Sunday, 27 April 2025
CoolLife

29 สิงหาคม พ.ศ. 2483  สภาผ่านกฎหมาย เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ไทย จากวันที่ 1 เม.ย. เป็น 1 ม.ค. แบบสากล

วันนี้เมื่อ 83 ปีก่อน สภาฯ ได้มีมติเห็นชอบ แก้ไขวันขึ้นปีใหม่ จาก ‘1 เมษายน’ เป็น ‘1 มกราคม’

สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ของไทยไม่เหมาะสม เพราะประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่ต่างถือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ และเพื่อสะดวกในการติดต่อกับประเทศต่าง ๆ

ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่องปีปฏิทิน ทำการศึกษาค้นคว้าและจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล โดยมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนจากวันที่ 1 เมษายน เป็น 1 มกราคม เพื่อให้สอดคล้องกับนานาประเทศ จึงได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติปีปฏิทิน พ.ศ. .... ในวันที่ 1 สิงหาคม 2483 โดยมีเหตุผลว่า เพื่ออนุโลมตามปีประเพณีของไทยแต่โบราณที่ถือวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่และให้ตรงกับที่นิยมใช้ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว จากนั้นที่ประชุมรับหลักการวาระที่ 1 และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปีปฏิทิน พ.ศ. ...

ต่อมาในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2483 มีการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และประกาศใช้พระราชบัญญัติปีปฏิทิน พุทธศักราช 2483 เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2483 ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงปีปฏิทิน โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ และให้ถือเป็นจารีตประเพณีของชาติ โดยให้หน่วยงานราชการหยุดทำการ 2 วัน คือ วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสิ้นปี และวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ประเทศไทยจึงมีวันขึ้นปีใหม่ตรงกับนานาประเทศ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 และเป็นการเปลี่ยนการใช้ปีปฏิทินของประเทศไทยครั้งแรกเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

30 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันผู้สูญหายสากล รำลึกถึงบุคคลที่ถูกอุ้มหายทั่วโลก

30 สิงหาคม วันรำลึกถึงบุคคลสูญหายสากล หรือวันผู้สูญหายสากล (International Day of the Victims of Enforced Disappearances)

วันที่ 30 สิงหาคม ของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นวันรำลึกถึงบุคคลสูญหายสากล หรือวันผู้สูญหายสากล ด้วยเล็งเห็นถึงปัญหาการละเมิดสิทธิของความเป็นมนุษย์และตระหนักถึงสถานการณ์การบังคับสูญหายหรือการอุ้มหายที่เกิดขึ้นทั่วโลก

การบังคับให้สูญหาย หรือที่เรารู้จักทั่วไปว่า ‘การอุ้มหาย’ ถูกพิจารณาเป็น ‘การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง’ และถือเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยที่อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance - CPED) ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองบุคคลจากการถูกบังคับให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ได้กำหนดนิยามของ ‘การอุ้มหาย’ ไว้ว่า หมายถึง การจับกุม คุมขัง ลักพาตัว หรือการลิดรอนเสรีภาพในรูปแบบอื่น โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งกระทำการโดยได้รับการอนุญาต การสนับสนุนหรือการยอมรับโดยปริยายของรัฐ ตามมาด้วยการปฏิเสธที่จะยอมรับว่าได้มีการลิดรอนเสรีภาพ หรือด้วยการปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่ปรากฏตัวบุคคลที่หายสาบสูญ ซึ่งส่งผลให้บุคคลดังกล่าวตกอยู่ภายนอกการคุ้มครองของกฎหมาย

การบังคับให้สูญหายมักถูกใช้เป็นกลยุทธ์สร้างความหวาดกลัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในสังคม ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลผู้ถูกบังคับให้สูญหาย ได้แก่ สิทธิในการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย สิทธิในเสรีภาพและความมั่นคงของบุคคล สิทธิที่จะไม่ถูกทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่น ๆ ที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม 

นอกจากนี้ ยังเป็นการละเมิดสิทธิต่อครอบครัวของผู้ที่ถูกบังคับสูญหาย เช่น สิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ อันเกิดจากการที่ขาดบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญในการประกอบอาชีพ หรือหารายได้ สิทธิในการมีสุขภาพดี เนื่องจากความวิตกกังวล เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (CPED) เมื่อปี 2555 แต่การลงนามดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทย 

แต่อย่างไรก็ตาม หลายภาคส่วนของประเทศไทย ได้ผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และมีผลบังคับใช้ไปเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นเครื่องมือปกป้องคุ้มครองทุกคนมิให้ตกเป็นเหยื่อของการบังคับให้สูญหายอีกต่อไป

31 สิงหาคม พ.ศ. 2530 เครื่องบิน ‘เดินอากาศไทย’ เที่ยวบินที่ 365 ตกกลางทะเลก่อนถึงภูเก็ต เสียชีวิตยกลำ 83 ราย

วันนี้เมื่อ 36 ปีก่อน สายการบินของ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด เที่ยวบินที่ 365 นำผู้โดยสารจากหาดใหญ่ ทั้ง 74 คนและลูกเรืออีก 9 ปลายทาง จ.ภูเก็ต ตกก่อนถึงจุดหมายเสียชีวิตยกลำ

เหตุการณ์เศร้าในครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินของ เดินอากาศไทย เที่ยวบินที่ 365 นำผู้โดยสารบินจากหาดใหญ่ไปยังจังหวัดภูเก็ต เที่ยวบินนี้บริการด้วยเครื่องบินโบอิง 737 ทะเบียน HS-TBC เครื่องบินเกิดหมุนกลางอากาศ และควงสว่านก่อนตกทะเล ทางทิศตะวันออกของเกาะภูเก็ต ห่างจากสนามบินประมาณ 8 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิต 83 คน เป็นผู้โดยสาร 74 คน ลูกเรือ 9 คน ไม่มีผู้รอดชีวิต

ผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการสรุปว่า อุบัติเหตุเกิดจากมีเครื่องบินเดินอากาศไทยและดรากอนแอร์ เดินทางมาถึงสนามบินในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่หอบังคับการบินจัดให้เครื่องทั้งสองลำมีระยะห่างไม่เพียงพอ หอบังคับการบินสั่งการให้นักบินเดินอากาศไทยนำเครื่องหลบออกนอกเส้นทาง ให้เครื่องดรากอน แอร์ไลน์ ลงก่อนอย่างกระชั้นชิดเกินไป ทำให้เครื่องเดินอากาศไทยเกิดอาการหัวปัก เครื่องสะบัดทางขวาอย่างแรง นักบินพยายามแก้ไขโดยดึงหัวขึ้น แต่เครื่องได้ตกลงถึงพื้นน้ำเสียก่อน

ภายหลังเหตุการณ์ รัฐบาลสั่งการให้ท่าอากาศยานขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทย ดำเนินการติดตั้งระบบเรดาร์อย่างเร่งด่วน

1 กันยายน ของทุกปี เป็น ‘วันสืบ นาคะเสถียร’ ระลึกถึงนักอนุรักษ์ผืนป่าของไทย

วันที่ 1 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น ‘วันสืบ นาคะเสถียร’ เพื่อระลึกถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนักอนุรักษ์ไทย และอดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ผู้อุทิศชีวิตเพื่อผืนป่าของไทย

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ นักอนุรักษ์ และอดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งของไทย อย่าง ‘สืบ นาคะเสถียร’ มาบ้างโดยเขามีชื่อเสียงจากการพยายามปกป้องแก่งเชี่ยวหลานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้งด้วยความสามารถทั้งหมดที่ตัวเองมี 

จนสุดท้าย ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 เขาได้ตัดสินใจยิงตัวตาย พร้อมกับทิ้งจดหมายที่เอาไว้ว่า “ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเองโดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น” เพื่อเรียกร้องให้สังคม ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และนี่จึงถือเป็นที่มาของ ‘วันสืบ นาคะเสถียร’ ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็นการไว้อาลัย และระลึกถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนักอนุรักษ์ผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง

5 กันยายน พ.ศ. 2515 สังหารหมู่นักกีฬาอิสราเอล 11 คน โศกนาฏกรรมในมหกรรมโอลิมปิกมิวนิค

ครบรอบ 51 ปี เหตุการณ์ ก่อการร้ายโอลิมปิกมิวนิค โดยกลุ่มก่อการร้าย ‘Black September’ ได้สังหาร นักกีฬาและเจ้าหน้าที่อิสราเอลเสียชีวิตไปถึง 11 คน นับเป็นโศกนาฏกรรมในความทรงจำของกีฬาโอลิมปิกที่ยากจะลบเลือน

ระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ในปี 1972 (พ.ศ.2515) ผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มกันยายนทมิฬ (BLACK SEPTEMBER) จำนวน 8 คน พร้อมอาวุธปืนและลูกระเบิด ได้บุกเข้าไปในบ้านพักนักกีฬา และสังหารนักกีฬาอิสราเอลเสียชีวิต 2 คน พร้อมกับจับตัวนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ชาวอิสราเอล 9 คนไว้เป็นตัวประกัน

สาเหตุของการจับตัวประกันครั้งนี้ กลุ่มผู้ก่อการร้ายต้องการให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มจำนวน 236 คน ที่ถูกจองจำอยู่ทั่วโลก แต่อิสราเอลปฏิเสธข้อเรียกร้อง ผู้ก่อการร้ายจึงสังหารตัวประกันทั้ง 9 คน โดยผู้ก่อการร้ายถูกยิงเสียชีวิตไป 5 คน ยอมมอบตัว 3 คน และมีตำรวจเยอรมนีเสียชีวิต 1 คน จากการยิงต่อสู้เพื่อช่วยเหลือตัวประกัน

หลังเกิดเหตุ นักกีฬาอิสราเอลที่เหลือเดินทางกลับประเทศทันที แต่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความเศร้าเสียใจของนักกีฬาที่มาร่วมแข่งขัน ขณะที่ธงโอลิมปิกถูกลดลงครึ่งเสา เพื่อแสดงความอาลัยต่อผู้เสียชีวิต ตลอดจนการแข่งขันเสร็จสิ้น นับเป็นโศกนาฏกรรมในความทรงจำของกีฬาโอลิมปิกที่ยากจะลบเลือน

6 กันยายน ของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ ปลุกจิตสำนึกคนไทยต่อต้านการทุจริต

วันที่ 6 กันยายน ของทุกปี กำหนดเป็นวันต่อต้านการคอร์รัปชันแห่งชาติ เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากการริเริ่มของ ดุสิต นนทะนาคร อดีตประธานหอการค้าไทย ที่ได้สร้างความตื่นตัวของคนไทยในเรื่องนี้ จนกลายเป็นวาระแห่งชาติ

ในปี พ.ศ. 2554 ประเทศไทยมีอันดับการคอร์รัปชันแย่ลงจาก 78 เป็น 80 จาก 183 ประเทศทั่วโลกทั้งยังมีคะแนนดัชนีความเชื่อมั่นเพียง 3.4 จาก 10 คะแนนเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ‘ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน’ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมต่อต้านคอร์รัปชันเพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนของสังคมเกิดความตื่นตัว และลุกขึ้นมาร่วมใจกันต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม 

โดยในปีแรกงานจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554 ณ ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี ภายใต้หัวข้อ ‘จุดเปลี่ยนประเทศไทย’ และได้กำหนดให้วันที่ 6 กันยายนของทุกปีเป็น ‘วันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ’ เพื่อเป็นการรำลึกถึง คุณดุสิต นนทะนาครพลังสำคัญผู้ก่อตั้งภาคีฯ ผู้นำการต่อต้านการคอร์รัปชันเข้าสู่แผนปฏิรูปประเทศไทยภายใต้แผนปรองดองของหอการค้าไทย ที่ได้เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

7 กันยายน พ.ศ. 2445 ประเทศไทยประกาศใช้ ‘ธนบัตร’ แบบแรกอย่างเป็นทางการ

วันนี้เมื่อ 121 ปีก่อน ประเทศไทยได้ประกาศใช้ธนบัตรแบบแรก เป็นธนบัตรหน้าเดียว มี 5 ราคา คือ 5, 10, 20, 100 และ 1,000 บาท พิมพ์โดย บ.โทมัส เดอลารู แห่งอังกฤษ มีอักษรแจ้งมูลค่าเป็นภาษาไทย จีน อังกฤษ และมลายู

ย้อนกลับไปในวันนี้เมื่อ 120 ปีที่แล้ว 7 กันยายน พ.ศ. 2445 ประเทศไทย ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม ร.ศ.121 ว่าด้วยการออกใช้ธนบัตรขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีการนำเงินกระดาษมาใช้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 

และต่อมา ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขณะนั้น นั่นก็คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยันต์มงคล กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ได้ติดต่อไปยังบริษัทในประเทศอังกฤษ เพื่อให้ออกแบบและจัดพิมพ์ธนบัตร เมื่อ พ.ศ. 2444 และใช้ต่อเนื่องมา จนได้มีการออกพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม ร.ศ.121 อย่างเป็นทางการขึ้นในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2445 นั่นเอง โดยธนบัตรแบบหนึ่งนี้มีทั้งหมด 5 ชนิดราคา ได้แก่ 5 บาท 10 บาท 20 บาท 100 บาท และ 1,000 บาท

8 กันยายน พ.ศ. 2565 ควีนเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยพระชนมพรรษา 96 พรรษา

ครบรอบ 1 ปี สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ด้วยพระชนมพรรษา 96 พรรษา

สำหรับพระราชประวัติของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นั้น พระองค์ทรงพระประสูติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1926 ทรงเป็นพระประมุขของ 15 ประเทศ จาก 53 รัฐ สมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ และทรงเป็นประธานเครือจักรภพและประมุขสูงสุดแห่ง คริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England)

พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์เเรกของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เเละสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระราชบิดาเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี

พระราชบิดาของพระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระปิตุลาของพระองค์ ได้ทรงสละราชสมบัติ ทำให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (พระยศในขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมา

หลังจาก สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาสวรรคต ในคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรี เเห่งยอร์ก จึงเสด็จขึ้นครองราชย์ ในขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ 25 พรรษา

แม้ว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว แต่ก็เป็นเวลาอีก 16 เดือนกว่าจะถึงพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกของพระองค์ โดยพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกจัดขึ้นที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระราชพิธีนี้ได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก

ในพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษก พระองค์ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรชาวอังกฤษว่า

“ในพิธีบรมราชินยาภิเษกวันนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศว่า ข้าพเจ้าพร้อมอุทิศชีวิตเพื่อประชาชนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ให้ช่วยสวดภาวนาให้ข้าพเจ้า ในวันที่ข้าพเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตริย์เเห่งอังกฤษ สวดภาวนาให้พระเป็นเจ้าประทานพระปัญญาญาณเเละความเข้มเเข็งให้ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติราชกิจลุล่วงตามที่ข้าพเจ้าได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้ เเละข้าพเจ้าพร้อมรับใช้พระเป็นเจ้าเเละประชาชนของข้าพเจ้าทุกคน ตลอดที่ข้าพเจ้ายังมีลมหายใจ”

พระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐบริเตนที่ทรงราชย์นานที่สุด แซงหน้ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์

พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘เจ้าชายแห่งเวลส์’ ประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1948 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอนน์ ประสูติเมื่อปี 1950 ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘ราชกุมารี’ พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ประสูติเมื่อปี 1960 ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘ดยุกแห่งยอร์ก’ และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งประสูติในปี ค.ศ. 1964 ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์’

และในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 สำนักพระราชวังประกาศว่าสมเด็จพระราชินีทรงประชวร และอยู่ภายใต้การเฝ้ารักษาพระวรกายอย่างใกล้ชิดที่บาลมอรัล โดยในประกาศระบุว่า “คณะแพทย์ประจำพระองค์มีความกังวลต่อพลานามัยของพระองค์เป็นอย่างมาก และได้แนะนำให้พระองค์อยู่ภายใต้การดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้พระองค์ประทับอยู่โดยสบายที่บาลมอรัล” โดยมีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสี่ของพระองค์ พร้อมด้วยพระสุณิสา เสด็จไปพร้อมกับพระองค์ และในช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักพระราชวังได้ประกาศว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ด้วยพระชนมพรรษา 96 พรรษา

9 กันยายน พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ 'สมัคร สุนทรเวช' พ้นนายกรัฐมนตรี 

วันนี้เมื่อ 15 ปีก่อน ศาลธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย ให้ ‘สมัคร สุนทรเวช’ พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีการจัดรายการ ‘ชิมไปบ่นไป’ และรายการ ‘ยกโขยงหกโมงเช้า’

วันที่ 9 กันยายน ปี พ.ศ. 2551 คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในขณะนั้น ออกบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และมาตรา 267 ประกอบ 182 วรรคสาม และมาตรา 91 กรณีการจัดรายการ ‘ชิมไปบ่นไป’ และรายการ ‘ยกโขยงหกโมงเช้า’

โดยประเด็นนี้ เกิดขึ้นจากการที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สว.สรรหาในขณะนั้น พร้อมคณะ สว. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ห้ามนายกฯ มีตำแหน่งใดๆ ในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด และหากมีการกระทำตามมาตรานี้ จะทำให้สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7)

ในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายสมัครกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 267 และมาตรา 182 วรรค 1 เนื่องจากการที่เขาได้รับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ รายการโทรทัศน์ ชิมไปบ่นไป และ ยกโขยง 6 โมงเช้า ซึ่งคณะตุลาการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่ากระทำต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งด้วยตามมาตรา 180 วรรค 1 แต่ในระหว่างนี้คณะรัฐมนตรีทั้งหมดจะรักษาการในตำแหน่งไปก่อน จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่

10 กันยายน พ.ศ. 2463  สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ อภิเษกสมรส กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

พันเอก (พิเศษ) จอมพลเรือ นายแพทย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระนามเดิม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช (1 มกราคม พ.ศ. 2435 - 24 กันยายน พ.ศ. 2472) เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นสมเด็จพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระบรมราชอัยกาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ระหว่างที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาได้พระราชทานทุนให้แก่นักเรียนแพทย์ ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาจำนวน 2 ทุน ซึ่งทางโรงเรียนแพทย์ได้คัดเลือกออกมา ปรากฏว่าได้นักเรียนพยาบาลมา 2 คน คือ สังวาลย์ ตะละภัฏ (ต่อมาคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) และอุบล ปาลกะวงษ์ ณ อยุธยา (ต่อมาคือ อุบล ลิปิธรรมศรีพยัตต์) สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงดูแลเอาใจใส่นักเรียนทั้ง 2 ของพระองค์อย่างดี ทั้งทรงแนะนำวิธีการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของต่างประเทศ

และในขณะที่กำลังทรงศึกษาวิชาแพทย์ปีที่ 1 นั้นเอง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงพบและพอพระทัยกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้วยมีพระศิริโฉมงดงาม พระอุปนิสัย และพระคุณสมบัติอื่นๆ ดังนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์จึงทรงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชมารดา ขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้นกับ นางสาวสังวาลย์

เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 ได้มีพิธีอภิเษกสมรสที่วังสระปทุม และหลังจากได้อภิเษกสมรสแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้ตามเสด็จด้วยกันไปประพาสเมืองต่างๆ ในทวีปยุโรป และ สหรัฐอเมริกา เพื่อทรงไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสถาบันเอ็มไอที เมืองบอสตัน ส่วนสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงเรียนหลักสูตรเตรียมพยาบาลที่วิทยาลัยซิมมอนส์ เมืองบอสตัน ก่อนจะประสูติพระโอรสและพระธิดารวม 3 พระองค์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top