Saturday, 26 April 2025
CoolLife

วาไรตี้ที่สีลม...

ไม่ใช่เพราะรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้อง แต่เราลงเดินเท้า เพราะอยากเก็บภาพย่านธุรกิจที่ว่าราคาสูงท็อปสามของประเทศ อย่างสีลม จากวัดแขก ไปยันพัฒน์พงศ์ ซึ่งเป็นจุดผสมระหว่างวัฒนธรรม ความเชื่อไว้ถึง 3 และยังไม่นับรวม ร้านอาหาร ผับบาร์ พิพิธภัณฑ์18+ ที่ดึงดูดใจ ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากการเป็นฮับด้านการท่องเที่ยวยามค่ำของหนุ่มๆ รุ่นปู่ รุ่นพ่อ รุ่นพี่ มาช้านาน และน้อยคนจะทราบว่า ที่นี่มีแหล่งกบดานซีไอเออยู่ด้วย

การเดินเล่นที่ ‘สีลม’ ในวันนี้ มีความวาไรตี้ ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ปาร์ตี้ ผสานการเรียนรู้วันเก่าใหม่ ไปพร้อมๆ กัน อ้อ! ไม่ลืมแวะอิ่มท้องกับของอร่อย ที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าไหน สั่งกลับยังไงก็สู้มานั่งกินร้อนๆ กับเพื่อนรักตรงนี้ไม่ได้ และบางทีอาจชิลยาวไป ถ้ารู้ใจ ไม่ว่าหยิบจับ กินดื่ม อะไร ก็เข้าใจกัน

.

ใครคาดหวัง และต้องการกำลังใจ ซัพพอร์ตเรื่อง ความรัก ความสำเร็จเรื่องเงินและการงาน ต้องมา วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือ วัดแขกสีลม (ปากถนนปั้นฝั่งสีลม) ซึ่งเป็นโบสถ์พราหมณ์เก่าแก่กลางกรุง เทวสถานนี้มีหลักฐานปรากฏมาตั้งแต่สมัย ร.5 ราว พ.ศ.2453 - 2454 โดยคณะผู้ศรัทธาชาวอินเดียใต้ผู้อาศัยอยู่ย่านตำบลริมคลองสีลม อำเภอบางรัก และตำบลหัวลำโพง อำเภอบางรัก ผู้คนหลากเชื้อชาติ มากราบไหว้ บูชา แต่หากจะถ่ายภาพเก็บความทรงจำ จะทำได้เพียงด้านนอกเท่านั้น เพราะไม่มีใครที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอ ภายในได้ ต้องเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น

.

.

ข้าง ๆ วัดแขก ด้านถนนสีลม นอกจากทิวแถวร้านมาลัยงดงามสำหรับซื้อถวายเทพขอพรแล้ว ร้านเบเกอรี่เก่าแก่อย่าง ดี.เค. เบเกอรี่ แบรนด์ขนมปัง 70 ปี ที่ผ่านมือมาสามรุ่น มีดีที่โฮมเมด นวดและขึ้นรูปก้อนต่อก้อน ไม่ใส่สารกัดบูดอะไรทั้งสิ้น ฮอตฮิตทั้งสังขยาใบเตย และสังขยาไข่ รวมถึง คุ๊กกี้ เอแคลร์ และขนมปังหัวกะโหลก ไม่ว่าจะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก หรือ ควิด ก็ดูสิ คนยังมากันเรื่อย ๆ อบขายกันไม่เว้นวัน อย่าเชื่อเรา ให้เชิญลอง

.

.

ฝั่งตรงข้าม ถนนปั้น เป็นซอยสีลม 20 ลึกเข้าไปเพียง 30 - 50 เมตร เป็นที่ตั้งของ มัสยิดมีราซุดดีน ใครเห็นโดมทองจับแสงยามบ่าย ก็อดหยุดภาพไว้ในกล้องไม่ได้แน่นอน ‘มัสยิดมีราซุดดีน’ เป็นมัสยิดประจำชุมชนของแขกยะวา ที่อพยพมาจากเกาะชวาของอินโดนีเชีย เคยอยู่ในซอยประดิษฐ์ อันที่จริงควรมีไก่ทอดและอาหารมุสลิมเลี่ยงชื่อประจำย่านอยู่ตรงนี้ให้ได้แวะชิ แต่วันที่เรามาเดินเตร็ดเตร่เป็นช่วงหยุดของคนขาย แหม เสียดายจัง ใครอ่าน The States time Lite ถึงแคปชั่นภาพนี้ แล้วมาในวันที่ได้กินไก่ทอด ขอร้องให้เอามาอวดได้เลย เราไม่ว่ากัน

.

.

เกรงจะไม่ครบสามโบสถ์ อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ ขอโดดข้ามไปยังปลายซอยคอนแวนต์ มุมหนึ่งของสีลม ก็มีโบสถ์คริสต์สไตล์อังกฤษ ในอดีตไคร้สตเชิชเป็นคริสตจักรนานาชาติที่มีสมาชิกในที่ประชุมมาจากนานาประเทศ  และมีภูมิหลังความเชื่อจากหลายคณะนิกาย ตัวโบสถ์แห่งนี้ เกิดจากพระบรมราชานุญาตของ รัชกาลที่ 5 พระราชทานที่ดินให้หลังเหล่าคริสตสานิกชนยื่นถวายฎีกา ตรงนี้จึงเป็นทั้งศูนย์รวมความศรัทธา และสถาปัตยกรรมเรียบหรูงดงามกลางสวน

.

ได้ทีเข้าย่านพัฒน์พงศ์แล้ว เห็นแขกใครไปใครมา ชอบพูดกันว่าเป็นฮับสายไนท์ ไลฟ์ แบบดาร์ก ๆ ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณพ่อ แต่หลังโควิดนี่ออกจะเงียบเหงาไปผิดจากเรื่องที่ได้ยินมา แต่กลับทำให้เราได้เห็น สตีล ไลฟ์ ชัดเจนกว่าเก่า ทั้งอาคารและการตกแต่งย้อนยุค แต่ก็เฟี้ยวไม่น้อย เพลินกับการแหงนมองดูโครงศิลปะโมเดิร์นผสมผสานประดับประดากับตัวตึกเก่า ที่หาไม่ได้ในอาคารสมัยใหม่

.

.

เหนือจากหมู่ตึก ผับและบาร์ ในย่านนี้ ชั้น 2 ของอาคาร เพิ่งก่อกำเนิด พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์ หรือ พัฒน์พงศ์ มิวเซียม ขึ้นเมื่อปลายปีพ.ศ. 2562 รวมเอาประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเป็นไป และเรื่องราวที่คุณอาจรู้ และไม่รู้ เกี่ยวกับย่านนี้ 

.

.

ไมเคิล เมสเนอร์ (Mr.Michael Messner) เติบโตมาในบ้านที่คุณพ่อเป็นศิลปินและเคยดูแลพิพิธภัณฑ์ที่บ้านเกิดออสเตรีย โชคชะตาพาเขามาที่ประเทศไทยและได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวไทย และตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่ เริ่มธุรกิจจากร้านอาหารในย่านพัฒน์พงศ์ เวลาผ่านไปเขาได้สัมผัสประสบการณ์มากมาย จากลูกค้าขาประจำย่านนี้ล้วนมีเรื่องเล่าที่ไม่ธรรมดา และมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเป็นทหารผ่านศึกจากช่วงสงครามเวียดนาม บ้างเป็นสายสืบให้กับ CIA บ้างเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นละแวกนี้ เขาจึงมีไอเดียริเริ่มที่จะสะสมร่องรอยประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กว่า 100 ปี รวมถึงเกร็ดความรู้ ความเป็นมา เบื้องหลังแสงสีและความเย้ายวนใจของถนนพัฒน์พงศ์ อันเป็นย่านบันเทิงยามราตรีเก่าแก่ และมีชื่อเสียง ที่มีความผูกพันในเชิงประวัติศาสตร์ระหว่างชาวไทยกับชาวอเมริกัน 

.

.

ลึกเข้าไปจากโซนประวัติศาสตร์ และความเป็นมาเป็นไป เป็นส่วน 18+ ที่พ่อแม่ที่แวะมากับเด็กๆ ต้องหยุดพวกเข้าไว้แค่ประตูนี้ แต่ถ้าคุณคือ 18+ แล้วก็เชิญ คุณได้ไปต่อ แล้วเจอกับบาร์เก๋ ทั้งแสง สี ดนตรี เครื่องดื่ม และเรื่องเล่าผ่านสื่อโปสเตอร์ และวิดิโอ วิ่งวนจนต้องร้องขอชีวิต Oh my goddd 

.

มาต่อกันที่ ดาร์บี้ คิงส์ (Darby Kings ) คาเฟ่โบราณ มาย่านสีลมต้องมาโดนร้านนี้ ที่นี่มีดีทุกจาน กินมาแล้วตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณพ่อ คุณอา จนมาถึงเรา เด็ดมาก ข้าวคลุกน้ำพริก ข้าวซอยกุ้ง ปอเปี๊ยะทอด และบรรดาก๋วยเตี๋ยวผัด และก๋วยเตี๋ยวสไตล์จีนต่างๆ นี่อร่อยหมด แวะมาพัฒน์พงศ์ มีหนึ่งร้อยบาท คุณก็กินอร่อยแบบตำนานได้ เชื่อเหอะ

.

.

อีกร้านเด็ดย่านสีลม เดอะ แมดริด คาเฟ่สไตล์ ยุโรป มีดีที่เนื้อ และซอส เพราะเจ้าของมีสามีเป็นเบลเยียม และคลุกคลีอยู่หลังครัวมาหลายสิบปี ร้านนี้สวย เหมาะทั้งกินข้าวแบบแฟน เพื่อน หรือครอบครัว และยังเหมาะนั่งดื่มปาร์ตี้เบาๆ เผาตับกันพอสนุก สไตล์แมดริด นั่งอยู่นี่ เห็นเครื่องตกแต่งร้านแล้วลืมไปเลยจริงๆ ว่า เรานี่อยู่ยุโรปหรือเปล่าเนี่ย อุ้ย หรือเมา...

 

วันเสาร์...เราไปคลองโอ่งอ่าง ว่าแต่มันอยู่ตรงไหน?

หลายคนอาจะเคยผ่านหูผ่านตาข่าวการปรับภูมิทัศน์ ‘คลองโอ่งอ่าง’ ที่ทำน้ำในคลองให้ใสขึ้น และปรับให้ทางเดินสองข้างทางดูสะอาดสะอ้าน รวมไปถึงพาศิลปินรุ่นใหม่มาเพ้นท์ภาพสวย ๆ แนวสตรีทอาร์ตตามกำแพงเก่า

ล่าสุดตอนนี้ ‘คลองโอ่งอ่าง’ ฮิตมากนะเธอว์จ๋า โดยก่อนหน้านี้ ทางกทม. นำโดยท่านผู้ว่ากทม. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นโต้โผให้มีการจัดงานในช่วงเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมา ช่วงค่ำ ๆ มีการประดับประดาไฟสวยงามเชียวแหละ

และผลตอบรับก็ดีเกินคาด จนทำให้ตอนนี้ทุกวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ จะมีกิจกรรมถนนคนเดิน มีการแสดงดนตรี มีร้านค้าขายของ และมีการแต่งคอสเพลย์สร้างสีสัน วันหยุดเสาร์ -อาทิตย์นี้ใครไม่มีแผนไปเที่ยวไหน ตกเย็นลองมาเดินชิลๆ กันได้นะ

ว่าแต่ ‘คลองโอ่งอ่าง’ อยู่ตรงไหน? ก็ตั้งอยู่ย่านสะพานหัน สำเพ็ง กินพื้นที่ยาวไปถึงตีนสะพานพระราม 7 (ปากคลองตลาด) ถามต่อว่า แล้วไปยังไง? ง่ายมาก ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ลงสถานีสามยอด เดินไม่ไกลก็มาถึงแล้ว ช่วงนี้อากาศเย็นด้วย ใครมาเดินที่คลองโอ่งอ่างแล้ว

เผลอไผลคิดว่าเป็นคลองชองเกซอนที่เกาหลีใต้ อันนี้ก็อย่าลืมหันไปพูดกับคนข้างๆ ที่มาด้วยกันว่า ‘พี่ชาย ฉันหนาววววววว’

ทัวร์ลงกับเป๊ก!

แฮ่! เป็นข่าวฮอตเว่อร์เลยเชียวล่ะ กรณีหนุ่ม"เป๊ก - ผลิตโชค อายนบุตร" ไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับโครงการของแบรนด์ร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ งานนี้ถูกเชื่อมโยงไปเรื่องการเมืองซะได้ จนเกิดกระแสในทวิตเตอร์ #แบนเป๊กผลิตโชค

เรียกว่า "ทัวร์ลงเป๊ก" ซะอย่างนั้น แต่โดยส่วนตัว เป๊กเขาก็ชอบออนทัวร์นะฮะ ที่ผ่านมา หากเข้าไปดูในอินสตาแกรมของเจ้าตัว เขาออนทัวร์ เที่ยวนู่นนี่เป็นประจำ สถานที่ที่เจ้าตัวชอบไปบ่อย ๆ คือ ประเทศญี่ปุ่น หรือบางทริปในประเทศ เจ้าตัวก็เคยไปเป็นทูตบ้าง พรีเซนเตอร์บ้าง ให้กับโครงการแนว CSR ของหลาย ๆ องค์กร

เช่น ครั้งหนึ่งเคยพาแฟนคลับไปเก็บขยะตามชายหาดที่ชลบุรี หรือไปเก็บขยะ - ปลูกป่าชายเลนที่บางตะบูน จังหวัดเพชรบุรี และอีกหลายต่อหลายที่ ยืนยันนั่งยันนอนยันเลยว่า เจ้าตัวชอบทัวร์ลง เอ้ย! ลงทัวร์เจง ๆ

แต่ลักษณะเป็นทัวร์ดีนะฮะ ไม่สร้างมลพิษ ไม่มีพิษมีภัย อันนี้ก็โปรดเข้าใจด้วย และโปรดเข้าใจให้มากกว่านั้น โครงการที่กำลังเป็นกรณีเดือดนี้ ที่มีชื่อโครงการว่า #อิ่มคุ้มอิ่มบุญกับคุณหลวง ก็เป็นโครงการที่เปิดให้ทุกคนช่วยกันซื้อข้าวกล่อง เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือน้อง ๆ มูลนิธิเด็กทั่วประเทศ ให้ได้อิ่มท้องด้วยเช่นกัน

เอาเป็นว่า ก่อนจะไปทัวร์ลงกับใคร ก็ย้อนดูสิ่งที่เขาทำกันบ้าง ที่สำคัญ เราอ่ะทำดีสู้เขาได้บ้างหรือยัง?

16 พฤศจิกายน…วันแห่งการยอมรับความต่าง

ไม่ใช่แค่เป็นวันออกผลสลากกินแบ่งรัฐบาลอย่างเดียวนะ แต่วันนี้ยังมีความสำคัญอีกอย่าง เรียกว่าเป็นวัน ‘วันสากลแห่งการยอมรับความต่าง’ หรือ International Day for Tolerance ถูกกำหนดขึ้นมาจากองค์การสหประชาชาติ หรือยูเนสโก เมื่อปี พ.ศ.2538 จุดประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเปิดใจยอมรับในความแตกต่าง และความคิดเห็นของผู้อื่น

การกำหนดวันสำคัญนี้ ยังเกิดขึ้นในวันครบรอบ 50 ปีของการถือกำเนิดขององค์การสหประชาชาติอีกด้วย ซึ่งอย่างที่ทราบกันดี ผู้คนบนโลกนี้ล้วนมีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือจะผิวสีแบบไหน แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการยอมรับและเปิดใจกว้าง เพื่อ ‘รับความคิดเห็น’ ของกันและกัน

เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก และโลกก็ไม่ได้เป็นของเราคนเดียว การยอมรับความแตกต่างย่อมเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่สังคมพึงมี เหลียวกลับมามองที่สังคมไทยในเวลานี้ เราเชื่อว่า การตั้งใจฟัง ‘ความเห็น’ ของกันและกัน อย่างมีเหตุมีผล จะช่วยทำให้บรรยากาศของสังคมรื่นรมย์มากขึ้น เริ่มต้นกันตั้งแต่วันนี้ และเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการ...เปิดใจ

.

อ้างอิง: https://www.un.org/en/observances/tolerance-day

รับมือกับคนชอบเม้นแรงยังไงดี?

"ชูใจ" เป็นคอนเท้นประจำที่พวกเราชาว The States Times Lite ตั้งขึ้นมา ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า "ทุกคนอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น" โดยเฉพาะโลกในวันนี้ ที่หมุนไปเร็วเหลือเกิน จนบางทีเราตั้งรับไม่ทัน หรือปรับเปลี่ยนตัวเองไม่ทัน จุดนี้เราจึงอยากนำปัญหาและเรื่องราวดี ๆ มาบอกเล่า อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อ "ชุบชูใจ" ให้หัวใจเบิกบาน ให้มองโลกอย่างสร้างสรรค์ และให้เราก้าวไปเป็นคนที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองเสมอ

เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัวทุกคน "โซเชี่ยลมีเดีย" เคยหงุดหงิดไหมกับคนที่เข้ามาคอมเม้นใต้สเตตัสของเราแบบ...แกจะแรงไปไหน?

อ่ะ เม้นครั้งแรกก็ยังรับได้ (เพื่อนมันคงอยากจะแซวละมั้ง) จนมีครั้งที่ 2 3 4 5 เดี๋ยว ๆๆๆๆ ฉันไปทำอะไรให้แกเกลียดป่ะวะ? ขนาดโพสต์สเตตัสขำที่สุด แกยังเม้นประชดเหน็บแนม บ้ารึป่าววว!!

เรื่องทำนองนี้ เคยเกิดกับตัวเองบ้างไหม? จากที่อ่านแล้วยิ้ม ๆ เพราะคิดว่าเพื่อนแซว แต่พออ่าน ๆ ไป ชักจะไม่ใช่ล่ะ อารมณ์เริ่มมา สติปัญญาเริ่มหาย ต้องแสดงความเกรี้ยวกราดด้วยการตอบ Reply กลับไป และร้อยทั้งร้อย อิเพื่อนก็จะตอบ Reply กลับมาว่า "ไม่มีไร๊ ล้อเล่นนน!"

มันมีคนแบบนี้อยู่จริง คือคนที่ประเภทชอบเห็นคนอื่นโกรธ ประมาณว่า ได้ล้อ ได้แซว แล้วเห็นรีแอ็คกลับทันที มันจะสาแก่ใจ เหมือนเพื่อนที่ชอบแกล้งเพื่อนในห้องเรียนนั่นแหละ แต่ทุกวันนี้มันมีโลกมากกว่าห้องเรียนไง มันเลยมาแกล้งเราในโซเชี่ยลด้วย

.

.

ถามว่า ทำไงดีหากเจอเหตุการณ์ทำนองนี้?

จะเลิกเล่นโซเชี่ยลไปเลย? จะเข้าไปเม้นแรงๆ ในสเตตัสมันบ้าง? หรือจะเปิดศึกนอกโซเชี่ยล นัดตบนัดต่อยกันไปเลย?

คำตอบคือ "ปล่อยวาง" ฟังดูง่าย แต่รู้ว่าโคตะระยาก แต่ก็ต้องลองทำ!

สมมติว่า ต้นเหตุมาจากการที่เพื่อนอยากแกล้งเรา อยากเห็นเราเสียจริตทางโลกโซเชี่ยล แต่หากเราไม่ได้ทำแบบนั้นสมดั่งใจเพื่อน โจทย์ของเพื่อนก็จะถูกทำลายทันที เข้าตำรา ปรบมือข้างเดียวไม่มีทางดัง หรือสมมติต่อไปอีกว่า อิเพื่อนมันเกลียดเราจริง ๆ ตามเม้นทุกโพสต์เหมือนเจ้ากรรมนายเวร หากประเมินได้แบบนั้น ก็ตัดขาดความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนไปเถอะ คนเกลียดกันจะเป็นเพื่อนกันเพื่อ?

โอเค มันอาจจะยุ่งยากรำคาญใจสักหน่อยในช่วงแรก ๆ ที่ต้อง "ทน" กับตัวหนังสือแย่ ๆ แถมยังรู้สึกไม่ดีอีก หากคนอื่นจะต้องมาเห็นประโยคเหล่านี้ ทำบรรยากาศในเฟซบุ๊กเราพลอยด่างพร้อยไปด้วย แต่ให้คิดซะว่า "นี่เป็นการฝึกวุฒิภาวะ" ให้กับตัวเรา เชื่อเถอะ ถ้ามันเห็นเราไม่ไปต่อล้อต่อเถียงด้วยสักพัก เดี๋ยวเจ้าอารมณ์ที่เรียกว่า "ความเสร่อ" มันจะตีกลับไปที่เขาเอง เหมือนอะไรเอ่ย ไม่เข้าพวก สเตตัสนี้เขาคุยกันเรื่องดีๆ แต่แกมาแซวบ้าบอคอแตกอะไร? ทำบ่อย ๆ เข้า คิดว่าคนอื่นจะไม่เห็นเหรอ

.

โซเชี่ยลมีเดียไม่ได้แค่ให้เราได้สื่อสาร หรืออ่านข่าว หรือสนุกกับเพื่อน ๆ เท่านั้น มันยังสร้างให้เรามีวุฒิภาวะ จะด้วยทางตรง หรือทางอ้อม ก็สุดแท้ ถ้าเรามองเห็นในจุดนั้น โซเชี่ยลมีเดียจะมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับตัวเราเอง

ของทุกอย่างจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่ที่เรา ส่วนคำพูด หรือคำวิจารณ์ของคนอื่น รับฟังได้ แต่สุดท้าย ก็ขึ้นอยู่กับเราเหมือนกัน ว่าจะเลือกเก็บเอาไว้ หรือจะเลือกโยนมันทิ้งลงถังขยะซะ!

17 พฤศจิกายน ค.ศ.1970...50 ปี มี ‘เมาส์’

มีอุปกรณ์มากมายที่ประกอบกันขึ้นมาเป็น ‘คอมพิวเตอร์’ แต่หนึ่งในอุปกรณ์ที่มีความจำเป็น เหมือนเกิดมาคู่กัน นั่นคือ ‘เมาส์’

เมาส์ ไม่ใช่ปาก แต่เมาส์ทำหน้าที่คล้ายๆ ปาก คือคอยคลิ๊กคำสั่งการ เพื่อให้โปรแกรมต่างๆ ปฏิบัติงานได้ตามใจเรา หากย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 50 ปีก่อน หรือเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี 1970 ถือเป็นวันที่มีการจดสิทธิบัตรเจ้าอุปกรณ์ที่เรียกว่าเมาส์ ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก

‘US3541541’ คือรหัสสิทธิบัตรของมัน แต่คงไม่จดจำเท่าที่มาของการประดิษฐ์อุปกรณ์ชิ้นนี้ ถูกเริ่มสร้างขึ้นมาในช่วงปี 1963 โดยนักประดิษฐ์ที่ชื่อ ดร. ดักลาส อิงเกิลบาร์ต ณ สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (Stanford Research Institute) ประเทศสหรัฐอเมริกา

แรกเริ่มเดิมที มันถูกออกแบบเป็นเฟือง 2 ตัววางในลักษณะตั้งฉากกัน และเคลื่อนที่ไปแบบ 2 มิติ ก่อนที่ต่อมาจะแทนที่ล้อหมุนด้วยลูกบอล จึงทำให้สามารถหมุนไปได้รอบทิศทาง

เมาส์ กลายเป็นอุปกรณ์ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกร่วมกับคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ และกลายเป็น ‘ของที่ต้องมี’ บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ทุกบ้าน วันนี้เมาส์มีอายุ 50 ปี ก็สุดจะเดาว่า อีก 50ข้างหน้า เมาส์จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร หรือไม่...มันอาจจะเป็นอะไรที่มากกว่าเมาส์ไปแล้วก็ได้เมื่อถึงวันนั้น

อ้างอิง: th.wikipedia.org/wiki/เมาส์

18 พฤศจิกายน ค.ศ.1993…รำลึกคอนเสิร์ตร็อกที่เนียนที่สุดในโลก

หากจะหาอัลบั้มเพลงที่ขายดีตลอดกาล หรือถูกพูดถึงข้ามยุคข้ามสมัย ฟันธงฟันทิ้งไปเลยว่า หลายคนต้องนึกถึง ‘อัลบั้มบันทึกการแสดงสด MTV Unplugged ของวง Nirvana’

Nirvana คือวงดนตรีแนวกรั๊นจ์ร็อกที่โด่งดังสุดๆ ในช่วงปี ค.ศ.1987-1994 โอ้ว! เรื่องมันก็นานมาแล้ว แต่อย่างที่บอก ทุกวันนี้ยังมีคนพูดถึง Nirvana กันอยู่เลย

Nirvana มีมือกีต้าร์-นักร้องนำที่ชื่อ เคิร์ท โคเบน เปรียบเสมือนศาสดาแห่งดนตรีกรั๊นจ์ ซึ่งตัวอัลบั้ม Nirvana MTV Unplugged เกิดขึ้นในช่วงที่ดนตรีแนว Unplugged หรือการแสดงสดที่ไม่ใช่เสียงสังเคราะห์จากไฟฟ้า กำลังเป็นที่นิยม ทางวงเลยจัดการบันทึกการแสดงสดงานอัลบั้มชุดดังกล่าวนี้แบบ Unplugged ณ โซนี่สตูดิโอ เมืองนิวยอร์ก

และทันทีที่ผลงานดังกล่าวถูกปล่อยออกไป ยอดขายก็ถล่มทลาย ไม่มีใครคาดคิดว่า วงดนตรีที่มีซาวน์เพลงแสบสันต์รูหูอย่าง Nirvana จะมาแสดงสดด้วยสไตล์ที่ดูดีมีคลาสเช่นนี้ ผลงานนี้ทำลายแทบทุกสถิติ ติดทุกชาร์ตทุกโพล และถึงวันนี้ผ่านไป 27 ปี ก็ยังถูกพูดถึงกันอยู่เลย

แม้ว่า เคิร์ท โคเบน จะเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ.1994 แต่ชื่อของวง Nirvana ก็ไม่ได้ตายตามเขาไป บทเพลงยังคงถูกหยิบมาเปิด และที่สำคัญ ผลงานของพวกเขายังส่งต่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นใหม่ในวันนี้อย่างมากมาย

20 พฤศจิกายน พ.ศ.2340...223 ปี ‘รามเกียรติ์’ ยังอินเทรนด์

‘โขน’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แถมยังกลายเป็นความร่วมสมัย โดยเฉพาะกับโขนเรื่องสำคัญที่คนไทยรู้จักกันดี ‘รามเกียรติ์’

ย้อนกลับไป วันนี้เมื่อกว่า 223 ปีก่อน ถือเป็นวันแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ โดยตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนจบเรื่อง ทรงนิพนธ์ลงในสมุดไทยไปถึง 102 เล่ม ซึ่งหากพิมพ์เป็นหนังสือขนาด 8 หน้ายกอย่างในปัจจุบัน จะมีความหนากว่า 2,976 หน้าเลยทีเดียว

รามเกียรติ์ เป็นเรื่องราวการทำศึกสงครามระหว่างฝ่ายพระราม (มนุษย์) กับฝ่ายทศกัณฐ์ (ยักษ์) เนื่องจากทศกัณฐ์ได้ลักพาตัวนางสีดา มเหสีของพระรามไป โดยฝ่ายพระรามมีทหารเอกชื่อ หนุมาน เป็นลิงเผือก พร้อมด้วยพรรคพวกอีกมากมายคอยช่วยเหลือ

โดยสาเหตุที่รัชกาลที่ 1 ทรงนิพนธ์รามเกียรติ์ขึ้นนี้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองเพิ่งผ่านศึกสงคราม จึงมีพระราชประสงค์ให้วรรณคดีเรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูด้านศิลปวัฒนธรรมของบ้านเมืองนั่นเอง

รามเกียรติ์ ถุกเล่าผ่านยุคผ่านสมัยมามากมาย ถึงวันนี้ รามเกียรติ์ยุค 2020 ก็ยังถูกเล่าขานต่อไป แต่มาด้วยภาพลักษณ์อันร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นภาพลายเส้นการ์ตูน หรือแม้แต่สติกเกอร์ไลน์ เป็นวรรณคดีอมตะที่ยังคงมีลมหายใจ และทรงคุณค่าให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป

21 พฤศจิกายน...วันแห่งจอตู้

ถ้าถามผู้คนในวันนี้ ว่าของชิ้นไหนในโลกที่สามารถรวมความสนใจคนเอาไว้ในที่เดียวกันได้ คำตอบคือ สมาร์ทโฟน รวมถึงโซเชี่ยลมีเดีย แต่หากย้อนกลับไปราวปี ค.ศ.1925 มีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งกำเนิดขึ้นมา แถมมันยังสามารถรวมผู้คนให้มาอยู่ที่หน้าจอเดียวกันได้ เราเรียกมันว่า โทรทัศน์

โทรทัศน์เครื่องแรกของโลก เป็นผลงานการประดิษฐ์ของ จอห์น โลกี้ เบียร์ด ชาวสกอตแลนด์ เขาได้ทดลองส่งสัญญาณภาพวัตถุไปยังเครื่องรับภาพอีกเครื่องได้เป็นผลสำเร็จ ต่อมาก็กลายเป็นโทรทัศน์ที่ยังไม่มีสี (ขาว-ดำ) กระทั่งพัฒนาไปสู่โทรทัศน์สี

จนถึงวันนี้มีทั้งแบบจอแบน จอทัชสกรีน สมาร์ททีวี มาไกลจนหากว่านายจอห์น โลกี้ เบียร์ด ได้มาเห็น คงต้องทึ่งในพัฒนาการสิ่งที่ตัวเองคิดค้นอย่างแน่นอน

วันนี้เป็น ‘วันโทรทัศน์โลก’ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงเรื่องการสื่อสารและการเผยแพร่ข่าวสารของผู้คนทั่วโลก รวมทั้งยังรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในการบริโภคสื่อ แม้ว่าปัจจุบันจะมี ‘สื่อต่าง ๆ’ เกิดขึ้นอีกมากมาย แต่โทรทัศน์ก็ยังคงเป็นสื่อพื้นฐานหลัก และยังเป็นจุดศูนย์รวมผู้คนทั้งโลกเอาไว้ได้อยู่เหมือนเดิม

.

อ้างอิง: https://th.wikipedia.org/wiki/โทรทัศน์

ปรับร่างยังไงให้พร้อมเริ่มงานใหม่

ยังจำ ‘ยุ่น’ ในหนังฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามรักหมอ กันได้อยู่ใช่ป่ะ

ในเรื่อง ยุ่น เป็นฟรีแลนซ์กราฟิกขั้นเทพ ผลิตงานได้แบบไม่หลับไม่นอน จนสุดท้ายเม็ดขึ้นเต็มตัว ชีวิตจริงของบรรดาคนทำอาชีพฟรีแลนซ์ก็มีความคล้ายคลึงอย่างหนัง แต่อยากเตือนว่า ทำงานหาเงินจนป่วย แต่ป่วยแล้วเอาเงินไปรักษาตัว เพื่อ?

แต่เป็นฟรีแลนซ์มายาวนาน เกิดวันหนึ่งมีอันต้องไปเป็นพนักงานประจำ ประมาณว่า จากคนที่กินนอนไม่เป็นเวลา ประเภทนอนตี 5 ตื่น 6 โมงเย็น เริ่มงาน 2 ทุ่ม แต่จู่ ๆ กลับต้องเข้านอน 3 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้า เพื่อไปเข้างาน 8 โมง งานนี้ร่างกายมีเพี้ยนแน่นอน The States Times Lite ชวนคนที่ต้องเจอเรื่องราวทำนองนี้ มาเตรียมร่างกายให้พร้อมกันดีกว่า

.

1.) ฝึกการนอนใหม่ : ก่อนจะเข้าเริ่มงานประจำ ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้านอนตามใจฉัน ให้กลายเป็นเวลานอนประจำให้ได้ แรก ๆ อาจจะยากสักหน่อย เพราะเปลี่ยนอะไรไม่ยากเท่าเปลี่ยนนิสัยตัวเองนี่ล่ะ จากทฤษฎีที่เคยมีนักวิจัยในต่างประเทศได้บันทึกเอาไว้ การเปลี่ยนนิสัยที่เคยชินจะสามารถเปลี่ยนได้เฉลี่ยที่ 60 วัน หรือพูดง่าย ๆ ว่า อยากจะเปลี่ยนนิสัยที่ทำประจำสักอย่าง ต้องใช้เวลากว่า 2 เดือน เพราะฉะนั้น เตรียมปรับนิสัยการนอนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้เลย

.

2.) ต้องหัดกินอาหารเช้า : มันคือเรื่องเบสิกที่เคยฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่ามื้อเช้าคือมื้อที่ดีที่สุด แต่เป็นฟรีแลนซ์มาตลอด เรื่องมื้อเช้านี่แทบจะลืมไปได้เลย แต่การกลับมากินมื้อเช้าเพื่อเริ่มต้นการทำงานประจำ จะช่วยทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะระบบประสาทและกลไกการทำงานสมอง ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น

.

3.) ดื่มน้ำให้มากขึ้น : นี่ก็เบสิกอีกเรื่อง แต่เชื่อเถอะว่า ช่วงแรก ๆ ของการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้าระบบการทำงานประจำ คุณจะมีภาวะแปรปรวนทางร่างกายค่อนข้างสูง เรื่องหนึ่งที่สามารถช่วยได้ คือการดื่มน้ำ น้ำสะอาดมีประโยชน์ครอบจักรวาลจริง ๆ ดื่มวันละ 7 - 8 แก้วต่อวัน ทำให้สดชื่นขึ้นแน่ ๆ และทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ รวมถึงการทำงานของระบบย่อยอาหารก็จะดีขึ้นด้วย

.

4.) ออกกำลังกาย : เมื่อเข้าสู่ชีวิตงานประจำ ร่างกายต้องทำงานหนักกว่าตอนอยู่กับบ้านแน่นอน เพราะฉะนั้น ออกกำลังกายไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ร่างของเรามีกำลังวังชา ออกไปสู้รบกับภารกิจการงาน ตลอดจนชั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยฝุ่นภายนอก จำไว้เสมอ หากมีเวลา จงออกกำลังกาย!

.

5.) อาหารเสริม : อันนี้ไม่ได้แนะนำบรรดาอาหารเสริมที่ต้องไปซื้อหามาในราคาแพง ๆ แต่อาหารเสริมดี ๆ มีอยู่ในของที่เรามักไม่กินนี่ล่ะ จากที่เคยเขี่ยออกนอกจาน หรือเลี่ยงไม่กิน ลองหันมากินดู เช่น มะเขือเทศ ผักโขม หรือพวกถั่วต่าง ๆ ที่ว่ามาเหล่านี้ เป็นผัก - ผลไม้ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเซลล์ประสาททั้งนั้น กินเข้าไปเถอะ ช่วยบำรุงสมองล้วน ๆ เพราะเมื่อไรที่เข้าสู่การทำงานประจำ ได้ใช้สมองเต็มที่แน่นอน

เริ่มงานประจำ ใจพร้อมแล้ว กายก็ต้องพร้อมด้วย เตรียมตัวดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ตามนั้นนะ...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top