Wednesday, 14 May 2025
Crimes

ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี แถลงข่าว ’กวาดล้างการแข่งรถ’!! จับกุม รถจยย.แต่งซิ่ง 136 คัน

เมื่อวันที่ 9 พฤจิกายน 2564 เวลา 13:00 น. พล.ต.ต.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี แถลงข่าวผลการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ระดมกวาดล้างการกระทำความผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาการแข่งรถในทางมหรือขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น การรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือโดยพฤติการณ์ที่น่าจะเป็นการนำไปสู่การแข่งรถในทาง อันเป็นการก่อความเดือดร้อน รำคาญและเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม 

ซึ่งในปัจจุบันยังปรากฎภาพข่าวหรือเหตุการณ์การแข่งรถในทาง การขับรถในลักษณะผิดปกติวิสัยของการขับรถธรรมดา ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นเพื่อให้การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลภ.จว.ปทุมธานีได้ออกแนวทางการปฏิบัติและกำหนดให้มีการระดมกวาดล้างการกระทำความผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ใน ภ.จว.ปทุมธานี จากการระดมกวาดล้างดังกล่าวมีผลการปฏิบัติ 

ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

1. ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ 136 คัน 

2.ตรวจยึดท่อไอเสียไม่ได้มาตราฐาน 52 อัน 

3.ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน 1 คดี 

4.เปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดระเบียบไว้และใช้รถนั้น 42 คดี 

5.ใช้รถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ครบ 65 คดี 

6.ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาต 245 คดี 

7.ใช้รถที่ยังมิได้จดทะเบียน 7 คดี 

8.แข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต 1 คดี 

9. ทิ้ง วาง หรือกองซากยานยนต์บนถนนหรือสถานสาธารณะ 7 คดี 

10.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น 1 คดี 

ตม.จว.ภูเก็ต - บก.ตม.6 และ บก.สส.สตม. ร่วมกันจับกุม! ผู้ต้องหา ‘สวมสิทธิขอสัญชาติไทย’

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย หรือลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติ ที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.ธเนศ สุขชัย ผกก.ตม.จว.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. แถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

นายโอมจี อายุ 47 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 284/2564 ลง 7 ตุลาคม 2564 และ 288/2564 ลง 8 ตุลาคม 2564 ข้อหา “เป็นผู้ยื่นคำขอมีบัตรประชาชนโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่, เป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ทำหรือใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎร์อื่นโดยมิชอบ, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการที่มีบัตรประจำตัวประชาชน, แจ้งความอันเป็นเท็จแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับให้เป็นพยานหลักฐานโดยที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 267 ในประการที่น่าจะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

สืบเนื่องจาก ตม.จว.ภูเก็ต ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคนต่างด้าวมีพฤติกรรมทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ของ  ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต จึงได้ดำเนินการตรวจสอบสืบสวนจนพบข้อมูลต้องสงสัยน่าเชื่อว่า นายโอมจี อายุ 49 ปี เดิมเป็นบุคคลสัญชาติเมียนมา ได้รับสัญชาติไทย ซึ่งอาจเป็นผู้ได้มาซึ่งสัญชาติไทยโดยไม่ถูกต้อง จากนั้น จึงได้ตรวจสอบไปยังกรมการปกครองและได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากกรมการปกครองกลับมาว่า บุคคลดังกล่าว ( นายโอมจี ) มีภาพใบหน้าลักษณะคล้ายชาวอินเดียไม่น่าจะเป็นพี่น้องกับบุคคลในทะเบียนประวัติราษฎร อีกทั้ง ทะเบียนประวัติมีลักษณะเป็นการจัดทำขึ้นใหม่ทั้งฉบับซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานดังกล่าวในฐานข้อมูลการทะเบียนราษฎร ประกอบกับการการทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยครั้งแรกนั้นได้ดำเนินการหลังระยะเวลาที่ได้จัดทำทะเบียนประวัติเป็นเวลานาน 

ตม.จว.ภูเก็ต จึงได้ประสานข้อมูลให้ บก.สส.สตม. ช่วยสืบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมถึงสอบสวนปากคำพยานซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวที่นายโอมจีเข้าไปสวมสิทธิ เจ้าหน้าที่สืบสวนได้สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จนน่าเชื่อว่า นายโอมจีฯ มีพฤติกรรมสวมสิทธิของบุคคลอื่น เพื่อขอมีสัญชาติไทย ขอมีบัตรประชาชนและเพิ่มข้อมูลในทะเบียนราษฎร์โดยทุจริต เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำรายงานสืบสวนเสนอผู้บังคับบัญชา และแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง และ สภ.ถลาง เพื่อดำเนินคดีและออกหมายจับผู้ต้องหาในเวลาต่อมา

ตม.จว.พังงา จับกุม! ชาวเมียนมา ‘ฆ่าเพื่อนร่วมชาติตนเอง’ หลังหลบหนีนาน 17 ปี ก่อนจนมุม!!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย หรือลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติ ที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภัคพงศ์  บูรณ์ชนะ ผกก.ตม.จว.พังงา และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.พังงา แถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้

นายติ๋วหรือยาว สัญชาติ เมียนมา อายุ 46 ปี หมายจับศาลจังหวัดพังงา ที่ ส.12/2548  ลง  26 ม.ค.48 ต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน” หมดอายุความวันที่ 29 ก.ย.67 

สืบเนื่องจาก พงส.สภ.ทับปุด ได้รับแจ้งว่า พบศพชายไม่ทราบชื่อ 1 ราย (ทราบชื่อภายหลัง คือ นายลับ อายุ 25 ปี สัญชาติเมียนมา) บริเวณ สวนปาล์ม ม.1 ต.บ่อแสน อ.ทับปุด จ.พังงา ต่อมา พงส.สภ.ทับปุด ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และทราบสาเหตุเกิดจากผู้ตายมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมชาติที่ทำงานเดียวกันบ่อยครั้ง ทำให้เกิดความโกรธแค้น จึงร่วมกันฆ่าผู้ตาย แล้วทิ้งศพไว้ ในที่เกิดเหตุ พงส.ฯ จึงได้ออกหมายจับต่างด้าวชาวเมียนมา จำนวน 4 ราย ดังนี้ นายดำ นายติ๋วหรือยาว นายโทน และนายซอ

เมื่อปลายปี 2562 สภ.ทับปุด ได้ส่งหมายจับศาลจังหวัดพังงา ที่ ส.12/2548  ลง 26 ม.ค.48 ผู้ต้องหาชื่อ นายติ๋วหรือยาว (พม่า) สัญชาติ เมียนมา ต้องหาว่ากระทำผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน หมดอายุความวันที่ 29 ก.ย.67   มาให้  เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.พังงา รู้สึกคุ้นว่าเคยเห็นหน้ามาก่อน คล้ายกับแรงงานที่เคยทำข้อมูลท้องถิ่นไว้ จึงได้ติดตามสืบสวนหาตัวผู้ต้องหารายดังกล่าวตลอดมา กระทั่งวันที่ 19 ต.ค.64 ได้รับคำสั่งให้ระดมหมายจับของศูนย์ CCOC เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.พังงา จึงได้นำหมายจับพร้อมภาพถ่ายของผู้ต้องหา ไปให้ เจ้าหน้าที่ รายงานตัว 90 วัน ของ ตม.จว.พังงา ตรวจสอบ ทราบว่าเมื่อ วันที่ 15 ต.ค.64 ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งรายงานตัว 90 วัน จากหนังสือเดินทาง บุคคล คล้ายผู้ต้องหาตามหมายจับ แล้วได้นำภาพของหนังสือเดินทาง และข้อมูลเลขประจำตัวคนต่างด้าว  13 หลัก ราย  MR.MIN สัญชาติ เมียนมา ถือหนังสือเดินทาง MC xxxxx มามอบให้ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.พังงา เพื่อสืบค้นข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของ สตม. ทำให้ทราบที่อยู่ของผู้ต้องสงสัย

 

 

จับกุม! ขบวนการ ‘ขนแรงงานต่างด้าว’ หลบหนีเข้าเมือง พบผู้ต้องหาคนไทย 2 คน - ต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 32 คน โดยกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย หรือลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์  ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล ผบก.ตม 5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5  และ พ.ต.อ.วีรวัฒน์ นิลวัตร ผกก.ตม.จว.เชียงใหม่ แถลงข่าวจับกุม ดังนี้

เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.5  , ตม.จว.เชียงใหม่ , กก.3 บก.สส.ภ.5  และ กก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายสาธิตฯ และนายพะลือแควฯ  “ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง พ้นจากการจับกุม” และจับกุมตัวนายจ่อฯ คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมากับพวกรวม 32 คน “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต , ฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 3 และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด (คำสั่งจังหวัดตาก ที่ 684/2563) ตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558” บริเวณช่องทางธรรมชาติชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก ต่อเนื่อง บริเวณถนนทางหลวงหมายเลข 108 หลักกิโลเมตรที่ 104 ต.หางดง อ.ฮอด จว.เชียงใหม่

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีขบวนการขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองจากพื้นที่ จว.ตาก เลี่ยงเข้ามาใช้เส้นทางที่เกิดเหตุเพื่อจะเดินทางไปกรุงเทพฯ จึงได้ออกตรวจสอบเมื่อถึงเวลาเกิดเหตุพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา ทะเบียนเชียงใหม่ (รถคันที่ 1) และรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา ทะเบียนเชียงใหม่ (รถคันที่ 2)  ลักษณะตรงตามที่ได้รับแจ้งจึงได้เรียกให้หยุดและตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบนายสาธิตฯ เป็นคนขับรถคันที่ 1 และนายพะลือแควฯ เป็นคนขับรถคันที่ 2 จึงได้ทำการตรวจค้นรถ ผลการตรวจค้นรถยนต์คันที่ 1 (รถนำ) ไม่พบคนต่างด้าว ส่วนรถยนต์คันที่ 2 พบนายจ่อฯ คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองพร้อมพวก รวม 16 คน นั่งโดยสารภายในรถและหลบซ่อนอยู่ในท้ายกระบะโดยมีตาข่าย(แสลม) พลาสติกสีดำคลุมไว้ และในขณะที่กำลังตรวจค้นอยู่นั้นได้มีรถยนต์คันที่ 3 คือรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา ทะเบียนตาก ขับมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ แต่เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและรถยนต์ของทางราชการ คนขับได้เร่งความเร็วของรถและขับฝ่าหลบหนีไป จากนั้นคนขับทราบภายหลังว่าเป็นชายได้หยุดรถแล้ววิ่งหลบหนีไป

 

‘ผบช.ภ.7’ ตรวจเยี่ยม สภ.พุทธมณฑล สั่งกำชับ!! เร่งสนองนโยบาย ผบ.ตร. บังใช้กฎหมายให้ “ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา”

สภ.พุทธมณฑล ภ.จว.นครปฐม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 พร้อมด้วยพล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.ฝรก.พ.ต.อ.สายฟ้า จิราวรรธนสกุล รอง ผบก.อก.ภ.7 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมเพื่อตรวจเยี่ยม บำรุงขวัญกำลังให้ข้าราชการตำรวจ​ และขับเคลื่อนนโยบายของ ผบ.ตร.ในการยกระดับสถานีตำรวจเพื่อประชาชน

โดยมี พ.ต.อ.สธนทัต ตั้งสิทธิ์เสรีวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.จุลภณ มีชำนาญ ผกก.สภ.พุทธมณฑล รอง ผกก., สว. และข้าราชการตำรวจในสังกัด เข้าร่วมประชุมโดยใช้เวลาประชุม 1 ชม. โดยประมาณ

ภายหลังประชุม พล.ต.ท.ธนายุตม์ ได้เปิดเผยว่า ได้สั่งกำชับในที่ประชุมให้นำนโยบายรัฐบาล วิสัยทัศน์ ผบ.ตร. "เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมาย ที่นำสมัย ในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา" วิสัยทัศน์ตำรวจภูธรภาค 7

"ภักดีองค์ราชันมุ่งมั่นสร้างศรัทธา พัฒนาเป็นมืออาชีพ บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม นำสมัย เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา" และวิสัยทัศน์ ผบช.ภ.7"ทำงานเชิงรุก เป็นตำรวจมืออาชีพ เพื่อความผาสุกของประชาชน" ไปปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม แล้วต้องทำงานกันเป็นทีม ยึดมั่นในระเบียบวินัย บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน และดำรงตนอย่างมีเกียรติ เกาะติดพื้นที่ เกาะติดประชาชน มวลชน และชุมชน เกาะติดคนร้ายหรือเกาะติดศัตรูของประชาชน และเกาะติดผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเกาะติดลูกน้อง พร้อมทั้งให้ ยกระดับองค์ความรู้ ยกระดับวิธีคิด ยกระดับวิธีการทำงาน และ ยกระดับการใช้ดุลพินิจ ให้ทำงาน ทำดี ทำบุญ และมีภาวะผู้นำ(Smart Smile Strong)

จะต้องมีการระดมกวาดล้างอาวุธปืน วัตถุระเบิด มือปืนรับจ้าง อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันเหตุเชิงรุก ก่อนเหตุเกิด อันอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ  และจะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยดูแลความปลอดภัยของประชาชนตามโครงการ"SMART SAFETY ZONE 4.0" และต้องบริการ ประชาชน และนักท่องเที่ยวด้วยใจบริการ(SERVICE MIND)ให้มีมาตรการป้องกัน แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้หมั่นจัดมีการตรวจสอบแหล่งท่องเที่ยว โรงแรม บ้านพัก ประชาสัมพันธ์ให้ปฏิบัติตามคู่มือการปฏิบัติ มาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ยังให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ กวดขัน กำกับ ดูแล สอดส่องความประพฤติ และพฤติกรรมของข้าราชการตำรวจภายใต้การปกครองบังคับบัญชา ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ คำสั่ง แบบแผนธรรมเนียมของทางราชการอย่างสม่ำเสมอโดยใกล้ชิด และสร้างขวัญกำลังใจ ความสามัคคี ภาพลักษณ์ของตำรวจให้ดีขึ้น และสร้างความเชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชนเพื่อให้ยอมรับว่าข้าราชการตำรวจเป็นมิตรที่ดีของประชาชน เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงตามคำสั่งกรมตำรวจ ที่ 1212/2537 ลง 1 ต.ค.2537 เรื่อง มาตรการควบคุมและเสริมสร้างความประพฤติและวินัยข้าราชการตำรวจ

 

ลูกแว๊น! สร้างความเดือดร้อน พ่อแม่งานเข้า!! ปล่อยปละละเลย ถูกจับ "ยึดรถ-ปรับ-ติดคุก"

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจํานงค์ โฆษก ตร. เผยว่า จากกรณีที่มีการจับกุมแก๊งจักรยานยนต์ที่มาจากหลายพื้นที่มารวมตัวร่วมขบวน “ทริปไม่อาบน้ำ” ไปเที่ยวเขาค้อ-ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ ห้วงวันที่ 6-7 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา 

โดยแก๊งรถจักรยานยนต์กลุ่มดังกล่าว จะขับขี่เกาะกันมาเป็นกลุ่ม ๆ บางกลุ่มจะขับขี่ด้วยความเร็ว และขับขี่ด้วยความประมาทหวาดเสียวเต็มท้องถนน ส่งเสียงดังสนั่น แบบไม่สนใจใคร สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ร่วมใช้รถใช้ถนน อีกทั้งทำให้เกิดอุบัติเหตุ ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย 

โดยเฉพาะหนึ่งในอุบัติเหตุนั้นก็คือ การที่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์(Big Bike) ได้ขับขี่ด้วยความเร็ว และเกิดการเฉี่ยวชนกัน จนทำให้รถเกิดเสียหลักไปชนท้ายรถยนต์เก๋งจนได้รับความเสียหาย ส่วนรถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ถึงกับขาดออกจากกันเป็น 2 ท่อน ซึ่งหลังเกิดเหตุกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน ได้ยกซากรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ ขึ้นรถยนต์กระบะหลบหนีไป โดยไม่รอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ ส่วนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 คน นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษก ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนน โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการกำชับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศหากพบการกระทำผิดกฎหมาย ให้ดำเนินคดีอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และได้จัดตั้ง“ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปข.ตร.)” ขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ โดยมีพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เป็น ผู้อำนวยการศูนย์

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับกลุ่มรถจักรยานยนต์ไปแล้วหลายกลุ่มและบางคดีศาลยังมีคำพิพากษาให้ริบรถอีกด้วย จึงขอแจ้งเตือนไปยังกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ที่มีพฤติกรรมสร้างความเดือดร้อนบนท้องถนน ไม่คำนึงถึงปลอดภัยของพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน และ ขอเตือนไปยังผู้ปกครอง ว่าอย่าได้ปล่อยปละละเลย และขอให้ช่วยทางเจ้าหน้าที่เป็นหูเป็นตาดูแลบุตรหลานของท่าน อย่าให้ออกมาสร้างความเดือดให้กับผู้อื่น เพราะไม่ใช่แค่ ผู้ขับ และ ผู้ซ้อน ที่จะมีความผิดแต่กฎหมายยังเอาผิดกับตัวผู้ปกครองอีกด้วย โดย 

>> "คนขับ" มีความผิดตาม มาตรา 43 พรบ.จราจรทางบกฯ - ผิด “ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย” จำคุก 3 เดือน ปรับสูงสุด 10,000 บาท, คุมประพฤติ, ทำงานบริการสังคม 

>>"คนซ้อน" มีความผิดตาม มาตรา 86 ประมวลกฎหมายอาญา - ผิด “สนับสนุน” รับโทษ 2 ใน 3 ของคนขับ, คุมประพฤติ, ทำงานบริการสังคม 

>> "ผู้ปกครอง" มีความผิดตาม พรบ.คุ้มครองเด็กฯ มาตรา 26(3) - บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติ เสี่ยงต่อการกระทำผิด ผู้ปกครองอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับสูงสุด 30,000 บาท 

>> "ยึดรถ" ตามคำสั่ง คสช.ที่ 22/2558

ข้อ 1 ห้ามมิให้ผู้ใดรวมกลุ่มหรือมั่วสุมหรือจัดให้มีการรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือโดยพฤติการณ์ที่น่าจะเป็นการนําไปสู่การแข่งรถในทางอันเป็นความผิดและต้องรับโทษตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก

ตร.เตือน พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ระวัง!! บุตรหลานถูกหลอกถ่าย ‘คลิปลามก’

วันที่ 12 พ.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

จากกรณีที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้จับกุมตัวคนร้าย ที่ได้ทำการล่อลวงเยาวชนจำนวนหลายราย โดยปลอมเป็นหญิงสาวสวยหน้าตาดี ใช้ช่องทางเฟซบุ๊ก ติดต่อพูดคุยกับเหยื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชน เมื่อเหยื่อเริ่มคุ้นเคยก็จะชักชวนพูดคุยเรื่องลามกอนาจาร อาศัยโอกาสที่เหยื่อเป็นเยาวชนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนร้ายก็จะส่งภาพลามกอนาจารของหญิงสาวไปแล้วชักชวนเหยื่อถ่ายภาพโป๊เปลือย โชว์ของสงวนของลับตนเองกลับมา จากนั้นก็บันทึกภาพลามกอนาจารเหยื่อ แล้วนำมาข่มขู่กรรโชกทรัพย์ให้จ่ายเงิน มิฉะนั้นจะเผยแพร่ภาพของเหยื่อในสื่อสังคมออนไลน์ทำให้เหยื่อได้รับความเสียหายนั้น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่ออีกว่า การกระทำของคนร้ายเป็นความผิดหลายข้อหาด้วยกัน ดังนี้

- ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287/1

- ส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287/1

- กรรโชกทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337

 

รองโฆษก ตร. ขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ร่วมรณรงค์! ‘ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี’

รองโฆษก ตร. เผย 16 ปีที่ผ่านมา มีการใช้ความรุนแรงกับเด็ก กว่า 1,300 ราย พร้อมย้ำเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ชี้! มติ ครม. กำหนดให้ พ.ย ของทุกปี ร่วมกันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี

วันนี้ (12 พ.ย.64) พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี ที่เห็นชอบกำหนดให้เดือนพฤศจิกายน ของทุกปี เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ซึ่งทุก ๆ ปีจะมีการรณรงค์ให้สังคมได้ตระหนักในการร่วมกันป้องกันปัญหาความรุนแรงที่จะเกิดต่อเด็ก และสตรีในครอบครัว รวมไปถึงความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กล่าวว่า ในปัจจุบันก็ยังพบว่าความรุนแรงในครอบครัวยังเป็นปัญหาสังคมที่ทุกฝ่ายต้องเข้ามาช่วยบูรณาการความช่วยเหลือ เริ่มจากครอบครัวสถานศึกษา สถานที่ทำงาน ในการช่วยสอดส่องดูแลป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น แต่หากพบการกระทำในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเข้าไปทำการช่วยเหลือได้โดยด่วน

นอกจากนี้ การใช้ความรุนแรง ไม่ได้เกิดจากการทำร้ายร่างกายเสมอไป เพราะรวมถึงการทำร้ายจิตใจด้วย ทั้งคำด่าทอ หรือคำหยาบคาย ล้วนแต่มีผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่ผู้ถูกทำร้ายมักไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัว อับอาย เสียชื่อเสียง รวมถึงเกรงว่าจะมีผลกระทบกับครอบครัว โดยพบว่าสถิติ 16 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2547-2563) มีการใช้ความรุนแรงกับเด็กและมาเข้ารับบริการที่ศูนย์พึ่งได้รพ.ตร. จำนวนกว่า 1,307 ราย อีกทั้งพบว่าความรุนแรงต่อเด็กยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ตำรวจ PCT ร่วมกับ นครบาล ขยายผลการจับกุมขบวนการผลิตแบงค์ดอลล่าห์ปลอม ยึดแท่นปั๊มเงิน ธนบัตร USD กว่า 10,000 ฉบับ ผู้ช่วยทูตสหรัฐฯ ขอบคุณ

วันนี้ ( 18 พ.ย.64) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT, พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ ,พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ฉัตรชัย นันทมงคล ผบก.พฐก.สพฐ.ตร., พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8/หน.ชป.3 PCT และ นายคริสโตเฟอร์ โรห์ดี้ (Christopher Rohde) ผู้ช่วยฑูต/หัวหน้าสำนักงาน U.S. Secret Service ประจำสำนักงานกรุงเทพ ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนขยายผลการจับกุมขบวนการผลิตธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาปลอม โดยสามารถจับกุมนายทุนและผู้ร่วมขบวนการ ยึดแบงค์ดอลล่าร์ปลอมได้กว่า 10,000 ใบ คิดเป็นเงินไทย กว่า 30,000,000 บาท พร้อมบุกทลายโรงพิมพ์ได้อีก 1 แห่ง

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้  ตำรวจ PCT และนครบาล ได้ร่วมกันจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายธนบัตร USD ปลอม และขยายผลไปตรวจค้นโรงงานผลิตที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม จับกุมเจ้าของโรงงาน ยึดธนบัตรปลอมได้กว่า 36,000 ฉบับ คิดเป็นเงินไทยกว่า 100 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ​ ยังกล่าวอีกว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กำชับมาว่า ให้ขยายผล จับกุมผู้ร่วมขบวนการที่ยังเหลือทั้งหมด ซึ่งจากการสืบสวนทางโซเชียลมีเดียจนรู้ตัวนายทุนและช่างพิมพ์ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับจากศาล และในวันที่ 11 พ.ย.64 นำกำลังเข้าตรวจค้น 2 จุด

จุดที่ 1 ตรวจค้นและจับกุมนายทองมาก หรือช่างแม็ค (สงวนนามสกุล) ได้ที่บริเวณ ถ.พระราม 3 โดยช่างแม็คทำหน้าที่เป็น "ผู้ควบคุมการผลิตธนบัตรปลอม" จากนั้นได้พาตัวไปตรวจค้นบ้านพักที่ อ.เมือง จ.เพชรบุรี พบเครื่องพิมพ์และอุปกรณ์การพิมพ์ที่คาดว่าเตรียมไว้ใช้ผลิตธนบัตรปลอมได้อีกจึงได้ตรวจยึดไว้ตรวจสอบ

จุดที่ 2 ตรวจค้นและจับกุมตัว นายบุญช่วย หรือป๋าลี ขณะอยู่ที่บ้านพักในเขตห้วยขวาง กทม. โดยป๋าลีเป็น "นายทุนจัดหาเครื่องพิมพ์และอุปกรณ์การพิมพ์" ให้แก่โรงงานที่ อ.บางเลน

และต่อมา วันที่ 12 พ.ย.64 ได้ขยายผลจับกุมตัว นายกิจพัฒน์ หรือโปรจี (สงวนนามสกุล) พร้อมธนบัตร USD ปลอมกว่า 10,000 ฉบับ คิดเป็นเงินไทยกว่า 30,000,000 บาท จากการสอบสวนนายโปรจี รับว่า นายสิรภพ หรือเฮียเกรียง (สงวนนามสกุล) เป็นผู้นำธนบัตรปลอมมาให้จำหน่าย โดยมีป๋าลี (คนลาว) เป็นนายทุนให้เฮียเกรียง เช่าอาคารหลังหนึ่งใน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งน่าเชื่อว่าจะเป็นแหล่งผลิตธนบัตรปลอมอีกแห่งหนึ่งของขบวนการนี้

จากนั้น จึงได้ขออนุมัติหมายศาลไปตรวจค้นสถานที่ดังกล่าว พบเครื่องพิมพ์และอุปกรณ์การพิมพ์หลายรายการ ซึ่งมีร่องรอยหลักฐานการพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐปลอมหลงเหลืออยู่ จึงได้ตรวจยึดไว้ และจะได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดในข้อหา “ร่วมกันผลิตทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้" ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ในการจับกุมขบวนการปลอมธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ หน่วย U.S.Secret Service ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลอาชญากรรมทางเศรษฐกิจประจำสถานฑูตสหรัฐอเมริกา ได้ส่ง จนท.ไปร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และตรวจสอบธนบัตรปลอม ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่า ธนบัตรปลอมที่ผลิตจากโรงงานที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม มีความเชื่อมโยงกับธนบัตรปลอมที่ผลิตจากโรงงานที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี สอดคล้องกันกับข้อมูลทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเชื่อว่าเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกัน ทั้งนี้จากการสืบสวนของศูนย์ PCT เชื่อว่า อาจจะยังมีกลุ่มผู้ลักลอบผลิตและจำหน่ายธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐปลอมหลงเหลืออยู่ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เฝ้าระวังและสืบสวนติดตามเพื่อจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายจนกว่าขบวนการนี้จะหมดไป

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า สำหรับการจับกุมคดีธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐปลอมที่ผ่านมาในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งสิ้น 40 คดี ธนบัตรของกลางที่ตรวจพบโดยส่วนใหญ่จะเป็นธนบัตรรุ่นปี 2006 และจะมีรุ่นปี 2006A (รุ่นของธนบัตร) เป็นส่วนน้อย ลักษณะการตรวจพบความผิด คือ

 1.การล่อซื้อผู้ลักลอบจำหน่าย

 2.การนำเงินไปแลกที่ธนาคาร/ร้านค้า และ

 3.การผลิตธนบัตรปลอม

 ซึ่งจับกุมตรวจค้นโรงงานผลิตได้เพียงครั้งเดียวเมื่อปี พ.ศ.2559 ที่เขตสายไหม กทม.

นายคริสโตเฟอร์ ฯ กล่าวด้วยว่า กว่า 30 ปี ที่สำนักงาน United States Secret Service ได้ทำงานร่วมกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสืบสวนอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการปลอมแปลงธนบัตร การโกงธนาคาร และล่าสุด การฉ้อโกงในรูปแบบอาชญากรรมทางไซเบอร์ เมื่อเร็วๆนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ประสบความสำเร็จจากการสืบสวนจนพบแหล่งผลิตธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐฯปลอม ที่มีการนำไปใช้แพร่หลายทั้งในไทยและในต่างประเทศ อันเป็นแหล่งผลิตใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย จากการสืบสวนได้นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 8 รายด้วยกัน และสามารถยึดแท่นพิมพ์ที่ใช้ในการผลิตได้อีกหลายแท่น ผมอยากจะขอขอบคุณเพื่อนผู้บังคับใช้กฎหมายของเรา ที่ทำงานในเชิงรุก อย่างเข้มแข็ง จนนำไปสู่การจับกุมตัวผู้กระทำความผิด เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายต่อไป

 

รองโฆษก ตร. เตือน!! ‘ลอยกระทงออนไลน์’ ระวังถูกหลอกเอาข้อมูล หมายเลขบัตรปชช. ขอให้เลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

วันที่ 18 พ.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

เนื่องด้วยในวันพรุ่งนี้ (19 พ.ย. 2564) เป็นวันลอยกระทง ซึ่งปกติจะมีพี่น้องประชาชน เดินทางนำกระทงไปลอย ตามสถานที่ที่จัดงานให้มีการลอยกระทง หรือลอยตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ แต่เนื่องจากในห้วงนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงอาจมีพี่น้องประชาชนบางส่วนเกิดความกังวล ไม่อยากเดินทางไปในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น และได้มีเว็บไซต์ต่างๆ ใช้โอกาสนี้ในการจัดกิจกรรมลอยกระทงออนไลน์ โดยให้ผู้ที่มีความประสงค์จะร่วมกิจกรรมกรอกชื่อ นามสกุล ข้อมูลส่วนบุคคล และคำอธิฐานต่าง ๆ เพื่อลอยไปกับกระทงออนไลน์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เช่น วันเดือนปีเกิด ชื่อนามสกุลจริง หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ ฯลฯ และขอให้เลือกใช้บริการเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากอาจมีผู้ไม่หวังดี อาศัยโอกาสนี้ในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อนำไปใช้โดยมิชอบ หรือนำไปใช้ในการกระทำผิดกฎหมาย และบางเว็บไซต์อาจให้พี่น้องประชาชนกรอก บัญชี และรหัสผ่าน ของสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งบางเว็บไซต์อาจสร้างหน้าเว็บขึ้นมาเพื่อหลอกเก็บข้อมูล บัญชี และรหัสผ่าน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายหลัง ซึ่งจะส่งผลให้พี่น้องประชาชนได้รับความเสียหาย

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top