Tuesday, 20 May 2025
เพื่อไทย

‘เพื่อไทย’ ขยี้!! รบ.ตู่ ‘ยิ่งอยู่ คะแนนยิ่งหาย’ ชี้!! ปชช.เตรียมบอกลา ส่งทีมลุงกลับบ้าน

วันนี้ (2 ธ.ค. 65) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงเหตุการณ์สภาล่ม คะแนนนิยมของรัฐบาลในช่วงใกล้ครบวาระหดหายว่า ประชาชนได้สะท้อนผ่านโพล คะแนนนิยมของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทรุดต่ำลงตลอด สวนทางกับความมั่นใจของพล.อ.ประยุทธ์ ที่เชื่อมั่นว่าต้องเดินไปตามลายแทงที่ทีมเสธ. เขียนให้ พยายามยื้ออำนาจให้นานที่สุด ลากอายุสภาไปให้ได้นานที่สุด แล้วก็รอสถานการณ์เป็นใจแล้วค่อยตัดสินใจยุบสภา อาจยุบสภาก่อนครบวาระเพียง 1 วัน แต่ความสำเร็จทางการเมือง ไม่ได้ยกมาจัดวางกันง่ายขนาดนั้น

เหตุการณ์สภาล่มซ้ำซาก ส.ส.รัฐบาลไม่มีกะจิตกะใจประชุม เพราะต้องวุ่นวายดีดลูกคิดจะย้ายไปอยู่พรรคไหน เผชิญกับแรงเสียดทานการตกปลาในบ่อเพื่อนโดยเฉพาะในพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคใหม่พรรคเก่าของทีมสืบทอดอำนาจ 2 ลุง การปรับครม.ปรับแล้วแป้ก ไม่ปัง แถมตอกย้ำธาตุแท้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ คนละครึ่งกันแทบทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรี

‘เพื่อไทย’ เผยโฉม 57 ว่าที่ผู้สมัครส.ส. มั่นใจครบ 400 เขตภายในสิ้นปีนี้แน่นอน

(2 ธ.ค. 65) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค นายวิสุทธิ์ ไชณรุณ ประธาน ส.ส.พรรค และ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์​ โฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวผู้ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างรวม 57 เขต

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วันนี้เราเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากพื้นที่ภาคกลาง 32 คน และภาคเหนือตอนล่าง 25 คน ซึ่งไม่ครบทุกเขต ถือเป็นการแสดงความมุ่งมั่นเพื่อไปสู่เป้าหมายเพื่อไทยแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ด้วยสามกลไกลหลัก คือตัวผู้สมัครที่สามารถนำนโยบายตอบสนองความต้องการประชาชนได้ รวมทั้งตัวนโยบายซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะทยอยเปิดตัวผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรคอย่างต่อเนื่องจนครบเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าจะเปิดให้ครบ 400 เขตภายในเดือนธันวาคม 2565

สำหรับรายชื่อผู้ประสงค์จะลงสมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง จำนวน 57 คน ประกอบด้วย 

ภาคเหนือตอนล่าง 25 คน ได้แก่ 

นครสวรรค์ 
1.นายณรงค์ พนมวัน 
2.นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย 
3.นายสัญชัย วงษ์สุนทร 
4.พ.ต.ท.นุกูล แสงศิริ 
5.นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ 
6.นายวรภัทร ตั้งภากรณ์ 
7.น.ส.ชุติมา เสรีรัฐ 

เพชรบูรณ์ 
1.นายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี 
2.นายชัยณรงค์ สืบสุรีย์กุล 
3.นายจำเนียร โฉมงาม 
4.น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา 
5.นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ 
6.น.ส.รณิตา นาคะบุตร 
7.นายเกรียงไกร ปานสีทอง 

พิษณุโลก 
1.น.ส.ณัฐทรัชต์ ชามพูนท 
2.นายนพพล เหลืองทองนารา 
3.นายจเด็ศ จันทรา 
4.น.ส.พิมพ์พิชชา ชัยศุภกิจเจริญ 
5.นายธนวิน โรจน์สุนทรกิตติ 

พิจิตร 
1.นายปุณยวัจน์ เหลืองวิจิตร 
2.นางณริยา บุญเสรฐ 
3.นายวิชัย ด่านรุ่งโรจน์ 

ตาก 
1.นายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ 
2.นายดิฐชัย ฉันติกุล 
3.นายสราวุธ หาญเมืองใจ

ภาคกลาง 32 คน ได้แก่ 
สุพรรณบุรี 
1.นายไพโรจน์ ลีรัตนนุรัตน์ 
2.นายสหรัฐ กุลศรี

ปราจีนบุรี 
1.นายสมเกียรติ คำดำ 

สระแก้ว 
1.นายสุทธิรักษ์ วันเพ็ญ 

กาญจนบุรี 
1.นายศักดา วิเชียรศิลป์ 
2.นายพนม โพธิ์แก้ว 

ราชบุรี 
1.นายนพพล ภู่แย้ม 
2.นายไก่ ห้องริ้ว 
3.น.ส.ชะวรลัทธิ์ ชินธรรมมิตร 

ประจวบคีรีขันธ์ 
1.นายวัชรพล ปลั่งศรีสกุล 

สมุทรสาคร 
1.นายนัธทวัฒน์  ม่วงเผือก 
2.นายอุดม กันม่วง 
3.นายบุญมี นิลถนอม 
4.นายประยงค์ นอบน้อม 

‘ตรีชฎา’ จี้!! ‘ประยุทธ์’ รับผิดชอบสังคม หลังมีข่าวเด็กประถม ‘พี้กัญชา’ ริมหาดพัทยา

(2 ธ.ค. 65) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า รู้สึกตกใจที่เห็นข่าวในสื่อออนไลน์ปรากฏภาพเด็กชายวัย 9-10 ขวบ 2 คนนั่งเสพกัญชาจากบ้องไม้ไผ่ บริเวณสะพานปลาท่าเก่า พัทยาใต้ จ.ชลบุรี ทำให้สังคมตั้งคำถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุขว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือกัญชาเสรีทางการแพทย์ที่มีประกาศก่อนหน้านี้หรือ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็ปรากฎภาพวัยรุ่นหญิงมั่วสุมกันคล้ายเสพยาเสพติดบริเวณท่ารถที่จังหวัดแห่งหนึ่งอีก ทั้ง 2 กรณีนี้สะท้อนให้เห็นความฟอนเฟะของสังคมอันเนื่องมาจากนโยบายกัญชาเสรีได้เริ่มต้นขึ้นแล้วใช่หรือไม่ และมีทีท่าจะขยายวงออกไปหากยังไม่มีการป้องกันหรือแก้ไขอย่างทันท่วงที

‘อนุสรณ์’ ซัด!! ‘ประยุทธ์’ พูดอย่างทำอย่างตลอด 8 ปี แนะ!! ควรสำรวจตัวเองให้ดี ก่อนจะพ่นคำพูดสวยหรู

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระบุต้องทำงานการเมืองให้ถูกต้อง สุจริต โปร่งใส เป็นธรรม ไม่ใช่มาทำเล่น ๆ ว่า…หลายครั้งที่การกระทำของพล.อ.ประยุทธ์ มักจะสวนทางกับคำพูด ก่อนขึ้นธรรมาสน์ต้องหัดล้างเท้า ก่อนจะพูดจาให้ดูเท่ ดูดี ต้องสำรวจการกระทำของตัวเองด้วย 

พล.อ.ประยุทธ์ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์จากภาษีอากรของประชาชน มายึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชน เขียนนิรโทษกรรมไม่ให้เอาผิดในข้อหากบฏกับคณะรัฐประหาร ถือเป็นการเข้าสู่การเมืองที่ถูกต้องหรือไม่ 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ ผลคะแนน CPI ดัชนีรับรู้การทุจริตตกต่ำลงเรื่อย ๆ ปี 2564 ประเทศไทยได้ 35 คะแนน อยู่อันดับ 110 โลก ตกจากปี 2548 ในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่อยู่ในอันดับที่ 59 แบบนี้ถือว่าสุจริตโปร่งใสอยู่หรือไม่ 

‘ส.ส.ไชยา’ นำทีมสอบทุกโครงการของเทศบาลนากลาง ตามจดหมายลาตายของวิศวกรหนุ่ม ชี้!! น้องต้องไม่ตายฟรี

จากกรณีที่ นายภาณุเมศวร์ วาสโสหา อายุ 27 ปี วิศวกรโยธาสังกัดกองช่าง เทศบาลตำบลนากลาง อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ฆ่าตัวตาย พร้อมทิ้งจดหมายลาตายเขียนระบายถึงพ่อแม่ว่า ถูกกดดันจากที่ทำงาน ที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน

สำหรับเรื่องนี้ นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร, นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ทรงคุณวุฒิ และอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พร้อมด้วยคณะกมธ.ติดตามงบประมาณฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบเกี่ยวกับโครงการของเทศบาลนากลาง จ.หนองบัวลำภู พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

'วิทยุชุมชน' ร้อง 'เพื่อไทย' แก้ กม.จัดสรรคลื่นความถี่ หลัง 'กสทช.' ออกกฎประมูลคลื่นฯ เอื้อทุนใหญ่ชัดเจน

เพื่อไทยรับข้อเรียกร้องวิทยุชุมชนเกือบ 4,000 สถานี ‘ชลน่าน’ ชี้หากแก้ไข กม.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ เข้าสภาไม่ทันปีนี้ เพื่อไทยพร้อมนำไปสานต่อ ‘สุทิน’ จวกเปิดประมูลวิทยุชุมชน ยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำ

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ​​​นายสุทิน คลังแสง​​​ ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ ประธานคณะทำงานวิทยุชุมชนพรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวรับข้อเรียกร้องจากเครือข่ายวิทยุชุมชน รวม 3,967 สถานี ขอให้พรรคเพื่อไทยแก้กฎหมายยกเลิกการประมูลคลื่นความถี่วิทยุภาคประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งสำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ในการเปลี่ยนผ่านการทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง (วิทยุชุมชน) ไปสู่ระบบการอนุญาตแบบประมูล โดยให้ออกอากาศถึงวันที่ 3 เมษายน 2565 ยกเลิกสถานะจาก ‘ผู้ประกอบการวิทยุชุมชน’ มาเป็น ‘ผู้ทดลองออกอากาศ’ และขอให้ใช้คลื่นความถี่ระบบเอฟ.เอ็ม กำลังส่งต่ำ (50 วัตต์) จากเดิมที่ใช้กำลังส่ง 500 วัตต์ 

นายวรพจน์ ลัภโต ผู้แทนองค์กรภาคีเครือข่ายผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงภาคประชาชน แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนถือว่าเป็นสื่ออีกแขนงหนึ่ง และเป็นประชาชนในท้องถิ่น มีทุนทรัพย์น้อย  หากต้องดำเนินการตามประกาศของ กสทช.คงไม่มีโอกาสชนะการประมูลคลื่นวิทยุชุมชนอยู่แล้ว  ระบบการประมูล ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กไม่มีโอกาสที่จะชนะการประมูล เพราะตามหลักการของการผู้ประมูล ผู้ที่ให้ราคาสูงจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นถือเป็นระบบที่เอื้อนายทุนรายใหญ่ จึงได้ขอให้พรรคเพื่อไทยยกร่างแก้ไขกฎหมาย และร่างแก้ไของค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ผลักดันเข้าสู่การกระบวนการทางสภาแล้ว พร้อมเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย ดำเนินการตามข้อเสนอ 4 ข้อดังนี้

1. ขอให้พรรคเพื่อไทย กำหนดให้การมีอยู่ของวิทยุชุมชนโดยผู้ประกอบการรายเล็กเป็นหนึ่งในนโยบายของพรรค เพื่อให้ให้ได้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชนระดับท้องถิ่นต่อไป

2. ขอให้พรรคเพื่อไทยผลักดันการแก้ไขกฎหมายประมูลคลื่นความถี่วิทยุชุมชนซึ่งไม่มีความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการรายเล็ก

3. ขอให้พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพจัดตั้งสมาคมวิทยุกระจายเสียงเพื่อประชาชน เพื่อให้เกิดความอิสระต่อการประกอบกิจการ และยังคงไว้ซึ่งการสื่อสารมวลชนระดับท้องถิ่น

4. ขอให้พรรคเพื่อไทยแต่งตั้งคณะทำงานศึกษากฎหมายด้านอาหารและยา ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับการออกอากาศของวิทยุชุมชน

ทั้งนี้ กสทช. ยังได้ประกาศมายังผู้ประกอบการวิทยุชุมชนว่าจะมีการเรียกคืนคลื่นวิทยุชุมชนก่อนกำหนดเดิม 6 เดือน จากเดิมจะหมดลงในปี 2567 ด้วย ซึ่งถือเป็นความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก 

‘จิรายุ’ ตัดพ้อ!! ไม่มีค่ากับพรรคเพื่อไทย ปมเปิดตัว ‘โจทก์เก่า’ เป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค. 65) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัครส.ส. ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในนั้นมีนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.กาญจนบุรี ว่าตนทำงานรับใช้และต่อสู้กับพวกเผด็จการ ให้กับพรรคเพื่อไทยมา 10 กว่าปี ไม่คิดว่าพรรคจะจัดได้เต็มคาราเบลกับตนเช่นนี้เหมือนกัน

“ทำให้ต้องคิดมากขึ้นในเรื่องแนวทางการเมืองนับจากนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพนับถือของพรรค เรียกให้ผมไปพูดคุยแล้วก็ยืนยัน แต่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ ตีความได้อย่างเดียวว่า ผมไม่มีคุณค่ากับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป อย่าคิดว่าคนที่เคยด่าผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคเป็นปรปักษ์ของพรรคมาตลอดจะทำอะไรกับพรรคเพื่อไทยก็ได้ อยากจะไปก็ด่าพรรคเอาใจ 3ป. อยากจะกลับมาก็ชเลียร์”

นายจิรายุ กล่าวต่อว่าสำหรับกลไกการขับเคลื่อนด้านติดตามตรวจสอบทุจริต ยังเดินอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีคดีความของนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ที่คณะกรรมาธิการกิจการศาลฯและตนได้ยื่นฟ้องไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เรื่องการทุจริตของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลแล้ว มีอีก 3 สำนวน ในการตรวจสอบทุจริตของกรมและการใช้เงินกองทุนพัฒนาทรัพยากรน้ำบาดาล ปีที่ผ่านมา ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีทั้งเอกชนและข้าราชการระดับสูงและรองอธิบดีจนถึงผู้อำนวยการกองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต เอฟซีจิรายุ ขอให้มั่นใจได้ว่าใครจะเข้ามาบ้านนี้ด้วยวิธีการแบบใดไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ตนเคารพนับถือต้องอธิบายให้ได้ ไม่เช่นนั้นหลักการ ที่ศรัทธามาตลอด 10 กว่าปีจะสิ้นไป

นายจิรายุกล่าวอีกว่า ปีที่แล้วต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้จนบอบช้ำ พรรคก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลืออะไรอยู่แล้ว ถูกนายศักดิ์ดา กลั่นแกล้งไปยื่นฟ้องที่สายบุรี ปัตตานี พื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งเรื่องขี้หมามาก หวังให้ตนเสี่ยงชีวิต เดชะบุญที่มีบ้านใหญ่ปัตตานี นายซูการ์โน มะทา ดูแลความปลอดภัยให้ตลอด ต่อสู้คดีจนชนะและฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายทั้งทางอาญาและทางแพ่งไป 25 ล้านบาท

'นพดล' ชี้!! คนโยง 'เพื่อไทย-ตู้ห่าว' หวังผลทางการเมือง ยัน!! 'อุ๊งอิ๊ง' ไม่เกี่ยวข้อง ขู่!! หากไม่หยุดเจอฟ้องแน่

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลา 11.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงว่า จากกรณีที่มีการตั้งข้อกล่าวหาต่อนายหาวเจ๋อตู้ หรือตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน และพวกว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย และให้ข้อมูลว่ามีกลุ่มทุนต่างชาติกว้านซื้อบ้านในบางโครงการ และพยายามโยงเรื่องนี้มาบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อไทย และแกนนำพรรคฯ ให้เสียหายนั้น พรรคฯ ขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนสอบสวนคดีต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่าเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่มีอยู่ตามกฎหมายได้อยู่แล้ว เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับพรรค พรรคไม่ขัดขวางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอย้ำว่าเพื่อไทยไม่มีความเกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าว และนายตู้ห่าวก็ไม่เคยบริจาคเงินให้พรรคเพื่อไทย ข้อกล่าวหาที่มีต่อผู้ต้องหาก็เกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกิจในช่วงเวลาหลายปี

“ที่ผ่านมาที่เพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลซึ่งเป็นเวลาเกือบ 8 ปีแล้ว ดังนั้นหากจะมีการกระทำที่ผิดกฎหมายในช่วงเวลานี้ในประเทศไทย ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะบังคับใช้กฎหมาย และรัฐบาลสามารถไปตรวจสอบว่ามีการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายทำนองเดียวกันนี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าเบี่ยงเบนประเด็น” นายนพดล กล่าว

นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พยายามโยงว่าชาวต่างชาติกว้านซื้อบ้านในโครงการของบริษัทเอสซี แอสเสท และพาดพิง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ผู้ถือหุ้นในบริษัทนั้น ตนเห็นว่าการพาดพิงและกระจายข่าวต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างชัดเจน ขอเรียนว่าน.ส.แพทองธาร ไม่ได้รู้จักกับนายตู้ห่าว และเป็นเพียงผู้ถือหุ้น ไม่ได้เป็นกรรมการบริษัท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายบ้านให้บุคคลใด ๆ 

นอกจากนั้น บริษัทเอสซี แอสเสท ได้แถลงไปแล้วว่าบริษัทประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาลโดยยึดหลักไม่กระทำผิดกฎหมาย บ้านทุกหลังขายให้คนไทยและนิติบุคคลไทยเท่านั้น และในการชำระค่าบ้าน ผู้ซื้อต้องชำระเงินผ่านธนาคาร ตนขอตั้งเป็นข้อสังเกตว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดของบุคคลกลุ่มนี้ มีบ้าน รถยนต์ และทรัพย์สินที่ซื้อจากหลายโครงการ หลายบริษัท กระจายไป ไม่ใช่ซื้อจากบริษัทเอสซี แอสเสท อย่างเดียว 

“ช่วงเวลานี้ ประเทศกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ประชาชนคาดหวังที่จะเห็นพรรคต่าง ๆ นำเสนอนโยบายเพื่อแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อไทยขอเชิญชวนให้ช่วยกันนำเสนอนโยบายและหาทางออกให้ประเทศ และยุติการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอที่เป็นการบิดเบือนใส่ร้ายฝ่ายอื่นด้วยความเท็จ ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นขอให้พวกที่พยายามตีกินหรือพยายามโยงให้เพื่อไทยเสียหาย ขอให้ยุติการดำเนินการไม่เช่นนั้นเราขอสงวนสิทธิ์ปกป้องเกียรติภูมิและชื่อเสียงของพรรคในกรอบของกฎหมายต่อไป” นายนพดลกล่าว

เมื่อถามว่ามองว่าเป็นการโจมตีทางการเมืองเพื่อหวังผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่าตนคิดว่าการบิดเบือนมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน เพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่พร้อมที่จะต่อสู้กันตามกฎกติกาและการนำเสนอนโยบายแข่งกัน ตนคิดว่าการที่มีการบิดเบือนบุคคลต่าง ๆ ก็พอจะดูออกว่ามีวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่เพื่อไทยสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็นและไม่มีอะไรที่จะซ่อนไว้ 

'นพดล' ชี้ 'จิรายุ' สำคัญกับเพื่อไทยเสมอมา เชื่อ!! เคลียร์ใจกันได้ เพื่อเดินหน้าแลนด์สไลด์ไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลา 11.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค กล่าวถึงกรณีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ระบุว่าจะขอทบทวนเส้นทางการเมืองหลังพรรคฯ จะส่งนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งเคยเป็นโจทก์เก่าของนายจิรายุ มาเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคกลาง พรรคเพื่อไทยว่า นายจิรายุเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพคนหนึ่งของพรรค และทำงานหนักในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตนยังไม่มีโอกาสได้คุยกับนายจิรายุ แต่เชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยยังมีพื้นที่และมีโอกาสให้นายจิรายุได้ทำงานทางการเมืองสานต่อคุณภาพการเมืองที่เขาทำไว้ต่อ ซึ่งคงจะมีโอกาสได้หารือกัน ทั้งนี้ พรรคการเมืองก็เหมือนเรือที่อยู่ในทะเล ก็จะเจอคลื่นลมเป็นเรื่องปกติแต่เราต้องมีกระบวนการในการระงับความไม่พอใจหรือความขัดแย้งได้ 

“ผมมั่นใจว่านายจิรายุจะเห็นถึงผลประโยชน์ของพรรคและประเทศ เพราะขณะนี้พรรคเพื่อไทยก็กำลังเดินหน้าสู่ชัยชนะแลนด์สไลด์เพื่อสร้างโอกาสในการแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชน นายจิรายุก็เป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งจึงอยากให้เขาอยู่ในพรรคเพื่อไทยต่อ แต่ความไม่พอใจหรือความน้อยใจก็เกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งในส่วนตัวผมคิดว่าสามารถเคลียร์กันได้ เพราะนายจิรายุก็เป็นคนที่รับฟังเหตุผล” นายนพดล กล่าว

‘อุ๊งอิ๊ง’ เปิดแคมเปญเลือกตั้ง 'คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน' ชู!! ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน

แพทองธาร เปิด 10 นโยบายพลิกฟื้นประเทศ ปี 2570 โดยรัฐบาลเพื่อไทย ต้อง ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ ประกาศค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือน ป.ตรี 25,000 บาท

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวในการประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2565 ว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาตนพร้อมคณะกรรมการได้ลงพื้นที่ศึกษาและทำวิจัยพบว่า ประเทศถอยหลังไปมาก ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และไร้ที่ยืนบนเวทีโลก ประชาชนจำนวนมากมีหนี้ท่วมท้นและสะสมเป็นเวลานาน ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

จำเป็นต้อง ‘คิดใหญ่’ เพราะหากคิดเล็กจะรับมือปัญหามากมายขนาดนี้ไม่อยู่ และต้อง ‘ทำเป็น’ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ ยืนยันได้จากผลงานตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย จนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เราสามารถคืนความสุข ความเจริญ ความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องประชาชนได้  หัวข้อในแคมเปญรณรงค์ต่อจากนี้ จึงเปลี่ยนจาก ‘พรุ่งนี้เพื่อไทย’ เป็น ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’

และภายในปี 2570 ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง คือ

1.) นโยบายเศรษฐกิจ คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ยังคงถูกต้องและยึดเป็นแนวทางเสมอมาและตลอดไป จากปี 2566 จนถึงปี 2570 พรรคจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี ช่องว่างความเหลื่อมล้ำจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะจะใช้แนวคิด ‘รดน้ำที่ราก’ เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด

ทักษะสร้างสรรค์ Soft Power ด้านต่าง ๆ เช่น เชฟทำอาหาร นักออกแบบ แฟชั่นดีไซเนอร์ นักร้อง นักแต่งเพลง คนเขียนบท ยูทูบเบอร์ นักสร้างคอนเทนท์ นักออกแบบมัลติมีเดีย นักกีฬา หรือสปาเทอราปิสต์ จะทำให้มีรายได้คนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ประเทศไทยมี 20 ล้านครอบครัว สามารถสร้างงานทักษะสูงได้ 20 ล้านตำแหน่ง และมีรายได้รวมกันถึงปีละ 4 ล้านล้านบาท และในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป

2.) นโยบายด้านการเกษตร ในปี 2570 นำเทคโนโลยีทางการเกษตรหรือ Agritech มาใช้ เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในการเกษตร มีการปรับปรุงหน้าดิน และใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น เกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้น แต่เหนื่อยน้อยลง ใช้การตลาดนำการผลิต ไม่มีการทำการเกษตรแบบไร้เป้าหมาย สินค้าการเกษตรต้องขึ้นยกแผง มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) มาใช้ในการขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ให้ต่างชาติมาช่วยเสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง ราคาพืชผลเกษตรจึงขึ้นยกแผงทุกตัว เพราะเคยทำมาแล้ว และจะทำต่อไป

3.) นโยบายด้านการท่องเที่ยว ในปี 2570 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยจำนวนมาก รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านล้านบาทต่อปี การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยได้รับความนิยมจากทั่วโลก เทศกาลของไทย 2 เทศกาลคือ สงกรานต์ในเดือนเมษายน และลอยกระทงในเดือนพฤศจิกายนเป็นเทศกาลระดับโลกที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ในปฏิทิน ประเทศไทยน่าอยู่สำหรับชาวต่างชาติและคนไทย

4.) นโยบายด้านนวัตกรรม สร้างโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) ของไทยเอง ที่เป็นช่องทางในการขายสินค้าเกษตร รวมทั้งสินทรัพย์ที่เกิดจากซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนเป็นช่องทางเงินทุนให้กับนักธุรกิจรายย่อย ไม่ว่าจะเป็น Start up หรือ SME

นอกจากนั้น จะส่งเสริมงานวิจัยอย่างจริงจัง จนทำให้ในปี 2570 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมของ Asean มีการใช้เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC : Central Bank Digital Currency) แทนเงินสด ป้องกันการคอร์รัปชันในการเมืองแบบ ‘ลิงกินกล้วย’ ทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดี ประชาชนทุกคนมีบัญชีธนาคาร และมีกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet)  ของตนเอง

รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ การเข้าถึงบริการของรัฐทำได้ง่าย สะดวก ทุกหมู่บ้านของประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สถานที่สาธารณะทุกแห่งมี wifi ฟรี

5.) นโยบายด้านสาธารณสุข ในปี 2570 หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคถูกอัปเกรด หรือยกระดับขึ้น สามารถรักษาได้ทั่วประเทศ ประชาชนสามารถใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รับการรักษาได้ทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะข้อมูลสุขภาพถูกเชื่อมไว้บนศูนย์ข้อมูล หรือ Cloud  เมื่อเจ็บป่วย ผู้ป่วยเพียงยื่นบัตรประชาชนแล้วอนุญาตให้แพทย์ผู้รักษาเข้าถึงข้อมูลการรักษาได้

ในปี 2570 ผู้ป่วยโรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรคทางกายอื่น ๆ ที่ต้องการขอคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางได้รับการรักษาที่ศูนย์สาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล เพราะแพทย์เฉพาะทางให้คำปรึกษาผ่านระบบทางไกลหรือ Telemedicine ได้ การนัดคิวตรวจเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลทุกแห่ง ผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้ามืด ผู้ป่วยที่ต้องเจาะเลือดตรวจโรค ก็สามารถทำได้ที่คลินิกหรือศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน

ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต ได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาลทั้งที่บ้านและที่ศูนย์ชีวาภิบาล (Hospice) ของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานยังสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติ ไม่ต้องลางาน

การสาธารณสุขเชิงรุก เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีในเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี และฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV : Human Papilloma Virus) อีกทั้งยังตรวจและรักษาไวรัสตับอักเสบ-ซี ซึ่งโรคดังกล่าวจะเป็นการป้องกันมะเร็งตับที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมะเร็งในผู้ชาย

ปี 2570 โรงพยาบาลของรัฐถูกกระจายอำนาจในรูปแบบองค์การมหาชนที่ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารโรงพยาบาล มีการจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ตามปริมาณงาน และเกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ให้ทันสมัยในทุกระดับตั้งแต่ตำบลถึงมหานคร รวมทั้งมีการฝึก อ.ส.ม. ให้เป็นพยาบาลระดับต้น ประจำทุกหมู่บ้าน ส่วนในกรุงเทพมหานคร มีโรงพยาบาลประจำเขตทั้ง 50 เขต

6.) นโยบายด้านการศึกษา ในปี 2570 มีการกระจายอำนาจการศึกษาเหมือนในประเทศที่เจริญแล้ว มีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น ซึ่งสอนภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตั้งแต่ ป.1 มีการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและออนไลน์ โดยใช้ครูต่างประเทศมาสอนเสริมร่วมกับครูไทย มีศูนย์การเรียนรู้แบบ TCDC และ TK Park ที่เริ่มต้นสมัยไทยรักไทย ให้ครบทุกจังหวัด

7.) นโยบายด้านยาเสพติด จะปราบปรามยาเสพติดเต็มรูปแบบ เด็กไทยตกเป็นทาสยาเสพติด ทำร้ายคนในครอบครัวและผู้อื่นอีกมากมาย และจะบำบัดผู้เสพอย่างทั่วถึงควบคู่กันไปกับการปราบปราม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top