Monday, 20 May 2024
อินเดีย

‘บิ๊กตู่’ เปิดทำเนียบต้อนรับ ‘เอกอัครราชทูตอินเดียฯ’ พร้อมหารือ ‘ความร่วมมือ-กระชับสัมพันธ์’ ในทุกมิติ

นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กระชับความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน พร้อมผลักดันมูลค่าทางการค้าและการลงทุน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และความเชื่อมโยง

(9 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวกับยินดีกับนายนาเคศ สิงห์ ในโอกาสที่รับหน้าที่ในประเทศไทย โดยไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และความร่วมมือทุกมิติ หวังว่าเอกอัครราชทูตอินเดียฯ จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันในอนาคตให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยพร้อมให้การสนับสนุนเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งการเมือง ความมั่นคง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความร่วมมือกรอบพหุภาคี พร้อมฝากความปรารถนาดีถึงประธานาธิบดีแห่งอินเดีย นายกรัฐมนตรีอินเดีย และประชาชนชาวอินเดียในโอกาสปีใหม่ด้วย 

ด้านเอกอัครราชทูตอินเดีย กล่าวยินดีที่ได้พบปะกับนายกรัฐมนตรี พร้อมนำคำทักทายและคำอวยพรจากนายกรัฐมนตรีอินเดียมายังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีด้วย เชื่อมั่นว่าการเข้ารับหน้าที่ในไทยจะเป็นโอกาสกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของอินเดีย มีความใกล้ชิดระหว่างกันอย่างลึกซึ้งทั้งทางวัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ และศาสนา โดยนโยบายของไทยที่ดำเนินนโยบายมุ่งตะวันตก (Look West Policy) กับนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย มีความสอดคล้อง เป็นประโยชน์กับไทยและอินเดีย จึงยินดีร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทุกมิติ

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ดังนี้ 

- ความร่วมมือด้านการเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันเพิ่มขึ้นในทุกระดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรีอินเดียจะตอบรับการเยือนไทย โดยไทยพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรีอินเดียเยือนไทย และเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ด้านเอกอัครราชทูตอินเดียฯ พร้อมผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนทุกระดับ รวมถึงยืนยันสนับสนุนการเป็นประธาน BIMSTEC ของไทย

- ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เอกอัครราชทูตอินเดียฯ ยินดีที่ชาวอินเดียมาท่องเที่ยวไทยเกือบ 1 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งชาวอินเดียจำนวนมากนอกจากจะเดินทางมาท่องเที่ยวแล้ว ยังชื่นชอบเดินทางมาไทยเพื่อจัดงานแต่งงานอีกด้วย เอกอัครราชทูตอินเดียฯ จึงยินดีส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนของไทยและอินเดียให้มากขึ้น ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายให้นักท่องเที่ยวจากอินเดียมาไทยปีละ 2 ล้านคน เหมือนช่วงก่อนหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  

- ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่มูลค่าการค้าไทยและอินเดียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2564 โดยในเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ากว่า 16.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 21 ซึ่งเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มการค้าและการลงทุนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายเชี่ยวชาญและสนใจระหว่างกัน ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่านักธุรกิจอินเดียจะพิจารณาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในธุรกิจด้านยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบิน และโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร

‘อนุทิน’ หนุน 3 ประเด็นด้านสุขภาพ ‘ไทย-อินเดีย’ กระชับความร่วมมือการวิจัย ยา และเวชภัณฑ์

‘ไทย-อินเดีย’ กระชับความร่วมมือการวิจัย ยาและเวชภัณฑ์ รองนายกฯ อนุทิน หนุน 3 ประเด็นด้านสุขภาพเพิ่มจุดแข็ง 2 ประเทศ ชื่นชมอินเดียเป็นประธาน G20 ชูโลกหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกการพัฒนา

(18 ม.ค. 66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 66 ระหว่างเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส-คลอสเตอร์ สมาพันธรัฐสวิส นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ได้พบหารือกับ นายมานซุกร์ ลัคมาน มันดาวิยา (Mansukh Laxman Mandaviya) รมว.สวัสดิการสาธารณสุขและครอบครัว (Minister for Health and Family Welfare) และ รมว.เคมีภัณฑ์และปุ๋ย (Minister for Chemicals and Fertilizers) อินเดีย

นายอนุทิน และ นายมานซุกร์ ได้หารือถึงแนวทางที่ไทยและอินเดียจะกระชับความร่วมมือกันเพิ่มขึ้น ในประเด็นสาธารณสุข การวิจัย ยา และเวชภัณฑ์ จากปัจจุบันที่ 2 ประเทศมีความร่วมมือผ่านกรอบพหุภาคีและทวิภาคีต่าง ๆ ซึ่งเฉพาะความร่วมมือด้านสาธารณสุข ปัจจุบันไทยและอินเดียมีความร่วมมือผ่านบันทึกความร่วมมือ (MOU) 2 ฉบับ ได้แก่ MOU ระหว่างกรมการแพทย์และ Indian Council of Medical Research เพื่อร่วมกันการวิจัยทางสุขภาพและทางการแพทย์ และ MOU ระหว่างกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกับสถาบันอายุรเวทแห่งชาติ เมืองชัยปุระ ในการร่วมมือทางวิชาการสาขาการแพทย์อายุรเวทและการแพทย์แผนไทย

‘อินเดีย’ ขึ้นแท่น ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก สวนทาง ‘จีน’ ที่ประชากรลดลงในรอบ 60 ปี

อินเดียมีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่จีนมีประชากรลดลงในรอบ 60 ปี

World Population Review องค์กรอิสระที่ศึกษาสำมะโนประชากรคาดการณ์ว่าอินเดียมีประชากรถึง 1.417 พันล้านคนแล้วในช่วงสิ้นปี 2022 และกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดแซงหน้าจีนแล้วเรียบร้อย

จากจำนวนประชากรของอินเดียตามที่คาดการณ์ที่ 1.417 พันล้านคน ทำให้อินเดียมีประชากรมากกว่าจีนอยู่เกิน 5 ล้านคนก่อนหน้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเผยว่า ขณะนี้จีนมีประชากรอยู่ 1.412 พันล้านคน ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ตั้งแต่ช่วงปี 1961

องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่าอินเดียจะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดแซงหน้าจีนภายในปีนี้ แต่จากคาดการณ์ของ World Population Review อินเดียมีประชากรถึง 1.432 พันล้านคนแล้ว ส่วนองค์กรวิจัย Macrotrends คาดว่าตัวเลขประชากรล่าสุดของอินเดียอยู่ที่ 1.428 พันล้านคนแล้ว ทั้งนี้ ไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการจากอินเดียเนื่องจากโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถสำรวจตัวเลขประชากรได้

World Population Review ยังคาดการณ์ว่าแม้ประชากรของอินเดียจะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ แต่จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2050 

ครึ่งหนึ่งของประชากรอินเดียมีอายุต่ำกว่า 30 ปี ทำให้นายกรัฐมนตรี Narendra Modi เร่งสร้างงานให้คนในประเทศมากขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ เพราะอินเดียแม้จะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในเอเชียและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 ได้ดี แต่ประชากรราว 800 ล้านคนยังพึ่งพาโครงการจัดหาอาหารของรัฐบาลอยู่

อินเดียเป็นประเทศที่อยู่ได้ด้วยการผลิตอาหารภายในประเทศ เป็นผู้ผลิตข้าว ข้าวสาลี และน้ำตาลใหญ่เป็นอันดับ 2 เป็นประเทศที่บริโภคน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดและเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำหรับรับประทานมากที่สุด อินเดียยังเป็นตลาดที่ใช้ทองและเหล็กกล้ามากเป็นอันดับที่ 2 และเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 3 รวมทั้งเป็นประเทศที่มีตลาดการบินภายในประเทศใหญ่มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก

ขณะที่อินเดียมีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จีนกลับมีประชากรลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ข้อมูลจาก National Statistics Bureau เผยว่า ประชากรจีนลดลง 850,000 คนในปี 2022 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2021

ความดีที่ถูกมองข้าม เทียบมุมมองนักการเมืองที่ดีในทัศนะของคนอินเดีย ในขณะที่ไทยยังชิงอวด ‘ความเก่ง’ เหนือ ‘ความดี'

 

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเลือกตั้งในบ้านเรา ระบอบประชาธิปไตยที่ดีจะอยู่รอดได้หรือไม่ แล้วเราคนไทยเคยนึกถึงนิยามของ ‘นักการเมืองที่ดี’ แล้วหรือยัง? ทุกวันนี้ทุกพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งบ้านเราล้วนแล้วแต่ขาย ‘ความเก่ง’ และแทบไม่มีพรรคการเมืองไหนขาย ‘ความดี’ เลย จึงขอนำเสนอบทความนี้ ซึ่งการกล่าวถึง นักการเมืองที่ดีในทัศนะของคนอินเดีย

ชาวอินเดียจะได้รับประโยชน์มากมายจากงานวิจัยในเรื่อง ‘ใครคือนักการเมืองที่ดี’ เพราะเราเคยถามกันไหมว่า ‘นักการเมืองที่ดีเป็นอย่างไร?’ อย่างไรก็ตาม ในประเทศอย่างเรา (อินเดีย) การถกเถียงกันเรื่องการเมืองเป็นเรื่องปกติที่แผงขายน้ำชาริมถนนและบนรถไฟ แต่เราบังเอิญหลีกเลี่ยงคำถามนี้ การอภิปรายเหล่านี้ส่วนใหญ่มีนัยยะเชิงวิพากษ์ มีการแบ่งขั้วตามอุดมการณ์ทางการเมืองที่ใคร ๆ มอบให้ และส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ว่าด้วย ‘การเลือกคนที่เลวที่น้อยกว่า’ แล้วอะไรล่ะที่ขัดขวางไม่ให้เราปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความจริงที่สำคัญของคำถาม?

ผู้คนต่างพากันคลั่งไคล้ในความคิดที่ว่า รัฐบาลปล่อยให้พลเมืองไม่มีการศึกษา เพราะมันง่ายที่จะปกครองพลเมืองที่ไร้การศึกษา แต่ในปัจจุบันด้วยความสามารถของอินเทอร์เน็ต อุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลได้ถูกทำลายลง และประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้เพียงแค่สัมผัสสมาร์ทโฟน สิ่งนี้น่าจะทำให้พลเมืองของประเทศหนึ่งหลงระเริงกับการคอร์รัปชั่น อัตราการเกิดอาชญากรรมสูง และทุกสิ่งที่ไม่ถูกต้องในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อค้นหานักการเมืองที่เหมาะสมเป็นตัวแทนของพวกเขา

บางคนบอกว่า ‘นักการเมืองสมัยนี้ไม่ดีพอ’ สำหรับบางคน ‘การเมืองไม่เคยสร้างประโยชน์อะไรเลย’ และในขณะที่ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งบอกว่าเป็นพวกที่ ไม่ยุ่งกับการเมือง" แม้ว่าก่อนหน้านี้จะบ่งชี้ว่าผู้คนกำลังหมดความสนใจในการเมือง แต่การเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วสู่ยุคดิจิทัลทำให้ผู้คนหันไปสนใจเรื่องการเมืองในทันที แม้ว่าจะมีทั้งเรื่องแย่และแย่กว่าก็ตาม

ระบอบประชาธิปไตยของอินเดียที่ปรารถนาจะเป็นมหาอำนาจและศูนย์กลางความรู้ของโลกได้พยายามดิ้นรนเพื่อให้ทันกับธรรมชาติของการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป คนอินเดียเคยยกย่องชื่นชมนักการเมืองรุ่นแรกที่เติบโต และเป็นผลพวงของการต่อสู้เพื่อเอกราชกับการปกครองของอังกฤษ เราบูชาเสน่ห์และวิธีการของมหาตมะ คานธี ความเรียบง่ายของศาสตรี ความมุ่งมั่นของพาเทล ความรู้และวิสัยทัศน์ของอัมเบดการ์ ความซื่อสัตย์ของชอมธารี จรัล ซิงห์ และคนอื่น ๆ เรามีชีวิตอยู่ในความถวิลหาผู้นำที่เป็นไอดอลในสมัยก่อน แต่ไม่เต็มใจที่จะพัฒนาผู้นำสำหรับอินเดียในอนาคต หากรัฐบาลชุดก่อน ๆ หรืออย่างน้อยที่สุดพรรคการเมืองได้ลงทุนเพื่อหาผู้ที่เหมาะสมลงแข่งขันในการเลือกตั้ง ประเทศจะได้ประโยชน์มากมายจากมัน แต่เราจะไปจุดนั้นได้อย่างไร?

ประเทศที่พัฒนาแล้วได้มาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการวิจัยและได้ลงทุนกับมัน เราต้องเข้าใจว่าความรู้มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ความรู้เกี่ยวกับกลไกที่ยั่งยืนในการระบุประเภทผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เหมาะสมจะให้ผลลัพธ์ดังที่คาดหวัง แต่ในอินเดีย ทั้งประชาชนและพรรคการเมืองไม่ได้ทำงานเพื่อริเริ่มวาทกรรมว่า 'ใครเป็นนักการเมืองที่ดี' เป็นเพียงตำนานหรือสามารถกำหนดคุณลักษณะของ 'นักการเมืองที่ดี' ได้จริงหรือไม่?

งานวิจัยก่อนหน้านี้โดย ศ. Rainbow Murray (สำนักการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิทยาลัย Queen Mary มหาวิทยาลัยแห่ง London) ในปี ค.ศ. 2010 และ ค.ศ. 2015 และ Reuven Hazan & Gideon Rahat ในปี ค.ศ. 2010 แสดงให้เห็นว่า บรรดาพรรคการเมืองใช้เกณฑ์อัตวิสัยหลายอย่างในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง เช่น ฝีปาก ความฉลาด และความสามารถพิเศษ พวกเขาอาจเลือกผู้สมัครตามตัวแปรที่ไม่มีความชัดเจน เช่น ความภักดีต่อพรรค ความสัมพันธ์ในครอบครัว และอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ศ. Murray ให้เหตุผลว่าการใช้ตัวแปรอื่นแทน เช่น 'ความสำเร็จทางการศึกษา' และ 'เส้นทางอาชีพ' เพื่อวัดความเก่งกาจและความสามารถพิเศษเป็นการสร้างปัญหา เนื่องจากการศึกษาที่ใช้เกณฑ์เหล่านี้อาจพบว่า เป็นการยากที่จะแยกแยะระหว่างผู้ที่ได้รับสถานะทางสังคมสูงระหว่างผู้ที่บรรลุและผู้ที่ได้รับมาโดยสิทธิพิเศษ การวิจัยของ ศ. Murray ทำให้เธอสรุปได้ว่า ผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเลือกตั้งคือ บุคคลที่มีความรู้จริง และพิสูจน์ได้สามารถจัดการปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่ผู้คนต้องเผชิญและอุทิศตนเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านั้น บุคคลนั้นควรมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่โดดเด่น และควรสามารถต่อสู้เพื่อให้ได้เหตุผลและสามารถเจรจาประนีประนอมได้เมื่อจำเป็น ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่า คุณสมบัติที่เธอระบุสำหรับนักการเมืองที่ดีคือ ความรู้ ทัศนคติในการแก้ปัญหา ความตั้งใจในการทำงาน และทักษะในการสื่อสารและได้รับสนับสนุนที่ดี

ตำรวจพัทยา สนธิกำลังบุกจับบ่อนบาคาร่า รวบนักพนันอินเดีย 80 ราย คาโรงแรมหรู พบเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านรูปี

เมื่อเวลา 00.16 น.วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.ฐนพงศ์ โพธิ์ทิ ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.สุรเชษฐ์ เอนกศรี รองผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.ฐานานนท์ อธิพันสีห์ รอง ผกก.สส.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.ชัยณรงค์ จิตต์สุนทร สว.สส.สภ.เมืองพัทยา นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวัดชลบุรี บุกเข้าจับกุมบ่อนการพนัน ที่โรงแรมเอเซีย เมืองพัทยา ภายในซอยพระตำหนัก 4 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พร้อมของกลางจำนวนมาก
   

โดยพล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย มาเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งนี้ แล้วเช่าห้องจัดประชุมชื่อห้อง สำเภา ในการลักลอบเล่นการพนันกัน กระทั่งสืบทราบว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นชาวอินเดีย เข้ามาจองห้องพักเมื่อวันที่ 27-1 พฤษภาคม โดยใช้วิธีการแลกจากประเทศอินเดีย ก่อนจะเดินทางเข้ามาเล่นการพนันในประเทศไทย หลังเล่นจบแล้วก็จะไปคิดผลได้เสียกันในภายหลัง
     

หลังรวบรวมข้อมูลแล้ว จึงได้วางแผนพร้อมนำกำลังบุกเข้าตรวจสอบ จับกุม ขณะที่เข้าไปถึงพบว่านักท่องเที่ยวชาวอินเดียกำลังเล่นการพนันรูปแบบบาคาร่า และแบล็คแจ็ค กันอย่างเพลิดเพลิน เมื่อนักพนันเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะพากันวิ่งหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังปิดล้อมไว้หมดแล้ว จึงสามารถควบคุมไว้ได้ทั้งหมด 93 คน เป็นคนอินเดีย 83 คน เป็นผู้ชาย 71 คนผู้หญิง 16 คน ผู้ชายชาวพม่า 4 คน คนไทย 6 คน เป็นผู้ชาย 4 คน ผู้หญิง 2 คน ตรวจสอบพบของกลาง เป็นโต๊ะเล่นการพนันจำนวน 7 โต๊ะ เป็นโต๊ะบาคาร่า 4 โต๊ะ เป็นโต๊ะแบล็คแจ็ค 3 โต๊ะ ไพ่ 25 สำรับ ชิพแทนเงินสด จำนวน 209,215,000 เงินสกุลต่างประเทศ 160,000 รูปี กล้องวงจรปิด 8 ตัว โทรศัพท์มือถือ 92 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 3 เครื่อง ไอแพด 1 เครื่อง ที่แจกไพ่ 3 เครี่อง รวมถึงมีบริการเสริฟบารากู่ ให้นักท่องเที่ยวอีก 4 ตัว พร้อมตัวยาประมาณ 800 กรัม นอกจากนี้ยังพบสมุดจดยอดเครดิตในการเล่นการพนัน รวมยอดเครดิตหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านรูปี 

‘บิ๊กตู่’ จ่อ ฟื้นประชุม JTC หลังการค้าไทย-อินเดียคืบหน้า หวังแก้อุปสรรคทางการค้า หนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้น

(4 พ.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันความร่วมมือด้านการค้าระหว่างไทยกับอินเดียจนมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา คณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย – อินเดีย ครั้งที่ 13 ที่กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ถือเป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 20 ปี นับจากการประชุมเมื่อปี 2546

นายอนุชา กล่าวว่า การประชุม JTC ถือเป็นกลไกสำคัญในการหารือแนวทางการส่งเสริมการค้าและการลงทุน และแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า รวมทั้งผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งในปี 2563 ไทยและอินเดียตกลงรื้อฟื้นการประชุม JTC ขึ้นใหม่ ภายหลังว่างเว้นมานานเกือบ 2 ทศวรรษ เนื่องจากทั้งสองประเทศเข้าสู่การเจรจา FTA ไทย – อินเดีย และ FTA อาเซียน – อินเดีย โดยการประชุม JTC ในครั้งนี้ มีวาระการหารือที่สำคัญเกี่ยวกับการลดอุปสรรคทางการค้า และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับอินเดีย

สำหรับผลลัพธ์การประชุมในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในหลักการที่จะใช้การลงนามและตราประทับอิเล็กทรอนิกส์ในหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า รวมทั้งผลักดันการใช้ QR Code ผ่านการเชื่อมโยงระบบ Unified Payments Interface (UPI) ของอินเดียกับระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของไทย เพื่อรองรับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านการถ่ายทำภาพยนตร์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

เรือท่องเที่ยวล่ม ใน ‘อินเดีย’ เสียชีวิตอย่างน้อย 22 ราย ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ล่าสุดจนท.ยังคงเร่งหาผู้สูญหาย

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 66 เอเอฟพีรายงานว่า เกิดเหตุเรือสองชั้นบรรทุกนักท่องเที่ยวล่ม ทางตอนใต้ของเขตมาลัปปุรัมในรัฐเกรละ ประเทศอินเดีย เมื่อค่ำวันอาทิตย์ ประเมินว่ามีผู้โดยสารอยู่ราวๆ 30 คน ก่อนเรือพลิกคว่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ

ชาวอินเดียหลายสิบคนในพื้นที่เกิดเหตุช่วยค้นหาผู้รอดชีวิตทั้งบนเรือและบริเวณรอบๆ เรือที่จมอยู่ตลอดทั้งคืน และการค้นหาดำเนินต่อเนื่องจนถึงวันจันทร์

"เรากู้ศพได้แล้ว 22 ศพ แบ่งเป็นหญิง 15 รายและชาย 7 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 6 คนถูกนำส่งโรงพยาบาล ขณะที่ปฏิบัติการกู้ภัยยังดำเนินต่อไป" เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับเอเอฟพี

สื่อท้องถิ่นรายงานว่า มีครอบครัวหนึ่งเสียชีวิตพร้อมกัน 11 รายในเหตุการณ์นี้ โดย 3 รายในนั้นเป็นเด็ก

ผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่บนเรือกับสามีและลูกสาวของเธอ บอกกับสื่อว่า ผู้โดยสารส่วนใหญ่บนเรือเป็นเด็ก และก่อนเกิดเหตุมีควันลอยออกมาจากเรือขณะเดินทาง พร้อมชี้แจงว่ารอดชีวิตมาได้เพราะสวมเสื้อชูชีพ

สถานีโทรทัศน์ของอินเดียระบุว่า ทีมกู้ภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่จากกองกำลังรับมือภัยพิบัติแห่งชาติและหน่วยยามฝั่งอินเดีย ใช้กล้องใต้น้ำเพื่อค้นหาผู้ที่ยังสูญหาย

วีดี เสถียรสรรค์ นักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้านของรัฐเกรละ กล่าวว่า เหตุเรือล่มที่เกิดขึ้นป็นฝีมือมนุษย์ และเรียกร้องให้มีการสอบสวน "ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเรือลำนี้มีใบอนุญาตหรือไม่" เขากล่าวกับนักข่าวเมื่อวันจันทร์

‘พงษ์ภาณุ’ แนะดู ‘อินเดีย’ เป็นแบบอย่าง หลังผงาดทาบรัศมีมหาอำนาจโลก

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 66 โดยระบุว่า ในความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก อินเดียได้กลายเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในสายตามหาอำนาจของโลก สัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐ อเมริกา ได้เชิญนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดีมาเยือนสหรัฐฯ แบบ state visit และกล่าวปาฐกถาในการประชุมร่วมของสภาคองเกรสอีกด้วย ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ผู้นำประเทศน้อยคนจะได้รับ

ประเทศไทย สามารถเรียนรู้จากความสำเร็จของอินเดียได้ในหลายมิติ อินเดียภายใต้ผู้นำ นเรนทรา โมดี ได้มีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วและทั่วถึง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ปัจจุบันคนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่นอกประเทศประสบความสำเร็จก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลและธุรกิจสำคัญหลายแห่ง

นโยบายการทูตและการต่างประเทศที่มีความสมดุล (Balance) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้อินเดียได้ประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และขั้วอำนาจโลก อินเดียเริ่มเอนเอียงเข้าหาสหรัฐฯและตะวันตกมากขึ้น หลังจากอิงรัสเซียมาตลอดหลังได้อิสรภาพ ด้วยเล็งเห็นโอกาสจาก Global Supply Chains ที่กำลังกระจายออกจากจีน และจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมอย่างมีนัยสำคัญ ย่างก้าวของอินเดียอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอำนาจเก่าในรัสเซียกำลังถดถอยลง

พร้อมกันนี้ นายพงษ์ภาณุ ยังแนะด้วยว่า ควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เหตุค่าเงินเยนของญี่ปุ่นได้ตกต่ำมาเป็นระยะหนึ่งและยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากกลัวว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะกลับเข้าสู่ภาวะตกต่ำอีก ผลจากค่าเงินเยนตกต่ำทำให้ดุลการท่องเที่ยวไทย-ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ วันนี้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่มาเมืองไทยแล้ว การค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศก็กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงด้วย

‘อินเดีย’ เตรียมส่ง ‘ดาวเทียมสิงคโปร์’ ทะยานสู่ห้วงอวกาศ เพื่อใช้สนับสนุนการถ่ายภาพดาวเทียมของหน่วยงานรัฐฯ

เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, นิวเดลี รายงานว่า องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย หรือ ‘ISRO’ ประกาศแผนการส่งจรวดปล่อยดาวเทียมพีเอสแอลวี-ซี 56 (PSLV-C56) ซึ่งบรรทุกดาวเทียมดีเอส-เอสเออาร์ (DS-SAR) ของสิงคโปร์ พร้อมดาวเทียมอีก 6 ดวง ขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 30 ก.ค. นี้

แถลงการณ์จากองค์การฯ เผยกำหนดการปล่อยจรวดตอน 06.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น จากฐานปล่อยจรวดแห่งที่ 1 ของศูนย์อวกาศสาธิต ดาวัน ในเมืองศรีหริโกฎา โดยบริษัท นิวสเปซ อินเดีย จำกัด (Newspace India) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดสำนักอวกาศของอินเดีย เป็นผู้จัดซื้อจรวดดังกล่าว

องค์การฯ กล่าวว่าดาวเทียมดีเอส-เอสเออาร์ จะถูกใช้สนับสนุนการถ่ายภาพดาวเทียมของหน่วยงานต่างๆ ภายในรัฐบาลสิงคโปร์ โดยบริษัท เอสที เอ็นจิเนียริง (ST Engineering) ของสิงคโปร์ จะใช้ดาวเทียมสำหรับการถ่ายภาพหลายรูปแบบและตอบสนองไว รวมถึงบริการเชิงพื้นที่สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์

อนึ่ง ดาวเทียมที่ปล่อยอีกหกดวง ได้แก่ วีลอกซ์-เอเอ็ม (VELOX-AM) อาร์เคด (ARCADE) สคูบ-2 (SCOOB-II) นูลิออน (NuLIoN) กาลาสเซีย-2 (Galassia-2) และโออาร์บี-12 สไตรเดอร์ (ORB-12 Strider)

'อินเดีย' ห้ามส่งออกข้าวกระทบประชากรหลายล้านคน ด้านไทยพร้อม หลังผลผลิตเพียงพอ เหลือพอส่งออกเพิ่ม

ไม่นานมานี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า อินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ได้ห้ามส่งออกข้าวขาว ที่ไม่ใช้พันธุ์บาสมาติ (Basmati) เมื่อวันที่ 20 ก.ค. เสี่ยงสั่นคลอนตลาดข้าวทั่วโลก มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชาชนหลายล้านคน โดยเฉพาะเอเชียและแอฟริกา

เหตุผลเพราะรัฐบาลอินเดียต้องการควบคุมราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นภายในประเทศ และรับประกันว่าจะมีปริมาณข้าวราคาเหมาะสมเพียงพอภายในประเทศ 

ทั้งนี้ อินเดียมีสัดส่วนส่งออกข้าว กว่า 40% ของการค้าข้าวทั่วโลก โดยมีมาเลเซีย, สิงคโปร์ เป็นสองประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาข้าวจากอินเดียมาก รวมทั้งแอฟริกา, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ (MENA) โดยประเทศจิบูตี, ไลบีเรีย, กาตาร์, แกมเบีย และคูเวต มีความเสี่ยงมากที่สุด ตามรายงานของธนาคารบาร์เคลย์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ ที่ประจำอยู่ในประเทศที่มีการผลิตข้าว ส่งออกข้าว หรือนำเข้าข้าว ให้ติดตามสถานการณ์ข้าวอย่างใกล้ชิด หลังจากที่อินเดียได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวขาว ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา เพื่อนำข้อมูลหรือแนวโน้มที่เกิดขึ้น มากำหนดแผนและมาตรการในเรื่องข้าวของไทยต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของกรมการค้าต่างประเทศ ขอให้ติดตามสถานการณ์การส่งออกว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างไร ประเทศไหนมีความต้องการเพิ่มขึ้น สถานการณ์ด้านราคาส่งออกเป็นอย่างไร กรมการค้าภายใน ให้ติดตามสถานการณ์สต็อกในประเทศ ราคาข้าวเปลือกในประเทศ และทูตพาณิชย์ ให้ติดตามว่าแต่ละประเทศมีมาตรการและนโยบายในเรื่องข้าวอย่างไร มีความต้องการเพิ่มขึ้นหรือไม่

นายกีรติกล่าวว่า เมื่อเห็นภาพชัดเจนแล้วว่าทิศทางข้าว จะเป็นไปอย่างไร กระทรวงพาณิชย์จะมาทำแผนและมาตรการในเรื่องข้าว ซึ่งมีสมมติฐานตั้งแต่เบาไปหาหนัก แล้วแต่ว่าสถานการณ์ข้าวในตลาดโลกว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้ายังคงเป็นปกติ ไม่มีอะไร ก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้กลไกตลาดขับเคลื่อนต่อไป แต่ถ้าเริ่มเห็นสัญญาณความต้องการข้าวที่สูงขึ้น ก็จะมาพิจารณาว่าจะใช้มาตรการอะไร ซึ่งมองว่าอาจจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้ เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายสำคัญของโลก ผลผลิตมีเพียงพอ และเหลือที่จะส่งออก

"ผมมองว่าน่า 1-2 สัปดาห์ จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าแนวโน้มตลาดข้าวโลกจะเป็นอย่างไร เบื้องต้น ในประเทศไม่มีปัญหาขาดแคลนแน่นอน เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าว และเหลือส่งออก แต่จะส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวมากกว่า การส่งออกปีนี้ น่าจะเกิน 8 ล้านตัน จากที่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ และราคาข้าวในประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกรที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น" นายกีรติกล่าว

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์มีความเป็นห่วงในเรื่องของภัยแล้งที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญมากกว่า โดยมีการประเมินกันว่าจะเกิดต่อเนื่อง 1-3 ปี ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อการเพาะปลูกข้าวของไทย และทำให้ปริมาณผลผลิตข้าวไทยลดลง โดยล่าสุดได้มีการหารือกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว เพื่อร่วมกันทำแผนรับมือ เพื่อป้องกันปัญหาผลผลิตลดลง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top