Wednesday, 21 May 2025
เพื่อไทย

‘จตุพร’ ซัด ‘เพื่อไทย’ 310 เสียง เพ้อเจ้อทางการเมือง เย้ย!! ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ต้องใช้ 376 เสียง

‘จตุพร’ ถาม 310 เสียงตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไร เหตุฝ่าด่านแรกเลือกนายกฯ ไม่ได้ ต้องใช้เสียงถึง 376 บอกเพื่อไทยประเมินตามความจริง เกลี่ยเสียงทุกภาคอย่างเก่งแค่ 270 เสียงแย่งชิงจากพรรคพันธมิตร แนะประกาศใหม่ขอ 376 เสียงให้สอดคล้องความอยากจะได้สบายใจ
.
(15 มี.ค.66) ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘อดทนและรอคอย’ โดยประเมินเป้าหมายย้อนแย้งพรรคเพื่อไทย กับตรรกะ 310 เสียงเพื่ออยากตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่จับมือใคร จึงเป็นความเพ้อเจ้อทางการเมือง และเป็นไปไม่ได้ตามกติกา รธน. 2560 ต้องฝ่าด่านเลือกนายกฯ ที่ต้องใช้ถึง 376 เสียง พร้อมแนะให้ประกาศตัวเลขใหม่ เพื่อจะได้ผ่านด่านนายกฯให้ได้ก่อน
.
นายจตุพร กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2544 ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาถึงขณะนี้รวมเวลากว่า 22 ปี ในช่วงเวลานั้นพรรคถูกยุบ แล้วตั้งพรรคใหม่เป็นพลังประชาชนแล้วมาเป็นเพื่อไทยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองในสายสกุลทักษิณ ได้เป็นรัฐบาลรวมแค่ 8 ปี ไม่ได้เป็นรัฐบาลถึง 14 ปี
.
กรณีสมศักดิ์ เทพสุทิน กับสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะย้ายมาเพื่อไทย นายจตุพร กล่าวว่า ทั้งที่เพื่อไทยจะถูกยุบพรรคสูงยิ่ง แต่แกนนำกลุ่มสามมิตรสองคนนี้ยังแยกมาเพื่อไทย ถ้าพิจารณาสมาชิกทั้งกลุ่มนี้แล้ว เหมือนเป็นการกระจายความเสี่ยง เพราะแยกกันไปสังกัดพรรคอื่นด้วย โดยอนุชา นาคาศัย กับสุชาติ ชมกลิ่น และธนกร บุญคงชนะ แยกไปรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แล้วอีกส่วนหนึ่งมาที่เพื่อไทย
.
อีกทั้งเห็นว่า อุดมการณ์หลักของสมศักดิ์คือ ไม่เคยเป็นฝ่ายค้านต้องการเป็นรัฐบาล ดังนั้น การมาเพื่อไทยจึงแสดงถึงแนวโน้มจะได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าเกิดการยุบพรรคหลังการเลือกตั้งและรอตั้งรัฐบาล ย่อมเกิดการแตกกระจายไปอยู่พรรคอื่นเหมือนที่เกิดกับการยุบพลังประชาชนมาแล้ว
.
"ผมเชื่อว่า เมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีบทเรียน เขาจะรอให้เลือกตั้งเสร็จ กระทั่งเพื่อไทยไปจับมือกับพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้เสร็จสิ้น จากนั้นการยุบพรรคจะบังเกิดขึ้น พร้อมกับความเสื่อมของเพื่อไทยที่ไปจับมือกับฝ่ายเผด็จการ กระทั่งการแตกตัวจะเกิดขึ้นตามมา โดยไม่ไปสังกัดพรรคใหม่ที่สำรองไว้"
.
นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้างแนวทางการเมืองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย รังเกียจและประณามนักการเมืองยกมือหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นฝ่ายเผด็จการ เป็นพวกทรยศประชาชน แต่ขณะนี้นักการเมืองฝ่ายเผด็จการได้เข้ามาสังกัดพรรคจำนวนมาก แล้วถูกฟอกกลายเป็นนักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์ต่อประชาชนไปโดยฉับพลัน
.
อย่างไรก็ตาม หากประเมินว่า เมื่อกระแสแลนด์สไลด์ถูกสร้างขึ้นอย่างทวนกระแสความจริงแล้ว ถ้าพิจารณาพื้นที่ภาคใต้มี ส.ส.เขต 60 คน แล้วเพื่อไทยมีความยากลำบากมากจะได้ ส.ส.สักเขต ดังนั้น เมื่อเสียพื้นที่ไป 60 เสียง ย่อมเหลือ ส.ส.เขตอยู่ 340 เสียงที่ต้องแย่งชิงกับพรรคการเมืองอื่นและฝ่ายประชาธิปไตยเดียวกัน
.
พร้อมทั้งระบุว่า ในเสียง ส.ส.เขตที่เหลือ 340 เสียง ถ้าเพื่อไทยต้องการ 310 เสียงแล้ว โอกาสเป็นไปได้อย่างน้อยมีเพียง 270 เขตเท่านั้น แล้วส่วนที่เหลือให้พรรคภูมิใจไทย ก้าวไกล รทสช.ไทยสร้างไทย ประชาธิปัตย์ และพรรคอื่นๆ ชิงกันใน 70 เขต ดังนั้น ในเชิงตัวเลขทางการเมือง ย่อมสะท้อนถึงตรรกะเพื่อไทย 310 เสียงเป็นไปไม่ได้เลย
.
นายจตุพร ย้ำว่า เมื่อเพื่อไทยสร้างกระแสแลนด์สไลด์ขึ้นมาจากที่ไม่มีความจริงหรือปรากฎการณ์บ่งบอกความเป็นไปได้ จึงเป็นอาการที่น่าเป็นห่วง เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองสายนี้เคยได้เสียงเกินครึ่ง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกในชื่อพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548 ที่ควบรวมพรรคอื่นมาสังกัดด้วยจึงได้เสียงถึง 377 เสียง และอีกครั้งในชื่อพรรคเพื่อไทยเมื่อเลือกตั้งปี 2554 ไม่มีพรรคฝ่ายเดียวกันมาแข่งขันด้วย จึงได้เสียง 265 เสียงเกินครึ่งจากทั้งหมด 500 เสียง แล้วเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
.
สิ่งสำคัญ เห็นว่า การเมืองในวันนี้ แม้เพื่อไทยทำได้ 310 เสียงจริงตามเป้าหมายความอยาก จึงแสดงว่าพรรคฝ่ายเดียวกันอย่างก้าวไกล และ ไทยสร้างไทย อาจได้เสียงไม่เกิน 2-3 เสียงเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้กับสถานการณ์ที่เป็นจริงทางการเมืองขณะนี้
.
"เมื่อประกาศแลนด์สไลด์เพื่อสร้างอุปทานหมู่ แต่ไม่อธิบายที่มาของเสียงจากพื้นที่ไหน ยิ่งภาคเหนือตอนบนในพื้นที่จังหวัดพะเยา คงเบียดแย่งชิงได้ยาก แล้วมาเหนือตอนล่างก็ลำบากอยู่ดี ส่วนภาคกลางเป็นพื้นที่บอดของเพื่อไทย และกรุงเทพก็ยังชิงกับพรรคก้าวไกล และพรรคอื่น ๆ อีก ขณะที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่หมายมั่นนั้น ยังมีภูมิใจไทย ไทยสร้างไทย ขวางอยู่ ดังนั้น ถ้ารวมเสียงทุกภูมิภาคแล้ว อาจได้เสียงเป็นที่หนึ่งค่อนข้างแน่ แต่ไม่มีวันจะได้ 310 เสียงเด็ดขาด"
.
นายจตุพร ประเมินว่า ถ้าเชื่อเพื่อไทยจะได้ 310 เสียงจริง ต้องได้คะแนนเลือกเกือบ 18 ล้านเสียง แต่เมื่อเลือกตั้งปี 2554 ได้ 8 ล้านจึงต้องหาเพิ่มอีก 10 ล้านเสียง ดังนั้นการเดินทางหาเสียงไปสู่ตัวเลข 310 เสียงจึงหาความจริงไม่เจอ แต่หาความสบายใจได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อหวังปลุกอุปทานหมู่ให้เป็นกระแสฟีเวอร์ไปสู่เสียงแลนด์สไลด์นั้น จึงขนคนมาฟังปราศรัยให้แน่นหนาจำนวนมากเข้าไว้ จึงวัดอะไรไม่ได้ที่จะได้เสียง 310 เสียง
.
อีกทั้ง เน้นว่า ภายใต้กฎกติกาตาม รธน. 2560 การได้ 310 เสียงก็ยังไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เพราะ รธน.ต้องให้ฝ่าด่านเลือกนายกฯ ก่อน ดังนั้น เสียงเกินครึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภาคือ 376 เสียง (จาก ส.ว. บวก ส.ส. รวม 750 เสียง) เพื่อไทยยังขาดอีก 66 เสียง จะเอามาจากไหน หวังเอาเสียงจากฝ่ายประชาธิปไตย ก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะเพื่อไทยชิงไปครอบครองไว้หมดแล้ว ดังนั้น จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไร
.
"จะไปหวังให้เสียง ส.ว.มาหนุนช่วย โหวตให้ได้นายกฯ แล้ว ส.ว.จะโหวตให้หรือไม่? ถ้าสุดท้ายโหวตเลือกนายกฯ ไม่ได้ แล้วใครละจะเป็นนายกฯ ให้ จะเป็นลุงรักสงบ ก้าวข้ามขัดแย้ง (พล.อ.ประวิตร) หรือไม่? ดังนั้น หลักทางการเมืองของเพื่อไทยทั้งกวาดเรียบ 310 เสียงและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่จับมือใคร จึงอธิบายให้เป็นจริงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย"
.
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อเพื่อไทยหลงจินตนาการในตัวเลข 310 เสียง แล้วยังเลยเถิดไปถึงความเพ้อฝันการเมืองไม่จับมือใครตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะไม่ร่วมมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่ช่วงหลังกลับเสียงแผ่วเบาอ้ำอึ้ง ว่า ถ้าไม่ได้ 310 เสียง ต้องไปรอผลเลือกตั้งของประชาชนที่ครั้งจึงตัดสินใจ

อีกทั้ง เสนอว่า แม้เพื่อไทยจะอธิบายที่มาของเสียงแลนด์สไลด์และตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ แต่ทำไมคนจึงเชื่อกัน ดังนั้น พรรคคงต้องอธิบายให้ประชาชนมั่นใจในความเชื่อตัวเลข 310 เสียงจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอย่างไร ช่วยชี้แจงตรรกะย้อนแย้งเช่นนี้ด้วย

ยิ่งกว่านั้น นายจตุพร คาดว่า เมื่อสมศักดิ์กับสุริยะ เข้าพรรคเพื่อไทย ย่อมกระทบกับลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อต้องไปเบียดขับลำดับของนักการเมืองประชาธิปไตยใหญ่ให้ถูกร่นขยับลงมาอย่างเห็นๆ กันอยู่แล้ว จากนั้นนักการเมืองใหญ่คงต้องกล้ำกลืนพูดถึงประชาธิปไตย แลนด์สไลด์ และเผด็จการกันต่อไป ส่วนประชาชนเมื่อได้ยินคำขานเลข 310 เสียง ยิ่งสะใจ แล้วลืมตรึกตรองถึงความจริงและความเป็นไปได้

รวมทั้ง เห็นว่า ในตรรกะทางการเมืองแล้ว ยังมีชุดความจริงอยู่อย่างเดียวคือ ความอยากได้ 310 เสียงย่อมไม่แตกต่างจากตัวเลข 251 เสียงที่เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร (ทั้งหมด 500 เสียง) ดังนั้น เพื่อไทยต้องการอะไร ใครเอาความคิดที่แหลมคมเช่นนี้มาหลอกให้เดินหน้าหาเสียงปลุกปั่นอุปทานหมู่จากประชาชน แต่ทำให้เป็นจริงไม่ได้ และหวังดึง ส.ว.มาโหวตให้ยิ่งยาก

นายจตุพร มั่นใจ เสียง ส.ว.นั้น คงไม่แตกแถวการลงมติเลือกนายกฯ โดยส่วนแรกต้องโหวต พล.อ.ประยุทธ์ แล้วต่อมาลงมติเลือก พล.อ.ประวิตร นอกจากจากสองคนนี้ ส.ว.ไม่โหวตให้อยู่แล้ว ดังนั้น การประเมินทางการเมืองใน รธน. 2560 จึงต้องอยู่กันด้วยความจริง เพราะนายกฯ มาจากการโหวตของสองสภาที่มีเสียง 750 เสียง เกินครึ่งคือ 376 เสียง สิ่งนี้เป็นตัวเลขความเป็นจริง ไม่ใช่ 310 เสียงและได้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวตามเพื่อไทยประกาศ เนื่องจากต้องผ่านด่านเลือกนายกฯ ก่อน

"เมื่อ 310 เสียงไม่มีความเป็นไปได้แล้ว ผมเรียกร้องให้ประกาศใหม่เป็น 376 เสียง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และสามารถอธิบายด้วยตรรกะที่เป็นวิทยาศาสตร์ น่าเชื่อถือด้วยหลายศาสตร์ได้ชัดเจน แต่ 310 เสียงจะไม่จับมือกับใคร และตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไร ช่วยอธิบาย โดยจะลากเอาทางรัฐศาสตร์ กฎหมาย การเมืองศาสตร์ คณิตศาสตร์ และไสยศาสตร์มาตอบก็ได้กับการไม่จับมือใคร แล้วยังตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอีก"

พร้อมย้ำว่า ไม่เข้าใจว่า เพื่อไทยพูดเน้นแต่ตัวเลข 310 เสียงกับการตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และไม่จับมือกับใครไปทำไม เพราะความจริงเป็นไปไม่ได้ทั้งด้วยหลักคณิตศาสตร์และ กติกา รธน. ดังนั้นทางการเมืองต้องมีความตรงไปตรงมาและให้ความจริงกับประชาชน

นายจตุพร กล่าวว่า ตลอดเวลา 22 ปีของพรรคสายสกุลทักษิณ มีช่วงสูญเปล่าเวลาไปถึง 14 ปี แล้ววันนี้ ยังไม่รู้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) จะเปิดคดีอะไรมาเล่นงานอีก ยิ่งคดีถือครองที่ดิน สปก. ที่นักการเมืองหลายพรรคพัวพันอยู่ อีกทั้งยังมีคดีอื่นที่ทำเสร็จแล้ว แต่รอเวลาประกาศ ซึ่งจะทำให้กิดวิกฤตจริยธรรมร้ายแรงทางการเมืองอีก นอกจากนี้ การยื่นบัญชีให้ ปปช. เพียงแค่ตรวจสอบก็สามารถเล่นงานในคดีความผิดที่ลงโทษจริยธรรมนักการเมืองไปแล้ว 2 รายเป็นมาตรฐานคดีอยู่แล้ว

‘ชลน่าน’ ไม่กังวล ‘เสี่ยหนู’ กินข้าวกระชับมิตร ‘บิ๊กป้อม’ ย้ำชัด เป้าหมาย พท.คือจัดตั้ง รบ. ลั่น!! ไม่จับมือสองพรรคนี้

(16 มี.ค. 66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พร้อมด้วยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท. และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี รองหัวหน้าพรรค ภท. เข้าพบและร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด จะเป็นการคุยกัน เพื่อจับมือจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึงหรือไม่ว่า ก็ชวนให้คิดได้ เนื่องจากเขาเคยทำงานร่วมกันมา เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน ก็อาจจะมีการร่วมมือกันเพื่อร่วมรัฐบาลเดียวกันหลังเลือกตั้ง เพราะเขาเองก็คงประเมินสถานการณ์มาอยู่แล้ว ว่าเขาน่าจะได้รับคะแนนเสียงมาเท่าไหร่ หากจะมีการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันเขาจะต้องทำอย่างไร

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่อาจจะมีการคิดจับมือกันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราไม่กังวล ยิ่งเขาประกาศตัวชัดเจนเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีในการที่จะตัดสินใจของพี่น้องประชาชน หากสองพรรคนี้เขาประกาศว่าหลังเลือกตั้งจะมาจับมือกัน ประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น เขาก็จะไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า หากพรรค พท.ได้เสียงไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ และพรรค พปชร.จับมือกับพรรค ภท. พรรค พท.จะจับมือกับสองพรรคนี้ด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรามุ่งมั่นที่จะทำให้ถึงเป้าหมายให้ได้ คือ 310 เสียง การที่เราตั้งเป้าหมายเช่นนั้น เพราะเราไม่ต้องการจับมือกับพรรคที่เป็นแนวร่วมในการยึดอำนาจ พรรคที่สนับสนุนเผด็จการมา เราต้องอาศัยเสียงประชาชนช่วย ฉะนั้น เราจึงต้องทำตรงนั้นให้ถึง

‘ภูมิธรรม’ เชียร์ ปชช. กาเพื่อไทย ทะลุ 310 เสียง ยัน!! เพื่อไทยพร้อมทลาย ‘ระบบประยุทธ์’ ให้สูญสิ้น

(16 มี.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ ‘การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์เพื่อไม่ให้คะแนนสูญเปล่า : หยุดระบอบประยุทธ์’ มีเนื้อหาดังนี้…

การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของพี่น้องประชาชนที่ต้องการหลีกให้พ้นจากความบอบช้ำในการบริหารประเทศของระบอบประยุทธ์

เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการใช้อำนาจของประชาชนเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงหยุดระบอบประยุทธ์ซึ่งกัดเซาะ บั่นทำลาย ความหวังของประชาชน ด้วยการเลือกพรรคการเมือง อย่างพรรคเพื่อไทยให้เกิน 310 เสียง

ทำไมต้องเลือกพรรคเพื่อไทย เพื่อหยุดระบอบประยุทธ์

เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับ 1 ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งนับตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย เป็นเวลาเกือบ 20 ปี

เพราะพรรคเพื่อไทย และ ทีมของเพื่อไทย มีประสบการณ์เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ แก้ไขปัญหา ให้พี่น้องประชาชน ได้ฝากผลงานเชิงประจักษ์มาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย อย่างเช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเปลี่ยนโครงสร้างของระบบสาธารณสุขครั้งใหญ่ของประเทศ นโยบายกองทุนหมู่บ้านที่ใช้หลักการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการกระจายเงินและการตัดสินใจโดยตรงไปที่ประชาชนในทุกหมู่บ้าน เป็นต้น

เพราะพรรคเพื่อไทยมีความพร้อมของบุคลากรทางการเมืองทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีซึ่งมีความพร้อมที่จะเข้ามาบริหารจัดการปัญหาทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน และเชื่อมประสานได้กับทุกภาคส่วน /มีผู้สมัคร ส.ส แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีทั้งผู้มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ และคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ / โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีตัวแทนผู้สมัคร ส.ส เขต ที่ถือเป็นด่านหน้าที่สำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมประสานระหว่างพรรคกับพี่น้องประชาชนในแต่ละเขตพื้นที่ ซึ่งพรรคให้ความสำคัญและพิถีพิถันในการคัดเลือกคนที่ใช่ที่สุดในการเป็นผู้แทนเข้าไปทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน

‘เพื่อไทย’ โวย ‘กกต.’ แบ่งเขตไม่เป็นธรรม-ส่อผิด กม. หวั่น เลือกตั้งเป็นโมฆะ ถาม กกต.รับผิดชอบไหวหรือ?

(16 มี.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.เขตลาดกระบัง พร้อมด้วย นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม.เขตหลักสี่ พรรค พท.ร่วมแถลงข่าวคัดค้านแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง ของ กกต.กทม.

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า ได้เห็นประกาศจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึง กกต. กทม.ว่าจะมีการเลือกใช้การแบ่งเขตการเลือกตั้งของ กกต.แบบที่ 1 ซึ่งเป็นแบบที่พรรค พท. กังวลใจว่า ส่อขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง ที่ผ่านมามีความหวังว่า กกต.จะได้ยินเสียงการทักท้วงของพรรค พท. จึงไม่ลดละความพยายามที่จะแถลงข่าวให้เสียงดังขึ้น แต่สุดท้ายมีประกาศออกมาเลือกแบบที่ 1 จึงจำเป็นต้องส่งเสียงอีกครั้ง เพราะถือเป็นการแบ่งเขตการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม เรียกว่า Gerrymandering ที่ผู้มีอำนาจจงใจเปลี่ยนแปลงเส้นเขตเลือกตั้ง เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ผู้ที่รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด คือภาคประชาชน คืนวานนี้ ประชาชนร้องเรียนมาว่า ได้รับผลกระทบจากการแบ่งเขต เพราะพวกเขาได้หมายมั่นปั้นมือว่าจะเลือก ส.ส.คนนี้ให้ไปเป็นผู้แทน ให้ได้มาทำงานต่อ เพราะเคยร่วมงานใกล้ชิดกันมาก่อน

ทั้งนี้ หาก กกต.ยืนยันที่จะใช้การแบ่งเขตแบบที่ 1 ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ท้ายที่สุดอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะทั้งประเทศ กกต.ต้องกำหนดเขตเลือกตั้งและจำนวน ส.ส.แต่ละเขตเลือกตั้งกันใหม่ แล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ รวมไปถึงจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคง ความมีเสถียรภาพของประเทศชาติ ความขัดแย้งทางการเมือง และงบประมาณแผ่นดิน

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า หากการเลือกตั้งเป็นโมฆะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะรักษาการนายกฯ ต่อไปจนกว่าการเลือกตั้งจะเสร็จ ซึ่งนานเท่าใดก็ไม่มีใครรู้ หมายความว่าผู้มีอำนาจนำประเทศชาติ และประชาชนเป็นตัวประกันให้กับความเสียหายนี้ใช่หรือไม่ หาก กกต.ไม่ดูดีดูดาย พิจารณาคำท้วงติงของพรรค พท. หากเกิดอันตรายเสียหายขึ้น กกต.จะรับผิดชอบไหวหรือ ถ้าหากการเลือกตั้งเป็นโมฆะ

ทั้งนี้ พรรค พท.พร้อมสู้ทุกกติกาที่มีความยุติธรรมหรือที่ถูกกำหนดขึ้น พรรค พท.จะเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้ ให้พี่น้องประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียง นำประชาธิปไตยกลับมา และทำให้ประชาชนเห็นว่าพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนได้ใช้พลังประชาชน ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้น

‘เศรษฐา’ โชว์นโยบาย ‘กระตุ้นศก. ครั้งใหญ่’ หนุนเงินผ่าน ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ใช้จ่ายร้านค้าใกล้บ้าน

(17 มี.ค.66) ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเวทีงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวนโยบายใหม่ จากพรรคเพื่อไทย พร้อมผู้ประสงค์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 400 คน ณ ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

นายเศรษฐา ได้กล่าวถึงที่ผ่านตนได้เล็งเห็นถึงปัญหาความยากลำบากของประชาชน ได้เห็นปัญหาเศรษฐกิจที่รายได้น้อยลงสวนทางรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ที่สร้างช่องว่างความเหลื่อมในสังคมให้กว้างขึ้น และเห็นถึงปัญหาทางสิทธิที่ประชาชนถูกรัฐกัดกัน โดยเฉพาะสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นประชาธิปไตยของประชาชน

ตนจึงขอฝากให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยทุกคนที่ประสงค์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 400 คน ได้เป็นตัวแทนประชาชน นำนโยบายของพรรคเพื่อไทยแก้ไขปัญหาความเป็นเป็นให้พี่น้องประชาชน

นอกจากนี้ การประกาศนโยบายใหม่ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยการสร้าง ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ (Digital Wallet) ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้จับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันใกล้บ้าน พร้อมเงินติดกระเป๋าที่รัฐจะแจกให้ทุกคน แต่เงินดิจิทัลนี้จะใช้จ่ายได้ เฉพาะกับร้านค้าชุมชน และต้องอยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร เท่านั้น เงินดิจิทัลนี้ มีอายุการใช้งาน 6 เดือน และร้านค้าสามารถนำเงินดิจิทัลมาแลกเป็นเงินบาทได้กับธนาคารรัฐในภายหลัง นโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับชุมชน เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งตั้งแต่ระดับชุมชนขึ้นไปจนระดับประเทศ

นอกจากนี้ นายเศรษฐายังพูดเสริมถึงแนวทางการต่างประเทศของพรรคเพื่อไทยที่จะเปิดประตูการค้าและสร้างโอกาส ให้คนไทยได้มีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของรัฐบาลในการเป็นผู้เจรจาและเชื่อมสายสัมพันธ์กับนานาประเทศ เรียกความมั่นใจและความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีโลกให้กลับคืนมา

ประชาชนจะได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากมายท้ังจาก การค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยวที่จะเติบโตขึ้นหลายเท่า และดึงดูดเงินจากต่างประเทศให้เข้ามาฝากในเมืองไทย เพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย แล้วพาสปอร์ตไทยจะต้องมีอิทธิพลพาคนไทยเดินทางไปได้ทั่วโลก

เข้าทางปืน ‘พลังประชารัฐ-ก้าวไกล’ ‘ปชป.-รสทช.’ ร่อแร่ ‘ภท.’ สายไหมไม่รอด

ปฏิกิริยาต่อประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ออกมาเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 66 บางพรรคร้องเฮ บางพรรคร้องโฮ…

เฉพาะสนาม กทม. ที่มีประชากร 5,394,910 คน เฉลี่ยราษฎรต่อ ส.ส.1 คนเท่ากับ 163,482.212 นั้น...กกต. เคาะแบบที่1 ออกมาใช้ ‘อรรถวิชช์  สุวรรณภักดี’ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ไปยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศแบ่งเขตดังกล่าวทันที…

เหตุผลหลักของอรรถวิชช์ คือ ผิดหลักเกณฑ์ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตา 27(1) ที่ระบุหลักเกณฑ์ให้ ‘รวมอำเภอต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง’ หรือต้องมีอำเภอ (เขต) หลัก แต่ปรากฏว่าจาก 33 เขตเลือกตั้งเป็นการรวมตำบล (แขวง) โดยไม่มีเขตหลักถึง 13 เขตเลือกตั้ง...

ไม่เพียงแค่พรรคชาติพัฒนากล้า...แม้แต่พรรคเพื่อไทย โดยสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม. และ ดร.อิ่ม ธีรรัตน์ สำเร็จวณิชย์ โฆษกพรรคก็ออกมาแถลงในแนวเดียวกัน...แต่ราย ดร.อิ่ม เธอคิดฟุ้งไปหน่อยว่าอาจเป็นแผนทำให้การเลือกตั้งโมฆะ…

‘สมศักดิ์’ เปิดใจ เหตุทิ้ง ‘พปชร.’ ย้ายซบ ‘เพื่อไทย’ เผย มีโอกาสแลนด์สไลด์ ชี้ เป็น รบ.หลายพรรคทำงานยาก

(17 มี.ค. 66) ที่ร้านกินเส้น สนามบินน้ำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงถึงเส้นทางการเมือง ที่จะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ว่า แนวทางตัดสินใจ 3 ประเด็น คือ ฟ้า ดิน อากาศ โดยในส่วนของอากาศ คือข้อมูลพรรคการเมืองต่าง ๆ และต้องให้ความสำคัญกับทีมงาน แนวนโยบายนำไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเสถียรภาพรัฐบาลมีความสำคัญ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พรรค พปชร.ได้ ส.ส.118 คน แต่ยังไม่สามารถทำเศรษฐกิจให้ประชาชนพอใจได้ เพราะเป็นรัฐบาลผสม มีการต่อรองกระทรวงและโควตาต่าง ๆ โดยพรรค พปชร.ไม่ได้ดูกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด ทำให้ต้องคิดว่าการจะทำให้สิ่งต่าง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลช่วยประชาชนได้ คือดูพรรคที่จะแลนด์สไลด์ จะมีส่วนทำให้แนวนโยบายรัฐบาลใหม่ประสบผลสำเร็จ เป็นที่พึ่งของประชาชนใจในการแก้ปัญหาความยากจน จึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกเพื่อไทย โดยตนได้ทำหนังสือลาออกจากรัฐมนตรียุติธรรม และส่งเอกสารลงรับไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะไม่ขอรักษาการรัฐมนตรี เพื่อความสบายใจต่อฝ่ายต่าง ๆ และทำหนังสือลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองลงรับเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจน และได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยเอกสารจะเรียบร้อยในวันที่ 20 มี.ค.นี้

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ติดใจอะไร และขอให้โชคดี โดยนายกฯ พูดกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ฝากมาถึงตนด้วย และต้องขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในการทำงานที่ผ่านมา ตนอยู่กับพลังประชารัฐก็ทำงานเต็มที่เมื่อไปอยู่กับเพื่อไทยก็จะทำเต็มที่ แม้จะยังไม่ได้เข้าไปที่พรรคเพื่อไทย แต่เมื่อมีข่าวออกมา และเห็นแนวทางทำงานของตน ทำให้คนในพรรคเพื่อไทย โทรมาแสดงความยินดีจำนวนมาก ส่วนตนจะไปดูพื้นที่ไหนในพรรคเพื่อไทย สุดแล้วแต่ผู้บริหารพรรคจะเห็นเหมาะสม ตนไม่เลือก ไปได้ทุกที่ และไม่ได้คาดหวังจะไปนั่งกระทรวงใด เพราะเวลาตั้งรัฐบาลแล้วหวังไว้ที่หนึ่ง แต่ไปได้กระทรวงอื่น จึงไม่ได้คิดอะไร ไม่คาดหวัง แล้วแต่ประชาชนจะสนับสนุน ทั้งนี้ หากไปอยู่เพื่อไทยแล้วได้อยู่ในลำดับไม่เกิน 50 ก็น่าจะได้เป็น ส.ส.

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านั้น ได้กราบลานายวิษณุ เครืองาม และ พล.อ.ประวิตร ทั้งคู่ได้ให้ศีลให้พร ยืนยันว่าไม่มีความแตกแยก แต่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ถือเป็นอุปสรรค และหากทีมงานที่ไม่สามัคคีจะเป็นอุปสรรค เพราะคนหนึ่งไปซ้าย คนหนึ่งไปขวา ส่วนพรรคเพื่อไทย นั้นทำงานเป็นระบบ และเป็นพรรคพวกกันมาก่อน จึงเข้าใจและพูดคุยกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าการทำงานในพรรค พปชร.ทำให้ทำงานลำบากหรือไม่ กล่าวว่า ไม่ลำบาก พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรค เป็นปกติ แต่บางคนเกิดความรู้สึกติดขัดบ้างเล็กน้อย เช่น ตนเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค แต่เมื่อไม่เป็นหนึ่งเดียวกันก็ทำงานยาก

เมื่อถามว่ามั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ดูจากโพลเมื่อ 2 เดือนที่แล้วได้ 220 เสียง แต่ถ้าเราไปช่วยอีกทาง คิดว่าจะขยับได้ เมื่อถามย้ำว่า เป้าหมายที่ไปพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าจะเป็นรัฐบาลแน่นอน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากเข้าไปช่วยหาเสียง มีนโยบายใหม่ จึงมั่นใจว่าจะได้เสียงมากขึ้นตามเป้าที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยวางไว้ ส่วนตนจะช่วยให้ดีที่สุด เพราะการเป็นรัฐบาลเป็นความใฝ่ฝันของทุกพรรค แต่จะเป็นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่มีมากน้อยของแต่ละพรรคจะดำเนินการ หากประชาชนช่วยเลือกเข้ามามาก จะได้แลนด์สไลด์ ส่วนจะได้ 310 เสียงหรือไม่ ตนไม่กล้าคิด เพราะไม่ได้ถือโพล หรือลงไปดูตรงนี้

เมื่อถามว่า หลังเลือกตั้งพรรค พปชร.จะจับมือกับเพื่อไทย หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้บริหาร และผู้ใหญ่ของพรรคพูดคุยกัน โดยการพบกับ พล.อ.ประวิตร ท่านไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ฟัง แสดงว่าไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จึงเชื่อว่ายังไม่ได้พูดคุยกัน

‘บิ๊กแจ๊ส’ มอบดอกไม้ต้อนรับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เยือนเมืองปทุมฯ ด้าน ‘เฉลิม’ พร้อมหนุน ลั่น!! บิ๊กแจ๊ส ยังไงก็อยู่เพื่อไทย

(18 มี.ค. 66) เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 66 ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พรรคเพื่อไทย นำโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ร่วมจัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ รวมถึงประกาศนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.), ผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส., สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคเข้าร่วมงาน จนแน่นสถานที่

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดเวที ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.คำรณ ธูปกระจ่าง (บิ๊กแจ๊ส) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย โดยคุณอุ๊งอิ๊งได้กล่าวขอบคุณบิ๊กแจ๊ส ส่วนนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวกับบิ๊กแจ๊สว่าเรายังเหมือนเดิม ทางด้าน ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ได้พูดว่า บิ๊กแจ๊สจะไปไหนได้ ยังไงอยู่เพื่อไทย มีการโบกธงเพื่อไทย ป้ายสนับสนุนยกเชียร์ พร้อมตะโกนโห่ร้อง ตั้งแต่หน้างานจนถึงบริเวณจัดงาน อากาศครึกครื้นตลอดเวลา

สำหรับพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย

เขต 1. นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ครองแชมป์มายาวนาน เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขุมกำลังหลักอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้วและเมืองปทุม

เขต 2.นายศุภชัย นพขำ ลูกชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง เป็น ส.ส.แชมป์เก่า และลงพื้นที่ตลอด

เขต 3. นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ นักการเมืองใหม่ที่เปิดตัวเดินลงพื้นที่มาหลายปีต่อเนื่อง อาสาอยากจะเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

เขต 4. นายสุทิน นพขำ อดีต ส.ส.ปทุมธานี น้องชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง ครั้งนี้กลับมาลงสนามสู้ศึกอีกครั้ง

‘อิ๊งค์’ โยน ‘เศรษฐา’ ตอบ หลังถูกสื่อนอกถามแทงใจดำ “พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคของตระกูลชินวัตรหรือไม่?”

เมื่อวานนี้ (17 มี.ค. 66) ที่ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคเพื่อไทย ได้จัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ พร้อมเปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ทั้ง 400 เขต

ทว่าช่วงหนึ่งของงานที่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามนั้น ได้มีผู้สื่อข่าวต่างชาติถามขึ้นมาว่า “การที่ น.ส.แพทองธาร มาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นการตอกย้ำภาพความเป็นพรรคของครอบครัวชินวัตร” ทำให้ น.ส.แพทองธาร ส่งไมโครโฟนให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเป็นผู้ตอบคำถามแทน ซึ่ง นายเศรษฐา ก็ได้ผายมือไปยังที่นั่งของคณะผู้บริหารพรรค และผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนกล่าวยืนยันว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว บุคคลากรของพรรคเพื่อไทยล้วนแล้วเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยม มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น พวกเขาที่มาไม่ใช่ ‘ชินวัตร’ ให้เครดิตพวกเราหน่อยน่า ผมขอร้องคุณ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปยัง น.ส.แพทองธาร ว่าอะไรที่ทำให้เธอเหมาะสมต่อการเป็นผู้นำ เธอตอบว่า “พรรคของเราแข็งแกร่งมากด้วยนโยบายต่าง ๆ พรรคของเรา ทีมของพวกเรา มีความสามารถ เคยทำงานมาแล้ว และจะมาทำมันอีกครั้ง โดยครั้งนี้ จะทำให้คนไทยร่ำรวยยิ่งขึ้น สะดวกสบายมากขึ้นด้วยนโยบายของเรา แม้นายกฯ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ดิฉัน แต่ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล นั่นคือคำตอบของประเทศ”

นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงรายละเอียดในนโยบายเติมรายได้ 20,000 บาทต่อเดือนต่อครอบครัวว่า นโยบายดังกล่าวคิดจากครัวเรือน ไม่ใช่คิดต่อคน ถ้าครอบครัวใดรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน เราจะเติมเงินให้เพื่อให้เขามีศักยภาพในการดำเนินชีวิต และเสียภาษีกลับมายังรัฐบาล ย้ำว่าเราจะไม่ใช้นโยบายแจกเงินไปทั่วและไม่ได้อะไรกลับมาเลย โดยเราไม่สามารถใส่เงินไปแค่จุดเดียว และแก้ปัญหาไปวันต่อวัน อันนี้คือนโยบายกระตุ้นฐานราก พร้อมกระตุ้นทั้งระบบอีกด้วย

หลังจากนั้น นายเศรษฐา ก็ได้กล่าวเสริมถึงนโยบายใหม่ที่จะการตอกย้ำเป้าหมายชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่านโยบายต่าง ๆ ที่เปิดตัวจะเป็นนโยบายที่ลงไปถึงประชาชนทุกคน ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์สุดท้ายที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน

‘ชลน่าน’ แง้มข่าววงใน ‘ครม.’ รอเทกระจาดอังคารนี้ คาดเตรียมวันประกาศยุบสภาแล้ว รอแค่ประกาศ

(18 มี.ค.66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการยุบสภาว่า จริง ๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เตรียมที่จะประกาศยุบสภาแล้ว เท่าที่ตนทราบมา ขณะนี้พระราชกฤษฎีกามีแล้ว เพียงแต่รอลงนามรับสนอง และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น เวลาที่เหลืออยู่ คือวันที่ 20-22 มี.ค. แต่ก็มีหลายกระแสข่าวบอกว่าเป็นวันที่ 20 มี.ค.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top