Monday, 20 May 2024
อินเดีย

นักศึกษาชาวอินเดียรายล่าสุด ถูกรุมยำในชิคาโก แถมก่อนหน้าก็มีหลายคนถูกทำร้ายจนตายมาแล้ว

(12 ก.พ. 67) คลิปวิดีโอนักศึกษาชาวอินเดียรายหนึ่งถูกไล่ล่า และรุมทำร้ายในชิคาโก โหมกระพือความเดือดดาลบนสื่อสังคมออนไลน์ในอินเดีย ในเหตุการณ์ความรุนแรงและประทุษร้ายหนล่าสุด อีกทั้งในบางครั้งก็มีกรณีเช่นนี้และทำคนอินเดียถึงกับเสียชีวิต บนแผ่นดินอเมริกามาแล้วด้วย 

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุด มีชาย 3 คน กำลังไล่ล่านักศึกษารายหนึ่ง ซึ่งทราบต่อมาว่าชื่อ ‘ไซเอด มาซาฮีร์ อาลี’ จากรัฐเตลังคานา ถูกจับภาพได้โดยกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยในคลิปหนึ่งพบเห็น ‘อาลี’ มีเลือดเปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้า ในขณะที่เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือว่าตนเองถูกทำร้าย

นักศึกษารายนี้บอกว่ามีบุคคล 4 รายที่รุมทำร้ายเขา และขโมยโทรศัพท์มือถือ ในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังเดินกลับไปยังอพาร์ตเมนต์

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนถนนแคมป์เบลล์ ในเขตนอร์ทไซด์ ของชิคาโก ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหลวงแห่งการฆาตกรรม’ ของสหรัฐฯ เนื่องจากเมืองแห่งนี้มีการระบุเหตุฆาตกรรมถึง 617 คดีในปี 2023 ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกรมตำรวจท้องถิ่น ทำให้เมืองแห่งนี้มีอัตราการของการเกิดคดีฆาตกรรมสูงสุดในสหรัฐฯ 

ทันทีที่คนอินเดียรู้ข่าว ก็เกิดเสียงโวยวายปะทุขึ้นในโลกออนไลน์อย่างมากมายต่อเหตุโจมตีครั้งนี้ ภายหลังจากที่ภรรยาของเหยื่อได้เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย เพื่อขอให้ช่วยเข้าแทรกแซงคดี โดยเธออ้างว่าสามีของเธอยังไม่หายช็อกเลยนับตั้งแต่ถูกเล่นงาน 

นอกจากนี้ เธอยังร้องขอให้รัฐบาลอินเดีย เตรียมการสำหรับการเดินทาง เพื่อที่สามี เธอและลูกๆ ทั้ง 3 คน จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สถานกงสุลอินเดียในชิคาโก เปิดเผยว่า พวกเขาอยู่ระหว่างติดต่อประสานงานกับพวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ทำการสืบสวนคดีนี้

สำหรับการโจมตีครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับชาวอินเดียบนแผ่นดินสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในระหว่างที่มีนักศึกษาชาวอินเดียราว 300,000 คน เดินทางมาเรียนต่อในระดับสูงในประเทศแห่งนี้

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ.67 ‘ซาเมียร์ คามัต’ ชาวอินเดีย ว่าที่ปริญญาแพทยศาสตร์รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในอินดีแอนา ก็ถูกพบเสียชีวิตในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ‘นีล อาชาระยา’ นักศึกษาเชื้อสายอินเดียรายหนึ่งในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ถูกพบเสียชีวิตใกล้กับลานบินของมหาวิทยาลัย โดยศพของเธอถูกพบหลังจากแม่ของเธอเข้าแจ้งความบุคคลสูญหาย

ส่วนอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ‘วิเวค ไซไน’ นักศึกษาอินเดีย วัย 25 ปี ถูกโจมตีจนตายในลิโธเนีย รัฐจอร์เจีย ด้วยฝีมือคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติด โดยกราฟิกวิดีโอของเหตุฆาตกรรมเผยให้เห็นว่าผู้ต้องสงสัยใช้ค้อนทุบตีเล่นงาน ไซไน เกือบ 50 ครั้ง

‘ยูทูบเบอร์สาว’ ร้อง!! ถูกเดนนรก 7 คน บุกขืนใจถึงในเต็นท์ แถมทำร้ายร่างกายสามีจนอ่วม ขณะตระเวนเที่ยวที่ ‘อินเดีย’

(5 มี.ค.67) ยูทูบเบอร์สาวชาวสเปน ได้โพสต์คลิปเล่าประสบการณ์สุดแย่ ถูกชายฉกรรจ์ 7 คนบุกรุมโทรมถึงเต็นท์ และยังทำร้ายสามีจนบาดเจ็บระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางท่องเที่ยวในอินเดีย กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญที่ทำให้สังคมแดนภารตะโกรธกริ้ว และนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อย 3 คน

หญิงสาวซึ่งถือสัญชาติบราซิล-สเปน ได้แชร์เรื่องราวลงบนอินสตาแกรมของเธอซึ่งมีผู้ติดตามหลายแสนคน เนื่องจากเธอและสามีเป็นยูทูบเบอร์สายเที่ยวซึ่งขับขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนเที่ยวหลายประเทศในเอเชีย

ตำรวจรัฐฌาร์ขัณฑ์ (Jharkhand) ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุยืนยันว่า มีการจับกุมชายต้องสงสัยได้แล้ว 3 คน และอยู่ระหว่างล่าตัวผู้กระทำผิดที่เหลืออีก 4 คน

พีทัมเบอร์ ซิงห์ เคอร์วา ผู้กำกับการตำรวจเขตดุมการ์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ตำรวจสายตรวจไปพบนักท่องเที่ยวทั้งสองอยู่ริมถนนสายหนึ่งเมื่อค่ำวันศุกร์ที่แล้ว (1) โดยทั้งคู่มีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ และต่อมาแพทย์ยืนยันว่าฝ่ายหญิงถูกรุมโทรม

เคอร์วา ระบุว่า ชายต้องสงสัย 3 คนถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) และพนักงานสอบสวนทราบแล้วว่าอีก 4 คนที่เหลือเป็นใคร จึงคาดว่าจะได้ตัวครบทุกคน “เร็วๆ นี้”

“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องเอาตัวพวกเขามาลงโทษขั้นสูงสุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก” เคอร์วา กล่าว พร้อมระบุว่าเหยื่อทั้ง 2 คนจะได้รับเงินชดเชยเยียวยาสูงสุด 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ

คณะกรรมาธิการสตรีแห่งชาติอินเดียเรียกร้องให้ตำรวจตั้งข้อหารุมโทรมกับชายทั้ง 7 คน ซึ่งจะมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี

ยูทูบเบอร์สาวรายนี้กล่าวผ่านคลิปวิดีโอในเพจอินสตาแกรมของเธอว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา ซึ่งเราหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก”

“ฉันถูกผู้ชาย 7 คนรุมโทรม พวกมันทุบตีและปล้นทรัพย์สินของเรา” เธอกล่าว ก่อนที่คลิปนี้จะถูกลบทิ้งไป

ต่อมาในวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ทั้งคู่ได้โพสต์คลิปลงในเพจอินสตาแกรมร่วมซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน โดยเล่าว่า “ตำรวจกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจับกุมพวกมัน พวกเขารู้แล้วว่าพวกมันเป็นใคร”

“เราอยากทวงความยุติธรรม ไม่ใช่แค่สำหรับเราสองคน แต่เพื่อผู้หญิงและเด็กสาวอีกหลายคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้มา”

ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Antena 3 ของสเปน ยูทูบเบอร์สาวและสามีเล่าว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้รุมขืนใจเธอ และทำร้ายร่างกายสามีของเธอซ้ำๆ หลายครั้ง

“พวกเขาข่มขืนฉัน ผลัดกันทำผลัดกันดูอย่างนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง”

หญิงสาวให้สัมภาษณ์ พร้อมอธิบายว่าที่เธอและสามีตัดสินใจตั้งแคมป์พักแรม ก็เพราะแถวนั้นไม่มีโรงแรมเลยสักแห่งเดียว

สถานทูตบราซิลประจำกรุงนิวเดลีให้สัมภาษณ์กับ NBC News ว่า ทางสถานทูตได้ยื่นประท้วง “การก่ออาชญากรรมสุดป่าเถื่อน” ต่อสามีภรรยาคู่นี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเปนก็ยืนยันว่า สถานทูตประจำกรุงนิวเดลีได้ติดต่อกับผู้เสียหายทั้งสองคนและพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลอย่างเต็มที่

ยูทูบเบอร์สาว และสามีของเธอได้แชร์คลิปประสบการณ์การเดินทางทั้งในศรีลังกาและปากีสถาน และเผยว่าเคยตั้งแคมป์มาแล้วใน 66 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ “อันตราย”

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติอาชญากรรมแห่งชาติอินเดียพบว่า มีผู้แจ้งความคดีรุมโทรมเฉลี่ยถึง 86 กรณีต่อวันในปี 2022 ทว่าในความเป็นจริงยังมีผู้หญิงอินเดียอีกจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ แต่ไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้ครอบครัว

รู้จัก ‘ภัณฑารักษ์’ ประจำพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ผู้ถือ-ดูแล ‘พระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ’ ด้วยชีวิต

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก ‘โลก กะ ธรรม กับ ม่อน’ ได้โพสต์คลิปวิดีโออธิบายเกี่ยวกับประเด็นที่มี ‘หญิงสาวอินเดีย’ รายหนึ่งกำลังใกล้ชิดและถือ ‘พระบรมสารีริกธาตุ’ อยู่ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าผู้หญิงสามารถใกล้ชิดได้หรือ? โดยระบุว่า….

ผู้หญิงท่านนี้เป็น ‘ภัณฑารักษ์’ ประจําพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างไทยกับอินเดียว่าเขาจะเป็นคนถือพระบรมสารีริกธาตุ ดังนั้นจะจัดใครมาอารักขาพระบรมสารีริกธาตุก็เป็นสิทธิ์ของเขา และเราไม่มีสิทธิ์ ซึ่งพวกเราได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุก็ดีแล้ว ฉะนั้น ‘ภัณฑารักษ์’ ก็คือผู้ดูแลวัตถุโบราณของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดียนั่นเอง ซึ่งก็มีหลายคนไม่ได้มีคนเดียว โดยเขาจะต้องดูแลวัตถุสิ่งของโบราณด้วยชีวิต ดังนั้นจะมาให้คนอื่นถือง่าย ๆ ไม่ได้ และจะต้องอยู่ในความดูแลของเขาเท่านั้น

ถัดมาก็จะมีคําถามว่าแล้วผู้หญิงควรจะใกล้ชิดพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระพุทธเจ้าเหรอ…พระพุทธเจ้าจะมีพระชนม์ชีพหรือปรินิพพานแล้วก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะใกล้พระองค์ขนาดนั้นถูกไหม? ซึ่งอย่างที่บอกว่าเป็นข้อตกลง มีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ ก็คือทางอินเดียจะเป็นคนพิจารณาคนที่เหมาะสมมาปกป้องดูแลพระบรมสารีริกธาตุ และจริง ๆ แล้วผู้หญิงจะมีความละเอียดรอบคอบมากกว่าผู้ชาย โดยบางทีเขาก็มองว่าผู้หญิงมีความรอบคอบกว่าและละเอียดกว่า ยกตัวอย่างเช่น ‘นางมัลลิกา’...

ครั้งนั้น ‘พระเจ้าปเสนทิโกศล’ ทําทานแข่งกับชาวบ้านแล้วก็ไม่ชนะสักที จึงทรงกุ้มพระทัยและเสียพระทัยจนพระนางมัลลิกาทราบข่าว ก็ยิ้มแบบขํา ๆ ประมาณว่าเรื่องแค่นี้เองเหรอ คือเป็นเรื่องง่าย ๆ สําหรับเธอ โดยเธอก็บอกว่าแค่ทําทานแข่งกับชาวบ้านพระราชายังทําแข่งกับชาวบ้านไม่ชนะสักที ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนางมัลลิกา และไม่ใช่เรื่องยากสําหรับผู้หญิงที่มีปัญญา โดยเธอก็บอกว่าชาวบ้านไม่มีช้าง ไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเศวตฉัตร ไม่มีเครื่องทรงที่วิจิตรเหมือนพระราชา และเธอก็ให้นําสิ่งของเหล่านี้ที่ชาวบ้านไม่มีมาประกอบในพิธีอธิษฐานคือฐานที่หาประมาณไม่ได้ ฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าผู้หญิงนั้นมีความละเอียดรอบคอบ ขนาดพระองค์ยังสรรเสริญผู้หญิงเลย

ดังนั้น ผู้หญิงที่ถือพระบรมสารีริกธาตุก็เป็นที่ไว้ใจของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ที่เขาเลือกคนที่เหมาะสมมาแล้วนั่นเอง….

‘อินเดีย’ รวบ!! ‘7 เดนนรก’ ได้แล้ว หลังก่อเหตุทำร้าย-ขืนใจ ด้าน ‘คู่รักชาวสเปน’ เอ่ยขอบคุณ เชื่อ!! ทุกประเทศมีทั้งคนดี-ไม่ดี

(7 มี.ค.67) จากเรื่องราวที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์อย่างกระหน่ำ 2 คู่รักสัญชาติสเปน นักเดินทางที่ไปมาแล้วกว่า 60 ประเทศ ฝ่ายชายนามว่า วินเซนเต้ และฝ่ายหญิงนามว่า เฟอนานด้า เจ้าของช่องท่องเที่ยว Vueta Al Mundo En ขณะที่เขาทั้ง 2 แวะพักริมทาง ได้ถูกกลุ่มชายชาวอินเดีย 7 คน เข้ามาทำร้ายฝ่ายชาย และรุมกระทำชำเราฝ่ายหญิง ซึ่งตำรวจจับกุมแล้ว 3 ราย

ล่าสุด ทางการอินเดียออกมาเผยว่า สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ครบแล้ว โดย อันจาเนยูลู ด็อดเด รองผู้กำกับการตำรวจเขตดุมกะ (Dumka) ซึ่งเป็นท้องที่ที่เกิดเหตุ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยอีก 4 คนถูกควบคุมตัวแล้ว และทั้งหมดถูกนำตัวขึ้นศาลเป็นเรียบร้อย

นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังขอบคุณผู้ติดตามที่ให้การช่วยเหลือและสนับสนุน พร้อมระบุว่า ทุกประเทศก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไป

เสือปืนไว!! ‘รัฐบาลไทย’ ปรับบทบาทประเทศในเวทีโลก ขานรับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ‘อินเดีย-จีน’ ใต้ผู้นำยุคที่ 3

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM 93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในหัวข้อ ‘อินเดียและจีน กับประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย’ เมื่อวันที่ 21 เม.ย.67 ดังนี้…

อินเดียและจีนเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกที่ประเทศไทยจะต้องให้ความสนใจเพื่อตักตวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งสองประเทศก็มีแนวนโยบายและพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

อินเดีย ซึ่งมีการเลือกตั้งในวันที่ 19 เมษายนนี้ และมีผู้มีสิทธิออกเสียงเกือบ 1,000 ล้านคน ถือเป็นการเลือกตั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ยังผลให้ Narendra Modi กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 อันจะสามารถสานต่อนโยบายเศรษฐกิจเดิม ซึ่งจะนำพาความสำเร็จให้แก่อินเดียได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 5 ของโลก ภายใต้นโยบายเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล รวมถึงการต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศและการเป็นมิตรกับธุรกิจภายใต้ Modi

ในขณะที่จีนภายใต้ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ซึ่งเข้าสู่วาระที่ 3 เช่นกันนั้น กลับมีนโยบายที่ค่อนข้างจะตรงกันข้าม กล่าวคือ ความแข็งกร้าวและการไม่ยอมรับระเบียบที่กำหนดโดยโลกตะวันตก การแทรกแซงและความไม่เป็นมิตรกับธุรกิจเอกชน การปล่อยปละละเลยให้เกิดฟองสบู่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนฟองสบู่แตกกลายเป็นปัญหาหนี้สินในปัจจุบัน

แน่นอนว่า Supply Chain ของโลกกำลังย้ายถิ่นฐานกันขนานใหญ่ ภูมิภาคที่จะได้รับอานิสงส์สูงสุดคงไม่พ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และวันนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นแค่จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนประสงค์จะมาเที่ยวเท่านั้น แต่ประเทศไทยได้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนที่กำลังได้รับความสนใจสูงสุดจากนักธุรกิจจีนอีกด้วย 

สังเกตได้ว่าการลงทุนจากจีนกำลังหลั่งไหลเข้าไทยในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ EV และแบตเตอรี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เป็นต้น และในอนาคตอันใกล้ ก็เป็นไปได้สูงที่จีนจะเข้ามาลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยเฉพาะสถานบันเทิงครบวงจรที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะต้องเตรียมรับมือกับธุรกิจจีนที่กำลังถาโถมเข้ามา เพราะการลงทุนจีนจะมีรูปแบบและลักษณะแตกต่างจากการลงทุนของญี่ปุ่นและชาติตะวันตก

ดังนั้น ภายใต้เครื่องชี้วัดหลายประการที่เริ่มบ่งบอกถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในโลกนั้น อาจกลายเป็นโอกาสทองทางเศรษฐกิจของไทย และก็ถือเป็นข่าวดีที่ตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมานี้ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กำลังปรับเปลี่ยนบทบาทประเทศไทยในเวทีโลก เพื่ออ้าแขนรับโอกาสทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นนี้แล้วด้วย

ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

(8 พ.ค. 67) ผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊ก ‘Thapanasak Thongsuwan’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

คนศึกษาประวัติศาสตร์รู้ดีถึงบทบาท ที่แตกต่างของรัฐบุรุษในแต่ละชาติ แต่เห็นไหม ‘เติ้ง’ หรือ ‘เนห์รู’ ไม่เคยกล่าวร้ายแก่รัฐบุรุษคนแรกเลย 

แม้แต่ ‘สี จิ้นผิง’ หรือ ‘นเรนทรา โมดี’ ก็ไม่เคยเอาตัวไปเปรียบเทียบกับรัฐบุรุษทั้งสอง วิธีตะวันออกเป็นแบบนี้”

‘อินเดีย’ ระอุ!! อากาศร้อนเกือบ 48 องศาฯ นับเป็นอุณหภูมิสูงสุดของประเทศในฤดูร้อนนี้

(20 พ.ค.67) สำนักข่าวบีบีซี รายงานถึงสถานการณ์สภาพอาการร้อนจัดใน ‘ประเทศอินเดีย’ โดยเฉพาะทางตอนเหนือ ครอบคลุมถึงกรุงนิวเดลี เมืองหลวง หลังเผชิญ ‘คลื่นความร้อน’ รุนแรงระลอกใหม่ ส่งผลให้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาอุณหภูมิในหลายพื้นที่พุ่งสูงเกิน 45 องศาเซลเซียส

ขณะที่เมืองนาจาฟการ์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนครเดลี วัดอุณหภูมิเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค. ได้ถึง 47.8 องศาเซลเซียส ถือเป็นอุณหภูมิสูงสุดของประเทศในฤดูกาลนี้

ด้านสำนักอุตุนิยมวิทยาระบุคาดว่าอากาศจะร้อนต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์กับอุณหภูมิสูงสุดในเขตนครเดลีและเมืองทางตอนเหนือมีแนวโน้มระอุที่ประมาณ 45-46 องศาเซลเซียส


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top