Monday, 19 May 2025
โดนัลด์ทรัมป์

‘จอห์นส์ ฮอปกินส์’ ปลดพนักงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง ภายหลังที่ ‘รัฐบาลทรัมป์’ ตัดงบ ‘USAID’ มหาศาล

(15 มี.ค. 68) มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบัน หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ตัดงบประมาณจาก สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ไปกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้โครงการวิจัยและพัฒนาระดับโลกหลายโครงการต้องปิดตัวลง

การปลดพนักงานครั้งนี้กระทบ พนักงานนานาชาติถึง 1,975 คนใน 44 ประเทศ และอีก 247 ตำแหน่งในสหรัฐฯ ขณะที่พนักงานอีก 100 คนถูกลดชั่วโมงการทำงาน หรือถูกพักงานโดยไม่มีกำหนด ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมทางงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน

"นี่เป็นวันที่ยากลำบากสำหรับชุมชนของเรา" มหาวิทยาลัยระบุในแถลงการณ์ พร้อมย้ำว่า การตัดงบประมาณของ USAID ทำให้ต้องยุติภารกิจสำคัญที่เคยช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโครงการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การป้องกันโรคระบาด การพัฒนาระบบน้ำสะอาด รวมถึงความพยายามด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร

ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่การสูญเสียตำแหน่งงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาควิชาสำคัญหลายแห่งของมหาวิทยาลัย รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ศูนย์โครงการสื่อสารด้านสุขภาพ (Center for Communication Programs) และ Jhpiego องค์กรด้านสุขภาพมารดาและการป้องกันโรค

ผลพวงจากแนวทางบริหารรัฐบาลทรัมป์

การปลดพนักงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการผลักดันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดขนาดรัฐบาลกลาง โดย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ว่ารัฐบาลทรัมป์จะ ยกเลิก 83% ของโครงการภายใต้ USAID และเตรียมโอนภารกิจที่เหลือไปอยู่ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ

จอห์นส์ ฮอปกินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของโลก ได้รับงบประมาณมากถึง 50% จากการทำงานร่วมกับรัฐบาลกลาง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นกำลังหลักในการดำเนินโครงการวิจัยด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

โรนัลด์ แดเนียลส์ อธิการบดีมหาวิทยาลัย ได้ส่งข้อความถึงบุคลากรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตือนว่าการตัดงบประมาณครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อ งบประมาณ บุคลากร และโครงการต่าง ๆ โดยระบุว่ามหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างกระบวนการยุติโครงการที่ได้รับทุนจาก USAID ในบัลติมอร์และระดับนานาชาติ

“จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายข้างหน้า” แดเนียลส์กล่าว พร้อมย้ำว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับลดขนาดโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไป”

วงการการศึกษาสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความไม่แน่นอน

นอกจากจอห์นส์ ฮอปกินส์แล้ว มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเงินทุนรัฐบาลกลางภายใต้การบริหารของทรัมป์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มหาวิทยาลัยโคลัมเบียสูญเสียเงินทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากรัฐบาลทรัมป์ระงับสัญญาและโครงการต่าง ๆ โดยอ้างเหตุผลว่ามหาวิทยาลัย "ล้มเหลวในการจัดการปัญหาการต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัย"

ขณะเดียวกัน สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยด้านสุขภาพ ได้ลดเพดานงบประมาณที่มหาวิทยาลัยสามารถขอรับสำหรับค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารและการบำรุงรักษา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการวิจัยระดับโลก

สถานการณ์นี้นำไปสู่การยื่นฟ้องร้องของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงจอห์นส์ ฮอปกินส์ ที่ต้องการระงับการตัดงบประมาณจาก NIH ผ่านกระบวนการศาล

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลขหรือการบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่สะท้อนถึง แนวโน้มของรัฐบาลทรัมป์ที่จะลดบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีความช่วยเหลือระหว่างประเทศ และหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางบริหารที่มุ่งลดค่าใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลัก

นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ยุคแห่งความมั่นคงด้านงบประมาณของวงการศึกษาสูงและงานวิจัยระดับโลกอาจกำลังสิ้นสุดลง

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ สั่งยุบ!! หน่วยงานรัฐบาล 7 แห่ง รวมถึง ‘Voice of America’ กลุ่มผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อ มอง!! บ่อนทำลายสื่อมวลชนที่ ‘อิสระ-เสรี’

(16 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยุบหน่วยงานรัฐบาลกลาง 7 แห่ง รวมถึง U.S. Agency for Global Media (USAGM) ซึ่งเป็นหน่วยงานแม่ของ Voice of America (VOA) และสื่ออื่น ๆ ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ

คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบลดการดำเนินงานให้เหลือเพียงขั้นต่ำสุดตามที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้พนักงานของ VOA ถูกสั่งพักงานโดยได้รับค่าจ้าง และมีการระงับทุนสนับสนุนสำหรับ Radio Free Europe/Radio Liberty และ Radio Free Asia

การตัดสินใจนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อ โดย Mike Balsamo ประธาน National Press Club กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว "บ่อนทำลายความมุ่งมั่นของอเมริกาต่อสื่อมวลชนที่เสรีและเป็นอิสระ"

นอกจาก USAGM แล้ว คำสั่งของทรัมป์ยังมีผลกระทบต่อหน่วยงานอื่น ๆ เช่น Federal Mediation and Conciliation Service, Woodrow Wilson International Center for Scholars, Institute of Museum and Library Services, U.S. Interagency Council on Homelessness, Community Development Financial Institutions Fund และ Minority Business Development Agency

การยุบหน่วยงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์ในการลดขนาดรัฐบาลกลาง อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การท้าทายทางกฎหมาย เนื่องจากหน่วยงานหลายแห่งถูกจัดตั้งขึ้นโดย ‘สภาคองเกรส’

Stephen Capus ซีอีโอของ RFE/RL ลั่น!! ‘อเมริกา’ ส่งของขวัญชิ้นโตให้ ‘ศัตรู’ เหตุ!! ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หั่นงบ ‘USAID’ มอง!! สื่อเสรีภาพ ต้องได้รับการสนับสนุน

(16 มี.ค. 68) โดมิโน่สื่อสายทุนจบเห่! RFE/RL โดนหั่นงบฯ หลัง USAID เดี้ยงด้วยน้ำมือทรัมป์

เมื่อวานเดินเล่นไถฟีดไปเรื่อยๆ เจอข่าวชวนตะลึงเข้าให้—Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) ออกมาคร่ำครวญว่าถูกตัดงบสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ แบบสายฟ้าแลบ! อ่านแล้วก็อดสะกิดใจไม่ได้ว่านี่มันอีกหนึ่งโดมิโน่เอฟเฟ็คจากการที่ USAID ถูกทรัมป์ซอยเละตั้งแต่ยุคแรกๆ แล้วนี่นา

RFE/RL นี่ไม่ใช่ใครที่ไหน สื่อที่ได้กินอิ่มกินดีจากงบประมาณของรัฐสหรัฐฯ มาตลอด 75 ปี เป็นกระบอกเสียงเสรีประชาธิปไตยสไตล์วอชิงตันที่ส่งตรงไปถึงประเทศแถบยุโรปตะวันออก รัสเซีย จีน และตะวันออกกลาง ตอนสงครามเย็นก็ทำหน้าที่ตีแผ่ความจริง (ในเวอร์ชันที่สหรัฐฯ อยากให้โลกเห็น) ใส่พวกคอมมิวนิสต์ และแม้ว่าสงครามเย็นจะจบไปนานแล้ว RFE/RL ก็ยังคงมีงบให้ได้โลดแล่นต่อไปภายใต้ข้ออ้างว่า “สื่อเสรีภาพต้องได้รับการสนับสนุน”

แต่พอทรัมป์กลับมาทวงคืนเวทีการเมือง ปฏิบัติการสับงบฯ ก็ตามมาเป็นของแถม ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนี้ USAID ก็โดนฟันมาก่อนหน้าแล้ว จะให้เหลืออะไรอีกล่ะ?

RFE/RL ลั่น: ตัดงบเรา = ของขวัญให้จีน-รัสเซีย

Stephen Capus ซีอีโอของ RFE/RL รีบออกมาจุดพลุทันที บอกว่าการถูกตัดงบนี้ เป็นเหมือนการส่งของขวัญชิ้นโตให้ศัตรูของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย อิหร่าน หรือผู้นำเผด็จการแห่งมินสก์ เพราะพวกนั้นคงจะฉลองกันยกใหญ่ที่สื่อขาประจำของวอชิงตันกำลังล้มระเนระนาด

Capus ไม่ได้พูดเล่น เพราะที่ผ่านมาสื่อสายทุนเหล่านี้ก็มีบทบาทชัดเจนในการเล่นเกมสงครามข้อมูลข่าวสาร ไล่ขุดแฉรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ ตั้งแต่เรื่องสิทธิมนุษยชน ยันการทุจริตแบบข้ามชาติ แต่พอโดนตัดงบเอง ดันออกมาโอดครวญซะอย่างนั้น

อ่านมาถึงตรงนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า เฮ้ย แล้วตอนที่ไปเจาะข่าวประเทศอื่นเขา ทำไมไม่พูดถึงแหล่งทุนของตัวเองบ้าง? พอตัวเองโดนบ้าง กลับมาเรียกร้องเสรีภาพซะงั้น!

เมื่อ USAID เดี้ยง สื่อสายทุนก็ขาลง

มองย้อนกลับไปหน่อย USAID ไม่ใช่แค่หน่วยงานพัฒนา มันเป็น ท่อส่งเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนสื่อ นักเคลื่อนไหว และ NGOs ทั่วโลก ซึ่งก็ไม่ต้องบอกนะว่าเงินไหลไปไหนบ้าง พอ USAID โดนทรัมป์ฟันงบ ก็เหมือนปิดก๊อกน้ำ ทำให้สื่อหลายเจ้าที่เคยพึ่งพางบนี้ต้องดิ้นรนหาแหล่งทุนใหม่

RFE/RL ก็คือหนึ่งในนั้น และตอนนี้ดูเหมือนว่าวิกฤตนี้จะมาถึงจุดที่พวกเขาเองก็ ต้องเผชิญความเป็นจริงว่าหากไม่มีรัฐอุ้ม ก็อยู่ลำบาก
คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือ สื่อเสรีแบบนี้ หากไม่มีงบจากรัฐ ยังเสรีได้อยู่ไหม? หรือจริงๆ แล้วมันคือ “สื่อเสรีภาพที่มีเงื่อนไข” มาตลอด
โดมิโน่ต่อไปจะเป็นใคร?

VOA (Voice of America) ก็คงมีเสียวๆ อยู่บ้าง เพราะเป็นอีกเจ้าที่ใช้งบสนับสนุนจากรัฐสหรัฐฯ เช่นกัน จะว่าไปแล้ว ในยุคที่โซเชียลมีเดียครองเมือง สื่อที่อาศัยทุนรัฐเพื่อทำข่าวนโยบายต่างประเทศ อาจต้องเตรียมใจเผชิญยุคที่ “อเมริกาต้องมาก่อน” อย่างเต็มตัวแล้วจริงๆ
ว่าแต่… หรือพวกเขาจะหาทางออกใหม่โดยไปขอทุนจากที่อื่นแทน? หรือถ้าหมดยุคของสื่อสายทุน รัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้ช่องทางไหนในการขยายอิทธิพลทางข้อมูลข่าวสาร? คำตอบอาจอยู่ในอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา…

เปิดโผ 43 ประเทศ ‘ทรัมป์’ เตรียมระงับวีซ่า ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ

(16 มี.ค. 68) เปิดโผรายชื่อ 43 ประเทศ ‘ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมสั่งระงับวีซ่า ออกข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ เช็ครายละเอียดของประเทศต่าง ๆ รวมไว้ทั้งหมดที่นี่

ขณะนี้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา กำลังพิจารณาออกข้อจำกัดการเดินทางที่เข้มงวดสำหรับพลเมืองของหลายสิบประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายใต้คำสั่งห้ามฉบับใหม่

สำหรับการเตรียมออกข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐ ครั้งนี้ อ้างอิงแหล่งข่าวและบันทึกภายในระบุรายชื่อประเทศแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ทั้งกลุ่มที่จะถูกระงับวีซ่าสหรัฐโดยสมบูรณ์ กลุ่มที่จะถูกระงับวีซ่าบางประเภท และกลุ่มที่อาจถูกระงับการออกวีซ่าสหรัฐบางส่วน 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในการเตรียมออกข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐครั้งนี้ ในเบื้องต้นจะประกอบไปด้วยประเทศต่าง ๆ รวมทั้งหมด 43 ประเทศ 

ทีมงาน 'วีโอเอไทย' เปิดใจครั้งแรก หลัง 'ทรัมป์' พักงาน ยุติออกอากาศ ลั่น!! ทำงานเต็มที่ แม้มีอุปสรรค จากการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง

(22 มี.ค. 68) ทีมงานวีโอเอไทย ซึ่งเป็นสื่อภายใต้ Voice of America ที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เผยแพร่จดหมายเปิดใจครั้งแรกในวันนี้ (22 มี.ค.) หลังผ่านไปราว 1 สัปดาห์ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งตัดงบประมาณ พักงานพนักงาน จนทำให้ต้องยุติออกอากาศ รวมทั้งภาคภาษาไทยด้วย โดยเนื้อหาในจดหมายระบุว่า

เรียนเพื่อน ๆ สื่อมวลชน และผู้ติดตามวีโอเอไทย 

ทีมงานวีโอเอไทยเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะทางการที่เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน 

เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มที่ทีมงานวีโอเอไทยไม่สามารถออกอากาศได้ หลังจากมีคำสั่งพักงานเจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดราว 1,300 คนภายในองค์กร

เราตกใจและเสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

ภาคภาษาไทยเป็นหนึ่งในภาคภาษาแรก ๆ ของวีโอเอในช่วงเริ่มการก่อตั้งเมื่อ 83 ปีก่อน และมีประวัติการทำงานเคียงคู่กับความเป็นไปในสังคมไทยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกมายาวนาน

จุดเริ่มต้นนั้น คือต้นทางแห่งบรรทัดฐานหน้าที่การเสนอข่าวสารตามข้อเท็จจริง ตลอดเวลาอันยาวนาน ทีมงานปัจจุบันรับไม้ต่อจากรุ่นก่อน ๆ ด้วยเจตจำนงเดียวกัน คือให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ตรงไปตรงมา ช่วยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนไทยในสหรัฐฯ กับพี่น้องในประเทศไทย และไม่อยู่ภายใต้การแทรกแซงหรือปิดกั้น 

เราทำงานตามหน้าที่แม้มีอุปสรรค โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยที่นำมาซึ่งการเซนเซอร์เนื้อหาที่อ่อนไหวแต่มีความสำคัญ เราพยายามทำให้เสียงของคนที่ถูกกดทับได้ดังก้องขึ้น เพื่อให้สังคมรับรู้และพยายามเข้าใจพวกเขามากขึ้น

ในประวัติศาสตร์ของวีโอเอ เราเคยต้องทำงานในชั่วโมงที่ข่าวสารโดนปิดกั้นเกือบเบ็ดเสร็จในประเทศไทย แต่เรายังสามารถทำหน้าที่เป็นช่องเล็ก ๆ นำทางให้แสงลอดไปท้าทายความมืดมิด

จึงเป็นที่น่าเสียดายและเสียใจยิ่งที่เราไม่สามารถทำงานได้ ในเวลานี้ ที่ไทยเพิ่งถูกลดอันดับลงมาเป็น "ไม่เสรี" ในดัชนีเสรีภาพของ Freedom House เราเชื่อเสมอว่าสื่อเสรีเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของประชาธิปไตย และการหายไปอย่างฉับพลันของข่าวสารข้อเท็จจริง เป็นเครื่องชี้ถึงความอ่อนแรงลงของชุมชนสื่อ และโลกเสรีโดยรวม

เราขอขอบพระคุณทุกกำลังใจ และความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของพวกเรา #SaveVOA

ทีมงานวีโอเอไทย

นักลงทุนผวา!! อนาคตของอเมริกา กับ ‘วิกฤตด้านความเชื่อมั่น’ การย้ายฐานการผลิตทั้งหมดกลับประเทศ ต้องใช้ทั้ง ‘เงิน-เวลา’

(12 เม.ย. 68) Stephanie Ruhle นักวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจของ NBC หนึ่งในสถานีโทรทัศน์หลักของสหรัฐอเมริกา ได้วิเคราะห์ว่า ...  

สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ผ่านไปกว่าสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่เกิดหายนะทางการค้านี้ขึ้น และฉันได้ใช้เวลาทั้งสัปดาห์นั้นในการพูดคุยกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และสิ่งที่ฉันรู้สึกว่ามากที่สุดในคืนนี้คือความกลัว

ความกลัวที่เรากำลังเผชิญอยู่คือวิกฤตด้านความเชื่อมั่น ความเชื่อมั่นในตัวเราเอง ในสหรัฐอเมริกา หรือฉันไม่ได้ยินจากใครเลยในบรรดาคนที่ฉันพูดคุยด้วย คือสิ่งที่อาจฟื้นคืนความเชื่อมั่นนั้นในสหรัฐอเมริกาได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ใช่แล้ว ตลาดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้ แต่เป็นเพราะเราสามารถหลีกเลี่ยงการนำเข้าด้วยภาษีนำเข้ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกได้เท่านั้น

แต่ความจริงได้เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว เพราะเรายังคงมีภาษีนำเข้าที่เหลือ และตลาดก็ยังคงตกต่ำ ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นฐานที่เราใช้เจรจาการค้าไม่ได้หยั่งรากลึกในความจริง และสำหรับผู้ที่เชื่อว่าประเทศต่าง ๆ กำลังดิ้นรนเพื่อทำข้อตกลงเพราะพวกเขาตื่นตระหนกมากเกี่ยวกับภาษีนำเข้าจำนวนมหาศาล และตอนนี้ภาษีนำเข้าก็ลดลงมาก

คำถามของฉันก็คือ ข้อตกลงนั้นคืออะไร คุณคิดว่าประเทศอย่างเวียดนามสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อลบล้างการขาดดุลการค้าของเรา คุณรู้ไหมว่าคำตอบคืออะไร พวกเขาทำไม่ได้ และถ้าคุณต้องการนำการผลิตทั้งหมดของเรากลับประเทศ นั่นก็จะ... หากคุณต้องการทำสิ่งนั้นตามที่ Peter Navarro พูดถึง Howard Lutnick พูดถึง คุณต้องการทำเช่นนั้นไหม? เพราะ จะต้องใช้เงินหลายล้านล้านดอลลาร์และเวลา 20 ปีในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและนำทั้งหมดกลับมาผลิตในอเมริกา

และสำหรับพันธมิตรของเราในตะวันตก ประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะร่วมมือกับเราอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่หัวเราะออกทีวีระดับประเทศ และบอกว่า พวกเขากำลังประจบประแจงฉัน (จูบก้นฉัน) เราสามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าตำแหน่งที่เราและความพิเศษเฉพาะตัวของอเมริกาเคยยึดครองไว้ แม้กระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้ลดลงอย่างแน่นอน

เรามีรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรที่บอกให้เราสร้างเล้าไก่ในสวนหลังบ้านเพราะไข่แพง เรามีรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่เผยแพร่ความลับทางทหารในกลุ่มแชท เราอาจกำลังไล่พนักงานของรัฐบาลออกหลายพันคนอย่างผิดกฎหมาย และตัดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ขณะที่ซื้อสกุลเงินดิจิทัล เราสูญเสียความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจไปเป็นจำนวนมาก

แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกลัวคือนักลงทุนทุกคนที่ฉันพูดคุยด้วย แม้แต่บางคนที่สนับสนุนประธานาธิบดีคนนี้ ต่างก็ส่งข้อความเดียวกันถึงฉันว่า หากตลาดพันธบัตรยังคงร่วงลงเรื่อย ๆ คุณก็รู้ว่ามันจะไปจบลงที่ไหน มันจะทำให้ประเทศนี้ล้มละลาย ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ รู้เรื่องนี้ดีทีเดียว

ศึกเงาของ ‘ทรัมป์’ ปะทะ ‘โซรอส’ เกมอำนาจเบื้องหลังเลือกตั้งแอลเบเนีย นักวิเคราะห์ชี้เป็นสนามประลองอุดมการณ์ระดับโลก กลางสมรภูมิการเมืองยุโรป

(17 เม.ย. 68) แอลเบเนียกำลังเผชิญการเลือกตั้งที่ร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ เมื่อการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองว่าไม่ใช่แค่การแย่งชิงเก้าอี้รัฐสภา แต่คือสงครามตัวแทนของสองขั้วอุดมการณ์ระดับโลก ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” กับ “จอร์จ โซรอส”

อดีตเอกอัครราชทูตแอลเบเนียประจำสหรัฐฯ นายอากิม เนโช เผยว่า การเลือกตั้งในวันที่ 11 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ เป็นมากกว่าการแข่งขันทางการเมืองภายในประเทศ หากแต่สะท้อนการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอก กับฝ่ายเสรีนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรีเอดี รามา ผู้นำพรรคสังคมนิยม ที่ครองอำนาจต่อเนื่องมากว่า 12 ปี ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนหัวก้าวหน้า อาทิ อเล็กซ์ ซอรอส บุตรชายของจอร์จ ซอรอส ตลอดจนโครงการของ USAID และมูลนิธิ Open Society Foundations (OSF) ซึ่งฝ่ายค้านกล่าวหาว่าเป็นกลไกแทรกแซงการเมืองแอลเบเนีย

ด้านฝ่ายค้านนำโดยนายซาลี เบริชา อดีตผู้นำประเทศและหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยฝ่ายขวา ได้รับการหนุนหลังจากนายคริส ลาซีวิตา อดีตผู้จัดการหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมออกแถลงการณ์โจมตีว่า รัฐบาลรามาคือ “หุ่นเชิดของโซรอส” และให้คำมั่นจะนำแอลเบเนียกลับสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ ในแบบที่เคยมีในยุคทรัมป์

สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อเบริชาถูกตัดสิทธิทางกฎหมายในประเทศ และเผชิญคดีทุจริตตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มอิทธิพลต่างชาติ

ไม่เพียงเท่านั้น นายอิลีร์ เมตา อดีตประธานาธิบดีและผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตยสายกลาง ก็ถูกจับกุมในข้อหาทุจริตเช่นกัน ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อระบบตุลาการของประเทศที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่า “ถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง”

รายงานจาก European Center for Law & Justice ชี้ว่า Open Society Foundations ได้ลงทุนในแอลเบเนียมากกว่า 131 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1992 โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปตุลาการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นช่องทางการควบคุมอำนาจจากภายนอก

เนโช สรุปว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นอีกครั้งที่ประชาชนแอลเบเนียต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรม พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเร่งผลักดันการเลือกตั้งที่โปร่งใส หรือพิจารณาเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป จนกว่าจะมีหลักประกันในกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง

‘ทรัมป์’ กดดันปานามาและอียิปต์ เปิดทางให้เรือสินค้าและเรือรบสหรัฐฯ ผ่านคลอง ‘ปานามา-สุเอซ’ ไม่เสียค่าธรรมเนียม อ้างเพื่อปกป้องความมั่นคงชาติ

(28 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เรียกร้องให้เรือสินค้าและเรือกองทัพของสหรัฐฯ สามารถผ่านคลองปานามาและคลองสุเอซได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม โดยอ้างว่าสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญต่อการอยู่รอดของเส้นทางเดินเรือเหล่านี้ และถือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา

ทรัมป์ระบุว่าทั้งคลองปานามาและคลองสุเอซจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐฯ พร้อมย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของคลองสุเอซ ในการจำกัดอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในภูมิภาคนี้ โดยได้มอบหมายให้มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ดำเนินการจัดการสถานการณ์อย่างเร่งด่วน

แม้ว่าสหรัฐฯ จะส่งมอบการควบคุมคลองปานามาให้แก่ปานามาในปี 1999 ตามสนธิสัญญาปี 1977 แต่ล่าสุด พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้เสนอแนวคิดให้กองทัพสหรัฐฯ กลับไปปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลเรื่องอิทธิพลของจีน

สำหรับคลองสุเอซ ซึ่งรองรับการค้าโลกประมาณ 12–15% กำลังเผชิญวิกฤต หลังจากรายได้จากการดำเนินงานลดลงกว่า 50% เนื่องจากการโจมตีของกลุ่มฮูตีในเยเมน ทรัมป์ประกาศว่าจะเดินหน้ากดดันกลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน เพื่อฟื้นฟูเส้นทางเดินเรือที่สำคัญนี้

ทั้งนี้ ทางการปานามาได้ยืนยันหนักแน่นว่าจะรักษาความเป็นกลางและสิทธิ์การควบคุมคลองปานามาอย่างสมบูรณ์ ขณะที่อียิปต์ยังคงพึ่งพารายได้จากคลองสุเอซ แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันจากความไม่สงบในภูมิภาคทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เสนอขอ!! งบประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับการป้องกันประเทศ โดยให้หั่นงบประมาณ!! ‘การดูแลสุขภาพ – การดูแลเด็ก – ที่อยู่อาศัย – พลังงานสะอาด’

(3 พ.ค. 68)  เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ปธน.ทรัมป์ #สหรัฐฯ เสนอแผนงบประมาณใหม่โดยของบประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับการป้องกันประเทศ - ตามรายงานของ #MorePerfectUnion

ทรัมป์ขอให้รัฐสภาเพิ่มงบประมาณกลาโหมในปีงบประมาณหน้าเป็น 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ โดยทำเนียบขาวได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว
ข้อเสนอประกอบด้วย 

- การตัดงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพ การดูแลเด็ก การศึกษา ที่อยู่อาศัย การวิจัย พลังงานสะอาด ธนาคารอาหาร และอื่นๆ มูลค่า 163,000 ล้านดอลลาร์

- 1.01 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการป้องกันประเทศและความมั่นคงภายในประเทศ

Temu ปรับตัว!! เพื่อสู้ กำแพงภาษีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หลังมีประกาศ!! ระงับการขายสินค้าที่ส่งมาจาก ‘จีน’

(4 พ.ค. 68) หนึ่งในเป้าหมายของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีศุลกากร ก็เพื่อต้องการกำจัด แพลทฟอร์มออนไลน์ค้าปลีกของจีน อย่าง Temu และ Shein ที่ใช้ช่องโหว่ทางภาษีสหรัฐ ที่ยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับพัสดุชิ้นเล็ก ที่เรียกว่า "de minimis" ที่มีมูลค่าน้อยกว่า 800 ดอลลาร์

ซึ่งเข้าทางพ่อค้าจีน ที่เก่งเรื่องการบี้ราคาต้นทุน ให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาถูกเหลือเชื่อ จึงมีพัสดุสินค้าจิ๋วนำเข้ามายังสหรัฐอเมริกาได้เป็นล้านชิ้นในแต่ละเดือน โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีเลยแม้แต่เหรียญเดียว 

แต่หลังจากสิ้นสุดเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป ไม่สามารถทำได้แล้ว ด้วยคำสั่งประธานาธิบดีของทรัมพ์ ที่ตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่ส่งจากจีนสูงถึง 130-150% และเพิ่มมาตรการตรวจสอบพัสดุสินค้าจากต่างประเทศ ลดเพดานมูลค่าสินค้าจาก 2,500 เหรียญ เหลือ 800 เหรียญ ต้องเสียภาษีแล้ว
เมื่อทรัมป์ยอมเผาทั้งโลกเพื่อฆ่าเธอคนเดียว Temu ที่เป็นเป้าหมายตรง ก็ต้องรีบปรับตัวให้ทัน และประกาศระงับการขายสินค้าที่ต้องส่งมาจากจีนบนแพลทฟอร์มทั้งหมดแล้ว

โดยสินค้าที่ขึ้นขายอยู่ในขณะนี้มีเพียงสินค้าที่ผลิต และอยู่ในโกดังที่สหรัฐเท่านั้น ส่วนสินค้าที่ต้องส่งจากจีนทุกรายการถูกเปลี่ยนสถานะเป็น "Out of stock" หรือ สินค้าหมด

การระงับการขายสินค้าที่ต้อง ship มาจากจีน เกิดขึ้นทันทีที่คำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เรื่องข้อบังคับภาษีศุลกากรในพัสดุสินค้าขนาดเล็ก มีผลบังคับใช้เมื่อวันศุกร์ (2 พฤษภาคม 2025) ที่ผ่านมาที่จะทำให้สินค้าที่จัดส่งจากจีนของ Temu และ Shein โดนภาษีเต็มๆ 120% หรืออัตราภาษีคงที่ 100 เหรียญต่อชิ้น ซึ่งจะขึ้นอีกเป็น 200 เหรียญต่อชิ้นในเดือนมิถุนายนนี้

ด้วยราคาภาษีโหดขนาดนี้ คงยากที่ Temu และ Shein จะขายสินค้าจีนในอเมริกาได้เหมือนเดิม จึงเป็นเหตุผลที่ Temu ต้องเปลี่ยนกลยุทธจากการขายสินค้าจีน เป็นขายสินค้าจากผู้ผลิตที่อยู่ในสหรัฐ

จึงเกิดคำถามว่า แล้วแพลทฟอร์มของจีนจะยังขายสินค้าในราคาถูกตาแตกได้เหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่ง Temu ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อราคาสินค้า ทุกอย่างที่เห็นในตอนนี้ยังขายในราคาเดิม

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่กล่าวไม่หมด เพราะทั้ง Temu และ Shein ขึ้นราคาสินค้าของตนไปก่อนหน้านี้นานแล้ว สินค้าบางชิ้นมีราคาสูงขึ้นถึง 377% เลยทีเดียว และมีการระบุเงื่อนไขเพิ่มว่ามี "ค่าธรรมเนียมภาษีขาเข้า"

คำกล่าวที่ Temu ประกาศว่า "ไม่มีผลกระทบต่อนโยบายราคา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม" จึงเป็นเพียงคำพูดปลอบใจตนเอง เพราะต่อจากนี้ไป จะไม่มีอะไรเหมือนเดิม 

แต่ธุรกิจต้องไปต่อ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่มีทางเลือกที่จะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด มีเพียงคำถามเดียวในใจ คือ ต้องปรับตัวอย่างไรให้รอดเท่านั้นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top