Monday, 12 May 2025
Crimes

รวบแก๊งบัตรขาว ชาวโรมาเนีย - มาเลเซีย!! พบบัตรเครดิตปลอมและบัตรเอทีเอ็มปลอม คาดผู้เสียหายอื้อ

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์  ผบช.สตม. ระดมกวาดล้างคนต่างด้าว ที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ขบวนการขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนการขนแรงงานต่างด้าวเข้า – ออกพื้นที่จังหวัดที่มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค  โควิด-19 และรวมถึงการที่คนต่างชาติเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. สั่งการให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ  นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผกก.กก.4 บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.,ว่าที่ พ.ต.ต.สิทธิมณ  สร้อยภู่ระย้า สว.กก.4 บก.สส.สตม.,ร.ต.อ.ภูริศ คำหมื่น รอง สว.กก.1.บก.สส.สตม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาดังนี้

1. MR.IACOB CORNE อายุ 39 ปี สัญชาติโรมาเนีย

ข้อหา “ร่วมกันปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม”

2. MR.GIM TECK WE  อายุ  33 ปี สัญชาติมาเลเซีย

ข้อหา “หลบหนีเข้าเมืองและร่วมกันปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม”

สืบเนื่องจาก กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและได้รับการประสานงานจากฝ่ายจัดการเหตุการณ์ธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ว่าได้มีผู้เสียหายถูกคนร้ายทำการถอนเงินออกจากบัญชี โดยที่บัตรถอนเงินยังคงอยู่กับผู้เสียหาย จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าคนร้ายในขบวนการนี้เป็นคนต่างชาติ จำนวน 2 ราย โดยจะใช้วิธีการคือทำการติดตั้งเครื่องสกริมมิ่งบัตรถอนเงินในช่องเสียบบัตรตู้ถอนเงินและจากนั้นจะทำการคัดลอกข้อมูลบัตรถอนเงินของผู้เสียหายไปใส่ในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม แล้วจากนั้นจะนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมไปถอนเงินตามจุดต่าง ๆ เช่นในเขต สาทร อำเภอหัวหิน เป็นต้น

โดยทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้สืบทราบว่าคนร้ายคือ MR.IACOB สัญชาติโรมาเนีย และ MR.GIM สัญชาติมาเลเซีย โดยคนร้ายทั้งสอง ได้ทำการหลบหนีและย้ายไปกระทำความผิดในพื้นที่อำเภอหัวหิน ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทราบว่า MR.GIM ได้พักอาศัยอยู่โรงแรมบริเวณริมชายหาดอำเภอหัวหิน จึงได้ดักซุ่มรอจนกระทั่ง MR.GIM ปรากฏตัวตัวจึงได้แสดงตัวขอทำการตรวจค้นผลการตรวจค้นพบ บัตรอิเล็กทรอนิกส์สีขาว จำนวน 209 ใบ บัตรอิเล็กทรอนิกส์สีขาวที่มีการลงข้อมูลแล้ว จำนวน 2 ใบ สมุดบัญชีธนาคารจำนวน 6 เล่ม พร้อมเครื่องลงข้อมูลในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 1 เครื่อง

 

บก.สส.สตม. รวบสมุน ‘เครือข่ายเจ๊เพชร’ ลักลอบขนแรงงานเมียนมาเถื่อนเมืองกาญฯ เข้าประเทศชี้จุดจ่ายหัวคิว

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. สั่งการให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. แถลงข่าวจับกุมขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าว ดังนี้

กก.2 บก.สส.สตม. ไล่ล่ารถยนต์สีดำต้องสงสัย ขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จากจังหวัดกาญจนบุรี เข้ามายังกรุงเทพมหานคร ตามสั่งการ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. ให้มีการเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเข้าไทยโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรคโควิด-19 ยังคงเป็นภารกิจสำคัญที่ สตม. ดำรงความเข้มงวดด้วยมาตรการเฝ้าตรวจพื้นที่ตลอด 24 ชม. จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายรวมถึงผู้นำพาทั้งชาวไทยและต่างด้าว พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. จึงสั่งการให้ กก.2 บก.สส.สตม.สืบสวนจับกุมแรงงานต่างด้าวและขบวการนำพาโดยเร่งด่วน

พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน ผกก.2 บก.สส.สตม. สั่งการให้ จนท.สืบสวนหาข่าวขยายผลขบวนการขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง สืบเนื่องจากวันที่ 12 ก.พ. 64 ได้มีการจับกุมคดีนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรผิดกฎหมาย โดยผู้ถูกจับกุมในครั้งนั้นคือนางราตรีหรือเจ๊เพชร จากการขยายผลพบว่ากลุ่มลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมืองในฝั่งเมียนมา โดยมีนายอองโจเป็นผู้คอยประสานสั่งการและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังติดต่อคนสัญชาติไทย ที่อยู่ในประเทศไทยให้ทำหน้าที่ขนคนต่างด้าวที่เดินทางหลบหนีเข้าเมือง โดยให้คนไทยมารับตัวผู้หลบหนีตามจุดนัดหมายในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อส่งคนต่างด้าวหลบหนีไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคิดค่าหัวคนละ 15,000 – 20,000 บาท กก.2 บก.สส.สตม. ได้สืบสวนและเฝ้าติดตามพฤติการณ์มาโดยตลอด

จนกระทั่ง วันที่ 26 ก.ย. 64 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนจนพิสูจน์ทราบแน่ชัด มีคนไทยที่เคยติดต่อทำงานให้กับนายอองโจว เครือข่ายเจ๊เพชร คือนายแสวง จากการเฝ้าติดตามจึงทำให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าจะมีการลับลอบขนคนต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยใช้รถยนต์กระบะสีดำ จุดสังเกตด้านหลังรถติดสติ๊กเกอร์ตราตำรวจนครบาล โดยจะขับเลี่ยงเส้นทางที่มีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดของเจ้าหน้าที่ กระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น. บริเวณถนนทางหลวงชนบท นนทบุรี 3046 พบรถยนต์ต้องสงสัยคันดังกล่าว วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 110 - 120 กม./ชม. วิ่งเข้าตัวเมืองกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงขับรถออกติดตามไปจนถึงบริเวณใต้สะพานลอยพระราม 8 ฝั่งปิ่นเกล้า เมื่อได้โอกาสเจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถยนต์เข้าสกัดรถต้องสงสัยคันดังกล่าว

สกัดแก๊งยา!! ตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมผู้ต้องหา 4 คน “พร้อมยาบ้า 1 แสนเม็ด และไอซ์ 2 กิโลกรัม” ในท้องที่ สภ.ช้างเผือก และสภ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

ตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่างๆ ที่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่สังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./หน.ศอปส.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง นั้น

วันที่ 8 ต.ค.64 เวลา 10.30 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ,พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม แถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ดังนี้

จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 4 คน

1. นายกรรณธวุฒิ  เรืองทิพย์  อายุ 30 ปี ที่อยู่ 249/1 ม.4 ต.สะลวง อ.แม่ริม  จ.เชียงใหม่ 

2. นายยุชัย  จะมี  อายุ 30 ปี ที่อยู่ 224 ม.8 ต.ห้วยชมภู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 

3. นายจะลอ  จะคือ  อายุ 33 ปี ที่อยู่ 298 ม.8 ต.ห้วยชมภู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 

4. นายพิทักศรีรุ้ง  จะแป อายุ 33 ปี ที่อยู่ 296 ม.8 ต.ห้วยชมภู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย

พร้อมด้วยของกลาง

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน รวมประมาณ 100,000 เม็ด

2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม 

3. รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน งจ 2940 เชียงใหม่(พบซุกซ่อนอยู่ในช่องเก็บของด้านหลังรถยนต์เก๋งคันดังกล่าว)

4. รถยนต์กระบะหัวเดี่ยว ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นเรโว่ สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

6. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 110 ไอ สีส้มดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

โดยกล่าวหาว่า มีความผิดฐาน “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์และยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”

พฤติการณ์ ด้วยวันที่ (6 ต.ค. 64) เวลาประมาณ 05.00 น. จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่า  นายกรรณธวุฒิ (โก๋) เรืองทิพย์ มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด(ยาบ้า) และ เวลาประมาณ 08.00 น. นายกรรณธวุฒิ (โก๋) ได้นัดหมายติดต่อรับยาเสพติด (ยาบ้าและไอซ์) จำนวนมาก จากกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติด นัดกันบริเวณพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่  จึงได้เดินทางไปบ้านพักของ นายกรรณธวุฒิ (โก๋) เมื่อไปถึงบริเวณใกล้บ้านพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม วางกำลังโดยรอบบ้านพักของ นายกรรณธวุฒิ (โก๋) ต่อมา ได้มีรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส  สีขาวออกจากบ้านพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขับรถยนต์ สะกดรอยติดตามไปจนถึงบริเวณริมถนนหมายเลข 3038 ก่อนถึงสนามกีฬากลางเทศบาลเมืองแกนพัฒนา ม.7 ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และรถยนต์ได้เลี้ยวเข้าไปในซอยถนนดินแดงฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด จากนั้นไม่นาน รถคันดังกล่าวได้ ออกมาจากซอยเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสนามกีฬากลางเทศบาลเมืองแกนพัฒนา ม.7 ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ชุดที่ 1 จึงได้ติดตาม ไปอย่างใกล้ชิด จากนั้นได้มีชายวัยรุ่นจำนวน 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ สีส้ม ออกมาจากบริเวณซอยถนนดินแดง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่ 2 จึงได้ติดตามรถจักรยานยนต์ไปและได้แสดงตัวขอทำการตรวจค้นตัว

รวบ 7 โจ๋ ฉะเชิงเทรา!! ‘กวาดล้างแก๊งค้าอาวุธปืนเถื่อนขายทางออนไลน์’ พบของกลาง พร้อมรับสารภาพ

วันนี้ 10 ต.ค.64 เวลา 14.30 น. ตามนโยบายของตำรวจ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ให้กองบัญชาตำรวจภูธรภาค 2 ดำเนินการให้ระดมกวาดล้าง ยาเสพติดและอาวุธปืน รวมตลอดถึงอาชญากรรมทุกประเภท อันเป็นการซ้ำเติมปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จึงสั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ดำเนินการระดมกวาดล้างตามสั่งการอย่างเคร่งครัด และให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้สั่งการให้พล.ต.ตนันทวุฒิ สุวรรณละออง ในฐานะผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ต.อ. นเรวิช สุคนธวิท รอง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ.คมกฤษ ศรีผ่องงาม รอง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา  พ.ต.อ. ชาตรี สุขศิริ รอง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ. ธราเทพ ตูพานิช รอง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ. นิพนธ์ คล้ายสิงห์ รอง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.สภ.ฉิมพลี ระดมกวาดล้างอาชญากรรม และสืบสวนติดตามขยายผลจับกุมกลุ่ม ยาเสพติดและอาวุธปืนในพื้นที่รับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2564  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉิมพลี ได้ร่วมกันจับกุมตัว ได้แก่

         1.นายจักกริช ยะก๊บ  อายุ 18 ปีอยู่บ้านเลขที่ 15/1 ม.7 ต.พระอาจารย์ อ.องครักษ์ จ.นครนายก

         2.นายศุภโชค แซ่ตั้น อายุ 21 ปี บ้านเลขที่ 40/4 ม.01 ต.ศาลาแดง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา

รวมกับ ผู้ต้องหา อีก 5 คน ซึ่งเป็นเยาวชน

พร้อมด้วยของกลาง

-  อาวุธปืนไทยประดิษฐ์แบบรีวอลเวอร์ , แบบกึ่งออโตเมติก ,แบบหักลำกลาง รวม 19 กระบอก

-  เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 มม. ขนาด 11 มม. ขนาด .22 มม. ขนาดลูกซองเบอร์ 12 รวม 98 นัด

- กัญชาแห้ง 1.61 กรัม

- บันทึกผลตรวจปัสสาวะผลบวก 5 แผ่น

ตำรวจภูธรภาค​ 5 จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ เฮโรอีน 35 กิโลกรัม ในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่

ตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./หน.ศอปส.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง ตามแผนปฏิบัติการ ด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมนั้น

11 ตุลาคม 2564 เวลา 09.30 น. ตำรวจภูธรภาค 5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, พล.ต.ต.วรพงค์ คำลือ ผบก.บก.สส.ภ.5 และ พ.ต.อ.ทรงกริช ออนตะไคร้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, พ.ต.อ.สกุลรัชช์ คงทอง ผกก.สภ.นาหวาย จ.เชียงใหม่ แถลงผลการจับกุมขบวนการลักลอบขนยาเสพติดรายสำคัญ พร้อมของกลาง เฮโรอีน 35 กิโลกรัม ในท้องที่ สภ.นาหวาย จว.เชียงใหม่ มีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องจำนวน 4 คน หลบหนีไปได้ 1 คน ดังนี้... 

1. นายอาทิตย์ จะวอ อายุ 26 ปี  ที่อยู่ 36 ม.15 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 
2. นายอาคาริ จะอื่อ  อายุ 24 ปี ที่อยู่ 401 ม.3 ต.บ้านหลวง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (หลบหนี)
3. นายจะอื่อ จะทอป่า อายุ 36 ปี ที่อยู่ 338 ม.10 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่     
4. นายจะนู (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี 

สถานที่จับกุม ผู้ต้องหาที่ 1 บริเวณ ริมถนนสาย 3002 หน้าสุสานบ้านทุ่งข้าวหลวง ม.5 ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องจับกุม ผู้ต้องหาที่ 3 และ 4 ที่บริเวณศาลาที่พักริมทาง สามแยกปิงโค้ง ขาเข้าเมือง ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่  


 
พร้อมด้วยของกลางเฮโรอีนประมาณ 35 กิโลกรัม แบ่งเป็น... 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ชนิดผงบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส มีโลโก้สิงโตคู่เหยียบลูกโลก สีแดง น้ำหนักรวมสิ่งบรรจุภัณฑ์ประมาณ 350 กรัม บรรจุในกล่องกระดาษ สีขาว ห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำ จำนวน 2 ใบ รวม 30ถุง น้ำหนักรวมประมาณ 10,500 กรัม

2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ชนิดผง บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส มีโลโก้สิงโตคู่เหยียบลูกโลก สีแดง น้ำหนักรวมสิ่งบรรจุภัณฑ์ประมาณ 350 กรัม บรรจุในกล่องกระดาษ สีขาว ห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำ จำนวน 5 ใบ รวม 70 ถุง น้ำหนักรวมประมาณ 24,500 กรัม

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” 

ตำรวจภูธรภาค 5 สกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ตรวจยึดยาบ้า 220,000 เม็ด ในพื้นที่ จ.ลำพูน

ตำรวจภูธรภาค 5 สกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ตรวจยึดยาบ้า 220,000 เม็ด ในพื้นที่ จ.ลำพูน ตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ร่วมกันสอดส่องเฝ้าระวังบุคคลที่มีลักษณะพฤติกรรมน่าสงสัย ซึ่งอาจจะก่ออาชญากรรมหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหากพบ โปรดแจ้งสายด่วน 191, หรือline@inthanon1 (ผบช.ภ.5)  และ Application Police I lert U  ได้ตลอด 24 ชม.

ตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./หน.ศอปส.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง โดยให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมนั้น

วันที่ 12 ต.ค. 64 เวลา 10:00 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ  ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 ,  พล.ต.ต.มงคล สัมผวะผล ผบก.ภ.จว.ลำพูน พร้อมด้วย ผกก.ฯ และ รอง ผกก.ปป.สภ.ทากาศ จว.ลำพูน ร่วมแถลงผลการตรวจยึดยาบ้า ประมาณ 220,000 เม็ด

พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 08:20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทากาศ จว.ลำพูน ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการนัดหมายส่งมอบยาเสพติดในพื้นที่สวนลำไย หมู่ 11 ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จว.ลำพูน จึงได้ร่วมกันวางแผนเพื่อทำการจับกุม ต่อมาได้ประสานกับนายสุทัศน์ ขาวกาศ เจ้าของสวนลำไยที่เกิดเหตุ เข้าทำการตรวจสอบ พบกระเป๋าต้องสงสัยสีดำจำนวน 2 ใบ ซุกซ่อนอยู่บริเวณแนวรั้วของสวนลำไยที่เกิดเหตุ และเมื่อตรวจสอบในกระเป๋าพบว่าในกระเป๋าทั้งสองใบมีห่อกระดาษไข สีเหลืองจำนวน 22 ห่อ บรรจุอยู่ โดยข้างในแต่ละห่อ บรรจุยาบ้าชนิดสีส้มประทับตราอักษรภาษาอังกฤษ wy นับได้จำนวน 220,000 เม็ด จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบและร่วมกันทำการตรวจยึดยาบ้าของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทากาศ เพื่อดำเนินคดีการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

โดยเบื้องต้นเชื่อว่าผู้ก่อเหตุ น่าจะมีการนัดหมายเพื่อส่งมอบยาเสพติดกันในพื้นที่บริเวณดังกล่าวข้างต้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจพบก่อนจึงได้หลบหนีไปและทิ้งของกลางไว้ในที่เกิดเหตุ ทาง ผบช.ภ.5 ได้เร่งรัดทุกหน่วยในสังกัด ภ.5 ให้หาตัวผู้กระทำผิดดังกล่าว มาดำเนินคดีในข้อหา "มียาเสพติดให้โทษประเภท1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฏหมาย" ต่อไป

 

ตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมแก๊งวัยรุ่น รวมกลุ่มมั่วสุมทำร้ายประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

(12 ต.ค.​ 64)​ ตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตรง. (สส.) และพล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(ปป.) กำชับให้ทุก บช. ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมให้เกิดความสงบเรียบร้อยและความสงบสุขแก่พี่น้องประชาชน

ตำรวจภูธรภาค 5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ  ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.ธวัชชัย  พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ร่วมกับ นายบำรุงเกียรติ  วินัยพานิช นายอำเภอสันป่าตอง แถลงผลการจับกลุ่มวัยรุ่น สร้างความเดือดร้อน และร่วมกันทำร้ายให้กับประชาชนที่ขับรถสัญจรผ่านไปมาจนได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ก่อนพากันขับรถหลบหนีไป พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2564 เวลา 02.00 น. สภ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าเกิดเหตุกลุ่มวัยรุ่นจำนวนหนึ่งซึ่งใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะจำนวนหลายคัน จอดดักบนถนนสาย อ.สันป่าตอง – อ.แม่วางฯ แล้วร่วมกันทำร้ายคนที่ขับขี่ผ่านมาจนได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 คน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่ได้จากการสืบสวนและประจักษ์พยานผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอศาลอนุมัติหมายจับผู้กระทำผิด ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ ได้จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย 1.นายแบม อายุ 16 ปี และ 2.นายโอ๊ต อายุ 17 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.ลำพูน และวันที่ 12 ต.ค.2564 สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวได้ จำนวน 2 คน ซึ่งเป็นเยาวชน โดยให้การรับว่าได้ร่วมกับพวกที่หลบหนี ขับขี่รถจักรยานยนต์มาร่วมทำผิดที่มีการกล่าวหาจริง จึงทำการจับกุมตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ มั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือทำการอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป และใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิด ในการพาทรัพย์นั้นไปหรือพ้นจากการจับกุม”

‘ตม.ประจวบคีรีขันธ์’ คุมเข้มช่องทางธรรมชาติ สกัดโควิดระบาด!! จับกุมหนุ่มเมียนมาลักลอบนำพาแรงงานถื่อน พร้อมยาบ้า พร้อมรวบ 33 ชาวเมียนมา หลบหนีเข้าเมืองเพื่อไปทำงาน จว.สมุทรสาคร

วันนี้(15 ก.ย. 2564 ) เวลา 13.30 น.พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ พุทธิพงษ์ ผกก.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ แถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาพร้อมด้วยของกลางยาบ้า และนำพาแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยสั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ออกสืบสวนหาข่าว และตรวจสอบผู้กระทำความผิดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อป้องกันผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

โดยเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.ของวันที่ 14  ต.ค.64 เจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์พร้อมด้วยหน่วยงานความมั่นคง ได้ตรวจพบบุคคลต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย และสามารถจับกุม นายมิวแตอู อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา พร้อมด้วยของกลางยาบ้าจำนวน 10 เม็ด โดยกล่าวหาว่า”มียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้าไว้ในความครอบครองโดยผิดกฏหมายและนำหรือพาบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรฯ”   และควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาจำนวน 33 คน ได้ที่บริเวณ ช่องทางธรรมชาติช่องชุมนุมมะละกอ ม.5 บ้านเนินแก้ว ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบฯ

จากการสอบสวนเบื้องต้น แรงงานต่างด้าว เดินทางมาจาก มะริด 10 คน พะลอ 10 คน เมาะลำไย 5 คน มะกุย 1คน มันดาเล 3 คน พะโคะ 1 คน ทวาย 3 คน ทั้งหมดต้องการเดินทางไปทำงานที่ จ.สมุทรสาคร ในเบื้องต้นได้ทำการกักตัวไว้ในสถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการคัดกรองหาเชื้อไวรัสโคโรน่า ( โควิด 19 ) หลังจากนี้จะได้ทำการสอบสวนขยายผลถึงขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป

“ตม.จว.สุราษฎร์ธานี” สนองนโยบาย ผบ.ตร.- ผบช.สตม. นำรถยนต์ตรวจการณ์อัจฉริยะ (BMW) ออกตรวจเข้ม!! จับกุมชาวอังกฤษอยู่เกินวีซ่าหลบในไทย ถูกดำเนินคดีและผลักดันส่งกลับ ติดแบล็คลิสยาว 5 ปี

วันนี้ 16 ต.ค.2564 เวลา 13.00 น. พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี แถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย โดย ผกก.ตม.จว. สุราษฎร์ธานี สั่งการการให้ พ.ต.ท.ชาตรี ชูแก้ว รองผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.ท.ธีระวัฒน์ อํานาจเจริญยิ่ง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ร.ต.อ.สิริวัฒน์ สมหวัง รองสว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ร.ต.ท.ประมุข กองกุล รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ด.ต.ภรภัทร เมืองชู, ด.ต.ธเนศพล สำลี, ด.ต.สิทธิชัย รอดเอียด และ ส.ต.อ.พนมกร สากุลา ผบ.หมู่ ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้นำรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ BMW ออกตรวจพื้นที่ตามมาตรการป้องกันปราบปรามการกระทำผิด เพื่อป้องกันผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 

โดยเมื่อวันที่ผ่านมาได้ร่วมกันจับกุมตัว Mr.Craig Campbell อายุ 43 ปี สัญชาติ บริติช ได้ที่บริเวณ ริมถนนโฉลกรัฐ10/2 หมู่ 2 ต.บางกุ้ง อ.เมือง จว.สุราษฎร์ธานี โดยกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (อยู่เกินกำหนดอนุญาต 349 วัน)” และในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงได้นำตัวผู้ถูกจับนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และเมื่อคดีสิ้นสุดจะถูกผลักดันส่งกลับประเทศ และถูกห้ามกลับเข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี 

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและมาตรการในการป้องกันปราบปรามของพล.ต.ท. ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต. อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ประพันศักดิ์ประสานสุข ผบก.ตม.6 ที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม และเข้มงวดกวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และเน้นย้ำให้เพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการป้องกันปราบปรามบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้วกระทำผิดกฎหมาย  ซึ่งถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อว่าเป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของประเทศได้ 

ตม.ขอนแก่น เด้งรับนโยบายกวาดล้าง!! สืบจนเจอหัวโจกสายตี้ ฝ่าพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซ้ำ Over stay กว่า 6 ปี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต  และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศสกัดกั้นการลักลอบเข้า-ออกต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.ท.สราวุฒิ ปรีดากรณ์ สวญ.ตม.จว.ขอนแก่น ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา

ตม.จว.ขอนแก่น บูรณาการกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ทท.2 จับกุมบุคคลต่างด้าว Mr.Sunjiฯ อายุ 36 ปี สัญชาติแคเมอรูนข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” จำนวน 2,431 วัน ตาม ม.81 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 สถานที่จับกุม หน้าบ้านแห่งหนึ่งใน ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น

ตามนโยบายของ ผบ.ตร. ให้มีการระดมกวาดล้างบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรและกระทำความผิด ตม.จว.ขอนแก่น ได้สนองนโยบาย โดยสั่งการเจ้าหน้าที่สืบสวนออกติดตามหาข่าวบุคคลต่างด้าวที่กระทำผิดในพื้นที่รับผิดชอบ ต่อมาได้สืบทราบว่ามีบุคคลต่างด้าวผิวสี อาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น มักจะชักชวนเพื่อนมาสังสรรค์ มั่วสุมกันในที่พักทั้งส่งเสียงดังก่อกวนประชาชนผู้พักอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง อันเป็นกิจกรรมเสี่ยงแพร่โควิด ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงประสานกับหน่วยงานข้างเคียง ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบบ้านพักของบุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว และมีชายผิวสีกำลังออกมาจากบ้าน

จากการสอบถามเพื่อนบ้านบริเวณใกล้เคียงแจ้งว่าบ้านหลังดังกล่าวมักจะมีการรวมกลุ่มมั่วสุมกันอยู่บ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทาง บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าวไม่สามารถนำมาแสดงได้ แต่พบใบอนุญาตขับขี่ (International driver license) ระบุชื่อ Mr.Sunjiฯ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เชิญตัวมาที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อตรวจสอบโดยใช้ระบบสาระสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (PIBICS) จากการตรวจสอบพบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และข้อมูลการขออยู่ต่อ โดย Mr.Sunjiฯ ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 15 มิ.ย.58 ซึ่งเป็นการอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดจำนวน 2,314 วัน จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” พร้อมนำตัวส่ง พงส.กก.สส.บก.ตม.4 ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top