Monday, 29 April 2024
สหรัฐ

สหรัฐฯ-แคนาดา ส่งเรือรบล่องผ่านช่องแคบไต้หวัน หลัง 'ไบเดน' ประกาศจะปกป้องไต้หวัน หากจีนรุกราน

เรือรบสหรัฐฯ และแคนาดา ล่องผ่านช่องแคบไต้หวัน เมื่อวันอังคาร (20 ก.ย. 65) ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประกาศกร้าวเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ว่าอเมริกาจะปกป้องพิทักษ์ไต้หวัน ในกรณีที่ถูกจีนโจมตี

ยูเอสเอส ฮิกกินส์ เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีชั้นอาร์เลห์เบิร์ค แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ดำเนินการล่องเรือผ่านช่องแคบไต้หวันตามปกติในวันอังคาร (20 ก.ย.) เรือเอกมาร์ค แลงฟอร์ด โฆษกกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง

แลงฟอร์ดกล่าวต่อว่า เรือรบของสหรัฐฯ ทำการล่องเรือ ในความร่วมมือกับเอชเอ็มซีเอส แวนคูเวอร์ เรือฟริเกต ชั้นแฮลิแฟกซ์ แห่งกองทัพเรือแคนาดา พร้อมระบุว่า "เรือทั้ง 2 ลำล่องผ่านแนวกันชนหนึ่งในช่องแคบ ที่อยู่นอกทะเลอาณาเขตรัฐชายฝั่งใด ๆ การล่องเรือนี้แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หูของเรา ที่มีต่อแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง"

เจ้าหน้าที่กลาโหมรายหนึ่ง เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า นับตั้งแต่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวันในช่วงต้นเดือนสิงหาคม อเมริกาพพบเห็นเรือและเรือดำน้ำของกองทัพเรือจีนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก รอบ ๆไต้หวัน

แม้สหรัฐฯ เรียกมันว่าเป็นการล่องเรือตามปกติ แต่มันมีขึ้นหลังจาก ไบเดน ซ้ำเติมสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งเกี่ยวกับไต้หวัน ด้วยให้สัมภาษณ์กับรายการ 60 มินิตส์ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ว่าเขาจะใช้กองกำลังสหรัฐฯ ปกป้องเกาะแห่งนี้ หากว่าจีนพยายามรุกราน

ปักกิ่งอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวัน เกาะที่มีประชากร 23 ล้านคน แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เคยควบคุมมันก็ตาม นอกจากนี้แล้วปักกิ่งยังกล่าวอ้างอำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตย และขอบเขตอำนาจศาลเหนือน่านน้ำต่าง ๆ ในช่องแคบไต้หวัน ภายใต้กฎหมายของจีน และจากการตีความของพวกเขาเองต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฏหมายทะเล (UNCLOS)

อย่างไรก็ตามกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของช่องแคบแห่งนี้อยู่ในน่านน้ำสากล โดยอ้างคำนิยามของ UNCLOS เกี่ยวกับน่านน้ำอาณาเขต ซึ่งครอบคลุมรัศมี 12 ไมล์ทะเล (22.2 กิโลเมตร) จากชายฝั่งประเทศหนึ่ง ๆ ทั้งนี้อเมริกาส่งเรือรบล่องผ่านช่องแคบแห่งนี้เป็นประจำ แต่หลายสิบครั้งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในรายการ '60 มินิตส์' ของเครือข่ายทีวีซีบีเอสของสหรัฐฯ ซึ่งนำมาแพร่ภาพออกอากาศในวันอาทิตย์ (18 ก.ย.) ที่ผ่านมา เมื่อเขาถกถามว่ากองกำลังสหรัฐฯ จะเข้าป้องกันเกาะแห่งนี้หรือไม่ ไบเดน ก็ตอบว่า “ครับ ถ้าในทางเป็นจริงแล้ว มีการโจมตีอย่างชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

เมื่อถูกซักไซ้ว่า เขาหมายความว่ามันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาในยูเครนใช่ไหม โดยที่กองกำลังสหรัฐฯ ซึ่งก็คือชายและหญิงชาวอเมริกันจะเข้าพิทักษ์ป้องกันไต้หวันในกรณีที่จีนรุกรานหรือ ไบเดนก็ตอบว่า “ใช่”

สหรัฐฯ อาจดัน THAAD ระบบป้องกันภัยทางอากาศล้ำสมัย หลังรัสเซียโชว์ถล่มยูเครนตอบโต้ระเบิดสะพานที่ไครเมีย

เพจ The World Echo ได้โพสต์ข้อความการตอบโต้ยูเครนแบบจัดหนักจากรัสเซีย พร้อมโอกาสในการขายอาวุธชุดสำคัญจากสหรัฐฯ ระบุว่า...

โหดสัสรัสเซียที่แท้ทรู

ฝ่ายยูเครนเพิ่งแลบลิ้นปลิ้นตาใส่รัสเซีย พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเย้ยเรื่องสะพานเชื่อมไครเมียระเบิดตูมไปหมาดๆ ส่วนหมีขาวนั้นกัดกรามกรอดๆ ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้ ยกเว้นเมีย ตดยังไม่ทันหายเหม็น ความโหดสัสรัสเซียก็ปรากฏให้โลกร้อง อั้ยหยา...

เฮียปูตินทุบโต๊ะชี้นิ้วใส่ยูเครนว่า ไอ้การที่ยูระเบิดสะพานที่ไครเมียถือเป็นการก่อการร้ายโว้ย แล้วระบายอารมณ์ด้วยการยิงจรวดใส่อาคารในเมืองซาปอริซเซีย 

ชาวโลกจับตามองว่าไอ้หมีขาวจะทำยังไงต่อ เช้าวันจันทร์ตามเวลายูเครน คือตั้งแต่หกโมงเช้ามาเลย ปูตินก็ยิงจรวดแทนคำทักทาย ปูพรมถล่มเคียฟประมาณ 75 ลูก เล่นเอาชาวเคียฟแตกตื่นหนีเอาตัวรอดกันสุดชีวิต 

รัสเซียถล่มตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเที่ยง แต่ความเสียหายในเคียฟนั้นเรียกได้ 'บรรลัย' ตายไป 5 ราย บาดเจ็บอีก 12 ราย ไฟดับทั้งเมือง ระบบประปาและก๊าซให้ความร้อนได้รับความเสียหายหนัก ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะหนาวขนาดไหน ตอนนี้เริ่มหนาวแล้วด้วยในซีกโลกฝั่งนั้น

เปลี่ยนแม่ทัพปุ๊บโหดปั๊บ แถมปูตินยังโผล่หน้ามาในช่วงบ่าย ขู่ว่า ถ้าเคียฟไม่หยุด พี่ปูตินจะหยุดเคียฟเอง จากนั้นก็ร่ายยาวว่าได้ออกคำสั่งให้โจมตีจากระยะไกล ชนิดที่เรียกว่าอภิมหามหึมาใส่เป้าหมายต่างๆ ทั้งทางด้านพลังงาน, หน่วยสั่งการบังคับบัญชา, และการสื่อสารของยูเครน โดยใช้ขีปนาวุธซึ่งมีทั้งที่ยิงจากทางอากาศ, ทางทะเล, และภาคพื้นดิน 

สรุปง่ายๆ สั้นๆ คือมีเท่าไหร่ถวายประเคนหมด  ระดมยิงปูพรมถล่มเมืองเคียฟนั่นแหละ ทั้งนี้เพื่อตอบโต้การโจมตีแบบผู้ก่อการร้ายของยูเครนที่เพิ่งระเบิดสะพานไปหมาดๆ ในไครเมีย

หยุดขโมยน้ำมัน!! สื่อซีเรียแฉ สหรัฐฯ ลักลอบขโมยน้ำมันดิบ | NEWS GEN TIMES EP.85

หยุดขโมยน้ำมัน!! สื่อซีเรียแฉ สหรัฐฯ ลักลอบขโมยน้ำมันดิบซีเรีย 53 คันรถ

ฟากโฆษกจีนประณาม ‘นี่เป็นการกระทำผิดกฎหมายและไร้มนุษยธรรม’ 

 

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช 

 

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 

 

ติดตามได้ใน NEWS GEN TIMES และสามารถรับชมคลิปอื่น ๆ ได้ที่ : https://www.youtube.com/playlist...

‘หน่วยความมั่นคงฯ รัสเซีย’ จับผู้สื่อข่าว 'วอลล์สตรีท เจอร์นัล' ชี้ ข้อหาจารกรรม พยายามเข้าถึงข้อมูลลับของรัสเซีย 

(31 มี.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หน่วยความมั่นคงกลางรัสเซียได้จับกุม อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของสำนักข่าวดังอย่าง Wall Street Journal ในข้อหาจารกรรม โดยพยายามเข้าถึงข้อมูลลับ เขาถูกคุมตัวได้ในเมืองเยคาเตรินเบิร์ก

หน่วยความมั่นคงกลางรัสเซีย กล่าวว่า เขากำลังรวบรวมข้อมูลลับเกี่ยวกับกิจกรรมของหนึ่งในองค์กรของศูนย์อุตสาหกรรมทางทหารของรัสเซีย ทั้งนี้ ไม่มีการระบุว่าการจับกุมอีวาน เกิร์ชโควิช เกิดขึ้นเมื่อใด โดย อีวาน เกิร์ชโควิช กำลังดำเนินการตามคำสั่งของสหรัฐฯ ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของหนึ่งในองค์กรของศูนย์อุตสาหกรรมทางทหารของรัสเซียที่ถือเป็นความลับของรัฐ

‘รัสเซีย’ โว!! ทดสอบ ‘ขีปนาวุธข้ามทวีป’ ผ่านฉลุย-แม่นยำ หลัง ‘ปูติน’ ระงับข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รัสเซียได้ประกาศความสำเร็จในการยิงทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ขั้นสูง หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ระงับความร่วมมือในข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับทางสหรัฐฯ

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุผ่านแถลงการณ์ว่า เจ้าหน้าที่กองทัพประสบความสำเร็จในการยิงไอซีบีเอ็มออกจากระบบยิงขีปนาวุธภาคพื้นดิน ที่ฐานการยิงจรวดคาปุสติน ยาร์ ของประเทศเมื่อวันอังคาร (11 เม.ย.) และว่า หัวรบทดสอบของขีปนาวุธดังกล่าวได้พุ่งโจมตีใส่เป้าหมายจำลองที่สนามทดสอบขีปนาวุธซารีชากันในประเทศคาซัคสถานตามความแม่นยำที่กำหนดไว้

แม้ว่ากระทรวงกลาโหมของรัสเซียจะไม่ได้ระบุประเภทของขีปนาวุธ ที่ถูกทดสอบเมื่อวันที่ 11 เมษายนอย่างชัดเจน แต่ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ปฏิบัติการดังกล่าวว่าเป็น ‘การทดสอบอุปกรณ์การต่อสู้ขั้นสูงของไอซีบีเอ็ม’

“การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ ทำให้สามารถยืนยันความถูกต้องของการออกแบบวงจร และการแก้ปัญหาทางเทคนิค ที่ถูกใช้ในการพัฒนาระบบขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์อันใหม่” กลาโหมรัสเซีย กล่าว

สหรัฐฯ อ่วม!! ประสบปัญหา 'สมองไหล' นักวิทยาศาสตร์หัวกะทิ ย้ายหนีกลับจีน

สหรัฐอเมริกากำลังสูญเสียนักวิทยาศาสตร์ระดับมันสมองไปต่างประเทศเป็นจำนวนมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน จีนกลับได้อานิสงส์จากกระแสย้ายถิ่นของนักวิชาการจากอเมริกาเพิ่มขึ้นหลายเท่าในรอบทศวรรษ

จากข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศระดับรัฐบาลเปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกากำลังเสียนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิ ที่ต่างเคยมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำนับพันคนให้กับต่างประเทศ โดยเฉพาะ ‘จีน’ ที่กำลังอัดฉีดแคมเปญดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง ให้มาร่วมงานกับสถาบันการศึกษาของจีนเป็นจำนวนมาก 

ทั้งนี้ได้มีการยกตัวอย่างตัวเลขที่มีการเปิดเผยว่า ในปี 2021 ปีเดียว จีนได้ตัวนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศไปร่วมงานราว ๆ 2,408 คน แม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่ว้าวอะไร แต่หากเทียบกับข้อมูลในปี 2017 จะพบว่า สหรัฐอเมริกาสามารถดึงนักวิจัยต่างชาติได้ถึง 4,292 คน ในขณะที่จีนได้เพียง 116 คน เท่านั้น 

เท่ากับจีน มีตัวเลขนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติที่ก้าวกระโดดหลายเท่าตัว กลับกันกับสหรัฐฯ ที่นอกจากจะสูญเสีย ‘เสน่ห์’ ในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศแล้ว ยังเสี่ยงเจอปัญหาสมองไหล ถูกต่างชาติดึงตัวนักวิจัยเก่ง ๆ ไปด้วย

กระแสสมองไหลในอเมริกา เริ่มเกิดขึ้นก่อนจะเกิดวิกฤติการระบาด Covid-19 ในโลกเสียอีก โดยมีเหตุและปัจจัยจากนโยบายของอดีตผู้นำสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จุดประกายสงครามการค้ากับจีน ซึ่งช่วงเวลานั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้กฎหมายเล่นงานนักวิชาการจากจีน ด้วยข้อหาละเมิดสิทธิทางปัญญา ไปจนถึงการเป็นสายลับ จารกรรมข้อมูล

ด้วยการดำเนินนโยบายอย่างแข็งกร้าวต่อจีน มีส่วนกดดันสถาบันการศึกษาในสหรัฐฯ ที่ทำงานร่วมกับนักวิชาการจีน หรือเพียงแค่มีเชื้อสายจีน มีการข่มขู่ คุกคามที่จะฟ้องร้อง ดำเนินคดีนักวิชาการเหล่านั้น หรือตัดสิทธิ์นักศึกษาจีนไม่ให้เข้าเรียนในสถาบันของสหรัฐฯ ได้

นับเป็นช่วงเวลาแห่งการกวาดล้างนักวิชาการเชื้อสายจีนในสหรัฐฯ โดยสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติเปิดเผยว่า มีการไล่นักวิชาการจีนมากกว่า 100 คน รวมถึงการปิดศูนย์วิจัยกว่า 150 โครงการ ซึ่งกว่า 80% เป็นงานของนักวิจัยเชื้อสาย ‘เอเชีย’ 

แอนดรูส์ อี. เลลลิง อัยการสหรัฐฯ ยอมรับว่า การกดดันทางกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ผ่านมา สร้างบรรยากาศความหวาดกลัวในแวดวงวิชาการสหรัฐฯ อย่างมาก และสร้างความอึดอัดใจในการทำงานวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาในต่างประเทศทั่วโลก ที่ล้วนมีนักวิจัยจากหลากหลายเชื้อชาติ หรือเคยรับทุนวิจัยส่วนหนึ่งจากรัฐบาลจีนมาก่อน

'รัสเซีย' ขู่!! พร้อมใช้อาวุธแบบเดียวกันโต้ตอบ หลังสหรัฐฯ จัดหา 'ระเบิดพวง' ป้อนให้ยูเครน

(12 ก.ค. 66) สหรัฐฯ แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะจัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้แก่ยูเครน อาวุธระเบิดที่ปกติแล้วจะปลดปล่อยลูกระเบิดขนาดเล็กจำนวนมากกระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง

คลัสเตอร์บอมบ์ถูกห้ามโดยประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ชาติทั่วโลก สืบเนื่องจากมันเสี่ยงก่ออันตรายแก่พลเรือน ปกติแล้วมันปลดปล่อยระเบิดขนาดเล็กกว่าที่สามารถเข่นฆ่าชีวิตโดยไม่เลือกหน้าในพื้นที่หนึ่งเป็นบริเวณกว้าง ส่วนกระสุนลูกที่ไม่ระเบิดนั้นก็เสี่ยงก่ออันตรายเป็นเวลานานหลายทศวรรษ หลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง

สื่อมวลชนรัสเซียอ้างคำกล่าวของ ชอยกู ระบุว่ารัสเซียมีกระสุนคลัสเตอร์ในครอบครองเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ยังคงอดทนอดกลั้นจากการใช้มันในปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร

อย่างไรก็ตาม รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า สหรัฐฯ เคยกล่าวหารัสเซียใช้กระสุนคลัสเตอร์ในยูเครน และบอกว่าระเบิดลูกปรายของมอสโกมีอัตราการด้านสูงสุดถึง 40% ส่งผลให้สมรภูมิรบเต็มไปด้วยลูกระเบิดขนาดเล็กที่ไม่ทำงาน ขณะที่วอชิงตัน กล่าวอ้างว่าระเบิดคลัสเตอร์ของพวกเขาที่กำลังส่งมอบแก่ยูเครนนั้น มีอัตราการกระสุนด้านไม่เกิน 2.35%

ชอยกู ระบุในวันอังคาร (11 ก.ค.) ว่า "ในกรณีที่สหรัฐฯ จัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้ยูเครน ทางกองกำลังรัสเซียจะถูกบีบให้ใช้อาวุธแบบเดียวกันกับกองกำลังยูเครนเป็นการตอบโต้" เขากล่าว "พวกเขาควรจำไว้ว่า รัสเซียก็มีกระสุนคลัสเตอร์ในประจำการเช่นกัน และในทุก ๆ วาระ พวกมันมีประสิทธิภาพเหนือกว่าของอเมริกาเป็นอย่างมาก"

รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียบอกว่ากองทัพมอสโกกำลังใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องกำลังพลของพวกเขาจากอาวุธดังกล่าว

กลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอตช์ อ้างว่าทั้งมอสโกและเคียฟต่างก็เคยใช้กระสุนคลัสเตอร์ระหว่างความขัดแย้งในยูเครนที่ลากยาวมาเกือบ 17 เดือนแล้ว
.
รัสเซีย ยูเครน และสหรัฐฯ ต่างไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดลูกปราย (Convention on Cluster Munitions) ซึ่งห้ามใช้ จัดเก็บ ผลิตและขนย้ายกระสุนคลัสเตอร์โดยสิ้นเชิง และมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2010

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่าจำเป็นต้องอนุมัติคำขอของทางเคียฟ สำหรับกระสุนคลัสเตอร์ หลังจากเริ่มชัดเจนแล้วว่า ยูเครน ซึ่งเวลานี้กำลังปฏิบัติการโจมตีตอบโต้รัสเซีย กำลังขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป และกำลังผลิตคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของยูเครน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นแม้ว่าบรรดาพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ อย่างสหราชอาณาจักร แคนาดา และเยอรมนี แสดงจุดยืนคัดค้านการใช้กระสุนคลัสเตอร์

ในด้านสถานการณ์การสู้รบ ชอยกู แสดงความคิดเห็นว่า รัสเซียกำลังลดศักยภาพการโจมตีตอบโต้ของยูเครนลงอย่างมาก และกองกำลังรัสเซียสามารถรุกคืบในภาคสนามระหว่างปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของตนเองเช่นกัน ในทิศทางเมืองลีมัน ในแคว้นโดเนตส์ก ทางภาคตะวันออกของยูเครน

‘เด็กชายวัย 14’ กินขนม ‘มันฝรั่งเผ็ดที่สุดในโลก’ ตามเทรนด์ฮิต สุดท้ายปวดท้องรุนแรงดับสลด ด้านผู้ผลิตโร่ชี้แจงเตือนข้างกล่องแล้ว

(14 ต.ค.66) เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเหตุการณ์น่าสลดที่เกิดขึ้นในสหรัฐ เมื่อเด็กชายวัย 14 ปี ที่อาศัยอยู่ในรัฐแมสซาชูเซตส์ มีอาการปวดท้องรุนแรง จนหมดสติเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังจากลองกินขนมมันฝรั่งทอดที่เผ็ดที่สุดในโลกตามเทรนด์ฮิต ‘One Chip Challenge’ ที่กำลังเป็นกระแสไวรัล

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า เด็กชายดังกล่าวชื่อ แฮร์ริส โวโลบาห์ ได้ลองกินมันฝรั่งทอดที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนให้เขา หลังจากนั้นก็รู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง โรงเรียนจึงโทรตามแม่ของเขามารับ เด็กชายบอกว่ารู้สึกดีขึ้นหลังจากกลับมาพักที่บ้าน แต่สุดท้ายก็หมดสติเมื่อช่วงเย็น ตามเวลาท้องถิ่น จนไม่ตอบสนอง ทางบ้านจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ก่อนแพทย์จะแจ้งในเวลาต่อมาว่า เขาเสียชีวิตแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทางด้านบริษัทผู้ผลิตมันฝรั่งรสเผ็ดนี้ ได้ออกแถลงการณ์ว่า “ทางเราเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการเสียชีวิตของโวโลบาห์” พร้อมยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์จะยังคงเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร แต่มีวัยรุ่นจำนวนมากไม่ใส่ใจต่อคำเตือนบนบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ ทางบริษัทกำลังทำงานร่วมกับผู้ค้าปลีกในการนำขนมดังกล่าวออกจากชั้นวางด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกัน แม้ว่าขนมดังกล่าวจะถูกดึงออกจากชั้นวางขายตามร้านค้าปลีกแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าบริษัทจะยุติการผลิตโดยสิ้นเชิงหรือไม่ ขณะที่ทางด้านผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์กล่าวว่า แผ่นแป้งตอร์ติญาซึ่งทำจากพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก 2 ชนิด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ จึงแนะนำให้ผู้ปกครองคอยเตือนลูกๆ ว่า อย่าเข้าร่วมกิจกรรมนี้

ทั้งนี้ ขนมดังกล่าวผลิตตั้งแต่ปี 2559 บรรจุภัณฑ์เป็นกล่องรูปโลงศพประดับด้วยหัวกะโหลกสีแดง พร้อมฉลากที่เน้นคำเตือนอย่างชัดเจนระบุว่า “มันฝรั่งทอดไม่เหมาะสำหรับเด็กหรือผู้ที่ไวต่ออาหารรสเผ็ด” และกลายเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ เนื่องจากมีคำโฆษณาว่า “เผ็ดที่สุดในโลก” ทำให้เหล่าผู้คนในโลกออนไลน์ต่างพากันท้าลอง ว่าพวกเขาสามารถลิ้มรสความเผ็ดและทนกับความเผ็ดร้อนจากขนมกล่องนี้ได้หรือไม่?

'หวังอี้' เยือนวอชิงตัน ส่งสารผู้นำจีนถึง 'ไบเดน' ตอกย้ำ 3 พันธกิจ 'เคารพ-สันติ-ร่วมมือกัน'

(28 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้พบปะกับ หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันศุกร์ (27 ต.ค.)

หวัง ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ได้ถ่ายทอดคำทักทายของสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ต่อไบเดนเป็นลำดับแรก

หวัง ระบุเพิ่มเติมว่าการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของเขาในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายสื่อสารกับฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อดำเนินการตามความเข้าใจร่วมกันที่สำคัญซึ่งบรรลุโดยประธานาธิบดีของสองประเทศ อีกทั้งสานต่อการดำเนินการจากการประชุมสุดยอดที่บาหลีระหว่างสีจิ้นผิงและไบเดนสู่การประชุมสุดยอดที่ซานฟรานซิสโก เพื่อป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีเสื่อมถอยอีกต่อไป และนำพาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับสู่เส้นทางการพัฒนาที่แข็งแกร่งและมั่นคงในเร็ววัน

หวัง กล่าวว่า หลักการจีนเดียวและแถลงการณ์ร่วมจีน-สหรัฐฯ (China-U.S. joint communiqués) 3 ฉบับ เป็นรากฐานทางการเมืองที่สำคัญที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งต้องยึดมั่นโดยปราศจากการแทรกแซง

หวัง กล่าวว่า จีนใส่ใจกับความหวังของสหรัฐฯ ในการรักษาเสถียรภาพและปรับปรุงความสัมพันธ์กับจีน พร้อมเสริมว่าทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความรับผิดชอบต่อโลก ต่อประวัติศาสตร์ และต่อประชาชน และผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่มั่นคงและแข็งแรง โดยสอดคล้องกับหลักการ 3 ประการที่นำเสนอโดยสีจิ้นผิง ได้แก่ การเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

หวังชี้ว่าประเด็นดังกล่าวไม่เพียงเป็นผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของสองประเทศและประชาชนของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นปณิธานร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศด้วย

ด้าน ไบเดน ได้ส่งมอบคำทักทายไปยังประธานาธิบดีสีจิ้นผิง

ไบเดน กล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน พร้อมแสดงความหวังว่าสหรัฐฯ ยินดีรักษาการติดต่อสื่อสารกับจีนเพื่อร่วมกันจัดการกับความท้าทายระดับโลก

อนึ่ง หวังได้หารือกับแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ สองครั้ง และจัดการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์กับเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ระหว่างการเดินทางเยือนวอชิงตัน ดี.ซี.

‘ส่งออกไทย’ 7 เดือนแรก โกยมูลค่าทะลุ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ชี้ ‘ถุงมือกีฬา’ โตแกร่ง!! หลังการแข่งขันกลับมาคึกคักต่อเนื่อง

(30 ต.ค. 66) นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยสถิติการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ที่ไทยได้รับในปัจจุบัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช โดยใน 7 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่ารวม 2,017.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ ประมาณ 53% และตลาดที่ไทยมีการใช้สิทธิ GSP ส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ สหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่า 1,854.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 91.90% ของมูลค่าการส่งออกรวมที่ใช้สิทธิ GSP

สำหรับการใช้สิทธิ GSP ในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ที่มีความน่าสนใจและมีอัตราการเติบโตได้ดีตามปริมาณความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากรายการแข่งขันกีฬาที่กลับมาคึกคักอย่างต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คือ สินค้าถุงมือสำหรับกีฬา อาทิ กอล์ฟ เบสบอล และการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 26.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยมากเป็นลำดับที่ 3 รองจากเวียดนามและอินโดนีเซีย คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้า 16.33% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าเดียวกันจากทั่วโลก ซึ่งการนำเข้าที่ใช้สิทธิ GSP ทำให้ไทยได้รับการลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จากเดิมที่ต้องเสียภาษี 4.9% (MFN Rate) ลดลงเหลือ 0% นอกจากนี้ยังมีสินค้าสำคัญอื่นๆ ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ส่งออกไปสหรัฐฯ สูง โดยสินค้าอันดับ 1 ยังคงเป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และสินค้าอื่นๆ อาทิ กรดมะนาวหรือกรดซิทริก อาหารปรุงแต่ง กระเป๋าเดินทาง ถุงมือยางเพื่อการแพทย์ และเลนส์แว่นตา เป็นต้น

สำหรับโครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ที่สินค้ามีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง อาทิ เพชรพลอยรูปพรรณทำด้วยโลหะมีค่า (สวิตเซอร์แลนด์) ของผสมของสารที่มีกลิ่นหอมชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหรือเครื่องดื่ม (สวิตเซอร์แลนด์) หน้าปัดนาฬิกาชนิดคล็อกหรือวอตซ์ (สวิตเซอร์แลนด์) ข้าวโพดหวาน (นอร์เวย์) สูทของสตรีหรือเด็กหญิงทำด้วยขนแกะหรือขนละเอียดของสัตว์ (นอร์เวย์) เนื้อสัตว์แปรรูป (นอร์เวย์) สับปะรดกระป๋อง ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนิโตชนิดซาร์ดา (CIS) เป็นต้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top