Friday, 31 May 2024
พีระพันธุ์_สาลีรัฐวิภาค

‘พีระพันธุ์’ พร้อม!! ตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท 3 เดือน ลั่น!! จะดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับนี้ตลอดปี

ข่าวดี!! ‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท ทั้งปี 67 ด้านค่าไฟเริ่มเห็นสัญญาณต้นทุนทรงตัวจากปริมาณก๊าซในแหล่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น พร้อมลุย!! ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เต็มรูปแบบควบคู่การดูแลราคาพลังงาน

(12 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ปี 2567 จะดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป โดยตลอดปีนี้ ทั้งค่าไฟ ที่เริ่มเห็นสัญญาณต้นทุนทรงตัว เพราะจะมีปริมาณก๊าซในแหล่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลต้องอยู่ระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อไป ขณะที่ ราคาแอลพีจี (LPG) และเอ็นจีวี (NGV) จะดูแลให้อยู่ระดับนี้ต่อไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาล ทุกหน่วยงานรัฐ

นอกจากนี้ จะเดินหน้า ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เต็มรูปแบบควบคู่การดูแลราคาพลังงาน โดยคาดว่ากฎหมายหลายฉบับที่ปรับแก้ รื้อ หรือยกร่างใหม่จะชัดเจนทั้งหมด อาทิ ประเด็นโครงสร้างราคาน้ำมัน ปัจจุบันประกอบด้วย ราคาหน้าโรงกลั่นของฝั่งเอกชน บวกฝั่งรัฐคือ ภาษีต่าง ๆ บวกส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกองทุนฯ อุดหนุน ซึ่งฝั่งรัฐกลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100%

ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ทันทีคือ การหารือกับกระทรวงการคลัง (นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) โดยเป็นการหารือระดับรัฐมนตรี เพื่อเป็นนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างถาวร เพราะโครงสร้างจากรัฐมีมานานตั้งแต่ตั้งกระทรวง ไม่มีการปรับแก้ 

ส่วนต้นทุนหน้าโรงกลั่นเมื่อแก้กฎหมายแล้ว กระทรวงพลังงานจะมีอำนาจเรียกดูข้อมูลที่เอกชนอ้างเป็นความลับทางการค้า ทั้งหมดนี้ราคาน้ำมันของไทยจะลดลงด้วยโครงสร้างที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง

ด้านกรณีการตรึงราคาดีเซล 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค. 67) ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยไม่มีการช่วยเหลือทางภาษีจากกระทรวงการคลังนั้น คาดว่าวันที่ 16 มกราคมนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคือ ลดภาษีดีเซลเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยรายละเอียดอยู่ที่กระทรวงการคลังในการพิจารณาอัตรา และช่วงเวลาการสนับสนุน

นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า ผลงานสำคัญของกระทรวงพลังงานปีที่ผ่านมาคือ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้า ล่าสุดงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 อยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และกลุ่มเปราะบาง 3.99 บาทต่อหน่วย

ขณะที่น้ำมัน กลุ่มเบนซินไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ลดกลุ่มเบนซิน โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ราคาลดลง 2.50 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ด้วย

"ประเด็นค่าไฟได้มีการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติ ด้วยการบริหารให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติใช้ก๊าซในราคาพูลก๊าซ คือ ราคาเฉลี่ยจากทุกแหล่งที่มา ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงได้ ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งในการปรับโครงสร้างพลังงานประเทศที่ผมประกาศไว้" นายพีระพันธุ์ ทิ้งท้าย

‘รมว.พีระพันธุ์’ เดินหน้าให้ความรู้ด้าน ‘พลังงาน’ แก่คนไทย หนุนผลิต-ใช้ ‘พลังงานทดแทน’ ปักหมุด ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางเอเชีย

(23 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ รมว.พลังงานลงพื้นที่ จ.ชุมพร เปิดกิจกรรม ‘คาราวานความสุข @ชุมพร’ หนุนชุมชนใช้พลังงานทดแทน โดยระบุว่า…

เมื่อวันที่ 22 มกราคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เปิดงาน ‘กระทรวงพลังงาน คาราวานความสุข @ ชุมพร’ ตามนโยบายสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคเอเชีย และ สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งจากภาคพลังงาน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำองค์กรเอกชน กลุ่มพลังมวลชน ร่วมพิธีกว่า 2,000 คน ณ ลานกิจกรรมเทศบาลเมืองชุมพร อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร 

นายพีระพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘พลังงานสร้างสุข ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน เพื่อคนไทยทุกคน’ เพื่อประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับนโยบายด้านการส่งเสริมสนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน สร้างความเข้าใจและเข้าถึงองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน ไปยังกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการอาคาร โรงงานและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านพลังงานและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานและสินค้าชุมชนให้มีโอกาสพบผู้บริโภคได้โดยตรง รวมทั้งสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการและชุมชนต่าง ๆ ให้สามารถแลกเปลี่ยน ซื้อขาย ตลอดจนตกลงร่วมมือทางด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน เสริมสร้างและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่มูลค่าระหว่างภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างแก่ผู้ประกอบการและชุมชนอื่น ๆ ให้เกิดการขยายผลในวงกว้าง

‘รมว.พีระพันธุ์’ เกลี้ยกล่อม ‘เจ๋ง ดอกจิก’ มอบตัว หลังมีชื่อเอี่ยวก๊วนศรีสุวรรณ รีดเงินอธิบดีกรมการข้าว

(26 ม.ค. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป.นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. สนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. นำโดย พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผอ.ปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ นำหมายค้นเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุด ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี เพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาขบวนการนักเคลื่อนไหวหรือนักร้องเรียนข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐแลกกับการไม่ร้องเรียนหรือกลั่นแกล้งให้ถูกตรวจสอบ

สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ว่าได้ถูกนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หรือ นักเคลื่อนไหวชื่อดัง พร้อมด้วยนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ และเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี พร้อม น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมกันข่มขู่เรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท ก่อนจะมีการเจรจาต่อรองเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต

แต่ด้วยความที่ นายณัฏฐกิตติ์ มั่นใจว่าที่ผ่านมาตนเองนั้นบริหารงานหรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ถูกผู้ต้องหาทั้ง 3 รายกล่าวอ้างเพื่อข่มขู่ จึงมองว่าการถูกกระทำเช่นนี้ไม่เป็นธรรมแก่ตนเอง แต่ด้วยความที่เกรงว่าหากถูกร้องเรียนโจมตีบ่อยครั้งเข้าจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยอมจ่ายเงินให้ครั้งแรกก่อนเป็นจำนวน 1.4 แสนบาท ก่อนแอบถ่ายคลิปวิดีโอตอนส่งมอบเงินเก็บไว้เป็นหลักฐาน 

จากนั้นจึงนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ก่อนมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 รายมีพฤติกรรมดังกล่าวจริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับ นายศรีสุวรรณ และ น.ส.พิมณัฏฐา ในข้อความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พร้อมออกหมายจับนายยศวริศ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนวางแผนให้ผู้เสียหายทำการนัดหมายส่งมอบเงินงวดต่อมาอีก 5 แสนบาท ไปส่งมอบให้ จึงซ้อนแผนเข้าจับกุม

โดยเป้าหมายสำคัญจุดแรกเป็นบ้านเลขที่ 51/119-121 ม.9 ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านพฤกษา 17 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายศรีสุวรรณ หลังจากผู้เสียหายส่งคนนำเงิน 5 แสนบาท ไปส่งมอบให้กับภรรยาของนายศรีสุวรรณ กระทั่งเมื่อเห็นว่ามีการหยิบซองเงินเข้าไปภายในบ้านจริง จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุม ระหว่างนั้นนายศรีสุวรรณเกิดไหวตัวพยายามวิ่งนำซองเงินไปโยนทิ้งบริเวณข้างบ้าน เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ติดตามไปตรวจยึดกลับคืนมาได้ ก่อนแสดงหมายจับให้เจ้าตัวรับทราบจากนั้นจึงทำการควบคุมตัวพร้อมพาตรวจค้นภายในบ้านพัก เพื่อค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติมทางคดี นอกจากนี้ยังได้เตรียมเชิญตัวภรรยาของนายศรีสุวรรณ ไปทำการสอบปากคำเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วยหรือไม่

ภายหลังการจับกุมตัวนายศรีสุวรรณได้ไม่นาน ทางด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มายัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อประสานติดต่อจะพา นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก กับ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ ผู้ต้องหาอีก 2 ราย เข้ามอบตัว ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจานัดหมายสถานที่รับส่งมอบตัว เบื้องต้นคาดว่าทั้งสองจะเข้ามอบตัวที่ สน.นางเลิ้ง ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะมีการแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายหลังภารกิจเสร็จสิ้น

ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล และสน.ดุสิต ได้เดินทางเข้ามาพูดคุยและเชิญ นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก ขึ้นรถเพื่อไปที่สน.ดุสิต ทำการสอบสวนตามขั้นตอนและกระบวนการต่อไป 

ด้านนายยศวริศ กล่าวว่า “ยังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้เรื่องอะไร เพิ่งรู้เรื่องจากตำรวจ ผมประสานให้นายศรีสุวรรณเฉย ๆ ซึ่งเรื่องนี้ต้องคุยกันไม่เป็นไร ยืนยันว่าชี้แจงได้ ขอย้ำว่าชี้แจงได้ไม่มีปัญหา”

ทั้งนี้ มีรายงานว่าบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลมีเจ้าหน้าที่สอบสวนกลางได้มาเตรียมพร้อมบริเวณห้องปฏิบัติการสื่อมวลชน 1 และด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงเที่ยง หลังมีรายการว่า นายยศวริศ เดินทางเข้ามาที่ตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงสายของวัน เพื่อพบกับนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘ติ๊กต็อกดัง’ มั่นใจ!! ‘พีระพันธุ์’ แม่นกฎหมาย-ข้อมูลเป๊ะ เชื่อ!! ไม่เข้าข้าง-ช่วยเหลือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ให้พ้นผิด

เมื่อวานนี้ (29 ม.ค. 67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก ‘sparkupdate’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับกรณีตำรวจควบคุมตัวนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายในทำเนียบรัฐบาล หลังมีการกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท ว่า…

“มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ โดยที่ปรึกษากฎหมายของทางอธิบดีกรมการข้าว ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า…พรรครวมไทยสร้างชาติ ‘อาจจะ’ ช่วยเหลือเจ๋ง ดอกจิก เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ (ข่มขู่ รีดเงิน) หากยังมีตำแหน่งทางราชการ หรือมีการแต่งตั้งทางราชการ ก็จะต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งถือเป็นโทษที่หนักมาก แต่หากได้มีการปลดหรือลงจากตำแหน่งมาก่อนแล้ว กลายเป็นบุคคลธรรมดา จะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ ยังระบุต่อว่า “มีหลายคนตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะเข้ามาช่วยเหลือกันเองหรือเปล่า ซึ่งทางเรามั่นใจนะว่า ‘ไม่’ เพราะคนที่ออกมาให้ข่าวว่าตำแหน่งของ เจ๋ง ดอกจิก หลุดไปตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้วคือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเรามั่นใจมากว่าทางคุณพีระพันธุ์แม่นยำเรื่องกฎหมาย เรื่องเอกสาร เรื่องความชัดเจน เราเชื่อว่าจะไม่มีการปกป้องคนผิด เพราะก็เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อนด้วย”

“ส่วนอีกประเด็นก็คือคุณขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ออกมาเปิดโอกาสให้ร้องเรียนได้ หากใครโดนคนของพรรคแอบอ้างหรือทุจริต ก็สามารถส่งข้อความร้องทุกข์ได้ เป็นการถือโอกาสนี้เพื่อสะสาง กวาดล้างให้สะอาด ส่วนใครที่แต่งตั้งตำแหน่งอะไรไว้ ก็จะให้ทำรายงานและส่งกลับมาให้พรรคดูอีกทีหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นท่าทีของพรรครวมไทยสร้างชาติหลังเกิดกรณีของเจ๋งดอกจิก”

‘รมว.พีระพันธุ์’ เล็งแก้ กม. สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศไทยและประชาชน

(7 ก.พ. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซ เพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์และระบบรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ โดยมีนางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานนา และผู้บริหาร พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมประชุม

นายพีระพันธุ์ฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่แปลกที่ประเทศไทยมีการสำรองและควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซโดยเอกชนมากว่า 40 ปี และราคาขึ้นลงเหมือนหุ้น ทำให้ไม่มีความมั่นคงด้านพลังงานกับประเทศและประชาชน จากนี้ไป คกก.ชุดนี้จะเร่งศึกษาและเร่งทำงานเพื่อแก้ไขกฎหมายที่เป็นธรรมให้ทุกฝ่าย เช่น เปิดการค้าน้ำมันเสรี การสำรองน้ำมันด้วยน้ำมัน และแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลัง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชน

คนไทยต้องทนหรือ?! ‘รมว.พีระพันธุ์’ ชี้ชัด!! สาเหตุทำไมไทยน้ำมันแพง ลั่น!! ถึงเวลารื้อระบบ เร่งสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศไทย ซึ่งนับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าพลังงานในราคาแพง โดยระบุว่า นโยบายเร่งด่วนของกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับดูแลของตนนั้น จะมุ่งไปที่การทำให้ราคาพลังงานมีความเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ตนกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องทํา และที่สำคัญต้องทําให้ได้ เพราะในฐานะที่ตนเองก็เป็นประชาชนธรรมดาเหมือนกัน ต้องจ่ายค่าน้ำมันต้องจ่ายค่าไฟเหมือนคนทั่วไป ซึ่งก่อนหน้านี้มีความรู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก เพราะไม่เคยรู้ว่าทําไมราคาพลังงานขึ้นลงด้วยสาเหตุใด รู้เพียงแต่ว่า เป็นกลไกของตลาดโลก 

ทั้งนี้ จากการศึกษาและเก็บข้อมูลพลังงาน ทั้งเรื่องน้ำมัน และไฟฟ้า พบเห็นช่องว่างว่า ถ้าหากใช้กลไกอํานาจรัฐเข้าไปปรับโครงสร้าง ยังพอจะช่วยได้นะ แม้คนจํานวนมากจะมองว่าทําไม่ได้ แต่ส่วนตัวมองว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทํามากกว่า พอมีปัญหาทีก็อ้างภาวะตลาดโลก

“ในโครงสร้างที่ประกอบกันมาเป็นราคาน้ำมันหรือค่าไฟฟ้าก็ดี มีส่วนที่เป็นของภาครัฐดูแลอยู่ นอกเหนือจากส่วนที่เป็นภาคเอกชนหรือตลาดโลก ซึ่งในส่วนนี้เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้ แต่เราเห็นว่ามันมีส่วนของภาครัฐ ซึ่งส่วนของภาครัฐที่ว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นในกรณีน้ำมัน ที่มีเรื่องของภาษี มีเรื่องของเงินกองทุน ซึ่งถ้าหากว่าเราสามารถปรับลดในส่วนนี้ลงมาได้ ก็จะสามารถลดราคาตรงนี้ลงมาได้แน่นอน จะมากจะน้อยกว่ากันอีกที แต่ทําให้เห็นว่าถ้าจะลดจริงจังก็สามารถทําได้”

นายพีระพันธุ์ ได้แจกแจงในส่วนของโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะประกอบไปด้วยภาษี และภาษี และกองทุน และกองทุน และภาษี และภาษี และค่าการตลาด 

จากต้นทุนทั้งหมดในส่วนนี้ นอกเหนือจากค่าการตลาด ถือเป็นเรื่องของภาครัฐแทบทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้เองที่ภาครัฐต้องเข้าไปบริหารจัดการ เป็นต้นว่าไปขอเจรจาให้กระทรวงการคลังลดภาษีสรรพสามิตลง ก็จะช่วยทำให้ราคาลงมาได้

แน่นอนว่า จากโครงสร้างราคาน้ำมันแบบปัจจุบัน วิธีการเดียวที่จะปรับลงได้ ณ รูปแบบปัจจุบัน คือ ให้หน่วยงานภาครัฐลดภาษี ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกหรือมาตรการชั่วคราว ในขณะที่มาตรการขั้นที่สองที่จะดำเนินการต่อไปหลังจากนี้ คือจะสั่งการให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้ง ‘ต้นทุนน้ำมัน’ ที่แท้จริง โดยโครงสร้างราคาน้ำมันเป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งถูกกำหนดโดยราคาหน้าโรงกลั่น แน่นอนว่า ปัจจุบันราคาหน้าโรงกลั่นนั้น เป็นราคาที่ภาคเอกชนคิดคํานวณกันเอง ซึ่งทางภาครัฐไม่เคยรับรู้ต้นทุนที่แท้จริงเลย

นายพีระพันธุ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งเอกชนเป็นผู้กำหนด และบอกว่า ราคาเท่านี้ แต่แท้จริงแล้วใช่ตัวเลขนี้หรือไม่ หรือ ต่ำกว่านี้ เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ จะประกาศให้ทางเอกชนเข้าชี้แจง และแจ้งต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งถ้าหากว่าได้ต้นทุนที่แท้จริงแล้ว และตรวจสอบได้ว่า ต้นทุนถูกกว่าที่เคยมีตัวเลขคํานวณกันเอง ทางหน่วยงานของกระทรวงพลังงานก็ต้องหาวิธีการ และคิดสูตรมาคํานวณว่าราคาหน้าโรงกลั่นควรจะเป็นเท่าไหร่ โดยยึดเอาราคาที่แท้จริงมาคิดต้นทุน ตอนนี้กําลังเร่งดําเนินการให้มีการแจ้งราคาที่แท้จริงแล้ว

นอกจากนี้ ในส่วนของกองทุนน้ำมัน จำเป็นต้องรื้อระบบใหม่เช่นกัน เพราะในหลักการบอกว่าให้บริษัทน้ำมันจ่ายเข้ากองทุนน้ำมัน แต่ในปัจจุบันกลับมาเก็บจากประชาชน ซึ่งมองว่าโครงสร้างแบบนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ดังนั้น จะต้องรื้อใหม่ และไม่ใช่รื้อเพียงแค่โครงสร้างเท่านั้น แต่ต้องรื้อทั้งระบบ

“ยกตัวอย่าง เงินเดือน 100 บาท เราจะได้ไม่เต็ม 100 บาท เพราะต้องเสียภาษี แต่ในขณะที่บริษัทน้ำมัน ขายน้ำมัน 100 บาท ต้องจ่ายทั้งภาษีและจ่ายเข้ากองทุนน้ำมัน แต่เหตุใดยังได้เงินครบ 100 บาท นั่นเป็นเพราะส่วนที่เหลือประชาชนจ่ายบวกไปในราคาน้ำมัน ซึ่งโครงสร้างเป็นแบบนี้มากี่สิบปี เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะระบบวางไว้แบบนี้ เป็นการวางแบบผิด ๆ มานานแล้ว ผมเป็นประชาชนที่ต้องแบกรับภาระเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันผมก็เป็นประชาชนที่ได้รับมอบมาทําหน้าที่นี้ เพราะฉะนั้น จึงต้องทําหน้าที่ประชาชนรื้อระบบให้ถูก นี่คือภารกิจหลักที่ผมจะทํา”

นายพีระพันธุ์ ย้ำว่า การดำเนินการเรื่องกองทุนน้ำมัน เป็นมาตรการชั่วคราวภายใต้โครงสร้างแบบที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งในความเห็นของตนนั้นมองว่า โครงสร้างแบบนี้ไม่ถูกต้องและไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเรื่องพลังงานที่ถูกต้อง ที่ผ่านมามีคนเสนอบอกต้องปรับโครงสร้าง แต่ปรับอย่างไรก็ยังอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับตนไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้างแต่ต้องรื้อทั้งระบบเลย ซึ่งจะเป็นมาตรการระยะกลางและยาวที่จะทําต่อไป วันนี้มาตรการบางอย่างแม้จะยังแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด แต่อะไรที่ทำได้ก็ต้องทำก่อน

“หน้าที่ของผม คือจะรื้อระบบพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใหญ่ใจความของประเทศ ระบบที่เป็นอยู่วันนี้มันต่อไปด้วยโครงสร้างที่เป็นปัญหา แม้ว่าจะปรับโครงสร้างแล้ว แต่ระบบยังเป็นแบบเดิม ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นผมจะรื้อใหญ่ เมื่อรื้อตรงนี้แล้วมันจะทําให้ราคาน้ำมันและราคาพลังงานลดลง เมื่อลดพันธะชีวิตที่เราต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายพวกนี้ และถูกปลดเรื่องไป เมื่อผมวางระบบใหม่ที่ดี ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มันก็จะช่วยสร้างเรื่องของความเป็นธรรม ความมั่นคงความยั่งยืนในเรื่องพลังงานให้มากขึ้นไม่เป็นอย่างเช่นที่ผ่านมา”

ย้อนดูจุดยืน ‘รวมไทยสร้างชาติ.’ และ ‘ไทยสร้างไทย’ ต่อประเด็น ‘คนรุ่นใหม่กับสถาบันพระมหากษัตริย์’

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้เอง!!

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 66 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า “พรรค รทสช. ไม่ได้เป็นพรรคที่จัดตั้งใหม่ แต่เป็นพรรคที่เติบโตเร็วที่สุด พรรคการเมืองมีเกิด มีอยู่ มีดับ แต่รวมไทยสร้างชาติจะอยู่ตลอดไปภายใต้แนวทางและนโยบายของลุงตู่ และหัวใจของพรรคคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน มีคนฝากส่งมาเรื่องหนึ่งบอกว่าอย่าลืมเรื่องประเทศไทย คนไทย 70 กว่าล้านคน แต่ทำไมวันนี้เห็นคนไม่กี่คน หยิบมือหนึ่ง สร้างความวุ่นวายปั่นป่วน ทำไมคนไทยไม่รักชาติ ทำไมชังชาติ ทำไมไม่รักสถาบัน ทำไมจะล้มสถาบัน”

นายพีระพันธฺุ์กล่าวต่อว่า “เขาถามผมว่า ถ้ามาดูแลบ้านเมืองจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่า คำตอบง่ายมาก แผ่นดินไทยประเทศไทยมีไว้เพื่อคนรักชาติ แผ่นดินประเทศไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ ถ้าคุณไม่ชอบคุณไม่มีสิทธิเปลี่ยน เพราะคนไทยทั้งชาติเขาเอา ถ้าคุณไม่ชอบเชิญไปอยู่ที่อื่น ไม่ห้าม ไปได้เลย ท่านชอบประเทศไหนไปเลย แต่ประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป ภายใต้รวมไทยสร้างชาติเราจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารวมไทยสร้างชาติเป็นแกนนำรัฐบาลเราจะจัดการกับพวกชังชาติ พวกล้มสถาบันโดยเด็ดขาด”

ต่อมาวันที่ 27 เม.ย. 66 น.ต.ศิธา ทิวารี กล่าวขณะลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้เมื่อก่อน ทุกวันนี้เสิร์ชหาในกูเกิลแปปเดียวก็เจอ แต่สิ่งที่เด็กรู้วันนี้ ผู้ใหญ่เสิร์ชหาที่ไหนก็ไม่เจอ ดังนั้น ผู้ใหญ่ต้องฟังเด็ก เพราะผู้ใหญ่อีก 20-30 ปีก็ลงโลงกันหมด แล้วประเทศนี้ก็จะกลายเป็นของเด็ก เราต้องรับฟัง แลกเปลี่ยนความเห็น และหาทางออกร่วมกัน และนี่คือสาเหตุว่าทำไมผมกับคุณหญิงสุดารัตน์ และผู้ร่วมอุดมการณ์ จึงออกมาก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนรุ่นเก่ามากประสบการณ์และคนรุ่นใหม่ไฟแรงเก่ง ๆ เพื่อสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุด” 

‘พีระพันธุ์’ ปัดตอบ!! คุม ก.ยุติธรรม ใช้ภาพลักษณ์การันตี ‘คดีทักษิณ’

(13 ก.พ. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กรณีการได้รับแบ่งงานมาคุม กระทรวงยุติธรรม และรักษาการแทน รมว.ยุติธรรม โดยถูกจับตามองว่า เป็นการเอาภาพลักษณ์มาการันตีคดีของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ ซึ่งนายพีระพันธุ์ ตอบว่า "ต้องไปถาม กระทรวงยุติธรรม ไม่เกี่ยวอะไรกับผม" ก่อนเดินขึ้นตึกบัญชาการ 2 เดินผ่านทางเชื่อมไปประชุม ครม. ที่ตึกบัญชาการ 1

‘รมว.พีระพันธุ์’ เปาบุ้นจิ้นพลังงานไทย ความหวังของคนไทย ในช่วงเวลาหดหู่

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อก dr.brahm_isara_inya หรือ พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา ได้โพสต์วิดีโอพร้อมระบุข้อความว่า “เข้าพบ ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน” โดยภายในวิดีโอได้พูดถึงความสิ้นหวังของคนไทยทั้งประเทศ และการเข้าพบ พูดคุยกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยระบุว่า…

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ จากที่มีความหวังว่าหลังเลือกตั้งประเทศเราจะก้าวเข้าสู่ยุคฟ้าสีทองผองอําไพ รัฐบาลใหม่จะต้องทําให้อะไร ๆ มันดีขึ้น แต่ปรากฏว่าผ่านมา 5-6 เดือนแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าอะไรมันจะดี…

“ที่บอกว่าจะแจกเงินหมื่น แต่ก็เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีกําหนด บอกว่าจะปราบหนี้นอกระบบก็ไม่เห็นมีอะไรขับเคลื่อน บอกว่าจะเพิ่มเงินเดือนคนแก่ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ทําอะไรไม่ได้เลย ซ้ำร้ายยาเสพติดยังเต็มบ้านเต็มเมือง รัฐบาลก็ยังออกกฎหมายช่วยให้การพกพายาเสพติดแต่เอาผิดไม่ได้ แทบจะพูดได้ว่าไม่สามารถสร้างผลงานอะไรได้เลย…

“ซ้ำร้ายพรรคฝ่ายค้านที่เป็นความหวังว่าจะมาคานอํานาจ มาตรวจสอบ สร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับบ้านกับเมือง ก็ปรากฏว่าจับมือฮั้วกัน นักโทษชั้น 14 ก็ไม่เคยแตะต้อง เรื่องกฎหมายยาเสพติด หรือเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยตรวจสอบ ไม่เคยแตะต้องรัฐบาล ไม่รู้ว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน หรือว่าตัวฝ่ายค้านหมดสมรรถภาพไปแล้ว…

“เห็นมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง สส.ของเขามีแต่เรื่องมีแต่ราว ทั้งขี้เมาตบตีผู้หญิง ทั้งวิ่งราวทรัพย์ ทั้งเอกสารปลอม ทั้งหนีทหาร สารพัดปัญหา จนไม่มีเวลาสนใจบ้านสนใจเมือง สู้แต่คดีฟ้องร้องกันไปมา แก้ปัญหาแต่ของตัวเอง ทำให้ประชาชนตอนนี้แทบจะไม่มีความหวัง ไม่รู้จะหวังพึ่งนักการเมืองคนไหนได้อีก หดหู่กันทั้งบ้านทั้งเมืองจริง”

พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา กล่าวต่อว่า “พวกเรารวมตัวกัน เพื่อไปตามหาว่าประเทศนี้ยังเหลือใครที่ประชาชนจะฝากความหวัง หรือพึ่งพาอาศัยได้หรือไม่…

“วันนี้พวกเรามากันที่บ้านพิบูลธรรม กระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นสํานักงานของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สําหรับตัวท่านพีระพันธุ์นี้ พี่น้องประชาชนก็คงทราบข่าวมาตลอด ในเรื่องฝีไม้ลายมือ เรื่องความรู้ ความสามารถ และหลายอย่างที่ท่านทําให้ประเทศไทย แต่พวกเราก็ไม่กล้ายืนยัน เพราะนั่นอาจจะเป็นแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เป็นข่าวจริงแค่ไหนก็ไม่รู้ จึงพากันมาดู มาคุย มาถามให้รู้ มาดูให้เห็นกับตา…

“ซึ่งจากที่คุยกันใช้เวลานานพอสมควร บอกได้เลยว่าท่านพีระพันธุ์กําลังทํางานใหญ่ ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้โครงสร้างพลังงานของประเทศไทย คุณป้าอยุธยาที่มาด้วยกันถึงขั้นกระซิบผมเลย บอกว่า “เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านจังเลย ถ้าท่านจะทํางานใหญ่ขนาดนี้”...

“สิ่งที่ท่านกำลังจะทำ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลให้เรื่องธุรกิจพลังงานของประเทศไทย ไม่ใช่แค่พวกเราจะได้ใช้พลังงานราคาถูก แต่มันมีงานใหญ่ระดับโลกที่จะเกิดขึ้น เกี่ยวกับพลังงาน เกี่ยวกับน้ำมันที่ประเทศไทยที่ท่านเตรียมเอาไว้แล้ว”

พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา กล่าวต่อว่า “พอได้ฟังแผนการ ฟังการคิดวิเคราะห์ของท่านแล้วก็บอกได้เลยว่าเป็นคนที่คิดเป็นระบบ มีตรรกะ มีกลยุทธ์ มียุทธศาสตร์ ไม่แปลกใจเลยทําไมก่อนหน้านี้ กรณีโฮปเวลล์ กรณีเหมืองทองอัครา ถึงทําได้หลายโปรเจกต์ และชนะตลอด…

“จากที่นั่งคุยกันต้องยอมรับว่าท่านพีระพันธุ์ เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ท่านไม่ได้ถือตัว ท่านสบายๆ เป็นกันเอง และจริงใจเปิดเผย ถามอะไรก็ตอบหมด หลายเรื่องเล่าได้ฟังยังตกใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านของเมืองจริง และท่านก็กล้าหาญจริง ๆ ที่จะสู้กับเรื่องพวกนี้ โดยที่ท่านก็ย้ำตลอดว่าท่านไม่เคยหวังตําแหน่ง แต่เพราะความบังเอิญ เพราะตกกระไดพลอยโจน มาช่วยเหลือกัน มาช่วยกันทํางานให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าพี่น้องประชาชนคนธรรมดารากหญ้าได้สัมผัส ได้พูดคุยกับท่านก็จะประทับใจ หลงรักท่านได้เลย”

“พวกเราก็เหมือนประชาชนคนไทยทั่วไป ที่รู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าจะฝากความหวังไว้กับใคร แต่วันนี้ดีใจที่ประเทศนี้ยังไม่ได้สิ้นคนดี ยังเหลือพี่ตุ๋ย พีระพันธุ์ กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดีแน่นอน” พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา ทิ้งท้าย

'พลังงาน' จ่อหารือสรรพสามิต หวังใช้กลไกภาษีช่วยอุ้มราคาดีเซล หลังกองทุนน้ำมันรับภาระอ่วม ยืนราคา 30 บาทได้แค่สิ้น มี.ค.นี้

(20 ก.พ. 67) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า กระทรวงฯ เตรียมทบทวนมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ในส่วนของน้ำมันดีเซลที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2567 โดยหนึ่งในแนวทางสำคัญก็คือ การหารือกับกรมสรรพสามิต เพื่อใช้กลไกของภาษีสรรพสามิตในการช่วยสนับสนุน เนื่องจากปัจจุบันบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้อุดหนุนราคาดีเซลเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5.30 บาทต่อลิตร จากเดิมที่เคยอุดหนุนในอัตราไม่ถึง 5 บาท

ทั้งนี้ เชื่อว่าจากการอุดหนุนดังกล่าว กองทุนน้ำมันฯน่าจะบริหารจัดการตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้จนสิ้นสุดระยะเวลาตามมาตรการดังกล่าว เนื่องจากกองทุนฯ ยังมีเงินกู้เหลืออยู่ที่สามารถเบิกจากสถาบันการเงินได้อีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากปี 2565-2566 ที่รัฐบาลให้กรอบวงเงินกู้ได้ไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท โดยทำเรื่องกู้รวมไปแล้ว 1.05 แสนล้านบาท เพื่อการบริหารดูแลราคาดีเซล

“เชื่อว่ากองทุนน้ำมันฯ จะบริหารจัดการเงินจนสามารถตรึงราคาน้ำมันในประเทศให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรได้ตนถึง 31 มี.ค. 67 แน่นอน แต่หลังจากนั้นคงต้องทบทวนรายละเอียดกันใหม่ หากต้องการต่ออายุมาตรการออกไปอีก” แหล่งข่าว กล่าว

สำหรับปัจจัยสำคัญมาจากราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเฉพาะดีเซลวันละประมาณ 375 ล้านบาทหรือเฉลี่ยเดือนละ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อหักลบกับรายได้จากกลุ่มเบนซินและชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) อีกราว 1,700 ล้านบาทต่อเดือนทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกวันละประมาณ 320 ล้านบาทหรือเดือนละประมาณ 10,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากระดับราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกยังคงมีทิศทางผันผวนในระดับเฉลี่ย 105-110 เหรียญต่อบาร์เรลคาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะติดลบประมาณ 100,000 ล้านบาทภายในเม.ย.นี้

“ราคาน้ำมันที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนสูงเดี๋ยวขึ้น ลง จากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์เป็นหลัก ทั้งจากการสู้รบในทะเลแดง และในช่วง 1-2 วัน รัสเซีย-ยูเครนมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นภายหลังนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงชั่วคราว ประกอบกับสถานการณ์ในตะวันออกกลางก็ทวีความตึงเครียดขึ้นเช่นกัน” แหล่งข่าว กล่าว

อย่างไรก็ตามปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 11 ก.พ. 2567 มีฐานะสุทธิ -87,828 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชี LPG ติดลบ 46,584 ล้านบาท บัญชีน้ำมัน ติดลบ 41,244 ล้านบาท

“หากดูจากวงเงินที่เหลือกองทุนน้ำมันฯอาจจะบริหารจัดการตรึงราคาดีเซลยืดได้ถึง เม.ย. เท่านั้น หลังจากจากนั้น พ.ค.ทุกอย่างจะเกิดปัญหากระทรวงพลังงานเองก็กำลังเร่งหาแนวทางที่จะดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยจะต้องสรุปออกมาให้ชัดเจนในช่วง มี.ค. และต้นเม.ย. โดยเร่งด่วน เพราะสถานการณ์ขณะนี้ของกองทุนฯ ต่างจากอดีตที่เป็นวิกฤตราคาน้ำมัน แต่ปัจจุบันเป็นวิกฤตสภาพคล่องกองทุนน้ำมันแล้ว ซึ่งการกู้เพิ่มนั้นแม้แต่สถาบันการเงินรัฐก็คงไม่สามารถดำเนินการให้ได้หากไม่มีแหล่งรายได้ไปการันตี” แหล่งข่าว กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top