Tuesday, 20 May 2025
เลือกตั้ง66

‘กรณ์’ ชูแนวคิด ‘โอกาสนิยม’ สร้างภูมิให้คนไทยยืนหยัดได้เอง ซัดพรรคใหญ่!! ไม่ใช่ช่วงวิกฤต อย่าเอาภาษีไปแข่งกันแจก

(5 พ.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมทีมงานเดินทางไปยังอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อขอคะแนนสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.เขต 6 เบอร์ 12 นายนเรศ เกสรินทร์ (รัตนบุรี) ที่มีคะแนนดีวันดีคืนจากผลสำรวจของพรรคฯ

โดยนายกรณ์ กล่าวว่า ช่วงนี้ตนเดินสายช่วยผู้สมัครภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วไปต่อที่จังหวัดพัทลุง จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้สมัครของเรามีการตอบรับที่ดีทั้งในอันดับที่ 1 และที่ 2 ซึ่งมีคะแนนก็เบียดแบบหายใจรดต้นคอกันประมาณ 5-6 เขต เชื่อว่าผู้สมัครของเราอย่างน้อย 3-5 คนต้องสามารถปักธงชัยที่ภาคใต้ได้อย่างแน่นอน ตนก็มาให้กำลังใจและขอให้เดินหาเสียงอย่างมีความสุข

“ประชาชนตอบรับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อปากท้องของเรา พวกเขาสะท้อนว่าอยากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มาดูแลแก้ปัญหาให้กับเขา และค่อนข้างกังวลกับนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสียภาษี ที่กลัวว่าการจะนำเงินภาษีของเขามาใช้แบบนี้ มันเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งในส่วนของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นสร้างโอกาส เราไม่เน้นลดแลกแจกแถม หรือใช้งบประมาณภาษีแต่อย่างใด การใช้เงินภาษี ผมพูดเสมอว่าทำได้ในยามวิกฤตแต่ในช่วงนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องการ คือ ต่อยอดโอกาสในการทำมาค้าขายของเขา ถ้าเป็นเกษตรกร เขาก็อยากเห็นนโยบายที่ทำให้ ราคาพืชผลของเขาสูงขึ้น ทำให้เขามีชีวิตที่มั่นคงด้วยตัวเขาเองมากขึ้น” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว

ต่อมาในช่วงค่ำ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ขึ้นเวทีปราศรัยที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช โดยกล่าวกับพี่น้องประชาชนที่มาร่วมรับฟังเป็นจำนวนมากว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราไม่เสนอนโยบายประชานิยม เราเป็นพรรคที่ส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า ‘โอกาสนิยม’ คือ สร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชนให้สามารถทำมาหากินได้ แข่งขันได้ มีราคาพืชผลที่ดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภาครัฐ นี่คือสิ่งที่ประชาชนเขาต้องการมากกว่า  และเป็นชุดนโยบายที่เป็นธรรมกับประชาชนที่เป็นผู้เสียภาษีมากกว่า

‘เพื่อไทย’ จัดอีเวนต์ใหญ่กลางลานพาร์ค พารากอน คนล้นทะลัก ด้าน ‘อิ๊งค์’ ลั่น!! ขอเป็น รบ.พรรคเดียว เพื่อโค่นล้มอำนาจ ส.ว.

(5 พ.ค. 66) พรรคเพื่อไทย เปิดแคมเปญใหญ่สู้ศึกเลือกตั้ง 2566 จัดกิจกรรมเปิดตัวแคมเปญใหญ่ ‘เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ประเทศเปลี่ยนทันที’ เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์หาเสียงในโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในอีก 8 วันข้างหน้า ภายในงานมีการจัดกิจกรรม ให้ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขต ร่วมทำชาเลนจ์ เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะมุ่งหน้าสู่ใจกลางเมือง ที่ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทุกคน ต้องไลฟ์ตลอดการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อปักหมุดนโยบายใหญ่ เพื่อคมนาคมไทยทั้งประเทศ งานนี้ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน มาครบ และเดินทางด้วยคมนาคมที่หลากหลายทั้งรถ ราง เรือ

นายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ชาเลนจ์นี้จัดขึ้นเพื่อสื่อสารว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีขนส่งสาธารณะครบทุกรูปแบบโดยเฉพาะรถไฟฟ้า แต่ค่าโดยสารโดยรวมนั้นมีราคาแพง ไม่สะดวกสบาย ใช้เวลานานและ ทั้งไม่สามารถกำหนดเวลาได้ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเพื่อคมนาคมไทย ทั้งประเทศ นั่นคือ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, ยกระดับคมนาคมในต่างจังหวัด, ยกระดับรถไฟโดยสารทั่วประเทศ, ยกระดับการขนส่งโลจิสติกส์สินค้า และยกระดับสนามบินสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก

โดยเฉพาะนโยบาย 20 บาทตลอดสายนั้น จะต้องเป็นราคา 20 บาทตลอดทั้งสาย ไม่ว่าจะเปลี่ยนสายรถไฟฟ้ากี่ครั้ง แต่ถ้าไม่ออกจากระบบ ก็จะอยู่ที่ราคา 20 บาทเท่านั้น นายดนุพรย้ำด้วยว่า หาก 30 บาท รักษาทุกโรคทำได้ แล้ว 20 บาทตลอดสาย ก็ต้องทำได้เช่นกัน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวทักทายประชาชนผ่านวิดีโอคอลว่า ตอนนี้ตนกำลังเตรียมพร้อมร่างกาย เพื่อกลับไปพบกับประชาชนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้เสนอยุทธศาสตร์การเลือกตั้งด้วยการแลนด์สไลด์ ให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว เพื่อล้มอำนาจ ส.ว.250 เสียง ไม่เปิดโอกาสให้รัฐบาลผลพวงรัฐประหารได้มีโอกาสกลับมามีอำนาจอีก

‘จุรินทร์’ ปราศรัยใหญ่ที่กระบี่ ช่วย ‘สาคร-น้ำผึ้ง-เคี่ยง’ หาเสียง ย้ำ!! คนกระบี่มีศักดิ์ศรี อย่าให้ใครซื้อได้ มั่นใจ!! ‘ปชป.’ ชนะยกทีม

(5 พ.ค. 66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาร่วมปราศรัยใหญ่ ชู 3 ผู้สมัคร ส.ส.กระบี่ ทั้ง 3 เขต ประกอบด้วย

เขต 1 นายธนวัช ภูเก้าล้วน (เคี่ยง) เบอร์ 3
เขต 2 นายสาคร เกี่ยวข้อง (สาคร) เบอร์ 5 
เขต 3 ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล (น้ำผึ้ง) เบอร์ 5

นอกจากนี้ ยังมีผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมขึ้นเวทีอย่างคับคั่ง อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค, นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค, น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง, ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย และนายทวีเกียรติ ใจดี

บรรยากาศการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อนายจุรินทร์ เดินทางถึงบริเวณลานประติมากรรมปูดำ เทศบาลเมืองกระบี่ มีพี่น้องประชาชนขอจับมือ ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ส่งยิ้มให้กำลังใจ พร้อมกับอวยพรให้นายจุรินทร์ เป็นนายกรัฐมนตรี

'เพื่อไทย' เล่นใหญ่!! ให้ผู้สมัครฯ กทม.เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ประเมินภาระคน กทม. 'เสียเวลา-สิ้นเงินตรา' มากแค่ไหน?

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 66 ภายหลังจากการปราศรัย #เพื่อไทยบุกพารากอน !! ก็ได้มีการสรุปผลกิจกรรมการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะทั่วกรุงเทพฯ ของผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 33 เขตกัน ภายในเวลา 1 ชั่วโมง 29 นาที อีกด้วย 

ส่วนใครจะใช้เวลาเดินทางมา ลาน พาร์ก พารากอน น้อยที่สุด และมากที่สุด 5 อันดับแรก และ 5 อันดับสุดท้ายกันบ้าง แล้วแต่ละคนใช้ขนส่งสาธารณะอะไร มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่กันบ้าง ไปติดตามชมกัน...

[ผู้สมัคร ส.ส. 5 อันดับแรก ที่ใช้เวลาน้อยที่สุด ได้แก่…] 

# อันดับที่ 1 - กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 1 เบอร์ 8 ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที โดยนั่งตุ๊กตุ๊ก จากสำนักงานเขตของตน ทั้งหมดราคา 150 บาท

# อันดับที่ 2 - ภัทร ภมรมนตรี ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 6 เบอร์ 1 ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที โดยนั่งรถไฟฟ้า BTS สถานีอารีย์ จากสำนักงานเขตของตน ทั้งหมดราคา 35 บาท

# อันดับที่ 3 - วัน อยู่บำรุง ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 28 เบอร์ 10 ใช้เวลาเดินทาง 21 นาที โดยติดรถ FC วัน อยู่บำรุง จากสำนักงานเขตของตน มาขึ้นรถไฟฟ้า BTS สถานีวุฒากาศ ทั้งหมดราคา 62 บาท

# อันดับที่ 4 - นวธันย์ ธวัชวงค์เดชากุล ส.ส. กทม. เขต 4 เบอร์ 11 ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที โดยขึ้นรถจักรยานยนต์รับจ้าง จากสำนักงานเขตของตน มาขึ้นรถไฟฟ้า BTS ทั้งหมดราคา 47 บาท

# อันดับที่ 5 - ลีลาวดี วัชโรบล ส.ส. กทม. เขต 2 เบอร์ 5 ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที โดยขึ้นรถเมล์สาย 93 จากสำนักงานเขตของตน มาขึ้นรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี ทั้งหมดราคา 36 บาท

‘ลูกหมี’ ขอคนไทยเลือก ‘ปชป.’ เป็นผู้นำ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ย้ำ!! พรรคทำงานด้วยวิถีประชาธิปไตย ‘ไม่โกง-สุจริต-ท้องอิ่ม’

(6 พ.ค. 66) น.ส.รัศมี ทองสิริไพรศรี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และทีมโฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง กล่าวถึงเหตุผลที่พี่น้องประชาชนต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเป็นการเลือกตั้งที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ อย่าเพียงเลือกไปตามกระแส เพราะประเทศไทยจำเป็นต้องมีผู้นำที่มีประสบการณ์ จึงจะสามารถนำพาประเทศไปรอดได้

ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองเดียวที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่ยั่งยืน และนำเสนอนโยบายครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ด้วย 3 แกนหลัก คือ ‘สร้างเงิน’ คือ การสร้างเงินให้คนไทย สร้างเงินให้ประเทศ ‘สร้างคน’ ด้วยการศึกษา สาธารณสุข เพื่อให้คนไทยมีศักยภาพในการรักษาเงิน และทำงานเพื่อสร้างเงินให้ตนเองและครอบครัวได้ต่อไปในอนาคต ‘สร้างชาติ’ ด้วยการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดมั่นทำงานการเมืองด้วยวิถีประชาธิปไตยสุจริต และประชาธิปไตยท้องอิ่ม 

และภายใต้ 3 แกนหลักดังกล่าว ประกอบด้วย 16 นโยบายที่โดดเด่น สำหรับคนทุกกลุ่ม ดังต่อไปนี้

1.) ประกันรายได้ ‘จ่ายเงินส่วนต่าง’ ข้าว มัน ยาง ปาล์ม ข้าวโพด
2.) ชาวนารับ 30,000 บาทต่อครัวเรือน
3.) ธนาคารหมู่บ้าน/ชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาท
4.) อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน
5.) เรียนฟรีถึงปริญญาตรี สาขาที่ตลาดต้องการ
6.) ฟรีนมโรงเรียน 365 วัน
7.) ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี ใช้บัตรประชาชนใบเดียว
8.) SME มีแต้มต่อ 3 แสนล้าน
9.) ชมรมผู้สูงอายุ รับ 30,000 บาท ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน
10.) ออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลง ภายใน 4 ปี
11.) ออกกรรมสิทธิ์ทำกิน ให้ผู้ทำกินในที่ดินของรัฐฯ
12.) ประมงท้องถิ่นรับ 100,000 บาท ทุกปี
13.) ปลดล็อกประมงพาณิชย์ ภายใต้ IUU
14.) ปลดล็อก กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้ซื้อบ้านได้
15.) 3 ล้านบาท ต่อยอดเกษตร แปลงใหญ่
16.) ค่าตอบแทน อกม. 1,000 บาทต่อเดือน   

น.ส.รัศมี กล่าวอีกว่า ยังมีนโยบายอื่น ๆ อีกที่น่าสนใจ อาทิ การวางรากฐานศึกษาด้วย CODING ซึ่งการศึกษาเป็น DNA ของพรรคประชาธิปัตย์ นโยบาย Delta work Thailand กรุงเทพต้องไม่จมน้ำ และการประกาศสงครามกับปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 การผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด นโยบายเกี่ยวกับสตรี 5 ด้าน เพื่อเสริมเก่งสร้างแกร่งให้ผู้หญิง ขจัดความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว ตั้งแต่ด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างสังคมเสมอภาค ส่งเสริมผู้หญิงเป็นพลังทางเศรษฐกิจ วางรากฐานการศึกษา และส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาททางการเมือง

‘เศรษฐา’ มั่นใจ!! ฐานเสียง ‘พท.’ แข็งแกร่ง สู้กระแส ‘ก้าวไกล’ ได้ ชี้ ผลโพลหลักพันไม่ใช่สะท้อนเสียงของประชาชนทั้งประเทศ

(6 พ.ค. 66) ที่จังหวัดนครราชสีมา นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.)  และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งจะแก้เกมกับกระแสของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่มาแรงทุกโพลอย่างไรว่า คงไม่มีอะไรแก้ เพราะโพลของเราก็มาดี เรายังมั่นใจอยู่ว่าเราจะได้เกินครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับกระแสที่ออกสื่อย้ำๆ นั้นก็เป็นแค่กระแส เพราะเวลาลงพื้นที่แล้วโพลของเราก็ยังมีและดีอยู่แล้ว

เมื่อถามต่อว่าแต่โพลก็มีผลต่อการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่แน่ใจ ตนคิดว่าขึ้นอยู่กับพรรคและนโยบาย รวมถึงผู้นำ ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว จะเล่นกันไม่ได้ ไม่ใช่สนามที่ประลองฝีมือ แต่เป็นของคนที่มีประสบการณ์หรือพรรคที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ว่าสามารถทำนโยบายที่เสนอเป็นจริงได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องที่เราต้องตอกย้ำต่อไป อีกทั้งโพลบางโพลก็ทำแค่ 1-2 พันคน เราควรเอาโพลที่ทำเป็นแสนมาเป็นตัวชี้วัดดีกว่า

เมื่อถามว่า ยังมั่นใจว่ากระแสของพรรคก้าวไกลยังสู้ฐานเสียงของเพื่อไทยไม่ได้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “สู้ไม่ได้ เรามั่นใจครับ เรามั่นใจความแข็งแกร่งของฐานเสียง มั่นใจในนโยบาย มั่นใจในความที่เราเป็นสถาบันทางการเมืองมานาน ที่พิสูจน์ได้ว่าเราทำได้จริง”

เมื่อถามต่อว่า ตอนนี้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยยังเพียงพอทำให้แลนด์สไลด์ได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่าแลนด์สไลด์หมายความว่าอะไร ถ้า 200 กลางๆ ขึ้นไป ตนคิดว่าตนได้อยู่ หรือ 280 เราก็ยังมั่นใจอยู่ แต่จะถึง 300 หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โค้งสุดท้ายว่าจะเป็นเช่นไร แต่ก็ยังมีความหวังอยู่

เมื่อถามว่า มีการวิเคราะห์หรือไม่ ว่าทำไมช่วงโค้งสุดท้ายกระแสก้าวไกลยังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องของโซเชียลส่วนหนึ่ง และอาจเป็นช่วงจังหวะที่ผลโพลออกมา แต่อย่างที่เรียนไปว่า โพลบางโพลสำรวจแค่ 2,000-2,500 คน ซึ่งประเทศไทยมีประชากรที่สามารถโหวตได้ประมาณ 39 ล้านคน ต้องเอานโยบายเป็นหลัก ประวัติศาสตร์ การพิสูจน์ฝีมือมาโดยตลอด และผู้นำที่เคยพิสูจน์ฝีมือมาแล้ว ทีมงานที่อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ตรงนี้เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนให้ความสำคัญมากที่สุด

เมื่อถามว่า กระแสที่เทไปทางพรรคก้าวไกลส่วนหนึ่งมีการวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยมี 3 คน และไม่ชัดเจนว่าเลือกเพื่อไทยแล้วจะได้ใครเป็นนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นประเด็น ตนคิดว่าจะเป็นจุดแข็งมากกว่า เพราะจริง ๆ เรามีทีมที่แข็งแกร่ง ทั้ง 3 คนมีจุดแข็งแตกต่างกัน ดังนั้น นายกฯ จากพรรคเพื่อไทยก็คือ 1 ใน 3 คน รอผลการเลือกตั้งออกมาก่อน ใจเย็น ๆ

‘สมเกียรติ’ ยัน!! ไม่ใช่งูเห่า พร้อมแจงเหตุที่ต้องออกจาก ‘ก้าวไกล’ เผย ตนทุ่มเททำงานมาตลอด แต่พรรคกลับเลือกคนอื่นลง ส.ส.แทน

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 66 นายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ หรือ ‘เป้’ อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ปัจจุบันเป็นผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางนา-พระโขนง เบอร์ 9 พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ลงพื้นที่หาเสียงบริเวณคอนโดนิรันดร์ ในซอยสุขุมวิท 93 ในขณะกำลังหาเสียง ได้มีประชาชนเข้ามาพูดคุยและสอบถาม ถึงสาเหตุที่นายสมเกียรติได้ออกจากพรรคก้าวไกล

โดยนายสมเกียรติได้ตอบว่า เรื่องที่ตนออกจากพรรคก้าวไกลนั้น ยังมีคนไม่ทราบอีกเยอะ ซึ่งตนคิดว่าไม่น่าจะมีใครไม่รู้ และได้กล่าวว่า จริงๆ แล้วตนไม่ได้อยากลาออกจากพรรคก้าวไกล แต่ทางพรรคได้ส่งหัวหน้าการ์ดผู้ชุมนุมมาลง ส.ส.แทนตน ทั้งที่ตนเป็นผู้ผลักดันให้ผู้ช่วย ส.ส.ของตน ชนะ ส.ก.ในเขตพื้นที่บางนาและพระโขนงให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งนับเป็นผลงานที่ดีที่สุดในพรรค แต่ทางพรรคกลับส่ง นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ ‘โตโต้’ หัวหน้าการ์ดผู้ชุมนุม มาลง ส.ส.แทนตน

‘นิพนธ์’ ขอแฟนคลับ ‘ประชาธิปัตย์’ อย่าหวั่นไหวไปตามกระแสโพล ปลุกคนไทยแสดงพลัง 7 และ 14 พ.ค.นี้ เลือก ปชป.ทั้งคนทั้งพรรค

(6 พ.ค. 66) นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยถึงสถานการณ์เลือกตั้ง ที่ขณะนี้มีการพูดถึงคะแนนผลสำรวจ (โพล) ของพรรค ปชป. ว่าไม่อยากให้แฟนคลับประชาธิปัตย์ตื่นตระหนก และสังคมเชื่อไปกับกระแสข่าวดังกล่าว ซึ่งส่วนตัวมองเป็นเรื่องปกติที่พรรคมุ่งในการลงพื้นที่เข้าถึงพี่น้องประชาชน เพื่อนำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์มากกว่า และนโยบายต่างๆ ของพรรคนั้น อาจมองไม่หวือหวา หรือเรียกความสนใจ เพราะพรรคไม่ได้มีการสร้างกระแส สร้างภาพหรือสร้างคอนเทนต์ ให้เป็นที่สนใจ แต่ถ้าพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ของการเสนอนโยบายที่เป็นไปตามกรอบของการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะเห็นว่าสิ่งที่ ปชป.ประกาศนั้น จะสอดคล้องกันระหว่างภาระงบประมาณกับประโยชน์ที่จะตกแก่ส่วนรวมและประชาชน ซึ่งเราเน้นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ใช่จะประกาศเพื่อสร้างกระแส เพราะเราเป็นสถาบันทางการเมืองต้องรัดกุม ไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศ ส่วนกระแสข่าวที่ปรากฏนั้นจะเป็นเรื่องสมมติทันที ถ้าพี่น้องประชาชนแสดงพลังเทคะแนนเสียงสนับสนุน ปชป.ในวันที่ 7 และ 14 พ.ค.นี้ เลือกตั้งทั้งพรรคทั้งคน

‘ม.รังสิต’ ระดมความคิด ดึง ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง-ภาคประชาชน’ ถก!! วาระประเทศไทย อนาคตที่ต้องมองให้ไกลกว่าการเลือกตั้ง

(6 พ.ค. 66) สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) จัดงานเสวนา ‘วาระประเทศไทย ไปให้ไกลกว่าเลือกตั้ง’ ที่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ก่อตั้ง สถาบันปฏิรูปประเทศไทย เป็นประธาน ซึ่งภายในงานมีการพูดคุยเรื่องแนวทางการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ในหัวข้อ ‘ประเทศไทยกับภัยคุกคามใหม่ ที่ประชาชนต้องรู้’ โดยมี นายสำราญ รอดเพชร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ 

โดยในงานนี้ ยังได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองมารวมปาฐกถาในการเสวนาในครั้งนี้ รวมถึงตัวแทนประชาชนจากหลายหน่วยงานมาร่วมฟังการเสวนา เพื่อหาทางออกให้ประเทศร่วมกันในครั้งนี้ 

ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า การเมืองจะเป็นสิ่งที่ดีงาม และเป็นสิ่งจำเป็นต่อสังคม ถ้าการเมืองทำทุกวิถีทางเพื่อประโยชน์ของประชาชน หากต้องการเห็นบ้านเจริญรุ่งเรืองและประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น การเมืองก็ต้องดีด้วยเช่นกัน แต่ปัจจุบันการเมืองที่เราเห็นเป็นการเมืองสามานย์ระบบ ที่ล้มเหลวในทุกระดับ ขาดจิตสำนึกที่ดีและขาดความรับผิดชอบในบ้านเมือง ทำให้ประชาชนต้องกลายเป็นทาสอีกครั้งหนึ่ง คำถามคือ ทำไมเราถึงต้องยอมตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้ สภาพการเมืองที่มีแต่การแบ่งพรรคแบ่งพวก มีแต่ความขัดแย้งแตกแยกแย่งชิงผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง

“ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องลุกขึ้นมาร่วมกันปฎิรูป เพื่อพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ เราต้องปฏิรูปประเทศให้เป็นสังคมธรรมาธิปไตย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด เพราะประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ เราต้องสร้างสังคมแบ่งปัน ลดความขัดแย้ง ต้องรวมพลังประชาชนโดยยึดถือประโยชน์ของชาติเหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งทุกคนต้องตระหนักว่าประเทศชาติจะดำรงอยู่ได้ ก็ด้วยคนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง บนผืนแผ่นดินเดียวกันนี้ ผลักดันประเทศชาติสู่ความสำเร็จและความมั่งคั่งประชาชนทุกคนทุกกลุ่มทุกส่วนในทุกภูมิภาคภาค ซึ่งเป็นการปฏิรูปประเทศที่บรรลุผลอย่างแท้จริง” ดร.อาทิตย์ กล่าว

หลังจากนั้น ด้าน ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ได้กล่าวชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ โดยเผยว่า ท่ามกลางการเลือกตั้งที่มีการเอาประเทศเป็นเดิมพัน แข่งกันแทงหวยว่าเราจะเลือกพรรคไหนเป็นรัฐบาลโดยปราศจากข้อเท็จจริง เพราะการเลือกตั้งเป็นต้นทางของการสร้างประชาธิปไตย สถาบันปฏิรูปประเทศไทย มหาวิทยาลัยรังสิต จึงได้มีการร่วมกับหลายหน่วยงานเพื่อจัดงานในครั้งนี้ขึ้นมา 

“การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดทุกเรื่อง การเลือกตั้งอาจจะได้รัฐบาล แต่ปัญหาจะหยุดได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของประชาชน เพราะนักการเมืองมาแล้วก็ไปตามวาระของรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาไม่ได้มาแล้วก็ไป จะมีก็แต่ประชาชนที่ต้องแบกรับปัญหาต่อไป นี่จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องสรรสร้างทางออกที่แท้จริงและยั่งยืน ภายใต้เครือข่ายภาคประชาชนในฐานะส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย จึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดเวทีนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นเป็นเวทีประชาธิปไตยของประชาชนโดยแท้จริง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top