Monday, 20 May 2024
อินเดีย

‘เบอร์เกอร์คิง อินเดีย’ ประกาศงดใส่มะเขือเทศในทุกเมนู หลังประเทศเผชิญฤดูมรสุม ทำพืชผักขาดแคลน-ราคาพุ่ง

เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ‘เบอร์เกอร์ คิง’ (Burger King) ฟาสต์ฟูดแบรนด์ดังที่มีสาขาทั่วโลก ประกาศงดใส่มะเขือเทศในทุกรายการอาหารที่มีอยู่ของร้านสาขาทั่วประเทศอินเดีย หลังจากมะเขือเทศมีราคาพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวพืชผล

ส่งผลให้‘เบอร์เกอร์ คิง เป็นเครือร้านขายเบอร์เกอร์ชื่อดังรายที่ 2 ต่อจากแมคโดนัลด์ ที่งดใส่มะเขือเทศในเมนูอาหารที่เครือร้านสาขาในอินเดียเป็นการชั่วคราวไปก่อนหน้า

เบอร์เกอร์ คิงให้เหตุผลถึงการตัดสินใจดำเนินการเช่นนี้ ว่าเป็นเพราะเงื่อนไขที่คาดเดาไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพและผลผลิตของมะเขือเทศ

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสียหายของพืชผลเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย เป็นสาเหตุให้เกิดการขาดแคลนในตลาด

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ‘ซับเวย์’ (Subway) เครือร้านขายแซนด์วิชชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ก็ได้งดใช้มะเขือเทศเป็นส่วนประกอบในรายการอาหาร ที่ให้บริการในร้านสาขาในอินเดียเช่นกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อด้านอาหารของอินเดียพุ่งสูงสุด นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2563 นอกจากนี้ ซับเวย์ยังยกเลิกการให้ชีสฟรี 3 แผ่นสำหรับเมนูแซนด์วิชที่ให้มาเป็นเวลาหลายปีอีกด้วย

ทั้งนี้ ราคาสินค้าจำเป็นในประเทศอินเดียพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่เดือนมานี้ สำหรับมะเขือเทศมีราคาพุ่งขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 250 รูปี (ราว 100 บาท) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากฝนฤดูมรสุมได้ส่งผลกระทบต่อพืชผลและห่วงโซ่อุปทาน

อย่างไรก็ดี ราคามะเขือเทศในตลาดอินเดียได้เริ่มลดลงเมื่อต้นนี้ หลังจากเริ่มมีการนำเข้ามะเขือเทศมาจากชาติเพื่อนบ้านอย่างเนปาล เพื่อบรรเทาวิกฤตอุปทานในอินเดีย

‘อินเดีย’ ส่งยาน ‘จันทรายาน-3’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ลงจอดที่ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์สำเร็จเป็นชาติแรก

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 ยานสำรวจ จันทรายาน-3 ของ อินเดีย ลงจอดบริเวณขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จแล้วเมื่อเวลาประมาณ 19.34 น.ของเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาในประเทศไทย ท่ามกลางการส่งเสียงเชียร์ด้วยความดีใจของบรรดานักวิทยาศาสตร์ขององค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) และชาวอินเดียทั่วประเทศที่ลุ้นกันตัวโก่ง

ภารกิจในห้วงอวกาศครั้งประวัติศาสตร์นี้ ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นชาติแรกที่ส่งยานอวกาศลงจอดขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จ และเป็นประเทศที่ 4 ของโลกที่สามารถส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ได้ ต่อจากอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และ จีน ซึ่งทำให้อินเดียผงาดสู่การเป็นมหาอำนาจอวกาศอีกชาติหนึ่ง

ภายหลังจากที่ยานจันทรายาน 3 ได้ลงจอดสำเร็จนั้น หน่วยงานอวกาศรอสคอส ของรัสเซีย ได้แสดงความยินดีกับอินเดีย ที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดของยานอวกาศนี้ ผ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่า การสำรวจดวงจันทร์มีความสำคัญต่อมนุษยชาติทั้งหมด ในอนาคต มันอาจกลายเป็นเวทีสำหรับการเรียนรู้อวกาศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งร่วมชมการถ่ายทอดสดขณะยานจันทรายาน-3 ลงจอดบนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์ด้วยในระหว่างที่เขาอยู่ในระหว่างร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์อยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เขาได้โบกธงชาติอินเดียและกล่าวอย่างปลาบปลื้มในการประกาศความสำเร็จของภารกิจนี้ครั้งนี้ว่า นี่เป็นชัยชนะของอินเดีย

“แนวทางที่มีมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนี้… คือ โลกหนึ่งใบ หนึ่งครอบครัว อนาคตหนึ่งเดียวที่กำลังก้องกังวานไปทั่วโลก” เขาระบุ และยังสนับสนุนให้ประเทศอื่นๆ ได้เปิดภารกิจของตนเอง โดยกล่าวว่า ความสำเร็จของอินเดีย คือความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ

“เราทุกคนสามารถปรารถนาถึงดวงจันทร์ และที่อื่นๆเหนือไปกว่านั้นได้”

“ท้องฟ้าไม่ใช่ขีดจำกัดอีกต่อไป” นเรนทรา โมดี กล่าว

ภารกิจจันทรายาน-3 ครั้งนี้ ซึ่งเป็นความพยายามครั้งที่ 2 ของอินเดียในความพยายามส่งยานอวกาศลงบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น มีขึ้นไม่ถึงสัปดาห์หลังจากยานลูนา-25 ของรัสเซีย ประสบความล้มเหลวที่จะลงจอดบนดวงจันทร์

ทั้งนี้ คาดว่าจันทรายาน-3 จะยังคงทำงานได้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยทำการทดลองหลายชุด รวมถึงการวิเคราะห์องค์ประกอบของแร่ธาตุบนพื้นผิวดวงจันทร์

ทั้งนี้ ภารกิจนี้เปิดตัวเมื่อเกือบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีผู้ชมหลายพันคนที่ส่งเสียงให้กำลังใจเป็นสักขีพยาน โดยเคลื่อนที่ไปตามวงโคจรของโลกเป็นเวลาราว 10 วัน และเข้าไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้สำเร็จในวันที่ 6 สิงหาคม

‘อินเดีย’ เตรียมส่ง ‘อาดิตยา แอล 1’ สำรวจดวงอาทิตย์ 2 ก.ย.นี้ หลังสร้างประวัติศาสตร์พิชิตดวงจันทร์สำเร็จเป็นชาติแรกของโลก

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, นิวเดลี รายงานว่า องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) เปิดเผยกำหนดการปล่อยดาวเทียม ‘อาดิตยา แอล 1’ (Aditya L1) เพื่อทำภารกิจสำรวจดวงอาทิตย์ครั้งแรก ว่าน่าจะมีขึ้นในวันที่ 2 ก.ย.นี้

‘นิเลช เอ็ม เดไซ’ ผู้อำนวยการศูนย์ประยุกต์อวกาศ (SAC) ในเมืองอาห์เมดาบัด ระบุว่า ดาวเทียมอาดิตยา แอล 1 อยู่บนแท่นปล่อยจรวดและพร้อมสำหรับการปล่อยแล้ว

ดาวเทียมดวงดังกล่าวจะบรรทุกเครื่องมือ 7 รายการ เพื่อศึกษาชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ พายุสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบโลก โดยจะถูกส่งไปวงโคจรรัศมีรอบจุดลากรางจ์ 1 (L1) ของระบบดวงอาทิตย์-โลก ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 1.5 ล้านกิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม อินเดียทูเดย์ รายงานว่า โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึก ที่ไม่เคยมีมาก่อนของดวงอาทิตย์ และผลกระทบที่มีต่อสภาพอากาศ ตั้งชื่อตามแกนของดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้เดินทางไปดวงอาทิตย์จริงๆ แบบที่หลายคนเข้าใจ

ดาวเทียม ‘อาดิตยา แอล 1’ จะวางตำแหน่งตัวเองในวงโคจรรัศมีรอบจุดลากรางจ์ ของระบบดวงอาทิตย์-โลก ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 1.5 ล้านกิโลเมตร ซึ่งตำแหน่งนี้จะช่วยให้สามารถสังเกตดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ถูกขัดขวางโดยสุริยุปราคา และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ ศึกษากิจกรรมแสงอาทิตย์ และผลกระทบต่อสภาพอากาศในแบบเรียลไทม์

ภารกิจอาดิตยา แอล 1 จะใช้เวลามากกว่า 100 วันโลก หลังจากปล่อยสู่อวกาศ เพื่อไปถึงวงโคจรรัศมีรอบจุดแอล 1 ดาวเทียมมีน้ำหนัก 1,500 กิโลกรัม บรรทุกสิ่งของวิทยาศาสตร์ 7 ชิ้น

เอ็นดีทีวี ของอินเดีย เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวถูกสร้างด้วยต้นทุนเกือบครึ่งหนึ่งของ ‘จันทรายาน -3’ โดยรัฐบาลอนุมัติเงิน 378 ล้านรูปี ในปี 2019 สำหรับการศึกษาบรรยากาศของดวงอาทิตย์ แต่ไม่มีข้อมูลที่มากกว่านั้น

ไม่นานมานี้ ‘จันทรายาน 3’ ของอินเดีย เพิ่งจะลงจอดลงในขั้วโลกใต้ของอินเดียได้สำเร็จเป็นชาติแรกของโลก โดยมูลค่าของโครงการดังกล่าวอยู่ที่ 600 ล้านรูปี ซึ่งเทียบกับการสร้างภาพยนตร์บอลลีวูดฟอร์มยักษ์ 2 เรื่อง

‘อินเดีย’ ปล่อยจรวดส่งยาน ‘อาทิตยา-แอล 1’ ไปสำรวจดวงอาทิตย์แล้ว ใช้เวลาเดินทาง 4 เดือน ระยะทาง 1.5 ล้านกิโลเมตร ก่อนถึงหมุดหมาย

เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 66 องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (Indian Space Research Organisation = ISRO) ถ่ายทอดสดการปล่อยจรวดขนส่งยานสำรวจระบบสุริยจักรวาล ‘อาทิตยา-แอล 1’ (Aditya-L1) ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว เพื่อเดินทางไปสำรวจดวงอาทิตย์ที่จะใช้เวลาในการเดินทางเป็น 4 เดือน ภายใต้โครงการอวกาศอันทะเยอทะยานของอินเดีย

หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อน อินเดียเพิ่งประสบความสำเร็จในการสร้างประวัติศาสตร์เป็นชาติแรกของโลกที่ส่งยานสำรวจลงจอดบริเวณขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จ และเป็นชาติที่ 4 ของโลกที่ส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ได้

จรวดขนส่งนำยานอาทิตยา-แอล 1 ทะยานออกจากฐานปล่อยจรวดของ ISRO บนเกาะศรีหริโคตาเมื่อเวลาก่อนเที่ยงวันของวันเสาร์ (2 ก.ย.) นี้ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมทางเทคนิคในภารกิจนี้ตลอดจนผู้เฝ้ารอชมอยู่หลายร้อยคน ต่างส่งเสียงเชียร์ปรบมือด้วยความยินดี

“การปล่อยประสบความสำเร็จ ทุกอย่างปกติ” เจ้าหน้าที่ ISRO ประกาศจากศูนย์ควบคุมภารกิจ ขณะจรวดขนส่งนำยานสำรวจมุ่งหน้าสู่ชั้นบรรยากาศตอนบนของโลก

ยานสำรวจดังกล่าวกำลังนำเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อไปสังเกตการณ์ชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ ที่จะใช้เวลาในการเดินทางราว 4 เดือน

ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาและองค์การอวกาศยุโรป (ESA) ส่งยานสำรวจไปยังศูนย์กลางระบบสุริยจักรวาลมาแล้วหลายครั้ง เริ่มจากโครงการ Pioneer ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) ในทศวรรษ 1960 ขณะที่ญี่ปุ่นและจีนเพียงส่งยานสังเกตการณ์ระบบสุริยะขึ้นสู่วงโคจรโลก

หากภารกิจล่าสุดนี้ของ ISRO ประสบความสำเร็จ อินเดียจะกลายเป็นชาติแรกในเอเชียที่ส่งยานสำรวจไปโคจรรอบดวงอาทิตย์สำเร็จ

นายโสมัก ไรเชาดูรี นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ของอินเดีย กล่าวในวันก่อนว่า นี่เป็นภารกิจที่ท้าทายสำหรับอินเดีย และว่า ภารกิจนี้จะศึกษาการปลดปล่อยมวลขนาดใหญ่ออกมาจากบรรยากาศชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ที่จะเห็นการปล่อยพลาสมาและพลังงานแม่เหล็กจำนวนมหาศาลจากชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ การปลดปล่อยที่ทรงพลังมากเหล่านี้สามารถมาถึงโลกและอาจขัดขวางการทำงานของดาวเทียมดวงต่างๆ ได้

ทั้งนี้ อาทิตยา-แอล 1 ตั้งตามชื่อเทพแห่งดวงอาทิตย์ในศาสนาฮินดู จะเดินทางเป็นระยะทาง 1.5 ล้านกิโลเมตร เพื่อไปถึงจุดหมาย ซึ่งยังคงเป็นเพียงแค่ 1% เท่านั้นของระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์

‘อินเดีย’ ส่งซิกอาจเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘ภารัต’ ในเวทีประชุม G20 ส่วนทางด้านรัฐบาลยังไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องนี้

(6 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อินเดียอาจกำลังพยายามจะเปลี่ยนชื่อประเทศจากอินเดีย เป็น ‘ภารัต’ ซึ่งเป็นชื่อประเทศอินเดียในภาษาฮินดี

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อหลายคนพบเห็นป้ายคัตเอาท์ที่มีข้อความต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม จี 20 ที่อินเดียเป็นเจ้าภาพที่กรุงนิวเดลี ระหว่างวันที่ 9-10 ก.ย. นี้ โดยใช้ชื่ออินเดียในภาษาอังกฤษ และ ภารัต หรือภารตะในภาษาฮินดี

นอกจากนี้ ในบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ที่ประธานาธิบดีดรูพาดี มูร์มู ของอินเดีย ส่งให้ผู้นำต่างชาติ ได้ระบุว่าเธอเป็นประธานาธิบดีแห่งภารัต ยิ่งทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอินเดียกำลังดำเนินความพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ จากอินเดีย เป็นภารัต อันเป็นภาษาฮินดีที่หมายถึงประเทศอินเดีย และมีที่มาจากชื่อกษัตริย์ภารตะที่เคยครอบครองดินแดนในแถบอินเดียทั้งหมด

รัฐบาลอินเดียยังไม่ยืนยันหรือปฏิเสธเรื่องนี้ ขณะที่เว็บไซต์ของทางการยังคงใช้ชื่อประเทศอินเดียอยู่ ด้านสมาชิกพรรคภารติยะ ชนตะหรือบีเจพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอินเดียพากันยกย่องและแสดงท่าทีเห็นด้วย เพราะมองว่าคำว่า ภารัต เป็นความภาคภูมิใจของชาวอินเดีย เป็นชื่อประเทศอินเดียแท้ๆ ไม่ใช่คำว่าอินเดียที่ถูกนำมาใช้ในยุคที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ และเป็นสัญลักษณ์แห่งระบบทาส ภายใต้การปกครองของอังกฤษนาน 200 ปี จนกระทั่งได้รับอิสรภาพในปี พ.ศ.2490 ขณะที่ พรรคฝ่ายค้านอินเดียวิพากษ์วิจารณ์ และแย้งว่าควรใช้ชื่ออินเดียและภารัตไว้ในฐานะชื่อทางการต่อไป

'เมียนมา' เล็ง!! เสนอวีซ่าท่องเที่ยว 1 ปี ให้ 'ชาวจีน-อินเดีย' เที่ยวได้ทุกแห่ง เว้นพื้นที่ต้องห้าม หวังดึงเม็ดเงินกลับมา

(16 ก.ย.66) หนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar ของทางการเมียนมารายงานว่า เร็วๆ นี้รัฐบาลจะประกาศโครงการนำร่องหนึ่งปีให้วีซ่าท่องเที่ยวขอได้ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียสามารถท่องเที่ยวในเมียนมาได้ทุกที่ยกเว้นพื้นที่ต้องห้ามด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เทียบกับปัจจุบันที่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวออนไลน์หรือไปที่สถานทูตเมียนมา

ทั้งนี้ หากมองรัฐบาลทหารเมียนมาที่ยังคงจัดการฝ่ายต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี 2564 โดยยอมรับว่า ยังควบคุมพื้นที่ไม่ได้ทั้งหมดนั้น ทำให้หลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย จึงแนะนำไม่ให้คนของตนมาเมียนมา เนื่องจากความขัดแย้งยังมีอยู่

ต่างจากจีนและอินเดียซึ่งมีพรมแดนติดกับเมียนมา อีกทั้งยังมีสัมพันธ์กับเหล่านายพลนับตั้งแต่ก่อรัฐประหาร

ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงการท่องเที่ยวเมียนมากำลังทำงานเพื่อดึงดูดนักเดินทางจากรัสเซีย พันธมิตรหลักและประเทศผู้จัดหาอาวุธอีกรายด้วย

ไม่กี่วันก่อนสายการบินแห่งชาติเมียนมาเริ่มบนตรงไปยังเมืองโนโวซีบีสค์ของรัสเซีย รัฐบาลทหารเผยว่ากำลังจะอนุญาตให้ใช้บัตร Mir ของรัสเซียชำระเงินได้โดยตรง

เมียนมา หลังจากกองทัพปกครองประเทศมาหลายสิบปี จนกระทั่งเมียนมาได้เปิดประเทศเมื่อปี 2554 และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่พอเจอช่วงโควิดระบาดก็ต้องปิดประเทศ ซ้ำยังตามด้วยการรัฐประหาร และปราบปรามฝ่ายต่อต้าน จนทำให้นักท่องเที่ยวหายไป

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจเมียนมาตกต่ำอย่างหนัก ค่าเงินจ๊าดดิ่งมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลายเมืองหลักประสบปัญหาไฟฟ้าดับ เอทีเอ็มและเคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหายาก

มาตรการนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลทหารเมียนมาคงต้องเร่งทำ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติและเม็ดเงินกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ 'ชาวจีน-อินเดีย' ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ 

‘อินเดีย’ ตึง!! ระงับออกวีซ่าพลเมืองชาวแคนาดา หลังถูกกล่าวหาเอี่ยวสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

‘อินเดีย’ ระงับการออกวีซ่าให้กับพลเมืองชาวแคนาดา โดยอ้างเหตุผลเรื่องภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อเจ้าหน้าที่ในแคนาดา ในจังหวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติดิ่งหนัก จากประเด็นการสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 66 บริษัทผู้ให้บริการออกวีซ่าในแคนาดา บีแอลเอส อินเตอร์เนชันแนล ประกาศระงับการออกวีซ่าในแคนาดา ‘อย่างไม่มีกำหนด’ เนื่องจาก ‘ปัญหาด้านการปฏิบัติการ’ ตามการเปิดเผยของกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

อินเดียประกาศแผนระงับออกวีซ่าให้แคนาดา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสถานทูตแคนาดาในอินเดียประกาศปรับจำนวนเจ้าหน้าที่ในอินเดีย เนื่องจากเจ้าหน้าที่การทูตแคนาดาบางรายได้รับคำข่มขู่คุกคามบนสื่อสังคมออนไลน์

การเคลื่อนไหวของแคนาดาและอินเดีย ยิ่งสะท้อนถึงสัมพันธ์ร้าวลึกระหว่างสองชาติ ซึ่งมีต้นตอมาจากการที่รัฐบาลแคนาดาเดินหน้าสืบสวนข้อกล่าวหาที่ว่าอินเดียมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบสังหาร ‘ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์’ นักเคลื่อนไหวชาวซิกข์วัย 45 ปี ที่มณฑลบริติชโคลัมเบีย เมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งรัฐบาลอินเดียออกมาปฏิเสธ

ประเด็นดังกล่าวได้นำไปสู่ความตึงเครียดด้านการทูตและเศรษฐกิจระหว่างกัน ตั้งแต่การขับทูตของอีกฝ่ายออกนอกประเทศ การแจ้งเตือนพลเมืองให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยในการพำนักอาศัยในประเทศคู่กรณี ไปจนถึงการระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างกัน

‘อินเดีย’ ยังไม่สามารถปลุกยานสำรวจดวงจันทร์ได้ หลังเข้าสู่โหมดนอนหลับ แม้ภารกิจจะสำเร็จแล้วก็ตาม

(26 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นายเอ เอส คิราน คูมาร์ อดีตผู้อำนวยการองค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) กล่าวเมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า โอกาสที่วิกรม (Vikram) ยานลงจอดดวงจันทร์ของยานสำรวจอวกาศจันทรายาน-3 ของอินเดีย จะติดขึ้นมาอีกครั้งหลังเจอกับคืนข้างแรมอันหนาวเย็นบนดวงจันทร์ได้ลดน้อยลงไปทุกๆ ชั่วโมง แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์จะพยายามติดต่อกับยานให้ได้จนถึงวันสุดท้ายของวันข้างขึ้น

ยานลงจอดดวงจันทร์วิกรม ซึ่งบรรจุหุ่นยนต์สำรวจดวงจันทร์ที่ชื่อปรัชญาณ ได้ลงจอดบนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้ทำการสำรวจดวงจันทร์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่ทั้งวิกรมและปรัชญาณจะเข้าสู่ sleep mode เมื่อเข้าสู่วันข้างแรม โดยไอเอสอาร์โอหวังว่าแบตเตอรี่ของวิกรมและปรัชญาณจะถูกชาร์จใหม่และตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถึงวันข้างขึ้นในวันที่ 22 กันยายน เนื่องจากยานทั้งสองต้องใช้แสงอาทิตย์ในการชาร์จแบตเตอรี่

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงวันข้างขึ้น ไอเอสอาร์โอระบุว่า ทางหน่วยงานกำลังพยายามติดต่อวิกรมและปรัชญาณให้ได้ แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ ตอบกลับมา ซึ่งขณะนี้ไอเอสอาร์โอยังไม่ได้ประกาศความคืบหน้าของความพยายามดังกล่าวแต่อย่างใด

นายคูมาร์กล่าวว่า “ยานลงจอดดวงจันทร์และหุ่นยนต์สำรวจดวงจันทร์มีส่วนประกอบหลายชิ้นที่อาจไม่รอดจากอากาศอันเยือกเย็นบนดวงจันทร์” บริเวณใกล้กับขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์อาจมีอุณหภูมิต่ำถึง -200 ถึง -250 องศาเซลเซียสได้ในช่วงกลางคืน

“เราไม่สามารถติดต่อกับยานลงจอดดวงจันทร์ได้เลย เว้นแต่ว่าทรานสมิตเตอร์ของยานจะติดขึ้นมาอีกครั้ง มันต้องบอกเราว่ามันยังมีชีวิตอยู่ และต่อให้ระบบย่อยอื่นๆ ทั้งหมดของยานยังคงทำงานได้ แต่เราก็จะไม่มีทางทราบได้เลย” นายคูมาร์ กล่าวให้ข้อมูล

ทั้งนี้เมื่อตอนที่ไอเอสอาร์โอปรับวิกรมและปรัชญาณเข้าสู่ sleep mode ทางหน่วยงานบอกว่ายานทั้งสองได้บรรลุภารกิจทั้งหมดของตัวเองแล้วแต่หวังว่ามันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถึงวันข้างขึ้นครั้งใหม่ และถึงแม้ว่าวิกรมและปรัชญาณจะไม่ตื่นขึ้นมาทำงานอีกครั้ง แต่ยานทั้งสองจะอยู่บนดวงจันทร์ต่อไปในฐานะทูตดวงจันทร์ของอินเดีย

‘รัฐบาลไทย’ หารือ ‘ทูตอินเดีย’ เตรียมฟื้นฟู FTA-เปิดตลาดเสรี หนุนการค้า-ลงทุนทุกมิติ ดันไทยสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจภูมิภาค

(28 ก.ย. 66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้หารือกับ นายนาเคศ สิงห์ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย โดยอินเดียพร้อมฟื้นฟูความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ไทย-อินเดีย อีกครั้ง และพร้อมแก้ไขปัญหาอุปสรรคร่วมกันอย่างเข้มแข็งและรวดเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยและอินเดียได้ทำความตกลงการค้าเสรี หรือ ‘FTA’ โดยได้เปิดตลาดสินค้าส่วนแรก (Early Harvest Scheme) จำนวน 83 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าผลไม้สด ธัญพืช อาหารปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์แร่ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

โดยได้ยกเลิกภาษีตั้งแต่ปี 2549 ทำให้การค้าทั้ง 2 ฝ่ายขยายตัว และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า แต่ได้หยุดชะงักไปเมื่อปี 2559 เนื่องจากอินเดียได้หันมาผลักดันการเจรจา FTA ระหว่างอาเซียน-อินเดียแทน เพื่อขยายตลาดมายังกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ

นางนลินี กล่าวว่า อินเดียให้ความสำคัญกับไทยในฐานะประเทศที่มีศักยภาพด้านการค้าการลงทุนของอาเซียนและเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยวันนี้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก ซึ่งไทยคือหนึ่งในนั้น โดยการพูดคุยหารือครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่อินเดียต้องการจะฟื้นฟู FTA

รวมทั้งยังอยากเห็นผลการดำเนินงานของคณะกรรมการร่วมทางการค้า หรือ ‘JTC’ ไทย-อินเดีย และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ ‘RCEP’ ที่เติบโตขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ในการหารือทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันว่า ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ หรือ ‘BIMSTEC’ จะเป็นเวทีที่จะช่วยขจัดอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเป็นไปอย่างราบรื่น โดยนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ตั้งใจอย่างมากที่จะมาร่วมการประชุมระดับผู้นำ BIMSTEC ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 นี้

รวมทั้งยังหวังว่าจะมีโอกาสเดินทางเยือนระดับผู้นำอย่างเป็นทางการในโอกาสต่อไป สำหรับนโยบาย Startups India ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาประเทศภายใต้แนวคิดอินเดียใหม่ (New India) เพื่อให้สอดคล้องกับที่อินเดียกำลังก้าวสู่ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 นั้น อินเดียได้แสดงความจำนงที่จะยกระดับความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ Startup รุ่นใหม่ของไทยและอินเดียให้เกิดผลสำเร็จ

“มิติการเจรจาหารือทางการค้าวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เพราะครอบคลุมหลายด้าน โดยทูตอินเดียได้พูดถึงความต้องการส่งออกสินค้าเกษตรมายังไทย เช่น กุ้งหรือเนื้อสัตว์อื่น สินค้ายาและเวชภัณฑ์โดยเฉพาะยารักษาโรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งความร่วมมือด้านความมั่นคงหรือยุทโธปกรณ์ที่อินเดียมีศักยภาพ ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์หรือเรือดำน้ำ ผ่านนโยบาย Offset Policy หรือการชดเชยในกรณีซื้อจากต่างประเทศของกระทรวงกลาโหม สำหรับมิตรประเทศอีกด้วย” นางนลินี ระบุ

ข้อมูลการค้า ไทย-อินเดีย 
จากข้อมูลรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทย ประจำปี 2565 ของกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า อินเดีย ขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 7 จากอันดับที่ 10 ในปีก่อน โดยขยายตัวถึง 22.5% โดย การค้าระหว่างไทยและอินเดีย มีมูลค่า 17,702.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 18.06%

โดยไทยส่งออกไปอินเดีย มูลค่า 10,524.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากอินเดีย มูลค่า 7,178.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ เม็ดพลาสติก ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์

ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของอินเดีย อาทิ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะ เคมีภัณฑ์ และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืช

'ตำรวจรัฐพิหาร' โยนศพผู้ตายจากอุบัติเหตุบนถนนลงสู่คลอง ตอกย้ำรัฐไร้ขื่อแปมากที่สุดของอินเดีย ฟากโซเชียลแคปทัน

(12 ต.ค. 66) ในวิดีโอที่กลายเป็นที่พูดถึงกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ พบเห็นตำรวจรัฐพิหาร 3 นาย กำลังช่วยกันแบกศพผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เต็มไปด้วยเลือด ข้ามแนวกั้นสะพาน จากนั้นก็หย่อนร่างไร้วิญญาณลงไปในคลองที่อยู่เบื้องล่าง ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา

วิดีโอดังกล่าว เรียกผู้ชมได้มากกว่า 800,000 วิว นับตั้งแต่มันถูกโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันอาทิตย์ (8 ต.ค.)

ตำรวจในอินเดีย ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเต็มไปด้วยการคอร์รัปชันและไร้ประสิทธิภาพ ขณะที่รัฐพิหาร ซึ่งมีประชากรมากกว่า 100 ล้านคน ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศ และเป็นรัฐที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด

เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสในเขตมูซาฟฟาร์ปุระ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า พวกเจ้าหน้าที่แค่โยนท่อนล่างของศพผู้ชายลงไปในน้ำ เนื่องจากมันถูกรถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วบดขยี้จนแหลกและไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้

"ศพเป็นของชายชรารายหนึ่งซึ่งยังระบุตัวตนไม่ได้ ท่อนบนของเขาถูกส่งไปชันสูตรพลิกศพแล้ว แต่ท่อนล่างนั้นแหลกเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงโยนมันลงไปในคลอง" เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสกล่าว "มันคือความผิดพลาดใหญ่หลวง เราสั่งพักราชการตำรวจทั้ง 3 นาย ที่ปรากฏในวิดีโอแล้ว"

สื่อมวลชนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง รายงานว่าหลังจากวิดีโอเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ ทางตำรวจได้เร่งรีบเก็บกู้ชิ้นส่วนศพบางส่วนขึ้นมาจากคลอง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่พ้นที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด

"พวกเขาเป็นตำรวจหรือปีศาจที่โหดร้ายป่าเถื่อนกันแน่?" ผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X หรือเดิมคือ ทวิตเตอร์ กล่าว ส่วนอีกรายเสริมว่า "มันดูเหมือนว่าทุกวันนี้ ความเป็นมนุษย์และศีลธรรม ได้ตายไปจากผู้คนไปแล้ว"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top