Monday, 20 May 2024
อินเดีย

‘Akku Yadav’ ชายโฉดชั่วผู้ถูกสตรีนับร้อยรุมประชาทัณฑ์ จนเสียชีวิตคาศาล ผลจากความล้มเหลวของกฎหมาย สู่การแก้แค้นที่โหดที่สุดของอินเดีย


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นใน ‘ประเทศอินเดีย’ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยอินเดียเป็นประเทศที่มีปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากวิถีชีวิตผู้คนในประเทศนี้ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาฮินดู โดยจะยึดถือระบบวรรณะอย่างเคร่งครัด และจะไม่มีการข้ามวรรณะกันเด็ดขาด วรรณะทั้ง 4 นั้นได้แก่ พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์ และศูทร นอกจากนี้ ยังมีคนนอกวรรณะ ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม นั่นคือ ‘จัณฑาล’

ระบบวรรณะในสังคมของอินเดียนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหลื่อมล้ำของลำดับชนชั้น โดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับอาชีพ ซึ่งบางอาชีพจะถือว่าต่ำต้อยมาตั้งแต่ดั้งเดิม เช่น คนกวาดถนนหรือคนเก็บขยะ ซึ่งจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุดทางสังคม ตามคำสอนเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาในอินเดีย ถ้าชาวฮินดูแต่งงานกับคนนอกวรรณะ หรือกินอาหารร่วมกับคนที่วรรณะต่างจากตัวเองจะถือว่าเป็นเรื่องที่บาป ดังนั้น คนอินเดียจึงปฏิบัติและยึดถือเรื่องของวรรณะอย่างเคร่งครัด


ในสลัม ‘Kasturba Nagar’ ซึ่งอยู่นอกเมืองนาคปุระ รัฐมหาราษฏระทางตอนกลางของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่อยู่ของ ‘ครอบครัวชาวทลิต’ (Dalit) วรรณะที่ต่ำที่สุดในอินเดีย (ต่ำกว่าจัณฑาล) เป็นชนชั้นของอินเดียที่ถูกตีตราชนิดที่ว่า ‘ห้ามเข้าไปจับต้องยุ่งเกี่ยว’ (Untouchable) โดยชาวทลิตเป็นกลุ่มที่ถูกแยกออกจากวรรณะทั้ง 4 ในศาสนาฮินดู และถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของอวรรณะ หรือ ‘วรรณะที่ 5’ ที่เรียกว่า ‘ปัญจม’ (Panchama)

และในสลัมแห่งนี้ที่มีทรชนขาใหญ่ที่ชื่อ ‘Akku Yadav’ (Bharat Kalicharan) เป็นนักเลง ขโมย โจร นักลักพาตัว นักข่มขืนต่อเนื่อง นักกรรโชกทรัพย์ และเป็นฆาตกรต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งเคยทำร้ายและข่มขืนผู้หญิงมากกว่า 200 คนในสลัมดังกล่าว โดยผู้หญิงเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชาวทลิต Dalit จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิกเฉยละเลย


ตัว Akku Yadav เองก็เกิดและเติบโตขึ้นมาในสลัม Kasturba Nagar แห่งนี้ เป็นลูกชายของคนส่งนม ซึ่งต่อมาเขาได้ก้าวไปสู่ภัยคุกคามในท้องถิ่น โดยเริ่มต้นจากการเป็นอันธพาลตัวเล็ก ๆ มาเป็นมาเฟีย จนในที่สุดก็ได้เป็น ‘ราชาแห่งสลัม’

Yadav ปกครองกลุ่มอาชญากรที่ควบคุมสลัม Kasturba Nagar ด้วยการ ปล้น ทรมาน และฆ่าผู้คนโดยไม่ต้องรับโทษ Yadav ก่ออาชญากรรมเป็นเวลาหลายปีด้วยการสร้างอาณาจักรธุรกิจมืดขนาดเล็ก เขาและสมาชิกแก๊งมักคุกคามและข่มขู่ผู้คนเพื่อกรรโชกทรัพย์ และการขู่กรรโชก รีดไถ รีดไถเงิน ทำร้าย และข่มขู่ผู้ที่ต่อต้านเขา จนกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของ Yadav และสมุน ซึ่งมักจะทำร้ายผู้คนหากพวกเขาไม่ได้จ่ายเงินให้แก่เขา

ในช่วงชีวิตของเขาในฐานะอาชญากร Yadav ได้สังหารบุคคลอย่างน้อย 3 คน ได้ทรมานและลักพาตัวผู้คน บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้คน และข่มขืนหญิงสาวและเด็กผู้หญิงนับร้อยคน หรือหากพวกเขาทำให้ Yadav โกรธในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็จะขู่ว่า จะข่มขืนใครก็ตามที่ต่อต้านเขาเป็นพิเศษ

เป็นที่ทราบกันดีว่าเหยื่อข่มขืนของ Yadav จำนวนมากคือ ชาวทลิตซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบาก จากความอยุติธรรมสำหรับคดีล่วงละเมิดทางเพศ โดย Akku Yadav ได้ติดสินบนเพื่อจูงใจให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นจะปกป้องเขา Yadav ยังคงทำร้ายผู้หญิงต่อไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการกระทำที่ชั่วร้ายและป่าเถื่อนเลย แม้ว่าเหยื่อจะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะถูกข่มขู่ และ Yadav ก็สามารถรอดพ้นจากการจับกุมได้เสมอ


‘Usha Narayane’ หญิงผู้กล้าหาญคนหนึ่ง รายงานพฤติการณ์และพฤติกรรมของ Yadav ต่อรองผู้บัญชาการตำรวจของเมืองนาคปุระ ด้วยหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม แต่กลับมีข่าวที่ชี้ให้เห็นว่า Yadav อาจหลบหนีการลงโทษได้อีกครั้ง วันที่ 6 สิงหาคม 2004 ฝูงชนก็พากันไปที่บ้านของ Yadav แล้วเผาบ้านทิ้ง จนทำให้ Yadav ต้องรีบไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอความคุ้มครอง หลังจากที่ตำรวจจับกุม Yadav เพื่อปกป้องตัวเขาเอง ก็มีกำหนดการพิจารณาคดีของเขาในวันที่ 13 สิงหาคม 2004 ในศาลแขวง Nagpur ของอินเดีย ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วละแวกใกล้เคียง ว่าเขาจะได้รับการปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวางแผนที่จะควบคุมตัวเขาไว้ จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลงแล้วจึงจะปล่อยตัวเขาไป


วันที่ 13 สิงหาคม 2004 เมื่อการพิจารณาคดีเกิดขึ้นในศาลแขวงนาคปุระหมายเลข 7 ในใจกลางเมืองนาคปุระ ห่างออกไปจากสลัม Kasturba Nagar หลายกิโลเมตร มีผู้หญิงหลายร้อยคนเดินขบวนจากสลัมไปยังศาลโดยถือมีดหันผักและพริกป่น เดินเข้าไปในห้องพิจารณาคดี และนั่งเก้าอี้แถวหน้า Yadav เดินเข้าสู่ศาลอย่างมั่นใจและไม่หวาดหวั่น

เวลาประมาณ 14.30-15.00 น. เมื่อ Yadav ปรากฏตัว เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาข่มขืน Yadav ก็แสดงท่าทีเยาะเย้ยเธอ แล้วเรียกเธอว่า ‘โสเภณี’ และบอกว่าเขาจะข่มขืนเธออีกครั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พากันหัวเราะ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เอารองเท้าของเธอตี Yadav เข้าที่ศีรษะ เธอบอก Yadav ว่าเธอจะฆ่าเขา หรือไม่เขาก็จะต้องฆ่าเธอ โดยพูดว่า “เราทั้งคู่ไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ด้วยกันได้ ถ้าไม่เป็นฉัน ก็ต้องเป็นตัวแกเอง” และผลการพิจารณาคดีคือ ‘การยกฟ้อง Yadav’


จากนั้น Yadav ก็ถูกรุมประชาทัณฑ์ทันที่ โดยกลุ่มผู้หญิงหลายร้อยคนที่ปรากฏตัวขึ้นในห้องพิจารณาคดี เขาถูกแทงไม่ต่ำกว่า 70 ครั้ง พริกป่นและก้อนหินถูกปาใส่หน้า อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าอยู่ก็ถูกปาพริกป่นใส่หน้าด้วย บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างพากันตกใจกลัวจึงรีบหนีไปจนหมดในทันที หนึ่งในเหยื่อของเขายังตัดอวัยวะเพศของเขาจนขาดด้วย

การรุมประชาทัณฑ์เกิดขึ้นบนพื้นหินอ่อนของห้องพิจารณาคดี ขณะที่เขาเริ่มถูกประชาทัณฑ์ Yadav ซึ่งถูกผงพริกปาใส่หน้าก็ตกใจกลัวมากและตะโกนขึ้นว่า “ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก!!” พวกผู้หญิงส่งมีดต่อกันไปรอบ ๆ เพื่อผลัดกันแทงเขา ผู้หญิงแต่ละคนตกลงที่จะแทง Yadav อย่างน้อยคนละ 1 แผล เลือดของเขานองอยู่บนพื้นและกระเซ็นไปทั่วผนังห้องพิจารณาคดี ภายใน 15 นาที Yadav วัย 32 ปี ก็ถึงแก่ความตาย หลังการชันสูตรพลิกศพพบว่า กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ยังคงทำร้ายศพของเขาต่อ


กลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นอ้างว่า การฆาตกรรมนั้นไม่ได้วางแผนไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่เคยมีการประชุมพูดคุยอย่างเป็นทางการใด ๆ แต่เป็นการบอกปากต่อปาก ว่าเราจะต้องจัดการร่วมกัน” และอวัยวะเพศของเขาก็ถูกตัดออก ผู้หญิงทุกคนอ้างว่าจะรับผิดชอบต่อการฆาตกรรมนี้ และถึงแม้บางคนจะถูกจับกุม แต่ในที่สุดพวกเขาก็พ้นผิด แม้ว่าผู้หญิงหลายร้อยคนจะมีส่วนร่วมในการรุมประชาทัณฑ์

Usha Narayane และคนอื่นๆ ถูกจับในข้อหาฆาตกรรม แต่ต่อมาได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากขาดหลักฐาน ผู้พิพากษา ‘Bhau Vahane’ ยอมรับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ผู้หญิงต้องเผชิญ และความล้มเหลวของตำรวจในการปกป้องพวกเธอ

การตายของ Akku Yadav กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวการแก้แค้นที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย และมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Netflix ในชื่อ ‘Murder In a court room’

'ทุนอินเดีย' ทุ่ม 4.5 พันล้าน ซื้อ RD แฟรนไชส์ KFC ในไทย มั่นใจ!! ตลาดบริโภคสัตว์ปีกในไทย 'แข็งแกร่ง-เติบโต'

(19 ธ.ค.66) RD หรือ Restaurants Development หนึ่งในผู้บริหารแฟรนไชส์ของ KFC ในประเทศไทย ซึ่งมีสาขา 274 สาขา ประกาศผนึกพันธมิตรใหม่ Devyani International DMCC บริษัทในเครือ Devyani International Limited หรือ DIL หวังช่วยสปีดสาขา

โดย RD ระบุว่า กลุ่มบริษัท DIL ในประเทศอินเดียเป็นกลุ่มบริหารจัดการขนาดใหญ่ในสายธุรกิจ QSR/LSR ให้กับแบรนด์ระดับโลก อย่าง KFC, Pizza Hut, Costa Coffee และกลุ่มธุรกิจในเครือ โดยมีเครือข่ายสาขามากกว่า 1,350 แห่งทั่วโลก ในความร่วมมือนี้ Devyani International DMCC บริษัทในเครือ Devyani International Limited (DIL) เซ็นสัญญาลงทุนในบริษัท RD เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจ QSR ในประเทศไทย

หลังจากนับตั้งแต่ปี 2559 ซึ่ง RD เริ่มเข้ามาเป็นแฟรนไชส์ร้าน KFC จำนวน 127 สาขา ภายในระยะเวลา 7 ปี RD สามารถขยายร้าน KFC ได้ถึง 274 สาขาในเดือนกันยายน 2566

ทั้งนี้ RD ย้ำว่า การทำธุรกรรมดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การอนุมัติตามกฎระเบียบและการอนุมัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนมีนาคม 2567

“พันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง DIL และ RD ต่างมีจุดมุ่งหมายในการขยายเครือข่ายสาขาในประเทศไทยผ่านความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทางธุรกิจของทั้งสองบริษัท ยกระดับประสบการณ์ที่ดีของลูกค้ารวมไปถึงชุมชนต่าง ๆ”

ทั้งนี้ รอยเตอร์ รายงานว่า ข้อตกลงดังกล่าว มีมูลค่า 128.9 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4,500 ล้านบาท และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2567 โดยการเข้าซื้อนี้ ได้ดำเนินการผ่านหน่วยงานในดูไบ ที่ถือหุ้นอยู่ 51% ในขณะที่บริษัท เทมาเส็ก เป็นเจ้าของส่วนที่เหลือ

แถลงการณ์ของ DIL ระบุว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสัตว์ปีกที่แข็งแกร่ง ในด้านการบริโภคเนื้อสัตว์ และเชื่อว่ามีโอกาสสำหรับตลาดที่จะเติบโต การซื้อกิจการครั้งนี้ จะเพิ่มสาขา KFC ในอินเดีย เนปาล และ ไนจีเรีย รวม 500 แห่ง และยังดำเนินธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) อื่นๆ ในอินเดีย เช่น Pizza Hut และ Costa Coffee

สำหรับ Restaurants Development มีพนักงานในเครือมากกว่า 4,500 คน 

'อินเดีย' จ่อขึ้นแท่น 1 ในชาติ ‘เศรษฐกิจ’ โตเร็วสุดปีหน้า คาด!! จะแซง 'ญี่ปุ่น' และขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในเอเชียปี 2573

(24 ธ.ค.66) ฟิทช์ เรตติ้งส์คาดว่า ‘อินเดีย’ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 6.5% ในปี 2567-2568 ขณะที่การขยายตัวของ GDP ของอินเดียในปี 2566-2567 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบันนั้นอยู่ที่ 6.9%

ฟิทช์ ระบุในรายงานที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ว่า "อุปสงค์จะยังคงแข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยอุปสงค์ในปี 2566 ยังคงอยู่สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย จะช่วยเพิ่มความต้องการเหล็กด้วย และยอดขายรถยนต์จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป แม้เราคาดว่าอาจจะชะลอตัวหลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566"

โดยปัจจุบันอินเดียมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐ, จีน, เยอรมนี และญี่ปุ่น

ภายในปี 2573 คาดว่า GDP อินเดีย จะแซงหน้าญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ฟิทช์ ระบุว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินเดียจะหนุนอุปสงค์ในภาคธุรกิจ แม้มีความอ่อนแอจากการขยายตัวที่ชะลอลงในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ ๆ ก็ตาม

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจอินเดีย จะขยายตัวที่ 6.3% ในปีงบประมาณปัจจุบัน (2566-2567) และในปีงบประมาณหน้า และคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาคและด้านการเงิน

ด้าน โกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช คาดการณ์ในเดือน ธ.ค.ปีนี้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% สูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 แห่งในปี 2567 ขณะที่จีนตามมาเป็นอันดับ 2 โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 4.8%

ส่วนเอสแอนด์พี (S&P) คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัว 6-7.1% ต่อปีในปีงบประมาณ 2567-2569 ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของอินเดียในปีงบประมาณ 2566-2567 ขึ้น 0.50% สู่ระดับ 7% จากการคาดการณ์ในการประชุมเดือนต.ค.ที่ 6.5%

‘อินเดีย’ สั่งเพิ่มชั่วโมงพักผ่อนของ ‘นักบิน’ หวังลดเสี่ยงจากอาการเหนื่อยล้าที่สะสม

(9 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กองอำนวยการบินพลเรือนของอินเดียสั่งเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับการจำกัดระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ของลูกเรือ โดยเฉพาะนักบิน เพื่อเพิ่มระยะเวลาพักผ่อนและระดับความตื่นตัวของพวกเขา

โดยรายงานระบุว่า ข้อบังคับฉบับแก้ไขได้เพิ่มระยะเวลาพักผ่อนรายสัปดาห์ของนักบินจาก 36 เป็น 48 ชั่วโมง เพื่อรับรองว่ามีการพักผ่อนเพียงพอหลังเผชิญความเหนื่อยล้าสะสม พร้อมกับแก้ไขคำนิยามการปฏิบัติหน้าที่ช่วงกลางคืนให้ครอบคลุมช่วงเวลา 24.00-06.00 น. แตกต่างจากข้อบังคับฉบับเดิมที่ครอบคลุมช่วงเวลา 24.00-05.00 น.

นอกจากนั้นสำหรับการทำการบินตอนกลางคืน มีการจำกัดระยะเวลาบินสูงสุดอยู่ที่ 8 ชั่วโมง และระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่สูงสุดอยู่ที่ 10 ชั่วโมง รวมถึงจำกัดจำนวนการลงจอดอยู่ที่เพียง 2 ครั้ง แตกต่างจากข้อบังคับฉบับเดิมที่อนุญาตการลงจอดตอนกลางคืนสูงสุด 6 ครั้ง เพื่อยกระดับความปลอดภัยของการบิน

อนึ่ง ข้อบังคับฉบับแก้ไขมีผลบังคับใช้ทันที และผู้ดำเนินงานสายการบินต้องปฏิบัติตามภายในวันที่ 1 มิ.ย. นี้

‘CEO’ บริษัทเทคฯ ชื่อดัง ดับสลบ!! ระหว่างโชว์ในงานเลี้ยงบริษัท หลังเกิดเหตุสลิงขาด ร่างร่วงกระแทกพื้น จากความสูง 15 ฟุต

(22 ม.ค. 67) เป็นนาทีช็อกคนร่วมงาน เมื่อ ‘ซีอีโอ’ บริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง พลัดตกลงจากความสูง 15 ฟุต เสียชีวิตระหว่างโชว์ในงานเลี้ยงบริษัท ที่อินเดีย

วันแห่งการเฉลิมฉลอง กลายเป็นเรื่องสยองขวัญทันที เมื่อซีอีโอดัง สันชัย ชาห์ ซีอีโอของ Vistex และ ประธาน Vistex Vishwanath Raju Datla ที่อยู่ในกรงเหล็กขณะที่มันถูกหย่อนลงบนเวที ในงานปาร์ตี้ของบริษัท เกิดสายสลิงขาด โดยคลิปวิดีโอได้บันทึกช่วงเวลานี้ เมื่อกรงสีเหลืองที่ลอยอยู่เริ่มโยก และเกิดประกายไฟขึ้น

จากนั้นกรงได้ตกลงไปด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บอสทั้ง 2 ของบริษัท ตกลงมาจากความสูง 15 ฟุตชายคนหนึ่งได้หงายท้องลงมา และล้มลงบนพื้น

ชาห์ เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้ ขณะที่ ดัตลาห์ ผู้บริหารอีก 1 ราย เจ็บสาหัส อยู่ในสภาพวิกฤต

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสาเหตุของอุบัติเหตุดังกล่าวน่าจะมาจากสายสลิงขาด แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้สืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

ชาห์ และ ดัตลาห์ อยู่ในอินเดีย เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบของ Vistex Asia ซึ่งจัดงานฉลอง 2 วันที่ Ramoji Film City อันโด่งดัง ทั้งนี้ บริษัท Vistex ก่อตั้งโดย ชาห์ ในปี 1999 เป็นบริษัทที่ปรึกษาที่มีสำนักงานทั่วโลกมากกว่า 20 แห่ง และมีลูกค้ามากมาย อาทิ GM, Yamaha และ Coca-Cola

ชาห์ เป็นชาวมุมไบ อินเดีย อพยพมาอเมริกามากกว่า 1 ทศวรรษ เข้าเรียนในโรงเรียนธุรกิจของมหาวิทยาลัย Lehigh โดยจบการศึกษาปริญญาโทในปี 1989 เมื่ออายุได้ 21 ปี นอกจากนี้ เขายังได้บริจาคเงิน 5 ล้านดอลลาร์ เพื่อก่อตั้ง Vistex Institute for Executive Education เมื่อปี 2017 และยังเป็นเศรษฐีใจบุญ ก่อตั้งมูลนิธิ Vistex ซึ่งมอบเงินช่วยเหลือแก่องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่มุ่งเน้นด้านสุขภาพ การศึกษา และโครงการความต้องการขั้นพื้นฐาน

‘ผู้แทนการค้าไทย’ บุก ‘อินเดีย’ ดึงภาคเอกชน ร่วมลงทุนใน EEC ชูจุดเด่นทักษะแรงงาน-สิทธิพิเศษ พร้อมเร่งผลักดันการค้าทั้ง 2 ฝ่าย

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 67 นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ตนพร้อม นายดนย์วิศว์ พูลสวัสดิ์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ และทีมประเทศไทย ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท TATA ในภาคส่วนของยานยนต์ และเหล็ก โดย TATA เป็นบริษัทชั้นนำในอินเดีย มีมูลค่าตลาด กว่า 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10.7 ล้านล้านบาท โดยเชิญชวนให้จัดตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ในพื้นที่อีอีซี และใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกไปยังประเทศอื่น ในอาเซียน ชูจุดเด่นด้านทักษะแรงงาน สถานที่ตั้งและสิทธิพิเศษด้านการลงทุน

ในขณะที่การหารือกับผู้บริหารบริษัท Mahindra ที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ การให้บริการด้านไอที และเป็นบริษัทที่จัดจำหน่ายรถเทรคเตอร์มากที่สุดในโลก ซึ่งทางบริษัทจะเริ่มนำรถแทรกเตอร์เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยภายในกลางปีนี้ และหากยอดขายเป็นไปตามเป้า ทางบริษัทจะพิจารณาการจัดตั้งโรงงานในไทย เพื่อจัดจำหน่ายในไทย และส่งไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทย และเป็นการส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่ โดยตนพร้อมจะสนับสนุนและประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง

นางนลินี กล่าวว่า นอกจากนั้น ได้หารือประธาน IMC Chamber of Commerce and Industry ซึ่งเป็นหอการค้าที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1907 และมีสมาชิกกว่า 5,000 คน โดยได้เสนอให้พัฒนาความร่วมมือระหว่าง IMC Youth และผู้ประกอบการรุ่นใหม่หอการค้า (YEC) เนื่องจากคนรุ่นใหม่ของ 2 ประเทศ จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน และผลักดันความสัมพันธ์ทางการค้าต่อไป

นอกจากนี้ ตนยังได้เชิญชวนให้ใช้อีอีซี เป็นฐานในการผลิตไฟฟ้าอีวี และยาและเวชภัณฑ์เพื่อขายในภูมิภาค สำหรับการหารือกับ Confederation of Indian Industry (CII) ทั้งนี้ตนได้เน้นย้ำถึงความสำคัญด้านการเชื่อมโยง โดยเฉพาะโครงการถนนสามฝ่ายอินเดีย-เมียนมา-ไทย เมื่อแล้วเสร็จจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทางการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ตนยังได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการชาวอินเดียลงทุนในอุตสาหกรรมโรงแรม เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของนักท่องเที่ยวอินเดียในไทย

30 มกราคม พ.ศ. 2491 ‘มหาตมะ คานธี’ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอินเดีย ถูก ‘ปลิดชีพ’ ด้วยปลายกระบอกปืนจากผู้คลั่งศาสนา

ย้อนกลับไปในช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 ‘มหาตมะ คานธี’ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอินเดียกำลังยืนอยู่กลางสนามหญ้า และสวดมนต์ตามกิจวัตร เหมือนอย่างเคย หากแต่วันนี้ทุกอย่างดำเนินไปจน ‘เกือบ’ จะปกติ แต่มีบางสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อ ‘นายนาถูราม โคทเส’ ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนาและไม่ต้องการฮินดู (อินเดีย) สมานฉันท์กับมุสลิม (ปากีสถาน) ได้ใช้อาวุธปืนปลิดชีพผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอินเดีย ด้วยลูกกระสุน 3 นัด จนเขาล้มลงขณะพนมมือ 

ขณะที่เขาล้มลง คานธีได้เปล่งเสียงแผ่วเบาว่า “ราม” (บ้างก็ว่า “เห ราม” ซึ่งมีความหมายว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า) และนั่นจึงกลายเป็นคำพูดสุดท้าย ในบั้นปลายชีวิตของมหาบุรุษผู้ต่อสู้กับมหาอำนาจด้วยสันติวิธีในวัย 78 ปี หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ได้เพียง 6 เดือน

สิ่งที่ทำให้ชื่อของ ‘มหาตมะ คานธี’ เป็นที่รู้จักนั่นเพราะการเรียกร้องเอกราชและความเสมอภาค ด้วยวิธี ‘สัตยาเคราะห์’ ที่เน้นความเป็นสันติวิธี อันมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่คานธีเป็นทนายความในวัย 24 ปี โดยเกิดขึ้นบนสถานีรถไฟในประเทศแอฟริกาใต้ครั้งยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ

ในขณะนั้นเขาเพิ่งเรียนจบกฎหมายจากลอนดอนกลับมาอยู่ที่อินเดียได้ไม่นาน และได้เดินทางไปแอฟริกาใต้เพื่อไปเป็นนักกฎหมายประจำบริษัท Dada Abdulla ที่ทำการค้าอยู่ที่นั่น ในเดือนเมษายน ปี 1893 คานธีซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้รถไฟที่หรูหราสะดวกสบายตามอัตราค่าบริการที่สูง แต่เขากลับถูกไล่ลงจากสถานีแรก ให้ไปอยู่ที่ตู้รถไฟชั้นสาม (ชั้นทั่วไปที่ไม่มีความสะดวกสบายและราคาถูก) โดยพนักงานตรวจตั๋วและผู้โดยสารชาวอังกฤษที่อ้างว่าตู้รถไฟชั้นหนึ่งสร้างขึ้นสำหรับผู้โดยสารผิวขาวเท่านั้น

นั่นทำให้คานธีตระหนักได้ว่า ไม่เฉพาะชาวอินเดียที่ถูกข่มเหงจากคนอังกฤษ ยังรวมไปถึงชาวแอฟริกาที่ถูกกระทำไม่ต่างกับสัตว์ ในที่สุดคานธีคิดว่าเขาจะอยู่ต่อและต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม ช่วงแรกของการต่อสู้ที่แอฟริกา คานธีจัดประชุมอพยพชาวอินเดีย นี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อสิทธิชาวอินเดียในแอฟริกา (ท้ายที่สุดกลายเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวผิวสีทุกคน) เพื่อต่อต้านกฎหมายที่อังกฤษร่างขึ้นเพื่อใช้กดขี่ทั้งชาวอินเดียและชาวแอฟริกา ทั้งเขียนบทความ ออกไปพูดชักชวนคนอินเดียให้ประท้วง ในช่วง 7 ปีในแอฟริกาคานธีถูกจับ ถูกเฆี่ยนตี แต่ในทุกครั้ง เขากลับเดินเข้าคุกด้วยความสงบ และยิ้มรับด้วยความเต็มใจ

คานธี จึงตั้งชื่อขบวนการต่อสู้นี้ว่า สัตยาเคราะห์ (สัตยาคฤห Satyagraha) ซึ่งเป็นคำสมาสจากคำในภาษาสันสกฤตคำว่า สัตยา ที่แปลว่า ความจริง (ที่นำมาสู่ความรัก) และคำว่า อะเคราะห์ ที่แปลว่า ความเด็ดเดี่ยว (ที่นำมาสู่พลัง) รวมกันเป็น “ความจริงและความรักที่ผนึกเข้าเป็นพลังอันแข็งเกรง” นำมาอธิบายแนวคิดของการต่อสู้เพื่อความถูกต้องและนำมาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ที่ปฏิบัติได้จริง

นั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิดของคานธีที่นำมาใช้เรียกร้องเอกราชของอินเดียในเวลาต่อมา และเป็นแบบอย่างของการเรียกร้องแนวอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน การเว้นจากการทำร้าย) ภายใต้คำว่า “สัตยาเคราะห์” ของชายชื่อ มหาตมะ คานธี

‘3 คนข่าวดัง’ ขอยก 3 ผู้นำ ‘อินเดีย-จีน-ญี่ปุ่น’ ต้องฉายานี้ ‘มาหาภารตะ - จิ๋นสีฮ่องเต้ - เห็นเงียบๆ แต่งานเพียบ’

(1 ก.พ. 67) วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย), ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) และดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้พูดถึงผลงานของผู้นำ 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย จีน และญี่ปุ่นในปี 2023 ที่ผ่านมา รวมถึงผลงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 พร้อมตั้งฉายาให้ผู้นำแต่ละประเทศ

ด้าน วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย) ได้ให้ฉายา ‘นเรนทรา โมที’ ประธานาธิบดีอินเดียว่า ‘มาหาภารตะ’ โดยอธิบายว่า มหาภารตะคือคัมภีร์ที่ชาวอินเดียและชาวโลกรู้จักกันอยู่แล้ว สำหรับ ‘นเรนทรา โมที’ กับย่างก้าวของอินเดียในปีที่ผ่านมา ก็อยากเติมสระอาไว้ให้ กลายเป็น ‘มาหาภารตะ’

สำหรับอินเดีย เป็นประเทศที่คบค้าได้กับทุกชาติ แต่ ‘นเรนทรา โมที’ จะยึดผลประโยชน์ของอินเดียไว้เป็นอันดับแรกเสมอ และเขาใช้คำว่า ‘ภารตะ’ เป็นคำแทนประเทศอินเดียอยู่บ่อย ๆ ด้วย ส่วนการเลือกตั้งในปี 2024 นี้ เชื่อว่าไม่มีใครโค่นเขาลงได้แน่นอน

ทางด้าน ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) ได้ให้ฉายา ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีนว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’ โดยอธิบายว่า ชื่อของสี จิ้นผิง ไปสอดคล้องพ้องเสียงกับจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนในอดีตผู้ที่เคยรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกมาเป็นแผ่นดินใหญ่ได้ ซึ่งก็ตรงกับปณิธานของสี จิ้นผิง ที่ต้องการรวบรวมฮ่องกง ไต้หวัน และน่านน้ำต่างๆ มาให้ได้ภายในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ จึงเป็นเหมือนการสถาปนาแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหม่ขึ้นมา จึงให้ฉายาว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’

ปิดท้ายด้วย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้ให้ฉายา ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่า ‘เห็นเงียบ ๆ แต่งานเพียบ’ โดยอธิบายว่า งานเพียบก็คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องในมุ้งการเมือง ทั้งเรื่องการปรับ ครม. เรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน แม้ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะดูนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรหวือหวา บวกกับบุคลิกของนายกรัฐมนตรีที่นิ่งเงียบด้วย แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาและงานให้ต้องแก้ไขเยอะมาก ก็ต้องมาตามดูกันว่าจะสามารถอยู่ต่อในสมัยที่ 2 ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ก็ต้องไล่แก้ปัญหามากมาย อาจจะต้องใช้ความนิ่งสงบสยบความวุ่นวายและปัญหา

'อีอีซี' ร่วม 'CtrlS' ทุนบิ๊กอินเดีย ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกใน EECd เชื่อ!! ช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ไหลเข้าไทย

(2 ก.พ. 67) ดร.นลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย และ H.E. Mr. Nagesh Singh เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน พิธีลงนามสัญญาเช่าพื้นที่ราชพัสดุในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ภายในพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ EECd จังหวัดชลบุรี ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ บริษัท CtrlS Datacenters จากประเทศอินเดีย เพื่อตั้งโครงการไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ (Hyperscale Datacenter) ในประเทศไทย โดยมี ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี และ Mr.Siddharth Singh รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาด (Senior Vice President, Marketing) บริษัท CtrlS Datacenters เป็นผู้ลงนามสัญญา

การลงนามสัญญาฯ ครั้งนี้ เพื่อประกาศถึงความสำเร็จรับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษของพื้นที่อีอีซี โดยบริษัท CtrlS ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำระดับโลก (Hyperscale Tier4) จากประเทศอินเดีย และรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย ได้เช่าพื้นที่ภายในเขต EECd ซึ่งเป็นพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษจากอีอีซี จำนวน 25 ไร่ ระยะเวลา 50 ปี ลงทุนโครงการไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ ศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลด้านดิจิทัลได้สูงสุด และถือเป็นการขยายฐานการลงทุนนอกประเทศครั้งแรก รับกลุ่มลูกค้าด้านบริการข้อมูลชั้นนำระดับโลก มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 15,000 ล้านบาท สร้างรายได้จากการเช่าพื้นที่ให้อีอีซี ประมาณ 1,300 ล้านบาท สนับสนุนการจ้างงานในพื้นที่ประมาณ 1,000 อัตรา เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี การฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับ บริการระบบข้อมูล (Cloud Service) รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืน ตามนโยบายหลักของรัฐบาล และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับการแข่งขันของประเทศ 

ทั้งนี้ การลงทุนโครงการไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ จะใช้เทคโนโลยีจัดการพลังงาน และพลังงานสะอาดรองรับกำลังไฟฟ้าสูงสุด 150 เมกะวัตต์ รวมทั้งที่ตั้งจะอยู่ใกล้สถานีเคเบิลใต้น้ำชลี 3 จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อที่มีความพร้อมทั้งโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำและภาคพื้นดิน สามารถเชื่อมต่อระหว่างประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และไต้หวัน ด้วยระบบเคเบิลใต้น้ำประสิทธิภาพสูง และเชื่อมต่อไปยังดาต้าเซ็นเตอร์ และนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2568 และจะเป็นโครงการสำคัญ ให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางดิจิทัลแห่งภูมิภาค รองรับนักลงทุนในและต่างประเทศในธุรกิจดิจิทัลขั้นสูง เช่น 5G ระบบ AI, Cloud, IoT, Smart City และสามารถดึงดูดผู้ประกอบการด้านบริการข้อมูลระดับโลกให้เข้าลงทุนในพื้นที่อีอีซี ต่อไป 

‘SCG’ มอบทุนการศึกษาเรียนต่อป.ตรี-เอก ในจีน-อินเดีย ฟรี!! ค่าเรียน 100% สมัครได้ตั้งแต่วันนี้-31 พ.ค.67

(8 ก.พ. 67) เพจ ‘SCG Careers’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า “ทุน 2024 มาแล้วววว!!

SCG มอบทุนการศึกษาให้กับบุคคลทั่วไปเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ณ ประเทศจีนและประเทศอินเดีย ในมหาวิทยาลัยและสาขาที่ SCG กำหนด

โดย SCG สนับสนุนทุนการศึกษา ค่าเรียน 100% ค่าเบี้ยเลี้ยง และที่พัก *และเมื่อจบการศึกษายังมีโอกาสเข้ามาเป็นพนักงานบริษัทในเครือ SCG อีกด้วย

เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2567
เพื่อน ๆ ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณนภัสวรรณ โทร: 088-660-8222 หรือทาง Email: [email protected]

*เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทกำหนด”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top