Monday, 20 May 2024
พีระพันธุ์_สาลีรัฐวิภาค

'พีระพันธุ์' ลุยรื้อโครงสร้างพลังงาน ดันไอเดียรัฐบาลกำหนดราคาน้ำมันเอง ลั่น!! ตลาดโลกเป็นเรื่องของ 'ผู้ประกอบการ-รัฐบาล' ไม่ควรดึง ปชช.มาร่วมแบก

(21 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการประกาศราคาน้ำมันที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการเอง ว่า ตนจะทำอย่างนั้น เมื่อไม่สามารถแยกตัวออกจากตลาดโลกได้ แต่สามารถแยกประชาชนออกจากตลาดโลกได้ ตลาดโลกจะเป็นเรื่องของผู้ประกอบการและรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับประชาชน นั่นคือสิ่งที่ตนตั้งเป้าไว้ ซึ่งขณะนี้มีช่องทางในการดำเนินการแล้ว และได้ประชุมอยู่ทุกสัปดาห์ จะดำเนินการได้ในรัฐบาลนี้ในช่วงที่ตนอยู่ในตำแหน่งรมว.พลังงาน

เมื่อถามว่าจะเป็นเรื่องยากหรือไม่เพราะมีกลุ่มนายทุน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถึงจะยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีอะไรง่ายอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือยากแต่เป็นเรื่องที่มีความตั้งใจจะทำ ดังนั้นถ้าเราตั้งใจจะทำ เรื่องยากก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าไม่มีความตั้งใจต่อให้ง่ายแค่ไหนก็ทำไม่ได้

เมื่อถามว่าราคาน้ำมันดีเซลจะมีการตรึงราคาที่ลิตรละ 30 บาทหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นปัญหาของระบบโครงสร้างพลังงานปัจจุบัน ซึ่งตนพูดมาตั้งแต่ตอนแรกที่รับหน้าที่ว่าไม่พอใจกับระบบและโครงสร้างพลังงานเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องแก้ไข แต่ระหว่างที่แก้ไขก็ต้องยอมรับว่าเป็นโครงสร้างเดิมมาถึง 51 ปี และที่ผ่านมา 51 ปีไม่มีใครคิดจะปรับปรุงและแก้ไขเพื่อประชาชน แต่ตนเองจะลงมือทำ และกำลังทำอยู่ ซึ่งจะทำให้ได้

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงการขยายมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาทให้ประชาชนและผู้ประกอบการหรือไม่ ว่า เดิม ก่อนรัฐบาลชุดนี้ การรักษาระดับราคาน้ำมัน ใช้กลไกหลักอยู่ 2 กลไกล ถือเป็นอำนาจของกองทุนน้ำมัน กลไก 1 คือการกำหนดเพดานภาษีสรรพสามิต และภาษีต่างๆที่จัดเก็บกับน้ำมัน ถือเป็นอำนาจของคณะกรรมการ ไม่ใช่ของกระทรวงการคลัง แต่เมื่อกำหนดเพดานแล้ว คนมีอำนาจเก็บภาษี คือกระทรวงการคลัง

ส่วนกลไกที่ 2 คือ เงินจากกองทุนน้ำมันฯ แต่เงื่อนไขของกฎหมายปัจจุบัน ไปตัดอำนาจการกำหนดเงินเพดานออก เหลือแต่เพียงอำนาจการใช้เงินกองทุน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มาแบกภาระที่เงินกองทุนน้ำมัน ทั้งๆ ที่เดิมเป็นอำนาจของคณะกรรมการที่กำหนดว่าควรจะปรับภาษีสรรพสามิตขึ้นลงเท่าไหร่ เมื่อถูกตัดอำนาจออกไป ทำให้เป็นภาระกองทุนน้ำมันที่ต้องใช้เงินอย่างเดียว และตอนนี้ตนเองก็กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อยู่ และย้ำว่าจำเป็นต้องแก้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังร่างฯโดยไม่ต้องกลัวว่าจะร่างกฎหมายช้า ตนเองเป็นผู้ดำเนินการร่างฯเอง

เมื่อถามว่าต้องรออีกนานหรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เมื่อไปถึงขั้นสุดท้ายที่ตนได้วางแนวทางไว้ คือ รัฐบาลมีอำนาจในการกำหนดราคา แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้นก็ต้องค่อยๆปรับ เพราะว่าโครงสร้างรูปแบบเดิม เป็นแบบนี้มา 51 ปีแล้ว ซึ่งไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยตนมาเริ่มเปลี่ยน และกำลังเริ่มทำเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี ที่มีมาตรการให้ผู้ค้าต้องแจ้งต้นทุน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทั้งที่ผ่านมาไม่มีใครเคยรู้ต้นทุน รู้แค่เพียงขาดทุนแล้วนำเงินกองทุนฯไปชดเชยกับสิ่งไหน ซึ่งก็ไม่เคยมีใครทำ แต่ตอนนี้ตนเองทำแล้ว นี่คือสิ่งที่พยายามทำให้เห็นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติทำงานจริง รื้อสิ่งที่ไม่ดีให้หมด ซึ่งพยายามทำอยู่

‘พีระพันธุ์’ ยื่นเสนอ ครม.ให้ช่วยเหลือค่าไฟฟ้า เดินหน้าผลักดัน ให้ปชช.ใช้ไฟฟ้า ในราคาที่ถูก

(27 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ยื่นเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอใช้งบกลางในการดูแลค่าไฟฟ้าประชาชนงวดที่จะถึงนี้ คือ ในเดือนพ.ค.-ส.ค. 2567 พร้อมทั้งดูแลราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่ตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ ครม. นำเข้าสู่การพิจารณาในวาระการประชุม ครม. ครั้งต่อไป

โดยเชื่อว่า ครม. จะพิจารณาได้ทันก่อนถึงกำหนดบิลค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค. 2567 จะออกมา ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ของบประมาณสำหรับดูแลค่าไฟฟ้าเท่าเดิม (งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ใช้งบกลางดูแลค่าไฟฟ้าประมาณ 2,000 ล้านบาท) หากได้รับการอนุมัติจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 อัตรา คือ กลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย จะจ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 3.99 บาทต่อหน่วย ขณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าเกิน 300 หน่วยจะจ่ายค่าไฟฟ้า 4.18 บาทต่อหน่วย แต่กรณีที่ ครม. ไม่อนุมัติงบกลางช่วยค่าไฟฟ้า ก็จะส่งผลให้ทุกกลุ่มต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย  

สำหรับในส่วนของ LPG นั้น ยังต้องรอลุ้นเช่นกันว่า ครม.จะพิจารณาให้งบกลางมาช่วยเหลือหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้กำหนดให้ตรึงราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 โดยให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นำเงินในบัญชี LPG มาอุดหนุนราคาในเดือน เม.ย. 2567 ส่วนอีก 2 เดือนที่เหลือ คือ เดือน พ.ค.-มิ.ย. 2567 จะของบกลางจากรัฐบาลมาอุดหนุนราคา เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ เหลือเงินดูแลราคา LPG ได้แค่เดือน เม.ย. 2567 ก็จะเต็มกรอบวงเงินแล้ว

อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ใจว่า ครม.จะพิจารณาได้ทันก่อนเข้าสู่เดือน พ.ค. 2567 หรือไม่ หากไม่ทันอาจจำเป็นต้องให้กองทุนน้ำมันฯ ดูแลราคา LPG ต่อไปเอง โดยยอมปล่อยให้เงินไหลออกจากกองทุนฯ แบบไม่มีการเก็บเงินเข้ามาเลย

ขณะที่การดูแลราคาดีเซลนั้น ทางกระทรวงพลังงานยังรอการพิจารณาจากกระทรวงการคลังและ ครม. ในการประชุมครั้งต่อไป ว่าจะมีการพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตดีเซลให้หรือไม่ หลังจากสิ้นสุดมาตรการลดภาษีดีเซล 1 บาทต่อลิตร ไปเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องเข้าไปพยุงราคาไว้ 50 สตางค์ต่อลิตร และยอมปล่อยราคาปรับขึ้นตามภาษีดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร ไปเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา  

'รทสช.' รุกคืบอีกขั้น!! หลัง 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' เริ่มเข้าถึงใจคน ช่วยตอกย้ำภาพ การเมืองน้ำดีสไตล์ 'พีระพันธุ์-รทสช.' พูดจริง-ทำจริง

ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ๆ บนโลกใบนี้ นักการเมือง 'น้ำดี' เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งที่สุด เพราะการเมืองขาดการยุ่งเกี่ยวกับ ‘อำนาจและผลประโยชน์’ ไม่ได้ ด้วยสองสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งทางการ จึงทำให้ 'นักการเมือง' ขาดคน 'ที่ดี มีคุณภาพ และมากด้วยคุณธรรม' ยิ่งบ้านเราแล้วยิ่งชัด เพราะมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและการกระทำผิดกฎหมายของนักการเมืองซึ่งยังดำรงตำแหน่งเกิดขึ้นมากมายกระทั่งกลายเป็นคดีความแล้วนักการเมืองเหล่านั้นยังคง ‘หน้าด้าน’ อยู่ในตำแหน่งต่อเพื่ออาศัยเอกสิทธิ์คุ้มครองซึ่งทำให้กระบวนการในการดำเนินคดีเกิดความล่าช้าอันเป็นการถ่วงเวลาหาวิธีเอาตัวรอดจากความผิดที่ตนเองก่อขึ้น

แม้การเมืองจะเป็นเรื่องของประชาชนคนไทยทุกคนก็ตาม แต่การเมืองก็แทบจะกลายเป็นเรื่องที่สิ้นหวังสำหรับคนไทยที่ดี มีคุณภาพ มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม มีความรัก ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ในสถาบันหลักทั้งสามของชาติบ้านเมือง กลายเป็น 'นักการเมืองคือผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว' แต่ด้วยอานุภาพแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาเมืองไทยทำให้บ้านเมืองไม่สิ้นคนดี ยังคงมีนักการเมืองที่ดีและมีคุณภาพที่เหลืออยู่รวมตัวกันสร้างพรรคการเมืองที่เป็นความหวังของชาวไทยผู้รัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ร่วมกันสร้างพรรคการเมืองที่ชื่อว่า ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ขึ้นมา

‘รวมไทยสร้างชาติ’ พรรคการเมืองที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี 8 ปีของไทยที่มีผลงานมากมายโดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภค มั่นใจว่า ผลงานด้านนี้ของพลเอกประยุทธ์ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยสามารถเทียบเทียมได้ เป็นผู้นำพรรคฯ ก่อนอำลาการเมืองไปดำรงตำแหน่งอันมีเกียรติยิ่ง อย่าง ‘องคมนตรี’ และหลังจากการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 ผ่านไปไม่ถึงปี มีผู้เปรียบเทียบผลงานนายกรัฐมนตรีคนก่อนและคนปัจจุบันก็เป็นดังที่สังคมไทยได้เห็นอยู่ หากพิจารณาด้วยความเป็นวิญญูชนแล้วน่าจะสรุปได้อบ่างง่ายดายมาก ๆ 

ในขณะที่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้เป็นอดีตผู้พิพากษา อดีต สส. 7 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) สามารถสร้างผลงานในตำแหน่งหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่กระทรวงพลังงานเป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณน้อยที่สุดเพียง 2.53 พันล้านบาท แต่ต้องดูแลรับผิดชอบงานด้านพลังงานทั้งหมดซึ่งมีมูลค่าปีละหลายล้านล้านบาท ทั้งพลังงานยังเป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศทั้งระบบในทุกมิติอีกด้วย

แต่เรื่องที่แตกต่างไปจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนอื่น ๆ ก็คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการลดราคาพลังงานให้กับประชาชนคนไทยด้วย (1) การผลักดันการลดค่าไฟฟ้าโดยสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น (2) การลดราคาน้ำมันขายปลีกลงโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง การเร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง การออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลต้นทุนน้ำมันเพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร ด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาบางคนก็ไม่ได้สนใจที่จะหามูลเหตุของปัญหาเพื่อดำเนินแก้ไขแต่อย่างใดหรือบางคนก็เป็นอดีตผู้บริหารบริษัทน้ำมัน เรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยเช่นนี้จึงไม่เคยเกิดขึ้น

แม้แต่ปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถพึ่งพานักการเมืองและพรรคการเมืองเจ้าของพื้นที่ได้ เช่นกรณีของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ชาวบ้านปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ที่ประสบปัญหาจากการกู้หนี้นอกระบบจนกำลังจะเสียบ้านและที่ดินของพ่อซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้กับเจ้าหนี้ ด้วยยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นทบต้นทบดอกจากหลักแสนต้น ๆ เป็นกว่า 700,000 บาท เธอได้ไปขอความช่วยเหลือมาแล้วหลายหน่วยงาน หลายพรรคการเมือง แต่ผลที่ได้รับก็คือคำสัญญาที่ว่างเปล่า 

บังเอิญวันหนึ่งเธอเจอคลิปหาเสียง ‘TikTok’ ที่มีข้อความ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เธอจึงตัดสินใจมาหา ‘ที่พึ่ง’ ซึ่งเหมือนการเปิดทางของฟ้าและทำให้เธอได้พบทางออกของชีวิตด้วยการช่วยเหลือของ ‘พีระพันธุ์’ และการประสานงานของทีมงานพรรครวมไทยสร้างชาติจนสามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทุกวันนี้ชีวิตของ ‘นุจรีย์’ และครอบครัวสามารถนอนหลับได้เต็มตาอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นอีกบทพิสูจน์คำมั่นสัญญาของพรรครวมไทยสร้างชาติที่พร้อมจะ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ อย่างจริงจังด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมอย่างยั่งยืน

เรื่องราวต่าง ๆ ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ จึงเป็นแรงดึงดูดให้ ‘เช็ค’ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ อดีตพิธีกรรายการ ‘คน ค้น ฅน’ เข้ามาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติในฐานะ ‘อาสาสมัคร’ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

‘เช็ค’ ได้เล่าว่า “ตอนที่ท่านพีระพันธุ์ หรือที่ตนเรียกติดปากว่า ‘พี่ตุ๋ย’ ได้ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ทางทีมงานของพี่ตุ๋ย มีแนวคิดที่จะแนะนําตัวพี่ตุ๋ยกับประชาชน โดยจะเน้นไปที่ผลงานหรือสิ่งที่พี่ตุ๋ยเคยใช้เคยทำมาในอดีต รวมถึงต้นทุนที่ตัวเองมีในการทําหน้าที่ทั้งช่วงที่เป็นข้าราชการและนักการเมือง ในตอนนั้น ทีมงานมาหาและถามว่า สามารถช่วยทําสิ่งนี้ได้หรือไม่ ซึ่งในขณะนั้น ต้องบอกก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวแล้ว ตนเป็นคนที่พยายามจะอยู่ห่างการเมือง เพราะเคยเข้าไปสัมผัสแล้ว มีความรู้สึกว่า เคมีไม่เข้ากัน ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบนักการเมือง แต่ไม่ชอบความเป็นนักการเมืองหรือว่าวัฒนธรรมของนักการเมืองมากกว่า” 

เขาเล่าต่ออีกว่า “ผมเคยเจอนักการเมืองเยอะ ผมมีเพื่อนที่เป็นนักการเมือง มีรุ่นพี่ที่เป็นนักการเมือง เรียกได้ว่าโคตรการเมืองเลย แต่สำหรับพี่ตุ๋ย ผมกลับมีความรู้สึกว่าไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่คนที่พูดเท่ ๆ เพื่อที่จะให้ได้คะแนน แต่เป็นคนที่อยากใช้สิ่งที่ตัวเองมี ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อประชาชนจริง ๆ ตลอดเวลาที่สัมผัสได้ทำงานร่วมกัน ทำให้ผมเชื่อได้สนิทใจเลยว่า คน ๆ นี้แหละที่สามารถฝากความหวังได้และประเทศไทยขาดคนแบบนี้จริง ๆ”

(ทีมงาน THE STATES TIMES) จึงขอเป็นกำลังใจและเอาใจช่วยให้ท่าน ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ นักการเมืองและพรรคการเมือง ‘น้ำดี’ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีความครบเครื่องทั้ง คุณภาพ จิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ความรัก ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ในสถาบันหลักทั้งสามของชาติบ้านเมือง ได้ปฏิบัติภารกิจ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ ให้กับสังคมไทยและพี่น้องประชาชนได้สำเร็จลุล่วงด้วยดีตลอดไป

รู้จัก ‘ต้องตา สุพัตรา’ ผู้เปิดใจกับผลงาน ‘ลุงตู่’ ในจังหวะที่คนไทยบางคนปิดใจ  สู่ 'ด้อมพีระพันธุ์' หวังอาสาเปิดใจคนไทย 'รับรู้ผลงาน-ไม่ทิ้งคนดีให้สู้โดดเดี่ยว'

(6 พ.ค.67) จากรายการ 'UTN อินฟลูฯ อาสา' ที่เผยแพร่ทาง Youtube ช่อง UTN Today ใน EP.1 ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์ของ ‘คุณต้องตา-สุพัตรา รังสิตสวัสดิ์’ ที่มาเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการรวมตัวเป็น 'อาสามาด้วยใจ ทำให้เพราะรัก' หลังจากได้ติดตามผลงานของ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี และติดตามต่อเนื่องจนมาเป็น ‘ด้อมพีระพันธุ์’ กองเชียร์ที่ตามให้กำลังใจท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เนื่องจากชื่นชอบที่ท่านเป็นนักการเมืองในอุดมคติ ใจซื่อมือสะอาด กล้าลุยเพื่อคนไทยทุกคน กล้าชนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ 

คุณต้องตา เผยว่า ตนเป็นชาวบ้านธรรมดา เป็นชาวสวน เมื่อปี 2 ปีที่แล้ว ได้ดูพี่โน้สอุดม เขาเดี่ยวไมโครโฟนและเขาก็พูดถึงคนที่เรารักและเคารพนั่นก็คือ ท่านอดีตนายกฯ ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ โดยพูดถึงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งค้านสายตาเรามากเลย กับสิ่งที่พี่โน้สเขาพูดบนเวที นั่นแสดงว่าขนาดดารายังไม่รู้เลยว่าผลงานของ ‘ลุงตู่’ นั้นมีอะไรบ้าง เราก็เลยออกมาแสดงความคิดเห็นว่าเราไม่เห็นด้วย กับพี่โน้สอุดม ด้วยการทำคลิปลง TikTok พอปล่อยข้ามคืนมีคนดูเป็นล้านวิวเลย แล้วก็มีด่าอีกประมาณ 4 หมื่นความคิดเห็น ทำให้เราเห็นว่ามีคนไม่รัก ‘ลุงตู่’ อยู่เยอะ แถมพอเราออกมาพูดเราก็ยังโดนโจมตีอีก ซึ่งเราก็ตอบเขาไปบ้างไม่ตอบบ้าง แต่อย่างน้อยๆ นั่นก็ทำให้เราเรียนรู้แล้วว่า เราควรจะพูดถึงลุงตู่ ที่ช่องทางไหนที่กระจายตัวได้ไวที่สุด นั่นก็คือ TikTok สิ่งนี้ก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้น

คุณต้องตา เล่าต่อว่า เดิมตนใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ แต่กับ TikTok นี้แทบไม่ได้ใช้เลย ส่วนใหญ่จะเปิดไว้ให้ลูกเฉยๆ แต่พอตนได้เอามาใช้ปุ๊บก็ทำให้เรารู้ได้เลยว่า TikTok เปรียบคือบิดาแห่งการโปรโมตคลิปเลย ตนจึงใช้ช่องทางนี้ให้เป็นประโยชน์ 

"ในเมื่อไม่มีใครมาทำ PR ให้ลุงตู่ งั้นเราก็เริ่มเป็นคนแรกเลย เพราะหากทุกคนเงียบหรือถ้าทุกคนอายหรือกลัวที่จะโดนด่า แล้วใครจะเล่าเรื่องจริงให้คนอื่นๆ ได้รู้ เราต้องอดทน เราโดนด่าเราก็ต้องอดทนเราต้องนำความจริงให้ปรากฏสู่สังคมให้ได้" 

หลังจากนั้น คุณต้องตา ก็เริ่มค้นหาผลงานของลุงตู่ แล้วก็ทำคลิปแบบไม่สนใจความคิดเห็น ทำไปเรื่อยๆ เริ่มต้นจากรถไฟฟ้า ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จด้วยดีในการทำคลิป หรือพอได้เดินทางแล้วเห็นบ้านสีฟ้าริมคลอง (โครงการบ้านมั่นคง) ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นสลัม มันคือบ้านที่ลุงตู่สร้างไว้ ก็ทำคลิปโปรโมตเป็นเรื่องบ้านริมคลอง จากนั้นก็นำเสนอผลงานอีกมากมาย

ทั้งนี้ คุณต้องตา บอกกับตัวเองเสมอว่า อย่าเป็นแค่ ‘สลิ่มเฉยๆ’ ต้องเป็น ‘สลิ่มฟิวชั่น’ อย่าอนุรักษ์นิยมจ๋า ต้องปรับตัวเข้ากับคนรุ่นใหม่บ้าง ถ้าจะทำคลิปที่มันวิชาการเกินไป มันแก่เกินไป แล้วใครจะมาฟัง

หลังจากเริ่มมีผู้ติดตามระดับ 1,000 คน คุณต้องตา เผยว่า ก็เริ่มมีสถานีโทรทัศน์ Top New นำคลิปไปเผยแพร่ต่อประมาณ 30-40 คลิป ก็เริ่มทำให้ตนมีกำลังใจที่มีคนเห็นความตั้งใจนี้ และทำให้ตนไม่สนใจความคิดเห็นในด้านลบอีกต่อไป

"ถ้าเรารู้ แล้วเราเงียบ ประชาชน เขาก็จะเชื่อในกระแสสังคมอย่างนั้น ต่อไปเรื่อยๆ ประชาชนก็ใจเชื่อไปในแบบที่มันผิดไปเรื่อยๆ มันไม่มีความเป็นธรรมให้กับลุงตู่เลย คนทำงานเขาก็ต้องการกำลังใจ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ทำงานเหนื่อย แล้วได้ยินแต่เสียงด่า มันต้องมีเสียง ที่ชมเชยให้เขาได้ยินบ้าง ก็เลยทำคลิปผลงาน ต่อด้วยทำคลิปให้กำลังใจลุงตู่ บางคลิปก็เอาลูกมานั่งพูดคุยด้วย เราก็บอกลูกว่าลูกเห็นไหมข่าวไม่เคยนำเสนอนะ สื่อกระแสหลักไม่มีนะที่จะบอกว่า นี่คือบ้านที่สร้างให้ประชาชนโดยรัฐบาลลุงตู่ สร้างทางรถไฟไปถึงเชียงราย โดยรัฐบาลลุงตู่ ซึ่งสื่อกระแสหลักไม่มีใครนำเสนอเลย" คุณต้องตา เสริม

เมื่อพูดถึงช่วงโควิด19 กับประเทศไทยในยุคลุงตู่? คุณต้องตา กล่าวว่า "นี่ถ้าไม่มีวิกฤตโควิดนะ ประเทศไทยของเราจะไปไกลมากกว่านี้อีก อันนี้ต้องให้เครดิตในการทำงานของรัฐบาลลุงตู่นะ ซึ่งลุงตู่ไม่ได้ทำคนเดียว ลุงตู่ยังมีทีมงานอีกเยอะ ซึ่งถ้าคุณด่าลุงตู่ ก็หมายถึงว่าด่าทีมงานของลุงตู่ด้วย ซึ่งก็เป็นทีมงานพี่น้องชาวไทยด้วยกันทั้งนั้น ตัวเราเองนั้นไม่สำคัญเลย ชาติต้องมาก่อน"
.
เมื่อถามถึงนักการเมืองที่ชอบ? คุณต้องตากล่าวว่า "นักการเมืองที่ชอบ ก็ไม่มีใครเลยนะ เพราะว่าอย่างแรกเลยคือ ไม่รู้จัก และคำว่านักการเมืองมันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะเข้าไปสัมผัส เราเจอมาเยอะ มาหาเสียงที่บ้านเราก็ยกมือไหว้เรา แต่พอได้รับการเลือกตั้งไปแล้ว ถังขยะหน้าบ้านเราเขายังไม่เคยเอามาให้เราเลย ซึ่งเราขอไปเขาก็ลืม ก็เลยไม่ได้ปลื้มนักการเมืองคนไหน แต่จุดเปลี่ยนก็คือ ลุงตู่ เพราะลุงตู่ไม่ใช่นักการเมือง ลุงตู่เป็นทหารที่ทำเพื่อชาติ ทำเพื่อประชาชนอย่างชัดเจน เอาประเทศชาติเป็นที่ตั้งไม่ใช่ผลประโยชน์ นักการเมืองพูดเก่งแต่เขาไม่ทำ ก็เลยไม่ชอบนักการเมือง จนกระทั่งได้มาเจอลุงตู่ พร้อมทั้งทีมงานของลุงตู่ เราก็ดูสิว่าใครทำงานให้ลุงตู่บ้าง เช่น ท่านพีระพันธุ์ ท่านช่วยรักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติหมื่นล้าน (โฮปเวลล์) เราก็ค้นหาข้อมูลดู เขาเป็นผู้พิพากษาด้วยนิ เป็นคนเที่ยงตรง ยุติธรรม ซื่อสัตย์ ไม่เคยเห็นนักการเมืองที่มือสะอาดแบบนี้ ไม่เคยโดนสีแดงด่าไม่เคยโดนสีส้มด่า คนนี้เป็นมือขวาของลุงตู่"

คุณต้องตา กล่าวเสริมว่า "ดังนั้นต่อจากลุงตู่ ก็เลยประทับใจ ‘ลุงพี ท่านพีระพันธุ์’ เพราะประวัติท่านขาวสะอาด มีผลงานเป็นที่ประจักษ์รักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติเป็นหมื่นล้าน ทำเพื่อประชาชน โดยไม่ต้องออกหน้าโปรโมตตัวเอง"

เมื่อถามว่าโครงการหรือผลงานไหนของลุงตู่ที่ประทับใจเป็นการส่วนตัว? คุณต้องตา เผยว่า "ชอบโครงการ EEC มันเป็นโครงการที่จะพลิกผืนแผ่นดินเรา สร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชน ... ประเทศของเรามีทรัพยากรมากมาย ขาดแค่การพัฒนา และลุงตู่ก็เห็นถึงปัญหาในเรื่องนี้ จึงหวังที่จะทำพัฒนาโครงการดังกล่าวเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีรายได้ที่สูงขึ้น ด้วยการยกระดับประเทศผ่าน EEC ซึ่งนี่คืออนาคตที่แท้จริงของประเทศไทย และมันไม่ใช่แค่การโฆษณาชวนเชื่อ...

"นอกจากนี้ยังมี ‘โครงการคนละครึ่ง’ ซึ่งมันไม่ใช่โครงการที่ดี แต่มันเป็นโครงการที่ดีมากๆๆๆ ทั้งใช้ง่ายและตอบโจทย์-ช่วยเหลือประเทศชาติได้จริง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างบ้าคลั่ง มันทั่วถึงมากขนาด ‘รถขายลูกชิ้น’ ยังมีโครงการคนละครึ่งเลย แค่คุณมีมือถือก็ใช้ได้ทุกคน มันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มาก ส่วนคนรุ่นเก่าที่ใช้มือถือไม่เป็น ก็มาฝึกใช้เป็นเพราะโครงการคนละครึ่งนี่แหละ"

คุณต้องตา เสริมอีกว่า"หลังโควิดเราเปิดประเทศเป็นประเทศแรกๆ ซึ่งมีหลายๆ คนค้าน แต่ลุงตู่ใจกล้ามาก เพราะอะไร เพราะเขาเล็งเห็นและประชุมกันแล้ว ว่าเราจะต้องมี ‘โครงการภูเก็ต Sandbox’ ซึ่งตรงจุดที่คนกำลังโหยหาการท่องเที่ยว อยากจะใช้จ่ายเงิน และประเทศไทยก็เป็นเป้าหมายของคนทั้งโลกในการที่อยากจะมาท่องเที่ยว พอเปิดภูเก็ตคนก็มาจริงๆ และประสบผลสำเร็จอย่างดีมากจนถึงวันนี้ มันทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว จนทำให้เรากลายเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยว ส่วนกรุงเทพฯ ก็ถูกผลักดัน จนกลายเป็นเบอร์ 1 ของเมืองน่าท่องเที่ยวของโลก ประเทศเราชนะเลิศ ประเทศเราสามารถฟื้นตัวได้เลย พอมีการท่องเที่ยว เม็ดเงิน ก็ไหลเข้ามา นักท่องเที่ยวมาเป็นล้านคน มาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ต้องไปเที่ยวต่อภูเก็ต นี่ก็คือจุดที่ประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวได้ อันนี้ก็ต้องยกให้เป็นผลงานของลุงตู่และทีมงาน"

เมื่อถามถึงผลลัพธ์ของคนทำงานเพื่อประเทศกับผลลัพธ์ของการเลือกตั้งที่ออกมาครั้งล่าสุด? คุณต้องตา กล่าวว่า "หลังการเลือกตั้งเรารู้แล้ว ว่าเราผิดพลาดอะไรไป เราไม่ควรจะต่อสู้ไปอย่างโดดเดี่ยว ก็เลยมารวมตัวกับ ฟ้าคราม, พราหมณ์อิศรา, พี่เกี๊ยวซ่า มารวมตัวกันเชียร์จะได้ไม่โดดเดี่ยว เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเราผิดพลาดไปเราเสีย ‘ลุงตู่’ ไปและเราจะไม่ยอมเสีย ‘ลุงพี’ ไปอีก...

"ฉะนั้นการรวมตัวกันในฐานะอาสามาด้วยใจในครั้งนี้ ก็เพื่อจะแจ้งข้อมูลข่าวสาร ให้ข้อเท็จจริงให้ความจริงกับสังคม ทำให้สังคมได้รับรู้ในวงกว้าง แบบไม่ต้องโดดเดี่ยวโดนด่าอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว เราต้องมารวมตัวกันต่อสู้ในภาคส่วนของประชาชน...

"และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มารวมตัวกัน ทำงานร่วมกัน เพื่อจะสื่อสาร เพื่อจะเป็นแรงใจและสนับสนุนคอยเชียร์ท่านพีระพันธุ์ต่อไป ต้องไม่ให้ท่านโดดเดี่ยว เราต้องเชียร์ให้คนดีได้บริหารบ้านเมือง เพราะเรามั่นใจแล้วว่า คนๆ นี้ คือ คนดี ที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีที่คนไทยพึ่งพิงได้"

คุณต้องตา ย้ำในช่วงท้ายด้วยว่า "เราเห็น ‘โครงการโฮปเวลล์’ มาหลายปีแล้ว แล้วเราก็รู้ว่านี่คือความผิดพลาดของประเทศ เราแพ้คดี เราต้องจ่ายเงินค่าโง่ แต่ปรากฏว่ามี ‘ท่านพีระพันธุ์’ มากอบกู้ชัยชนะไว้ให้เราได้ ประเทศไทย เราไม่แพ้ เราไม่ต้องจ่ายเงินค่าโง่หลายหมื่นล้าน ให้กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ซึ่งเอาจริงๆ ประเทศของเราหมดหวังไปแล้ว แต่มีคนอยู่คนหนึ่งซึ่งเขาไม่ยอมแพ้ เขาสู้เพื่อชาติ เขาตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ทำงาน โดยที่ไม่ได้อยู่ในคราบของนักการเมือง แต่เขาคิดว่าเขาจะมาทำงานเพื่อบ้านเมือง นั่นจึงทำให้ส่วนตัวมองว่า ‘ท่านพีระพันธุ์’ คือนักการเมืองในอุดมคติ เฉกเช่นเดียวกันภายหลังจากที่ท่านได้เข้ามาดูแล ‘กระทรวงพลังงาน’ ท่านก็ได้ทำการ 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ซึ่งท่านมาถูกทางแล้ว"

ถึงบรรทัดนี้ คุณต้องตา อยากฝากให้คนไทยทุกคนช่วยกำลังใจคนทำงานแบบนี้ ช่วยกันส่งแรงใจไปให้ท่านพีระพันธุ์ เพราะมันคือการปกป้องท่านในอีกแบบหนึ่ง 

เพื่อให้คนๆ นี้มีพลัง ทำงานเพื่อคนไทยทุกคนต่อไป

ขอให้กำลัง 'ท่านพีระพันธุ์-รทสช.'

‘พีระพันธุ์’ จ่อคลอดกฎหมายใหม่ เคาะราคาน้ำมันเดือนละครั้ง  ชดเชยราคาน้ำมันด้วยน้ำมัน ลดภาระให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

(7 พ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการบริหารจัดการโครงสร้างราคาพลังงานว่า หลังจากเข้ามานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ภายในกระทรวงพลังงานมีปัญหาที่ถูกหมักหมมมาเยอะมาก และแน่นอนว่าปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีคนเสนอให้ปรับโครงสร้าง แต่เมื่อทำการศึกษาอย่างละเอียดแล้ว จึงพบว่า ปัญหาหลักไม่ใช่เรื่องโครงสร้าง แต่เป็นระบบเกี่ยวกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ เพราะฉะนั้น จึงต้องออกกฎหมายเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ เพื่อที่จะรื้อระบบน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างกฎหมาย

นอกจากการออกกฎหมายแล้ว ทางกระทรวงฯ ยังเร่งเดินหน้าสิ่งที่ประเทศไทยไม่เคยมี และจำเป็นต้องมี นั่นคือ การสร้างระบบสำรองน้ำมันทางด้านยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ซึ่งหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกมีระบบนี้อยู่ เพื่อนำมาใช้ในการสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมัน และในกรณีเกิดวิกฤตสงคราม ซึ่งจะทำให้น้ำมันขาดแคลนและราคาผันผวน 

ทั้งนี้ ระบบการสำรองน้ำมันในประเทศไทยที่มีอยู่นั้น เป็นการสำรองน้ำมัน เพื่อการค้าของผู้ประกอบการ หรือภาคเอกชน ไม่ใช่ของรัฐบาล และมีปริมาณสำรองเพียงแค่ 20 กว่าวันเท่านั้น ดังนั้น หากต้องการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศ จะต้องมีปริมาณขั้นต่ำตามมาตรฐานอยู่ที่ 90 วัน และเป็นน้ำมันที่เป็นของรัฐ 100% ซึ่งระบบสำรองน้ำมันที่ใช้อยู่วันนี้เป็นการสำรองน้ำมันตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ใช่สำรองเพื่อยุทธศาสตร์ของประเทศ เพราะฉะนั้น เมื่อประเทศต้องใช้น้ำมัน คนที่รับผิดชอบ คือ รัฐบาล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีระบบสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในประเทศหรือต่างประเทศ

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ระบบใหม่ที่กำลังจะนำมาใช้ จะไม่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกส่งผลกระทบกับคนไทย โดยราคาตลาดโลกจะเป็นเรื่องของผู้ประกอบการกับรัฐบาล ส่วนราคาในประเทศจะขายเท่าไร รัฐบาลจะเป็นผู้กำหนด โดยจะเอาระบบ SPR ของประเทศมาเป็นกลไกแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นการรักษาระดับราคาน้ำมัน ด้วยน้ำมัน ไม่ใช่เงินกองทุนฯ สำหรับน้ำมันที่จะนำมาใช้ ก็คือน้ำมันที่สำรองไว้ 90 วันนั่นเอง

“เรื่องนี้คนที่ประสบการณ์เยอะ รู้เยอะ ก็จะบอกทำไม่ได้ ต้องใช้เงินเป็นแสนล้าน ผมบอกไม่ต้อง ผมจะไม่ใช้เงินเลย แต่ผมจะเก็บภาษีเป็นน้ำมัน ซึ่งเก็บภาษีเป็นน้ำมันหมายความว่า เวลานี้ถ้าคิดคร่าว ๆ เงินกองทุนน้ำมันเก็บจากผู้ค้า แต่เก็บเป็นเงิน ต่อไปผมจะไม่เก็บเป็นเงิน แต่เก็บเป็นน้ำมันแทน ซึ่งโดยเฉลี่ยจะได้น้ำมันวันละ 10 ล้านลิตร เมื่อผมมีน้ำมันเป็นทุนสำรอง ผมก็จะแก้ปัญหาน้ำมัน ซึ่งน้ำมันนี้เป็นส่วนหนึ่งของน้ำมันสำรองของประเทศ และขณะเดียวกันผมจะใช้น้ำมันตรงนี้ที่มันจะหมุนเวียน เอามารักษาระดับราคาน้ำมันด้วยน้ำมัน ผมจะยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ ที่ใช้เงิน เปลี่ยนเป็นกองทุนน้ำมันฯ ที่เป็นน้ำมันจริง ๆ นี่ก็เป็นการรื้ออย่างหนึ่ง”

นายพีระพันธุ์ ย้ำว่า ระบบใหม่นี้สามารถทำได้แน่นอน ถ้าไม่มีคนขวาง เพราะหากจะรักษาระดับราคาน้ำมันคุณก็ต้องเอาน้ำมันไปรักษา ยกตัวอย่างสมัยตนเป็นรัฐมนตรียุติธรรม ยังไปช่วยรักษาระดับราคาผลไม้เลย ผลไม้ราคาตกต่ำ ในยุคนั้นราคามังคุดตกต่ำจากกิโลกรัมละ 14-15 บาท เหลือกิโลกรัมละ 4-5 บาท ก็ไปกวาดซื้อมาหมดเลย จากนั้นเอาไปให้นักโทษกิน เมื่อพ่อค้าไม่มีจะขาย คนก็ต้องกลับมาซื้อกิโลกรัมละ 14-15 บาท เหมือนเดิม แต่ต้องซื้อจากเกษตรกร ไม่ได้ซื้อจากพ่อค้าคนกลาง เช่นเดียวกันกับน้ำมัน ซึ่งเป็นระบบที่ IEA (International Energy Agency) ที่มีสมาชิกอยู่ร้อยกว่าประเทศในโลก เขาก็ลงขันหาน้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นทุนสำรองเอาไว้ เวลาที่เกิดวิกฤติในตลาดโลกแพงเกินไป หรือว่าน้ำมันขาดแคลน ก็จะนำน้ำมันในสต็อกตรงนี้เข้าไปอัดในตลาดโลก ทำให้รักษาระดับราคาน้ำมันได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการวางระบบใหม่ จะมีองค์กรพิเศษใหม่มาคอยกำกับเรื่องราคาน้ำมันโดยเฉพาะ และความมั่นคงพลังงาน อยู่ภายใต้กระทรวงพลังงาน เป็นองค์กรที่ไม่ได้ค้ากำไร ไม่ได้มาแข่งกับผู้ค้า แต่เป็นองค์กรกำกับให้อยู่ในระบบเฉย ๆ เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดอยู่ในร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่กำลังทำอยู่ และพยายามจะให้แล้วเสร็จภายใน 6-7 เดือนนี้ 

“เมื่อระบบ SPR สำเร็จ 100% จะช่วยแก้ปัญหาราคาน้ำมันและกองทุนฯ ได้อย่างยั่งยืน และเป็นระบบที่ถูกต้อง โดยยืนยันว่าไม่กระทบกับเอกชนแน่นอน และจะไม่ให้ปรับราคาขึ้นลงทุกวันตามอำเภอใจแบบนี้อีก จะให้ปรับได้เดือนละครั้ง ต้องเอาต้นทุนมาเคลียร์กับกระทรวงแล้วมาหาราคาเฉลี่ยกันว่าจะปรับขึ้นลงยังไง กฎหมายผมจะไม่มีตารางส้ม (ตารางต้นทุนผู้ค้าน้ำมันของสำนักงานโยบายและแผนพลังงาน) แบบนี้อีกแล้ว ผมจะใช้ต้นทุนจริง ไม่ใช่ต้นทุนอ้างอิงสิงคโปร์อะไรกันอีก ทุกอย่างต้องเป็นของจริง ในกฎหมายที่ผมจะออกใหม่จะชัดเจนดูแลได้ทั้งหมด”

‘ก.พลังงาน’ ไฟเขียว!! ตรึง ‘ดีเซล-ไฟฟ้า-ก๊าซหุงต้ม’ ถึงสิงหาคม 67

(7 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำเสนอ 3 มาตรการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน และลดภาระค่าครองชีพ ประกอบด้วย 

1. การตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ระยะเวลาดำเนินการ 20 เม.ย. - 31 ก.ค. 2567
2. การขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม 423 บาท ต่อถัง 15 กิโลกรัมไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 

3. การลดค่าไฟที่ 19.05 สตางค์ จาก 4.18 บาท เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ในงวดเดือน พฤษภาคม ถึง สิงหาคม 2567

“ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันราคาพลังงานเกือบทุกชนิดมีความผันผวนในระดับสูง เกิดจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งกระทรวงพลังงานภายใต้การนำของผมได้พยายามที่จะช่วยเหลือประชาชน ลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งในส่วนของน้ำมัน รัฐบาลได้กำหนดเพดานไว้ที่ 33 บาทต่อลิตร เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้อุดหนุนติดลบกว่าแสนล้านบาทแล้ว หากไม่อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ 34 - 35 บาทต่อลิตร และอาจจะมีการปรับเพดานหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาขายปลีกในไทยก็จะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป

ทั้งนี้ ทั้ง 3 มาตรการที่เสนอเข้าคณะรัฐมนตรีและได้รับการเห็นชอบในวันนี้ ถือว่า เป็นมาตรการช่วยเหลือในระยะสั้น ตามหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมได้เตรียมรื้อระบบราคาพลังงานใหม่ ซึ่งผมกำลังเร่งดำเนินการอยู่ คาดว่าจะยกร่างกฎหมายใหม่ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้ คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงราคาพลังงานที่มีความยุติธรรม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และจะเป็นการปรับรูปแบบพลังงานของประเทศที่จะมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคตด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘พีระพันธุ์’ รับมอบพวงมาลัยขอบคุณจาก ‘ส.ต.ต.พิจักษณ์’ หลังได้ช่วยเหลือเรื่องสูติบัตร จนเข้าเรียนนายร้อยได้สำเร็จ

(8 พ.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ส.ต.ต.พิจักษณ์ ทองใสเกลี้ยง เข้าพบ และมอบพวงมาลัยเพื่อขอบคุณนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ช่วยติดต่อประสานงาน ในกรณีที่ตนขาดคุณสมบัติ และเอกสารบางอย่าง ในการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ

“สูติบัตรของผม ไม่ปรากฏบิดาโดยกำเนิด จึงไม่มีเอกสารเอาไปยื่นต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งต้องเข้ารายงานตัว วันที่ 10 พ.ค. 2567 และรายตัวต่อโรงเรียนเตรียมทหาร 12 พ.ค. 2567 ซี่งท่านพีระพันธุ์ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประสานกับทางโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ให้พิจารณาคุณสมบัติของผมอีกที”

ส.ต.ต.พิจักษณ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทางครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจทำให้ขาดเอกสารแบบตน ซึ่งก็จะเป็นการปิดกั้นโอกาสเด็กรุ่นใหม่ในการเป็นทหาร ตำรวจ ทั้งนี้ ตนอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีความชอบ และมีญาติเป็นตำรวจด้วย จึงตั้งใจเข้าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

ด้านนายพีระพันธุ์ รับพวงมาลัย พร้อมกล่าวอวยพรและให้สัมภาษณ์ว่า ส.ต.ต.พิจักษณ์ ได้มาขอความช่วยเหลือหลังจากที่เป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ แต่ก็มาเกิดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ตนจึงได้เชิญแม่ ส.ต.ต.พิจักษณ์ มาพูดคุย และให้คนไปตรวจสอบในพื้นที่ ก็เชื่อได้ว่าพ่อ ของ ส.ต.ต.พิจักษณ์ เป็นคนไทยแน่นอน มีตัวตนจริง เพียงแต่ตามตัวไม่เจอ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่รู้จักดี จึงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง และได้ให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปช่วยดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง  

"ก็ต้องขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นต้นทาง ในการให้ข้อเท็จจริง รวมถึงรักษาการ ผบ.ตร. ที่ดูแลเป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานต่าง ๆ ก็ให้ความเป็นธรรมที่ถูกต้อง จึงขอให้น้องประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลประชาชน ตัวเองเคยผ่านเรื่องเดือดร้อนมาเยอะ วันนี้จะมีโอกาสดูแลคนอื่นแล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าจากกรณีนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีการแก้กฎหมายหรือกฎระเบียบ เพราะหน่วยต้นสังกัด คือตำรวจ ตรวจสอบหมดแล้ว

‘พีระพันธุ์’ ปัด!! กฤษฎีกาท้วง ตรึงราคาพลังงาน  ย้อนถาม!! ทำเพื่อประชาชนจะไม่ดีตรงไหน 

(8 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเป็นห่วงมาตรการตรึงราคาพลังงานของรัฐบาล อาจส่งผลกระทบได้ในระยะยาว ว่า “ไม่มี ไม่มี ไปตามข่าวมาจากไหน ตนนั่งประชุมอยู่ในที่ประชุมครม.ก็ไม่มี” 

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเอกสารมีความเห็นของกฤษฎีกาว่า ถ้าไปอุดหนุนบ่อยครั้ง จะเป็นการบิดเบือนราคาได้? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “อันนี้ไม่เห็น” 

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าการช่วยเหลือประชาชนต้องเดินหน้าต่อไป? นายพีระพันธุ์ กล่าวย้อนว่า “การช่วยเหลือประชาชนไม่ดีตรงไหน” ส่วนข้อกังวลของหน่วยงานตนยังไม่เห็น 

เมื่อถามว่าสมาคมขนส่งมีข้อกังวลว่าหากปรับราคาดีเซลขึ้นไป 33 บาทต่อลิตร อาจจะกระทบภาคขนส่ง? รมว.พลังงาน กล่าวว่า “เราพยายามตรึงราคาให้มาตลอด แต่ก็ได้รับการร้องเรียนมาเหมือนกันว่า เวลาที่ลดราคาทำไมภาคขนส่งไม่ลดราคาให้ประชาชนบ้าง”

เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลจะตรึงราคาอยู่แค่ 33 บาทต่อลิตร จะไม่ขยายไปกว่านี้ใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์กล่าวว่า “เราพยายามตรึงราคาเท่าที่ตรึงได้ ที่ผ่านมาตรึงราคาได้ที่ 30 บาทต่อลิตร ก็ตรึงไว้ที่ 30 แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา 50 กว่าปี ใช้วิธีตรึงราคาด้วยเงิน ราคาจึงอยู่ที่เงินในกระเป๋าของรัฐ ถ้ามีเงินมากก็ตรึงได้มาก ถ้ามีน้อยก็ตรึงได้น้อย ตอนนี้เงินน้อยก็ตรึงน้อย ถ้าเก็บเงินได้ใหม่ก็ตรึงได้อีก”

“ระบบวิธีใช้เงินไปตรึงราคานี้ ผมพูดมาตลอดว่าไม่เห็นด้วย ต้องปรับระบบใหม่ ซึ่งกำลังทำอยู่ โดยตอนนี้ผมได้เขียนกฎหมายใหม่และจะใช้เวลาไม่นานเพราะเขียนไประดับหนึ่งแล้ว” รมว.พลังงาน เสริม

ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทุนน้ำมันยังช่วยดูแลราคาไปได้อีกนานหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “เดิมการดูแลเรื่องราคาน้ำมันตั้งแต่ปี 2516 เราตั้งกองทุนน้ำมัน แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 42/2547 โดยให้อำนาจกองทุนดูแลตรึงราคาหรือรักษาระดับน้ำมัน ได้ 2 ขา

…ขาหนึ่งใช้เงินกองทุน…อีกขาหนึ่งให้อำนาจในการกำหนดเพดานภาษี โดยกองทุนน้ำมันไม่มีอำนาจในการจัดเก็บภาษี แต่มีอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี เราจึงใช้ตรงนี้ตรึงราคาช่วยดูแลประชาชนได้ นอกจากใช้เงิน ยังใช้เพดานภาษีมาเป็นตัวคุมได้ด้วย โดยเราเป็นคนกำหนดเพดานภาษี แต่คนเก็บคือ กระทรวงการคลัง แต่ต่อมาปี 2562 มีกฎหมายมารองรับยกฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไปตัดอำนาจในการกำหนดเพดานภาษีของกองทุนฯ ออก เหลือแต่ใช้เงินอย่างเดียว ฉะนั้นนับตั้งแต่ปี 2562 ตัวเลขกองทุนฯ จึงเป็นหนี้ขึ้นมาจำนวนมากและติดลบ เป็นต้นมา เพราะการกำหนดเพดานภาษี ซึ่งเป็นอำนาจของกองทุนฯ ไม่มีแล้ว ทั้งนี้ผมได้พยายามขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาปรับลดเพดานภาษีสรรพสามิต แต่เขาไม่เห็นด้วย ทั้งที่เดิมเป็นอำนาจของกองทุนฯ ที่ระบุว่าอย่าเก็บเกินเท่านี้ ดังนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข”

เมื่อถามว่า หมายถึงจะเอาอำนาจการกำหนดเพดานภาษีกลับมาอยู่กับกระทรวงพลังงานใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ก็ควรต้องกลับมาเป็นแบบเดิม โดยอำนาจในการเก็บภาษีไม่ใช่อำนาจของกระทรวงพลังงาน แต่สินค้าตัวนี้กระทรวงพลังงานเป็นคนดูแล ฉะนั้นอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี ควรจะอยู่กับกระทรวงพลังงาน แต่เมื่อกำหนดแล้วกระทรวงการคลังจะเก็บเท่าไหร่ ก็ไปดำเนินการ”

‘พีระพันธุ์’ รับเรื่องร้องเรียนปัญหาคนเมืองเพชรบุรี ยัน!! แม้ไม่ใช่ภารกิจหลัก แต่พร้อมสานต่อถึง ครม.

(13 พ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค, นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ สส.เพชรบุรี เขต 1 และ จ.อ. อภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรุบรี เขต 3 รวมทั้ง สส. และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และคณะผู้บริหารพรรค ได้ลงพื้นที่จุดสะพานกลับรถข้ามรถไฟทางคู่ อ.เมือง จ.เพชรบุรี

เมื่อเดินทางไปถึงจุดดังกล่าว มีพี่น้องประชาชนได้มายื่นเรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับปัญหาการจราจร อุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และจากกรณีรถไฟไม่สามารถหยุดจอดได้ในทันที ซึ่งสุ่มเสี่ยงอาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ ดังนั้นพี่น้องประชาชน จึงต้องการขอให้ภาครัฐทำการสร้างสะพานข้ามเกือกม้า เพื่อลดอุบัติเหตุ และแก้ไขปัญหาการจราจร

จากข้อร้องเรียนดังกล่าวของประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง จ.เพชรบุรีนั้น นายพีระพันธุ์ ยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า จะนำปัญหาดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มาประชุมที่ จ.เพชรบุรี ในครั้งนี้ด้วย (13-14 พ.ค.2567)

หลังเสร็จภารกิจจากจุดดังกล่าว นายพีระพันธุ์ ได้ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลแก่งกระจานต่อ เพื่อรับหนังสือร้องเรียนชาวบ้านเรื่องการก่อสร้างบานเปิด-ปิด ระบายน้ำ หรือ สปิลเวย์ เขื่อนแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ กล่าวภายหลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนว่า ตนจะต้องประสานข้อมูลและข้อเท็จจริงกับทางหน่วยราชการที่เป็นเจ้าของเรื่องว่า มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร อีกทั้งมีวิธีการดำเนินการได้แค่ไหน ในกรณีแบบนี้บางอย่าง ก็ต้องหาวิธีการเพื่อมาชดเชย แต่ถ้าหน่วยราชการมีรูปแบบวิธีการแก้ปัญหาก็สามารถนำมาพิจารณา ขณะเดียวกัน ตนก็จะดูเรื่องการแก้ปัญหานี้ควบคู่ไปด้วยเช่นกัน

ด้าน นายวิรัตน์ นกวอน นายกองค์การบริหารตำบล แก่งกระจาน เปิดเผยว่า วันนี้ตนและประชาชนในพื้นที่ มายื่นหนังสือร้องเรียนให้ท่านรองนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ เพื่อต้องการให้ท่านช่วยชะลอการก่อสร้างบานเปิด-ปิดระบายน้ำเขื่อนแก่งกระจานไปจนกว่า สอบถามความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่แล้วเสร็จ

“ผมเชื่อว่า พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ขอบอ่าง ไม่เห็นด้วย เพราะหากมีการก่อสร้างบานเปิด-ปิดดังกล่าวที่สูงขึ้นไปอีก จะทำให้ประชาชน ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมหนัก หากน้ำล้นเขื่อนขึ้นมาในปริมาณที่มากอีก และถ้าหนีขึ้นไปด้านหลังซึ่งเป็นเขาและเป็นพื้นที่เขตอุทยานฯ ก็อาจจะมีความผิดฐานบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ เพราะโครงการดังกล่าวทางกรมชลประทาน ไม่ได้มีการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเลย“ นายวิรัตน์ กล่าว

สำหรับโครงการก่อสร้างนี้มีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คือการก่อสร้างสะพานข้ามสปิลเวย์ ส่วนที่ 2 คือ การสร้างแนวกันตลิ่ง เพื่อกันน้ำเซาะตลิ่ง ทั้งนี้ในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 นี้ ชาวบ้านไม่คัดค้าน เนื่องจากมีประโยชน์ต่อจังหวัด และพื้นที่ เพื่อใช้เป็นจุด check in และเป็นจุด Landmark Point ของจังหวัดแต่ ส่วนที่ 3 คือการก่อสร้างบานเปิด-ปิดน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำ ได้มีการประชุมระดับอำเภอแล้ว และได้ข้อสรุปให้ชะลอจนกว่าจะสอบถามความคิดเห็นของประชาชน แม้ที่ผ่านมาจะมีการสั่งชะลอ แต่ยังมีการดำเนินการก่อสร้าง

ปัญหาที่เกิดขึ้น กับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อน้ำล้นสปิลเวย์ จะท่วมบ้านเรือนราษฎรที่เป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังท่วมพื้นที่ทำกิน พืชผลทางการเกษตร อีกทั้งแนวเขตชลประทานเพิ่มขึ้นทับช้อนพื้นที่ทำกินของชาวบ้านที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำกิน ตามมติ ครม. มิ.ย. 41

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางแก้ไข้ ต้องการเสนอให้ชลประทานเปลี่ยนแปลงโครงการจากทำบานพับสปิลเวย์ มาเป็นขุดลอกเขื่อนแทน เนื่องจากทุกปีในช่วงฤดูฝน เกิดน้ำหลาก เกิดการพังทลายของดินไหลลงสู่เขื่อนแก่งกระจาน เป็นตะกอน ทำให้ตื้นเขิน จึงกักเก็บน้ำได้ปริมาณน้อยลง จึงควรใช้วิธีการขุดลอก เพื่อกักเก็บน้ำให้มากขึ้น เป็นการลดความเสี่ยงกรณีเขื่อนแตก เพราะจะมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้อยู่อาศัยบริเวณใต้เขื่อน และลดผลกระทบผู้อยู่อาศัยบริเวณรอบเขื่อนอีกด้วย

สำหรับหมู่บ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการก่อสร้างดังกล่าว ได้แก่ หมู่บ้านพุเข็ม หมู่ 10 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านพุบอน หมู่ที่ 14 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านน้ำทรัพย์ หมู่ที่ 9 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 7 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านท่าเรือ หมู่ที่ 8 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านท่าลิงลม หมู่ที่ 3 ต.สองพี่น้อง หมู่บ้านวังวน หมู่ที่ 2 ต.สองพี่น้อง หมู่บ้านพุไทร หมู่ที่ 3 ต.ห้วยแม่เพรียง และหมู่บ้านลำตะเคียน หมู่ที่ 4 ต.แก่งกระจาน ทั้งนี้มีทั้งหมด2,097 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 4,715 คน

ภายหลังรับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน ทั้งปัญหาการจราจรจุดสะพานกลับรถข้ามรถไฟทางคู่ อ.เมือง และ เรื่องการก่อสร้างบานเปิด-ปิด ระบายน้ำ หรือสปิลเวย์ เขื่อนแก่งกระจาน นายพีระพันธุ์ ยังได้ลงพื้นที่ หมู่ที่ 3 ต.ไร่สะท้อน อ.บ้านลาด เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนกลุ่มเลี้ยงวัวทางด้านการเกษตรและกีฬาต่อ

หลังจากพูดคุยกัน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องช่วงเวลาการเล่นกีฬาวัวลาน ที่จะขอให้มีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการแข่งเป็นเวลาไหนนั้น ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการไปก่อน แต่ถ้าไม่ได้ เราก็จะมาแก้ให้อยู่ในกฎหมาย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนดีกว่า”

นายพีระพันธุ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แต่ในระหว่างรอการแก้ไขกฎหมาย เราก็สามารถประสานไปกับทางกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้” 

'พีระพันธุ์' เตรียมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านพลังงานชุมชนสู่ประชาชน ผลิตน้ำมันจากขยะ-แบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

พีระพันธุ์ นำเสนอ นายกฯ โชว์นวัตกรรมผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก แบตเตอรี่สำหรับระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีด้านพลังงาน เตรียมพร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่าย

เมื่อวานนี้ (14 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เข้าร่วมประชุม ครม.สัญจร จังหวัดเพชรบุรี ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยก่อนการประชุมได้นำเสนอนิทรรศการด้านพลังงานแก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม โดยเป็นนวัตกรรมการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก/ยางพารา ใช้เทคโนโลยีไพโรไลซีส ซึ่งน้ำมันที่ได้จะนำไปใช้กับเครื่องยนต์การเกษตรเป็นหลัก เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร นอกจากจะสามารถผลิตน้ำมันได้ในราคาถูกแล้ว ยังสามารถลดปริมาณขยะได้อีกด้วย โดยเทคโนโลยีนี้เกิดจากครูน้อย หรือ นายทวีชัย ไกรดวง ครูอัตราจ้างโรงเรียนในจังหวัดสกลนคร ที่เกิดความสนใจ ทดลอง จนประสบความสำเร็จ 

จากนั้น ได้มีการนำเสนอเทคโนโลยีชุดแบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือน ซึ่งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควบคุมการจ่ายไฟ หรือ Battery Management System (BMS) ซึ่งทำให้แบตเตอรี่สามารถจ่ายกระแสไฟได้เสถียร ยาวนาน และจากการประดิษฐ์คิดค้นและประยุกต์ใช้เอง จึงทำให้ต้นทุนของแบตเตอรี่ที่ได้ ราคาถูกเมื่อเทียบกับการนำเข้าจากต่างประเทศ 

นอกจากนี้ ยังมีโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งประยุกต์การรับแสงของแผงโซลาร์เซลล์ มาใช้วัดค่าแสงและสั่งการมอเตอร์ให้หมุนชุดเฟือง เพื่อให้แผงโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถหมุนได้ถึง 300 องศา ทำให้โซลาร์เซลล์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 7 ชั่วโมงเต็มต่อวัน เทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ปกติที่รับแสงได้มากสุดที่ 5 ชั่วโมงต่อวัน และยังสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่ารูปแบบปกติ 4 - 5 เท่า ซึ่งทำให้สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ในครัวเรือน สร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน จากการใช้พลังงานสะอาดได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้เตรียมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านพลังงานดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยจะนำไปเป็นต้นแบบผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวให้ประชาชนใช้ในราคาถูก ภายใต้การดำเนินการของกระทรวงพลังงาน

“วันนี้ผมรู้สึกยินดีที่ได้นำเสนอนิทรรศการด้านพลังงานให้คณะรัฐมนตรีและผู้ที่เข้าร่วมการประชุม โดยเฉพาะเทคโนโลยีซึ่งเกิดจากการไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเอง อย่างครูน้อยหรือ นายทวีชัย ไกรดวง ครูอัตราจ้าง ที่ทดลอง พัฒนา จนสามารถสร้างเครื่องผลิตน้ำมันด้วยวิธีไพโรไลซิส ซึ่งนอกจากจะสามารถผลิตน้ำมันที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาดแล้ว ยังสามารถลดขยะได้อีกด้วย และยังได้นำเสนอเทคโนโลยีชุดแบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือนและโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับการดำเนินการให้นวัตกรรมของครูน้อยใช้เป็นผลิตภัณฑ์ราคาถูกให้ประชาชน ผมก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายทั้งราคาสินค้าและค่าใช้ไฟ พอตรงนี้สำเร็จ ก็จะส่งผลไปในด้านอื่น ๆ ประชาชนมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยลง ก็จะมีเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น เพิ่มรายได้ ก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายพีระพันธุ์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top