตูด้านคนขับและด้านผู้โดยสารทั้งสองด้าน ด้านข้างมีสติกเกอร์คำว่า POLICE ติดที่ด้านข้างของรถทั้งสองด้านส่วนท้ายทั้งสองข้างติดสติกเกอร์ สภ.นาหมื่นและคำว่าเหตุด่วนเหตุร้ายแจ้ง191 ทั้งสองด้าน

โดยรถตู้คันดังกล่าวไม่มีคนขับและมีกุญแจเสียบอยู่ที่จุดสตาร์ทรถยนต์จอดหันหัวขึ้นไปทางถนนและด้านท้ายห่างจากลำน้ำน่าน ประมาณ 2 เมตร โดยเปิดประตูผู้โดยสารฝั่งด้านซ้ายสามารถมองเห็นเข้าไปด้านในพบว่าไม้ท่อนจำนวนหนึ่งบรรทุกอยู่ภายในห้องโดยสาร โดยได้ถอดเบาะออกทั้งหมดคงเหลือเพียงแค่ที่นั่งของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า สันนิษฐานได้ว่า การถอดเบาะดังกล่าวไม่ได้ถูกถอดมาด้วยความบังเอิญแต่ถูกถอดออกมาเพื่อชักลากไม้ท่อนที่บรรทุกอยู่ภายในรถ จึงได้ร่วมกันตรวจสอบโดยละเอียด พบว่าเป็นไม้กระยาเลยท่อนที่บรรทุกอยู่ภายในรถเป็นไม้กระยาเลยท่อนชนิดไม้ประดู่ มีลักษณะใหม่ไม่มีร่องรอยการเป็นเครื่องมือเครื่องใช้มาก่อนแต่อย่างใดและไม่พบร่องรอยดวงตาของพนักงานเจ้าหน้าที่ตีประทับไว้บริเวณหน้าตัดของไม้กระยาเลยท่อน (ไม้ประดู่) แต่อย่างใด คณะเจ้าหน้าที่ได้พยายามส่งเสียงเรียกหาเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวหรือผู้ที่ซึ่งจะมาแสดงตนเป็นเจ้าของ ปรากฏว่าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาแสดงตน จึงได้ลงความเห็นร่วมกันแล้วเห็นว่า

การกระทำกล่าวเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ พุทธศักราช 2504 เนื่องจากไม้ประดู่ม่อนเป็นประเภท ก พื้นที่ที่พบไม้ประดู่อยู่นั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งขวาแม่น้ำน่านตอนใต้ และชาติศรีน่าน จึงเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 จึงได้ร่วมกันตรวจยึดไม้กระยาเลยท่อน(ไม้ประดู่) โดยการตรวจนับวัดขนาดได้ไม้กระยาเลยท่อน (ไม้ประดู่ จำนวน 7 ท่อนและใช้ดวงตา ตีประทับไว้ที่หน้าตัดของไม้ประดู่ท่อนทั้ง 2 ด้านทุกท่อน พร้อมตรวจยึดรถยนต์ (รถตู้) คันดังกล่าวไว้เป็นของทั้งหมด นำส่ง ร.ต.อ.วินัย โนติ้บ พงส.สภ.นาหมื่น เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป


ภาพ/ข่าว  ปฏิญญา เรือนงาม รายงาน

สิ้นลาย!! “ไอ้เล็ก” หัวหน้าขบวนการขนเวียดนามข้ามประเทศ กก.สส.บก.ตม.4 รวบครบขบวนการ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

กก.สส.บก.ตม.4 ร่วมกับ ตม.จว.อุดรธานี จับกุมตัว MR.MAI อายุ 26 ปี สัญชาติเวียดนาม ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ตาม พ.ร.บ.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว

ตามนโยบายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมและขยายผลขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและความผิดอื่น ๆ ประกอบกับก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สืบสวน กก.สส.บก.ตม.4 สืบทราบว่า MR.MAI บุคคลต่างด้าว สัญชาติเวียดนาม ผู้เคยต้องโทษในความผิดกรณีเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการถูกจับกุม และตัวการช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการถูกจับกุม อีกทั้งเป็นหัวหน้าขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายในราชอาณาจักร โดย MR.MAI ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้มีโทษทั้งจำทั้งปรับ มาแล้วถึง 2 ครั้ง

หลังพ้นโทษได้รับการปล่อยตัวได้หลบหนีไปซ่อนตัว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.4 เร่งล่าตัว สืบสวนหาข่าวจนทราบว่า MR.MAI หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี จึงวางแผนเข้าจับกุม จนกระทั่ง ได้รับแจ้งจากสายข่าวไม่ประสงค์ออกนามว่า พบตัว MR.MAI อยู่ที่ ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี จึงประสาน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.อุดรธานี เข้าทำการจับกุม พบ MR.MAI เร่ขายของอยู่ริมถนน จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุม จากการตรวจสอบโดยระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) พบว่าการอนุญาตสิ้นสุด จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และ “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ตาม พ.ร.บ.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว จึงนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

แม่ทัพภาคที่ 4 ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติ ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า 2019 ชายแดนไทย-เมียนมา​ ด้านจังหวัดระนอง ชุมพร สกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิด ควบคู่กับการป้องกันไวรัสโควิด19

(4 ส.ค.64)​ ค่ายรัตนรังสรรค์ ตำบลราชกรูด อำเภอเมือง จังหวัดระนอง พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ตรวจเยี่ยมติดตามการปฏิบัติงานของ "ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า 2019 ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจังหวัดระนอง ชุมพร และการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าว" โดยมีพลตรีศานติ ศกุนตนาค ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5/ ผู้บัญชาการกองกำลังเทพสตรี หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและร่วมประชุม

โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับฟังบรรยายการสรุปผลการปฏิบัติงาน พิจารณาหารือถึงปัญหาข้อขัดข้องในห้วงที่ผ่านมา ทั้งการสกัดกั้นผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองตามแนวชายแดน รวมไปถึงการลักลอบนำสิ่งผิดกฎหมายเข้ามายังราชอาณาจักร ตลอดจนมอบนโยบายการปฏิบัติการสกัดกั้น โดยให้ปฏิบัติตามพันธกิจของกองทัพบก 3 ประการ ได้แก่ การเฝ้าตรวจและป้องกันชายแดน การจัดระเบียบพื้นที่ และการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงเฝ้าระวังป้องกัน สกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกดหมายตามช่องทางธรรมชาติ นำไปสู่การขยายผลจับกุมขบวนการ ตลอดจนการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าทางการเกษตร การสกัดกั้นการลักลอบนำถังอ็อกซิเจนออกนอกราชอาณาจักร โดยกำชับเจ้าหน้าที่วางกำลังเฝ้าตรวจ ร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่เฝ้าระวังพื้นที่ และการกระทำสิ่งผิดกฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเข้มข้นทุกตารางนิ้ว โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ตามแนวชายแดนควบคู่กัน เเละให้การช่วยเหลือประชาชนในทุกโอกาส

พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า "จากสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณชายแดนไทยเมียนมา​ ที่ผ่านมีการติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ตามแนวชายแดน และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเดินทางมาทำงาน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ 254 กม. ที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา​ ด้านจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง โดยสถานการณ์ของไวรัส Covid-19 ทั้ง 2 จังหวัด 

"อาจจะมีตัวเลขที่ขยับขึ้นแต่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถควบคุม และรองรับได้ แต่หากมีปัจจัยภายนอกสถานการณ์ของไวรัส Covid-19 จากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากมีการลักลอบ และการอพยพเข้ามาทำให้จะต้องมีการบริหารสถานการณ์ ยากลำบากมากยิ่งขึ้น

"เพราะฉะนั้นในส่วนของพื้นที่แนวชายแดนไทยเมียนมา ด้านจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง ในวันนี้ให้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์โคโรนา 2019 ตามแนวชายแดนไทยเมียนมาขึ้นมา โดยให้กองกำลังเทพสตรีเป็นผู้ดำเนินการในการจัดตั้ง เพื่อติดตามสถานการณ์ด้านการข่าว ทั้งในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวที่อาจมีการเคลื่อนย้ายเข้ามา บริเวณขอบแนวชายแดน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้งานด้านการข่าวจากทุกหน่วยในการประเมินสถานการณ์ เพื่อรองรับหากมีการอพยพที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ภายใน 2 จังหวัด

"สำหรับการปฏิบัติงานมีการจัดกำลังเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เเละเต็มกำลัง ในส่วนของกองกำลังเทพสตรี โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 มีขั้นตอนปฏิบัติอยู่ด้วยกัน 3 ขั้น ทั้งการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนทางทะเล ลำน้ำ การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ด่านความมั่นคง จุดข้าม จุดล่อแหลมต่างๆ และเส้นทางรองได้ร่วมมือกับจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง บูรณาการกำลังกับอาสาสมัครรักษาดินแดน ตำรวจภูธร และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 ซึ่งมีการแปรสภาพเป็นจุดตรวจคัดกรอง โดยเพิ่มอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อดูแลเรื่องการตรวจ Covid-19 จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีการจับกุม ผู้ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้งการนำพามาได้โดยตลอด" 

ในส่วนของการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ไทย – เมียนมา (ระนอง-ชุมพร) มีสภาพพื้นที่ปฏิบัติการ และมีช่องทาง ท่าข้าม ที่ลุยข้าม จำนวน 39 จุด ประกอบด้วย  ช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย 5 ช่องทาง, จุดผ่านแดนถาวร 4 จุด, จุดผ่อนปรนการค้าชายแดน 1 จุด, ช่องทางที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย 34 ช่องทาง, ช่องทางธรรมชาติ 9 ช่องทาง, ท่าข้าม 18 ท่าข้าม และที่ลุยข้ามมาได้ จำนวน 7 แห่ง

มีการวางกำลังจัดวางกำลังเป็น 3 แนว คือ...

แนวที่ 1 พื้นที่ตามแนวชายแดนกำลังทางบก โดยวางกำลังเป็นชุดเฝ้าตรวจชายแดน จำนวน 9 ชุดเฝ้าตรวจชายแดน เพื่อลาดตระเวนเฝ้าตรวจ ควบคุมภูมิประเทศสำคัญตามแนวชายแดน และเสริมช่องว่างด้วยชุดปฏิบัติการทางบก จำนวน 8 ชุดปฏิบัติการ เพื่อลาดตระเวนเฝ้าตรวจตามแนวชายแดน, กำลังทางน้ำ วางกำลัง 1 จุดตรวจ (จุดตรวจเกาะสะระนีย์) และ 1 ชุดปฏิบัติการทางน้ำ (ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทางน้ำและชายฝั่ง หรือชุดปฏิบัติการฉลาม)

แนวที่ 2 พื้นที่ชั้นกลาง จัดตั้งด่านตรวจ จุดตรวจ/จุดสกัด จำนวน 6 จุด ประกอบด้วย พื้นที่จังหวัดระนอง จำนวน 5 จุด และพื้นที่จังหวัดชุมพร จำนวน 1 จุด มีการจัดเตรียมกำลัง 1 หมวดปืนเล็กเป็นกองหนุน ปฏิบัติภารกิจเชิงรุกตามแผนเผชิญเหตุและหรือภาพข่าวที่ปรากฏ

และแนวที่ 3 พื้นที่ชั้นใน เป็นการตั้งจุดตรวจร่วมของฝ่ายปกครองในการสกัดกั้นเส้นทางหลบเลี่ยงจุดตรวจสำคัญ พื้นที่ จังหวัดระนอง จำนวน 5 จุดตรวจ และพื้นที่ จังหวัดชุมพร (อำเภอท่าแซะ) จำนวน 4 จุดตรวจ และมีการวางกำลังเพิ่มเติม จำนวน 10 ชุดปฏิบัติการ ในภารกิจเฝ้าระวังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา สกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดเข้ามาในราชอาณาจักร ควบคู่กับการป้องกันไวรัสโควิด 19 ด้วย

ที่มา: นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ตม.จว.ขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจสอบแรงงาน นายจ้างเจอพิษเศรษฐกิจ ผงะซ้ำ! ถูกตุ๋นต่อวีซ่าเถื่อนลูกจ้างกัมพูชา เร่งสาวหาตัวการ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.ท.สราวุฒิ ปรีดากร สวญ.ตม.จว.ขอนแก่น ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตามนโยบายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมและขยายผลขบวนการที่กระทำความผิดเกี่ยวกับบุคคลต่างด้าว และสกัดกั้นแรงงานที่ทะลักออกมาจากพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดย ตม.จว.ขอนแก่นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ปูพรมตรวจสอบสถานประกอบการ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการนำแรงงานต่างด้าวที่มาจากพื้นที่จังหวัดเสี่ยงแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมาทำงานโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบไซต์งานก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน 6 ราย ถือหนังสือเดินทางที่มีตราประทับขออยู่ต่อ ในราชอาณาจักร ของ ตม.จว.ปทุมธานี โดยเมื่อตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าตราประทับวันอนุญาตของ ตม.จว.ปทุมธานี ไม่ปรากฏลายมือชื่อของเจ้าพนักงานผู้อนุญาต ซึ่งมีลักษณะผิดปกติ จึงได้นำตัวบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชากลุ่มดังกล่าวทั้ง 6 ราย มาตรวจสอบเอกสารสำคัญประจำตัวโดยละเอียดที่ ตม.จว.ขอนแก่น

โดยจากการตรวจสอบผ่านระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) ไม่พบการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรตามที่ได้มีปรากฎในตราประทับในหนังสือเดินทางแต่อย่างใด จึงได้ประสานไปยัง ตม.จว.ปทุมธานี ตามที่ระบุในหนังสือเดินทางว่าเป็นผู้อนุญาตอยู่ต่อให้กับกลุ่มบุคคลต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ได้รับแจ้งว่าไม่มีการแจ้งขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรตามที่ได้ประทับตราในหนังสือเดินทางแต่อย่างใด

จึงทราบว่าตราประทับอนุญาตดังกล่าวเป็นตราประทับปลอม จากการสอบถามนายจ้างของบุคคลต่างด้าวคือนายพุฒศิษฐ์ อายุ 47 ปี สัญชาติไทย แจ้งว่าตนได้ว่าจ้างให้ น.ส.ทิพย์วรรณ อายุ 30 ปี เป็นผู้นำหนังสือเดินทางของบุคคลต่างด้าวไปทำการขออยู่ต่อให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา น.ส.ทิพย์วรรณ รับว่าตนนำหนังสือเดินทางของแรงงานต่างด้าวไปมอบให้ น.ส.จอย ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เพื่อทำเรื่องขออยู่ต่อฯ

จนมาปรากฏว่าตราประทับดังกล่าวเป็นตราประทับปลอม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ขอนแก่น จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาจำนวน 6 ราย ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และ “เป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชามีและใช้เอกสารปลอม”(ตราประทับวันอนุญาตอยู่ต่อ) แล้วนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองขอนแก่นเพื่อดำเนินการ พร้อมเร่งรัดสืบสวนขยายผลสู่ตัวการขบวนการปลอมตราประทับเพื่อมารับโทษทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ  รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

 

 

จับเฒ่าจีน!! ‘หนีหมายคดีล้มละลาย แอบซุกบริษัทย่านปทุม’ พบหลักฐานดำเนินคดีในความผิดทางการเงิน มีหมายจับของศาลจีนคดีล้มละลายเช่นกัน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ให้ห้วงที่ผ่านมา กก.สส.บก.ตม.3 คอยสอดส่งพฤติกรรมและบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมายหรือมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งอาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมในประเทศไทย ในครั้งนี้ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ได้รับการร้องเรียนว่ามีบุคคลคล้ายคนจีนน่าสงสัยว่าอาจหลบหนีเข้าเมืองหรือหลบหนีความผิดบางประการ โดยมีพฤติกรรมหลบ ๆ ซ่อน ๆ และระมัดระวังตัวสูง จึงได้ทำสืบสวนหาข้อมูลจนทราบข้อเท็จจริงว่าหลบหนีคดีมาจากประเทศจีนและอยู่เกินในราชอาณาจักรมาเป็นเวลานาน รายละเอียดการสืบสวนและดำเนินการจับกุมมีดังนี้

หลังจากได้รับการร้องเรียนของประชาชนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีข้อมูลว่ามีชายมีอายุลักษณะคล้ายคนจีน อาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีลักษณะมีป้ายบริษัทอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่พบเห็นว่ามีใครเข้ามาต่อติดงานบริษัทดังกล่าว โดยนาน ๆ ครั้งจะมีชายคนหนึ่งลักษณะคล้ายคนจีนปรากฏตัวออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว และขณะเดินออกมาจากบ้านจะมีท่าทีที่ระวังตัวเป็นอย่างมาก เป็นที่น่าสงสัยว่าอาจหลบหนีเข้ามาหรือหนีความผิดบางอย่าง

ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนอยู่ระยะหนึ่งจนได้ข้อมูลว่า ชายคนดังกล่าวคือนาย Rong สัญชาติจีน อายุ 59 ปี เข้ามาในประเทศไทยในลักษณะเป็นนักท่องเที่ยว ตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2559 ปัจจุบันอยู่เกินในราชอาณาจักร (Overstay) มา 1,956 วัน (ประมาณ 5 ปีครึ่ง) และยังมีข้อมูลว่าถูกดำเนินคดีที่ประเทศจีนในความผิดทางการเงินจนมีหมายจับของศาลประเทศจีนในคดีล้มละลาย จึงได้นำเรียนข้อมูลผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นและมีความเห็นว่าพฤติกรรมของนาย Rong ซึ่งอยู่แบบหลบซ่อนไม่ขออยู่ต่อในประเทศไทยโดยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเปิดเผย สุ่มเสี่ยงเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมในประเทศไทยซึ่งพบเห็นบ่อยครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้อนุมัติให้ดำเนินการจับกุมโดยทันที

เมื่อได้รับการอนุมัติดังกล่าว ชุดสืบสวนได้ดำเนินการเข้าจับกุมโดยวางแผนแฝงตัวซุ่มดูอยู่หลายวันจนกระทั่ง นาย Rong ได้ปรากฏตัวจึงเข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอตรวจสอบ แต่เมื่อนาย Rong พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รีบหลบเข้าไปในรถยนต์และทำการล็อครถไม่ยอมออกมาให้ตรวจสอบ ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 ชั่วโมงถึงยินยอมออกมาจากรถและให้มีการตรวจสอบหนังสือเดินทาง ซึ่งผลการตรวจสอบก็ปรากฏชัดว่าอยู่เกินในราชอาณาจักรตรงตามข้อมูลทางสืบสวนจริง จึงได้จับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา

แจ้งข้อกล่าวหา นาย Rong ว่า “เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) จำนวน 1,956 วัน”ภายหลังจับกุมนาย Rong รับว่าตนกระทำผิดตามที่กล่าวหา ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนในประเทศจีน ซึ่งมีการกู้ยืมเงินจำนวนมากแต่ยังปกปิดจำนวน เมื่อสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ได้เดินทางทางหลบหนีเข้ามายังประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 ภายหลังถูกฟ้องคดีและล้มละลายในเวลาต่อมาจนมีหมายจับในปี ค.ศ.2018 และ 2019 ตามลำดับ ในกรณีเงินทุนที่เอาเข้ามาใช้ในประเทศในการเปิดบริษัทนั้นชุดสืบสวนจะมีการสืบสวนต่อไปและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

'ผกก.แม่สอด' สุดทน!! ชี้มือโพสต์ขบวนการ Fake News หยุดทำร้ายชาวแม่สอดได้แล้ว

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 พ.ต.อ.ภูเบศ แสงอร่าม ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สอด จังหวัดตาก พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนและชุดปราบปรามอาชญากรรม และชุดสายตรวจปฎิบัติการพิเศษ สภ.แม่สอด จ.ตาก ได้ร่วมกันแถลงข่าว ถึงการสืบสวน สอบสวนติดตาม หาข่าวและข้อเท็จจริง ขบวนการสร้างข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ Fake News ภายหลังหลังจากที่มีกลุ่มขบวนการ สร้างเพจบล็อก และโพสต์ข่าวปลอม เป็นเฟกนิวส์ มีข้อความเพื่อพุ่งเป้าทำลายชื่อเสียง ของเจ้าหน้าที่และสร้างความสับสนให้สังคมแม่สอด

โดยได้โพสต์ตามสังคมออนไลน์ ทั้งในพื้นที่และทั่วประเทศ จนสร้างความเสียหาย ระหว่างหน่วยงานไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่มีส่วนรู้เห็นหรือเรียกรับเงิน เรื่องขบวนการลักลอบขนแรงงาน ฯลฯ รวมทั้งการทำเพจปลอมกล่าวหาให้ร้ายระหว่างหน่วยภาครัฐ แล้วนำไปลง จนสร้างความสับสนให้กับพี่ประชาชนในพื้นที่ไปแล้วนั้น จึงขอชี้แจงให้ประชาชนทุกท่านทราบข้อเท็จจริงและอย่าหลงเชื่อหรือส่งต่อแชร์ข้อมูลบิดเบือนใด ๆ เพราะเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

พันตำรวจเอกภูเบศ แสงอร่าม ผกก.แม่สอด เปิดเผยอีกว่า สุดจะทนกับพฤติกรรมของกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ชายแดนที่กำลังดิ้นเพราะการจับกุมของเจ้าหน้าที่สร้างความเสียหาย จนไปว่าจ้างทำบล็อกเฟกนิวส์ขึ้นมาโจมตี เจ้าหน้าที่หน่วยต่าง ๆ​ ไม่ว่าเป็น ตำรวจ ปกครอง ทหาร บุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ได้รับความเสียหาย และเกิดความเข้าใจผิดกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เรื่องนี้ยืนยันว่าตนเองยอมไม่ได้ จำเป็นต้องจัดการให้เด็ดขาด เพราะคนพวกนี้กำลังทำร้ายชาวแม่สอดและชาวจังหวัดตากอย่างไม่ละอายใจ ปล่อยไว้มีแต่จะทำลายสังคม

ผู้กำกับการ สภ.แม่สอด กล่าวย้ำอีกว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนในสื่อออนไลน์ ตามที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดตรวจบ้านห้วยหินฝน หมู่ที่ 6 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ร่วมกันตรวจสอบพบคนไทยที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในห้วงระหว่างเดือน มกราคม -  31 กรกฎาคม 2564 ได้มีการตรวจพบเป็นจำนวนมากถึง 498 ราย (ชาย 161 คน หญิง 337 คน) และมีการตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จำนวนร่วม 30 คน ผู้ถูกจับกุมส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย

ส่วนคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาจะหลบเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นในการหลบหนีเข้าเมือง เนื่องจาก ไม่สามารถเดินทางผ่านจุดตรวจ บ้านห้วยหินฝนนี้ได้เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี จากการซักถามปากคำผู้ถูกจับกุมพบว่า มีการจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับผู้นำพาลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รายละประมาณ 6,000 - 12,000 บาท ซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบจากโทรศัพท์ของผู้ถูกจับกุม มีข้อมูลการสนทนาทางไลน์​ และสลิปการโอนเงินให้กับกลุ่มผู้นำพา

หากคิดจำนวนผู้ลักลอบที่ถูกจับกุมแล้ว ที่ผ่านมามีเงินที่กลุ่มขบวนการนี้ได้ไปเป็นจำนวนหลายล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจ และทาง พล.ต.ต.ปริญญา วิศิษฐฎากุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก จึงได้สั่งการให้ ผกก.สภ.แม่สอด ทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มขบวนการผู้กระทำความผิดดังกล่าว

ภายหลังที่ สภ.แม่สอด ได้มีการสืบสวนขยายผลกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย และกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธสงคราม และความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ อย่างต่อเนื่อง

ต่อมาประมาณเดือน มิ.ย. 2564 ได้ตรวจพบว่ามีการจัดทำสื่อภาพซึ่งนำรูปเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.แม่สอด จว.ตาก มาประกอบข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริง เผยแพร่ในสื่อออนไลน์เพื่อลดความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง และในเดือนกรกฎาคม 2564 ได้มีการนำสื่อภาพซึ่งมีรูปของนายตำรวจระดับสูง ของจังหหวัดตาก และข้าราชการตำรวจ มาประกอบข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริง ออกมาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์เป็นครั้งที่ 2 ขณะนี้ทราบตัวและแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ทำการเผยแพร่ส่งต่อแชร์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างสืบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายดังกล่าวหรือไม่


ภาพ/ข่าว วรภา พันลุตัน จ.ตาก

ตำรวจสภ.กาฬสินธุ์ จับหนุ่มวัย 24 ปี ขายยา ‘ทรามาดอล’ ให้กลุ่มวัยรุ่น พบสั่งซื้อทางออนไลน์

ตำรวจสภ.เขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกับฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซ้อนแผนจับหนุ่มวัย 24 ปี พร้อมของกลางยาแก้ปวดทรามาดอล หรือยาเขียวเหลือง โดยในกลุ่มวัยรุ่นเรียก “ยาเสียสาว” จำนวน 110 เม็ด หลังสั่งซื้อทางออนไลน์มาขายให้กับกลุ่มนักเรียนหญิง นำมาผสมน้ำอัดลมดื่มช็อคล้มทั้งยืนเกือบเสียชีวิต พร้อมออกขอความร่วมมือร้านขายยาในพื้นที่ห้ามจำหน่ายให้กับวัยรุ่น ขณะที่พ่อเด็กหญิงวัย 14 ปี ขอให้ลูกสาวเป็นกรณีตัวอย่าง

จากกรณีพ่อวัย 36 ปี ชาวอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ โพสต์เตือนภัยเกือบสูญเสียลูกสาว หลังทานยาแก้ปวด ทรามาดอล หรือยาเขียวเหลือง โดยในกลุ่มวัยรุ่นเรียก “ยาเสียสาว” มาผสมน้ำอัดลมดื่ม ก่อนมีอาการเคลิ้มช็อคล้มทั้งยืนเกือบเสียชีวิตโชคดีแพทย์รักษาได้ทัน

ล่าสุดเมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 9 สิงหาคม 2564 ที่สภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.กันตพัฒน์  ภาคธรรม ผกก.สภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า สำหรับกรณีดังกล่าว ทางตำรวจสภ.เขาวงได้ทราบเรื่องจากของผู้ปกครองที่โพสต์เรื่องราวของลูกสาวตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 5 สิงหาคม 2564 แล้ว จากนั้นวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ได้สั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.เขาวง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเขาวง และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จับกุมตัวนายธีรุตม์  อุทโท อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 114 หมู่ที่ 2 ต.คุ้มใหม่ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ หลังจากเจ้าหน้าที่ขยายผลจากกลุ่มเด็กนักเรียนพบว่าได้ซื้อยา ยาทรามาดอล มาจากนายธีรุตม์ 

โดยเจ้าหน้าที่ได้วางแผนติดต่อซื้อยาทรามาดอลทางเฟสบุ๊ค จำนวน  20  เม็ด เป็นเงิน  140  บาท จากนายธีรุตม์ กระทั่งได้นัดให้มารับยาที่สั่งซื้อ เจ้าหน้าที่จึงจับกุมตัวได้ที่ร้านตัดผมแห่งหนึ่งใน ต.กุดสิมคุ้มใหม่ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ พร้อมของกลางยาทรามาดอลที่ล่อซื้อ 20 เม็ด และจากการตรวจค้นในร่างกายอีก 90 เม็ด รวมเป็น 110 เม็ด จึงนำตัวมาสอบสวน

พ.ต.อ.กันตพัฒน์กล่าวอีกว่า จากการสอบถามเบื้องต้น นายธีรุตม์  ยอมรับว่าได้นำยาทรามาดอลขายให้กับกลุ่มวัยรุ่นนักเรียนหญิงจริง โดยสั่งซื้อทางออนไลน์ และส่งมาทางพัสดุจากนอกพื้นที่ ก่อนจะนำมาขายให้กับกลุ่มวัยรุ่น  โดยในพื้นที่ อ.เขาวง เจ้าหน้าที่เพิ่งพบเป็นเคสแรก ซึ่งจะทำการขยายผลไปยังแหล่งที่มาของยา  ส่วนนายธีรุตม์ได้นำตัวพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหา "ขายซึ่งยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต (ความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510)

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.กันตพัฒน์ ภาคธรรม ผกก.สภ.เขาวง พร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจ ฝ่ายปกครอง และสาธารณสุข ยังได้ออกรณรงค์กับร้านจำหน่ายยาในพื้นที่ อ.เขาวง เพื่อขอความร่วมมือห้ามจำหน่ายยาดังกล่าวให้กับวัยรุ่น และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งร้านขายยาทุกแห่งต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมทั้งฝากเตือนกลุ่มวัยรุ่นที่อยากลองอาจจะเสี่ยงเกิดอันตรายถึงชีวิต และฝากเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบขายหากถูกจับได้จะต้องถูกดำเนินคดีโทษหนักจำคุก 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท

ขณะที่อาการของเด็กหญิงวัย 14 ปี ล่าสุดแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามอาการกับนายปรีดา ศรีวรขันธุ์  36 ปี ผู้เป็นพ่อ ทราบว่า ลูกสาววัย14 ปี ซึ่งได้ออกจากโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา และมารักษาตัวต่อที่บ้าน ซึ่งล่าสุดลูกสาวมีอาการดีขึ้นตามลำดับแต่ยังรับประทานยาฆ่าเชื้ออยู่ ในส่วนของด้านสภาพจิตใจคงต้องใช้เวลารักษาสักระยะเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบกระเทือนจิตใจของเด็กและครอบครัวมากตน เพราะเกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยากลอง แต่ก็อยากฝากเตือนภัย และอยากฝากถึงผู้ปกครองช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมบุตรหลาน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับใครอีก ให้กรณีของลูกสาวตนเป็นเคสสุดท้าย


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์ ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

"ไทยไม่ทน” จัดกิจกรรมคาร์ม็อบแรลลี่ ขับไล่นายกรัฐมนตรี ร้องตรวจสอบจรรยาบรรณสื่อบางราย ระบุบ้านเมืองถึงขั้นวิกฤติ ประชาชนตายรายวันเศรษฐกิจพินาศ ชี้!! “ประยุทธ” ต้องลาออกสถานเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (8 ส.ค.) นายวันเฉลิม กุนเสน เลขาธิการคณะกรรม การประชาชนขับไล่เผด็จการแห่งชาติ เป็นแกนนำนัดหมายกลุ่มคนพัทยารักประชาธิปไตย และคณะไทยไม่ทน รวมตัวกันที่บริเวณหน้าที่ทำการอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี ริมถนนสายสุขุมวิทขาเข้า จ.ชลบุรี เพื่อร่วมขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ในรูปแบบ “คาร์ม็อบแรลลี่” ปิดป้ายประกาศ โบกธงและบีบแตรโดยมีวัตถุประสงค์ในการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นขบวนรถและกลุ่มที่ร่วมเรียกร้องเข้าร่วมกว่า 500 คน อย่างไรก็ตามได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่จากเมืองพัทยา และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางละมุง จำนวนกว่า 50 นาย เข้ามาควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของรัฐ

ในการนี้ พ.ต.อ.ศักดิ์ชาย สุวรรณนุกูล ผกก.สภ.บางละมุง ได้อ่านประกาศคำสั่งไม่ให้มีการชุมนุม หรือรวมกลุ่มของผู้คนตามแนวทางของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดชลบุรี ที่ลงนามโดย นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมระบุว่า จ.ชลบุรี ได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่เฝ้าระวังที่ห้ามไม่ให้มีการชุมนุม การทำกิจการที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอให้เลิกการชุมชน รวมถึงการจัดกิจกรรมภายใน 30 นาที

โดย นายวันเฉลิม กุนเสน เลขาธิการคณะกรรม การประชาชนขับไล่เผด็จการแห่งชาติ ได้รับฟัง พร้อมกล่าวว่าคณะรัฐบาลชุดนี้มาอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน จึงเป็นกฎหมายที่ไม่สามารถรับฟังได้และจะไม่ขอปฏิบัติตาม พร้อมกันนี้ได้อ่านแถลงการณ์ว่าการรวมตัวดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศเพื่อโจมตีการบริหารงานของรัฐบาลที่ทำให้บ้านเมืองเกิดวิกฤตอย่างหนัก ทั้งสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้มีประชาชนป่วยตายรายวัน ขณะที่กรณีเรื่องของวัคซีนก็ไม่มีความชัดเจน สิ่งสำคัญคือปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดอย่างหนัก ประชาชนยากไร้ ตกงาน โดยรัฐบาลไร้ศักยภาพในการบริหาร จึงได้ร่วมกับทุกองค์กรจัดกิจกรรมพร้อมกันทั่วประเทศ และจะมีการยกระดับเพิ่มมากขึ้นในหลายภูมิภาค ซึ่งมีจุดหมายเดียวคือ “พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่งทันที

พร้อมกันนี้นายวันเฉลิม ได้ยื่นหนังสือต่อนายอัมพร แสงแก้ว นายกสมาคมนักข่าวพัทยา กรณีที่ให้ตรวจสอบจรรยาบรรณของผู้สื่อข่าวบางราย ที่กระทำหน้าที่และใช้วาจาอย่างไม่เหมาะสมลงในโลกโซเชียลเน๊ตเวิร์ค อีกทั้งยังเข้าร่วมการทำงานกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งขัดต่อหลักการทำงานในสายวิชาชีพสื่อสารมวลชน โดยทางนายกสมาคมนักข่าวพัทยา ได้รับเรื่องไว้พร้อมรับปากว่าจะทำการตรวจสอบต่อไป

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดน่าน 'จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติมอริเชียส' ตามหมายจับศาล ข้อหา “ร่วมกันปลอม และ ใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการเดินทางระหว่างประเทศ และร่วมกันฉ้อโกง”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.ปกกิจ คล้ายเพชร ผกก.ตม.จว.น่าน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.5 และ ตม.จว.น่าน ได้ร่วมกับ ตม.จว.เชียงราย, กก.สส.ภ.จว.น่าน, กก.สส.ปป.บก.ตม.2 และ สภ.เมืองเชียงราย ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายโจเซฟ อายุ 35 ปี สัญชาติมอริเชียส หรือ นายแพทริก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 536/2563 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2563  ความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมและใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศปลอม” (ปลอม VISA ของประเทศสหรัฐอเมริกา) และหมายจับศาลแขวงเชียงราย ที่ 53/2564 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” สถานที่จับกุม ลานจอดรถ โรงแรมแห่งหนึ่ง ถนนมหายศ ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน จ.น่าน 

พฤติการณ์ นายโจเชฟ ได้ร่วมกับ น.ส.ธนัสินี ภรรยาชาวไทย เปิดโรงเรียนฝึกหัดฟุตบอล ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยใช้ชื่อ “เจ.พี พรีเมียร์” เพื่อสอนเด็กชนเผ่าที่ด้อยโอกาส โดยอ้างว่า จะให้โอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น ต่อมานายโจเชฟ ได้ชักชวนให้ผู้ปกครองเด็กที่มาเรียนฟุตบอลเดินทางไปสหรัฐอเมริกา โดยเรียกค่าใช้จ่าย  หัวละ 700,000-900,000 บาท ซึ่งมีเด็กหลายคนเดินทางไปแล้ว ต่อมาช่วงปลายปี 2563  ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ได้จับกุมผู้ต้องหาคนไทยจำนวน 2 คน ซึ่งใช้หนังสือเดินทางที่มีแผ่นวีซ่าปลอมของประเทศสหรัฐอเมริกา นำส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดำเนินคดี โดยผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวได้ให้การซัดทอดนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ว่าเป็นผู้รับทำวีซ่าให้ และ พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ยื่นคำร้อง และศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้ออกหมายจับนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ในเวลาต่อมา  นอกจากนั้นยังมีผู้ปกครองบางราย ไม่เชื่อมั่น และขอเงินคืน แต่นายโจเชฟ และ น.ส.ธนัสินี ไม่คืนให้ จึงได้ไปร้องทุกข์ ที่ สภ.เมืองเชียงราย และศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” อีกคดีหนึ่ง ในส่วนของน.ส.ธนัสินี เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม5  และ ตม.จว.เชียงราย  ได้ทำการจับกุมตัวแล้วเมื่อวันที่ 17 ก.ย.63 ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 535/2563  ความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมและใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศปลอม”

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top