Monday, 19 May 2025
สหรัฐ

CNN โพลชี้คะแนนทรัมป์-แฮร์ริสตีคู่!! เบียดสูสี ลุ้นกันต่อ 1 เดือนสุดท้ายก่อนเปิดให้หย่อนบัตร

(9 ต.ค. 67) ความนิยมในตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ที่ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดียังคงใกล้เคียงกันมาก โดยล่าสุดสำนักข่าว CNN ได้เผยแพร่โพล CNN Poll of Polls ที่หาค่าเฉลี่ยจากการสำรวจระดับชาติโดยรวม พบว่า 49% สนับสนุนรองประธานาธิบดีแฮร์ริส และ 47% ชื่นชอบอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

ค่าเฉลี่ยใหม่บ่งชี้ว่าไม่มีผู้ใดที่ได้คะแนนความนิยมนำที่ชัดเจนระหว่างทรัมป์กับแฮร์ริส

ทั้งนี้  โพลใหม่ของ CNN รวมเอาโพลการสำรวจความคิดเห็นของ New York Times/Siena College มาคำนวณด้วย ซึ่งโพลนี้ แสดงให้เห็นว่า แฮร์ริส นำทรัมป์แบบเฉียดฉิวในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง  ผู้ให้ข้อมูล 47% หนุนแฮร์ริส  44% หนุนทรัมป์ ในกรณีที่มีการระบุชื่อผู้สมัครบุคคลที่สามรวมอยู่ในคำถาม และแฮร์ริสได้ 49% ทรัมป์ 46% ในการสำรวจความคิดเห็นโดยไม่มีการระบุชื่อผู้สมัครรายอื่น

ทั้งนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ตามเวลาท้องถิ่น

อัยการ 14 รัฐในสหรัฐรุมฟ้อง TikTok หวั่นอันตรายต่อเด็ก-เยาวชน ด้าน TikTok สวนอัยการเลือกฟ้องข้อหาหนัก แทนร่วมมือกันแก้ปัญหา

(9 ต.ค. 67) อัยการสูงสุดของ 14 รัฐในสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย รัฐนิวยอร์ก และ แคลิฟอร์เนียได้ยื่นฟ้องต่อศาลประจำรัฐเมื่อวันอังคาร (8 ต.ต. 67) กล่าวหา TikTok โซเชียลมีเดียชื่อดังสัญชาติจีน เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้งานกลุ่มเด็กและ เยาวชน รวมถึงละเมิดกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวผู้เยาว์ที่เก็บข้อมูลของผู้ใช้งานเด็กโดยไม่ได้รับอนุญาต

นับเป็นอีกครั้งที่มีการใช้กฎหมายโจมตีโซเชียลมีเดียชื่อดัง ที่เกิดจากการผสานความร่วมมือจากทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่สหรัฐฯ ใน 14 รัฐ ด้วยข้อกล่าวหาว่า TikTok กระทำผิดกฎหมาย ด้วยคำเคลมที่ระบุว่าแพลทฟอร์มของตนมีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานเด็ก และ เยาวชน 

เลติเทีย เจมส์ อัยการสูงสุดของนิวยอร์ก หนึ่งในทีมอัยการรัฐที่ยื่นฟ้อง TikTok กล่าวว่า ในความเป็นจริงนั้น ห่างไกลจากสิ่งที่ทางผู้ให้บริการได้เคลมไว้มาก เนื่องจาก มีกรณีผู้ใช้ TikTok รุ่นเยาว์ ในสหรัฐฯ จำนวนมาก กำลังทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นผลจากการใช้งานโซเชียลมีเดียดังกล่าว 

คดีฟ้องร้องมุ่งเน้นไปที่ฟีเจอร์ที่ก่อให้เกิดอาการเสพติดโซเชียล รวมถึงการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง และการเล่นวิดีโอต่อเนื่องอัตโนมัติ กิจกรรมเกม "challenges" ในแพลทฟอร์มที่เป็นอันตราย และการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานที่อายุต่ำกว่า 13 ปีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ซึ่งละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ของรัฐบาลกลาง

ไบรอัน ชวาล์บ อัยการสูงสุดจากวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า เป้าหมายของการดำเนินคดีเพื่อต้องการให้ TikTok ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อสภาพจิตใจของเด็ก และวัยรุ่น ที่ถูกแรงกระตุ้นให้ใช้ TikTok ส่งผลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ และความผิดปกติของร่างกายอื่นๆ โดย อัยการ ชวาล์บ ยังกล่าวอีกว่า TikTok ทำให้เกิดอาการเสพติดโซเชียล ที่เรียกว่า “ดิจิทัลนิโคติน”  หากรัฐไม่เข้ามาควบคุม เด็กรุ่นใหม่ของสหรัฐฯ ก็จะตกเป็นเหยื่อ จนนำไปสู่สังคมที่เสื่อมทรามและอ่อนแอ 

ด้านโฆษกของ TikTok ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อกล่าวหาเหล่านี้ และมีหลายประเด็นที่ไม่ถูกต้อง และก่อให้เกิดความเข้าใจผิด"  

อีกทั้งย้ำว่า TikTok มีมาตรการดูแลการใช้งานของเด็ก และเยาวชนอย่างเข้มงวดมาตลอด และมีการลบบัญชีผู้ใช้งานที่ต้องสงสัยว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอยู่เสมอ และเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ที่สามารถจำกัดเวลาตั้งค่าหน้าจอเริ่มต้นได้ จับคู่ใช้งานกับคนในครอบครัวได้ หรือ ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี  

และตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมา ทีมงาน TikTok ก็ให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานอัยการอย่างดี แต่มาวันนี้รู้สึกผิดหวังที่ทางอัยการเลือกที่จะดำเนินคดีกับ TikTok แทนที่จะหาทางทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกแพลทฟอร์มอย่างสร้างสรรค์ 

ปัจจุบันมากกว่าครึ่งของเด็กวัยรุ่นสหรัฐ ที่มีอายุ 13-17 ปี เล่น TikTok แอปพลิเคชั่นที่มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านบัญชีทั่วโลก จากจุดเริ่มต้นของการให้บริการแชร์คลิปวิดีโอสั้น จนถึงปัจจุบันมีฟีเจอร์ให้บริการมากมาย ทั้งการไลฟ์สด ซื้อขายสินค้า ทำธุรกรรมผ่านโซเชียล เป็นช่องทางการพบปะไอดอล บริการส่งเหรียญ และ สติกเกอร์ของขวัญให้กับศิลปินคนโปรด และกิจกรรมชาเล้นจ์ชิงรางวัลมากมาย ที่สร้างรายได้ให้แก่แพลตฟอร์มแตะระดับหมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2023 ที่ผ่านมา 

แต่การขยายตัวของ TikTok ในตลาดสหรัฐอเมริกากลายเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการครอบงำจากรัฐบาลจีนผ่านแอปพลิเคชั่น TikTok 

จนกระทั่งเมื่อเดือน มีนาคม 2024 ที่ผ่านมาสภาคองเกรซได้ลงมติอย่างท่วมท้น บีบให้ ByteDance บริษัทแม่ผู้พัฒนา TikTok ในจีน ขายกิจการ TikTok ให้แก่ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ภายในวันที่ 19 มกราคม 2025 มิฉะนั้นจะถูกแบนการใช้งานในสหรัฐฯ อย่างถาวร   

‘โอ๋ อรวดี’ พาสำรวจสมรภูมิชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ พบเงินสะพัด 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทุ่มซื้อโฆษณาไม่อั้น!!

(10 ต.ค. 67) อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญสำหรับปีนี้คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนปีนี้ค่ะ ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 60 โดยครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตเลยค่ะ 

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้ง Donald Trump และ Kamala Harris ต่างมีนโยบายที่แตกต่างกันอย่างมากในด้านการจัดการเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการลดภาษีของ Trump และการเพิ่มภาษีสำหรับผู้มั่งคั่งของ Harris ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันหลายล้านคน

ในด้านค่าใช้จ่ายในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 ก็มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่าได้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีการคาดการณ์ว่าการหาเสียงในระดับรัฐบาลกลางครั้งนี้จะใช้เงินมากถึง 16 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำลายสถิติจากการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไป 15.1 พันล้านดอลลาร์ 

>>>ผู้สมัคร ปธน. หาเงินมาจากไหน???

โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้มาจากการระดมทุนจาก Super PACs และการใช้จ่ายจากองค์กรที่ไม่แสดงที่มาของเงินบริจาค ซึ่งทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเพื่อการโฆษณา การรณรงค์หาเสียง และการส่งจดหมายหาเสียงค่ะ ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งมหาศาลนี้แบ่งแยกย่อยออกมาได้เป็น 

1. การใช้จ่ายของ Super PACs: กลุ่มภายนอกอย่าง Super PACs คาดว่าจะใช้จ่ายในระดับที่มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไปทั้งหมด 3.3 พันล้านดอลลาร์ 
2. การระดมทุนของผู้บริจาครายใหญ่: 10 ผู้บริจาครายใหญ่บริจาคเงินรวมกว่า 599 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 7% ของการระดมทุนทั้งหมดในระดับรัฐบาลกลาง
3. การสนับสนุนจาก Super PACs ฝั่งพรรครีพับลิกัน: โดยในรอบนี้ผู้บริจาครายใหญ่ทั้งหมดที่ติดอันดับท็อป 5 พากันสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้พรรครีพับลิกันได้เปรียบในการใช้จ่ายจากกลุ่มภายนอกกว่าอีกฝ่ายค่ะ 

4. การระดมทุนของ Kamala Harris: แคมเปญของ Kamala Harris ระดมทุนได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2024 เพียงลำพัง นับว่าเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเทียบกับการระดมทุนในอดีตของผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
5. ค่าใช้จ่ายต่อผู้สมัคร: ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้สมัครในสภาผู้แทนราษฎรอยู่ที่ 2.4 ล้านดอลลาร์ ต่อคนในปี 2020 ซึ่งสูงกว่าปี 2008 ที่ใช้เพียง 1.4 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้สมัครวุฒิสมาชิกต้องใช้เงินเฉลี่ยถึง 27.2 ล้านดอลลาร์ ในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 8.5 ล้านดอลลาร์ ในปี 2008 

>>>งบโฆษณาออนไลน์พุ่ง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการใช้เงินจำนวนมากในการโฆษณาและการรณรงค์ในรูปแบบดิจิทัล เนื่องจากการเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทางออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของการหาเสียง ข้อมูลจากหลายฝ่ายแสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อน เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในการครอบครองพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube, และ Google 

ส่วนเราคนไทยก็ต้องจับตามองการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิดค่ะ เพราะไม่ว่าใครจะได้มาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ก็จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเราอย่างแน่นอนค่ะ 

การเลือกตั้งที่แพ้ไม่ได้!!

เปิดที่มายอดระดมทุนระดับ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทุ่มลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 คาดพายุหมุนทางเศรษฐกิจทุ่มลงโฆษณาดิจิทัล ชิงพื้นที่สมรภูมิสื่อออนไลน์

ออท.สหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคำนับ รอง นรม.และ รมว.กห.

(17 ต.ค. 67) ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ภายในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม พลตรี ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง นาย Robert F. Godec (รอเบิร์ต เอฟ โกเด็ก) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย (ออท.สหรัฐฯ/ไทย) ได้เข้าเยี่ยมคำนับ นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี

(รอง นรม.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.กห.) เพื่อแสดงความยินดี ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รมว.กห. และหารือในหลายประเด็น โดยเฉพาะเกี่ยวกับความร่วมมือ ด้านความมั่นคงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

โดย รอง นรม. และ รมว.กห. ขอบคุณ ออท.สหรัฐฯ/ไทย และชื่นชมในความร่วมมือที่ผ่านมา ทำให้การดำเนินการเกิดผลสัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างดี ซึ่งการเข้าพบในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งด้านการศึกษา การพัฒนากองทัพ การแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ ทำให้เกิดความทันสมัยของกองทัพทั้ง 2 ประเทศ อันนำมาซึ่งความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และจะทำให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก

การหารือ ได้กล่าวถึงพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในหลายมิติ ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือน การประชุมระดับต่างๆ การปรับการเกณฑ์ทหาร โดยใช้รูปแบบความสมัครใจเหมือนกับของกองทัพสหรัฐฯ มาเป็นแนวทางใน การพัฒนา เพื่อปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด รวมทั้งการสนับสนุนให้กำลังพลของกองทัพไทย ได้เข้าไปร่วมฝึก/ศึกษา ณ ประเทศสหรัฐฯ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การจัดหายุทโธปกรณ์และส่งกำลังบำรุง รวมทั้งการฝึกร่วม/ผสม Cobra-Gold ที่เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการฝึกที่เก่าแก่และยาวนาน รวมทั้งมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค นับเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของกองทัพไทย และส่งเสริมขีดความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกัน

สำหรับประเด็น ความท้าทายด้านไซเบอร์ระหว่างกองทัพไทยกับสหรัฐฯ ได้มีการพูดคุยถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับความร่วมมือ การแก้ปัญหาไซเบอร์ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางความมั่นคง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาความร่วมมือด้านการข่าวและการก่อการร้าย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยมีนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ในการผลิตเพื่อบรรจุการใช้งานให้กับเหล่าทัพบนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ตลอดจนสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมส่งออกได้ต่อไป ซึ่งสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศชั้นนำของโลก โดยเฉพาะด้าน การจัดโครงสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทั้งระบบ
ทั้งนี้ การเข้าเยี่ยมคำนับ ถือว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้มีความแนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในภูมิภาค

ภายหลังการเข้าพบ ออท.สหรัฐฯ/ไทย ได้ขอบคุณ รอง นรม. และ รมว.กห. ที่กรุณาสละเวลาให้การต้อนรับในวันนี้ และชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหาร รวมทั้งยินดีอย่างยิ่งหากไทยและสหรัฐฯ จะได้พัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระหว่างกันต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

กองทัพจีนโชว์ 'เฮลิคอปเตอร์ Z-20' นักวิเคราะห์เชื่อศักยภาพเหนือกว่าสหรัฐ

(12 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานว่า ที่งานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติแห่งประเทศจีน หรือ Airshow China ในเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ท่ามกลางการโชว์อากาศยานและเทคโนโลยีการบินระดับนานาชาติของจีนนั้น หนึ่งในไฮไลต์ที่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ให้ความสนใจคือ การโชว์ของเฮลิคอปเตอร์  Z-20 ที่กองทัพอากาศจีนนำมาโชว์ภายในงาน

จากข้อมูลระบุว่า กองทัพจีนได้พัฒนาเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 เพื่อเข้ามาอุดช่องว่างด้านความสามารถในการระบบป้องกันภัยต่อต้านเรือดำน้ำ ซึ่งเฮลิคอปเตอร์นี้ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมระดับภูมิภาค และนักวิชาการด้านความมั่นคงอย่างมาก 

สำหรับข้อมูลพื้นฐานของเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า Harbin Z-20 ได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มอุตสาหกรรมอากาศยานฮาร์บิน เริ่มเข้าประจำการในกองทัพจีนตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2019 และได้รับการพัฒนาเรื่อยมาในหลายซีรีส์ โดยเฮลิคอปเตอร์รุ่นพื้นฐานนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 12-15 คน ความยาว 20 เมตร ความสูง 5.3 เมตร น้ำหนักเปล่าไร้การบรรทุก  5,000 ก.ก. ขับเคลื่อนด้วยโรเตอร์เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ WZ-10 จำนวน 2 ตัว ให้กำลังที่ 2,100–2,700 แรงม้า ต่อเครื่องยนต์ ทำความเร็วสูงสุดได้ 360 km/h พิสัยการบินไกล 560 km เพดานบินสูงสุด 20,000 ft 

สำหรับรุ่นที่โชว์ในงานจะเป็น Z-20J ซึ่งจากรายงานล่าสุดของเพนตากอนระบุว่า จีนยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20F ที่คล้ายกับ SH-60 Black Hawk ของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งเทคโนโลยียังตามหลังเฮลิคอปเตอร์ Black Hawk แต่ทว่าภายในงานการบินล่าสุดนี้ จีนได้นำต้นแบบของรุ่น  Z-20J ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกพัฒนาต่อจาก Z-20F มาโชว์ภายในงานแล้ว ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างระบบต่อต้านเรือดำน้ำอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งสะท้อนว่ารายงานด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐไม่ได้อัปเดตข้อมูลเท่าที่ควร

เฮลิคอปเตอร์ Z-20 กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และว่ารุ่น Z-20F ที่คล้ายกับ SH-60 Black Hawk ของกองทัพเรือสหรัฐ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านเรือดำน้ำได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กที่ PLAN ใช้งานในปัจจุบัน

คอลลิน โกห์ นักวิชาการด้านความมั่นคงจาก S. Rajaratnam School of International Studies ในสิงคโปร์ กล่าวว่า Z-20 จะกลายเป็นเฮลิคอปเตอร์มาตรฐานของกองทัพเรือและการต่อต้านเรือดำน้ำของจีน เนื่องจากมีความสามารถลงจอดบนเรือได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่เรือคอร์เวตต์และเรือพิฆาต ไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน ก่อนหน้านี้จีนมีเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-8 และ Z-9 ซึ่งหนักเกินไปและเบาเกินไปตามลำดับ ที่จะทำให้จำกัดเรือที่จะร่วมปฏิบัติการ รวมถึงจำกัดพิสัยการบินและน้ำหนักของอาวุธและเซ็นเซอร์ในการต่อต้านเรือดำน้ำของฝ่ายตรงข้าม Z-20 จึงเป็นคำตอบ

สอดคล้องกับ Navy Professional Journal สื่อวิชาการของกองทัพเรือไต้หวัน เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์ต่อต้านเรือดำน้ำของจีนเมื่อเดือน ธ.ค. 2565 โดยระบุว่า ความสามารถของ Z-20 ล้ำหน้ากว่าเฮลิคอปเตอร์แบบ MH-60R Black Hawk ของสหรัฐ

ทั้งนี้ ยุทธวิธีต่อต้านเรือดำน้ำสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเฮลิคอปเตอร์ที่ปฏิบัติการไกลจากเรือหลัก คือการทำหน้าที่ล่า และติดตามศัตรูด้วยเซ็นเซอร์หลายรูปแบบ ทั้งยังประสานงานกับเรือและเครื่องบินลำอื่นๆ ด้วย โดยเฮลิคอปเตอร์ส่วนใหญ่มักติดตั้งอาวุธน้ำหนักเบา เช่น ระเบิดใต้น้ำ และตอร์ปิโด

ในการประเมินของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษากลยุทธ์ในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับการจัดการกำลังทหารระหว่างประเทศ พบว่า จีนได้ส่งเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 ราว 15 ลำ ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยมานานแล้ว

เผยมิสไซล์ Oreshnik บึ้มฐานสหรัฐในอาหรับเพียง 15 นาที ยิงถึงฐานเพิร์ลฮาร์เบอร์-แผ่นดินใหญ่สหรัฐใน 25 นาที

(27 พ.ย.67) สำนักข่าวสปุตนิกเปิดเผยว่า หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เปิดตัวขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ 'Oreshnik' ที่ใช้ตอบโต้ยูเครน ซึ่งก่อนหน้านั้นยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธ ATACMS จากสหรัฐโจมตีพื้นที่รัสเซีย ชาตินาโต้เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของขีปนาวุธดังกล่าว  

Oreshnik มีพิสัยการยิงครอบคลุมทั่วยุโรปและยังสามารถโจมตีฐานทัพสหรัฐในตะวันออกกลางได้ในเวลาเพียง 15 นาที นักวิเคราะห์รัสเซียเผยว่า ขีปนาวุธนี้สามารถเข้าถึงฐานทัพในตะวันออกกลาง แปซิฟิก อลาสกา และไซโลขีปนาวุธในสหรัฐได้อย่างรวดเร็ว  

หากยิงจากฐาน Kapustin Yar ในแคว้นอัสตราฮัน ทางตอนใต้ของรัสเซีย จะสามารถโจมตี ฐานทัพสหรัฐในคูเวต ระยะทาง 2,100 กม. ใน 11 นาที  ฐานทัพเรือที่ 5 ในบาห์เรน ระยะทาง 2,500 กม. ใน 12 นาที  ฐานทัพอากาศในกาตาร์ ระยะทาง 2,650 กม. ใน 13 นาที ฐานทัพในจีบูติ แอฟริกา ระยะทาง 4,100 กม. ใน 20 นาที  

สำหรับแถบแปซิฟิกและอลาสกา หากยิงจาก Kamchatka ในไซบีเรีย จะโจมตีฐานทัพในอลาสกา ระยะทาง 2,400 กม. ใน 12 นาที  เกาะกวม ระยะทาง 4,500 กม. ใน 22 นาที เพิร์ลฮาร์เบอร์ ระยะทาง 5,100 กม. ใน 25 นาที  

ขณะที่จากฐาน Chukotka ในรัสเซีย ขีปนาวุธ Oreshnik สามารถยิงถึง ฐานปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปในมอนทานา ระยะทาง 4,700 กม. ใน 23 นาที ไซโลขีปนาวุธในนอร์ทดาโกตา ระยะทาง 4,900 กม. ใน 24 นาที

สหรัฐฯส่งเรือรบ 'ยูเอสเอส ซาวันนาห์' เทียบท่าสีหนุวิลล์ ส่งสัญญาณฟื้นสัมพันธ์เขมร ก่อนทรัมป์ขึ้นตำแหน่งปธน.

เมื่อวันที่ (16 ธ.ค.67) ที่ผ่านมา เรือรบ ยูเอสเอส ซาวานนาห์ (USS Savannah) ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้จอดเทียบท่าที่ท่าเรือเมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นเมืองรีสอร์ตริมทะเลอ่าวไทยและท่าสำคัญที่สุดของกัมพูชา การเข้าจอดครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี และจะประจำการที่ท่าเรือแห่งนี้เป็นเวลา 5 วัน โดยเรือซาวานนาห์เป็นเรือรบประเภทชายฝั่ง และบรรทุกลูกเรือทั้งหมด 103 คน

แดเนียล เอ. สเลดส์ ผู้บัญชาการเรือ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เขารู้สึกยินดีที่กองทัพเรือสหรัฐฯ กลับมาเยือนกัมพูชาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานถึง 8 ปี

การเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่สหรัฐฯ พร้อมจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัมพูชา หลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาในเรื่องการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกัมพูชาและจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การที่จีนได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงฐานทัพเรือในอ่าวไทย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรือซาวานนาห์จอดเทียบท่ามากนัก

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนกัมพูชาและได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา โดยนายฮุน มาเนตเองก็เป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยการทหารเวสต์พอยต์ของสหรัฐฯ ด้วย นับเป็นการส่งสัญญาณของกองทัพสหรัฐในช่วงก่อนหน้าที่จะมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลสู่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

'เดนมาร์ก' ทุ่มงบกลาโหม หลังทรัมป์เปรยอยากผนวกดินแดน

(25 ธ.ค. 67) รัฐบาลเดนมาร์กประกาศเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมสำหรับเกาะกรีนแลนด์อย่างมาก หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความต้องการซื้อเกาะแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง นักวิเคราะห์มองว่า นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดของทรัมป์

รายงานจากบีบีซีระบุว่า รัฐบาลเดนมาร์กประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันสำหรับเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ทรัมป์แสดงความต้องการซื้อเกาะแห่งนี้อีกครั้ง

โทรลส์ ลุนด์ พูลเซ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเดนมาร์กกล่าวว่า งบประมาณด้านกลาโหมสำหรับเกาะกรีนแลนด์จะมีมูลค่าหลายพันล้านโครน ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 51,000 ล้านบาท) โดยจะใช้ในการซื้อเรือลาดตระเวน 2 ลำ โดรนพิสัยไกล 2 ลำ และทีมสุนัขลากเลื่อนพิเศษ 2 ตัว รวมถึงการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ที่หน่วยบัญชาการอาร์กติกในเมืองนุก และการอัพเกรดสนามบินพลเรือนหนึ่งแห่งเพื่อรองรับเครื่องบินรบรุ่น F-35

นายพูลเซ่นกล่าวว่า การประกาศเพิ่มงบฯ กลาโหมในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากที่ทรัมป์ประกาศว่า ความเป็นเจ้าของและการควบคุมเกาะกรีนแลนด์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสหรัฐฯ

เกาะกรีนแลนด์เป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก และเป็นแหล่งที่ตั้งของศูนย์อวกาศสำคัญของสหรัฐฯ โดยมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากตั้งอยู่ในเส้นทางที่สั้นที่สุดระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป และเป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญ

การเพิ่มงบฯ กลาโหมนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของเดนมาร์กในการเสริมความแข็งแกร่งด้านการป้องกันในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนมองว่าเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของสหรัฐฯ ที่อาจจะเพิ่มขึ้นหากเดนมาร์กไม่สามารถปกป้องพื้นที่ดังกล่าวจากการขยายอิทธิพลของจีนและรัสเซียได้

มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีเกาะกรีนแลนด์กล่าวว่า เกาะของเราจะไม่ถูกขาย แต่เขายังเน้นว่า ชาวกรีนแลนด์ควรเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือและการค้า โดยเฉพาะกับเพื่อนบ้าน

สำหรับข้อเสนอที่ทรัมป์ยื่นซื้อเกาะกรีนแลนด์ในปี 2019 ได้รับการตำหนิจากผู้นำเดนมาร์กในขณะนั้นอย่างรุนแรง จนกระทั่งทรัมป์ยกเลิกการเยือนเดนมาร์ก

ทั้งนี้ แนวคิดในการซื้อเกาะกรีนแลนด์ของสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยมีการพูดถึงครั้งแรกในยุคประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ในช่วงทศวรรษ 1860

สหรัฐให้เงินกู้ช่วยยูเครน ใช้สินทรัพย์ที่ยึดจากรัสเซียค้ำประกัน

(25 ธ.ค. 67) เดนิส ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครนประกาศเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ว่า ยูเครนได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากสหรัฐฯ โดยใช้สินทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกอายัดเป็นหลักประกัน

ชมีฮาลได้โพสต์ข้อความผ่านทางเทเลแกรมว่า “นี่คือเงินก้อนแรกจากแผนการจัดสรรงบประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯ เตรียมจัดสรรโดยใช้สินทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกอายัดไว้”

ต่อมา กระทรวงการคลังของยูเครนได้ชี้แจงว่า เงินทุนดังกล่าวเป็นเงินช่วยเหลือภายใต้โครงการเงินกู้ Second Growth Foundation Development Policy Loan (DPL) ของธนาคารโลก

ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่มีขอบเขตกว้างขึ้นจากกลุ่ม G7 ที่ได้กำหนดให้จัดสรรเงินจำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนยูเครน โดยใช้เงินจากทรัพย์สินที่ถูกยึดของรัสเซีย

ทั้งนี้ สื่อรายงานว่า กลุ่ม G7 ได้อายัดทรัพย์สินของรัสเซียมูลค่าราว 3 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top