Friday, 3 May 2024
พลังประชารัฐ

'ลุงป้อม' ชายชาติทหาร ผู้ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิชีวิต ใครจะรู้!! วันหนึ่งอาจผงาดขึ้นเป็น ‘นายกฯ’ คนต่อไป

(8 ม.ค. 67) เปลวสีเงินในนำเสนอบทความ ในหัวข้อ 'ลุงป้อม' ที่ไม่มีวันตาย ความว่า…

ไม่รู้จักตัวท่านหรอก

แต่ในฐานะ FC ขอบอกว่า "คิดถึงท่านนะ" และ "สวัสดีปีใหม่ท่านด้วย"

ก็ ‘พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘ลุงป้อม’ นั่นแหละ

ถ้านับตามอายุ ท่าน ‘น้องผม’

แต่ยกให้เป็น ‘ลุง’ เพราะผมยังหนุ่มกว่าเยอะ

ถ้าพูดถึงความหล่อ ตรงนี้ พอฟัด-พอเหวี่ยง  และขึ้นอยู่กับสเปกใคร-สเปกมัน!

แต่วันนี้ ต้องขอถอนคำพูดที่ว่า ‘ผมหนุ่มกว่า’ เพราะเมื่อวาน (7 ม.ค.67) ลุงป้อมในฐานะผู้นำ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ไปเพชรบูรณ์

เห็นหุ่นท่านแล้ว ต้องร้อง..ว้าวววว!

หลังเลือกตั้ง หายหน้าไป 3-4 เดือน นึกว่าลุงถอดใจ ที่ไหนได้ แอบไปฟิตซ้อม เข้าคอร์ส ‘เสริมหนุ่ม’ มาแหงๆ

เพราะจากที่ตุ้มต๊ะ ตุ้มตุ้ย....

ตอนนี้พุงสเลนเดอร์ หน้าอิ่มเอิบ มีสง่าราศี ยังกะโชกุน ตายิ้มได้ แถมมีประกายสดใส

เห็นแล้วก็ดีใจนะ ไม่บอกหรอกว่า "ลุงป้อม สู้..สู้"

เพราะพูดอย่างนั้น เหมือนหมิ่นชายชาติทหารที่ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิชีวิต

แค่ไม่ได้เป็นนายกฯ วันนี้ ก็ใช่ว่าวันหน้าก็จะไม่มี จริงไหม..ลุง?

ขอเพียงลุงป้อมไม่สลัดนวมทิ้งแล้วลงจากเวทีเท่านั้น โอกาสเป็น ‘แชมป์’ ยังมีเสมอ

ลุงป้อม ไม่ใช่พันธุ์ทหาร ‘แมงป่อง’ ที่ดีแต่ชูหางอวดอ้า

แต่เป็นพันธุ์ ‘ทหารเสือ’!

เสือย่อมมีลาย มีศักดิ์ศรีที่จะไม่กินเนื้อเก่า ไม่มั่นใจ จะไม่สยายกรงเล็บ และเมื่อออกล่า

เพียงสาบเสือโชย สัตว์ทั้งป่า ก็ผวาตื่นว่า ‘เจ้าป่า’ มาแล้ว!

เห็นลุงประกาศ ต่อจากนี้ ในฐานะเจ้าสำนัก ‘พลังประชารัฐ’ จะเดินสายไปพบปะประชาชนในแต่ละจังหวัด

เพื่อแจกแจงให้ทราบว่า....

4 เดือนที่ผ่านมา รัฐมนตรี ‘พลังประชารัฐ’ ทำอะไรให้ชาวบ้านเป็นผลงานสำเร็จแล้วตามสัญญาบ้าง

ผมเชียร์ครับ...ลุง

ไม่ใช่เลือกตั้งที ก็ลงไปที มันต้องแบบนี้ คนไทยทุกจังหวัด เลือก-หรือไม่เลือก ไปว่าเขาไม่ได้

แต่ควรพิจารณา ‘ตัวเรา-พรรคเรา’ ว่ารักเขา จริงใจกับเขา ลงไปพบปะเยี่ยมเยียน ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเขาสม่ำเสมอหรือไม่?

ช่วย ‘ได้มาก-ได้น้อย’ เป็นอีกเรื่อง

ที่สำคัญ อย่าได้หายหน้า-หายตา ‘เป็นคน..ต้องมีหัวใจ’ ส่วนเรื่องตำแหน่ง ‘มี-ไม่มี’ นั่นแค่หัวโขน

แค่เอาใจไปผูกใจ กินข้าวด้วยกันซักคำ ดื่มน้ำจากขันดำๆ ใบเดียวกันซักอึก นั่นมันดื่มด่ำยิ่งกว่า ‘ดื่มน้ำสาบาน’ กันซะอีก!

ภาพลุงป้อม เหมือน ‘พระสังกัจจายน์’

มีเสน่ห์ในตัว ใครเห็นก็รัก เป็น "ลุงป้อมใจดี" ของลูกๆ หลานๆ ของพี่ๆ น้องๆ

ไม่ต้องเอาอะไรไปให้เขาหรอก

แค่ลุงป้อมไปเยี่ยม ไปนั่งให้เขาลูบพุง พกปีโป้ไปแจกเด็กๆ คนละอัน แค่นั้น ชาวบ้านก็แทบจะหอบผ้า-หอบหมอน หนีตามมาอยู่กับลุงแล้ว!

ลุงป้อมเนี่ย เป็นคนมีกรรมอย่างหนึ่ง

อดีตชาติ ‘คงอิจฉา-ริษยา’ คนอื่นไว้มาก มาถึงชาตินี้ ด้วยวัฏฏะแห่งกรงกรรม ลุงป้อมจึง ‘ถูกกระทำ’ ในเชิงริษยาเป็นการชดใช้

ดูซี...พอเข้าการเมือง ในฐานะ ‘พี่ใหญ่ 3 ป.’

ก็เป็น ‘ป้อมปราการ’ ที่ตกเป็นเป้าทำลายจากฝ่ายตรงข้าม

เรื่องจริง-เรื่องไม่จริง ถูกสาดใส่-ระบายสี จนเป็น ‘ลุงป้อมจอมโกง’ ไปทุกเรื่อง

อย่างเรื่อง ‘แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน’

จริงๆ แล้ว เรื่องนาฬิกา มันขี้หมาแท้ๆ พวกเล่นนาฬิกาเรือนละเป็นสิบล้าน-ร้อยล้าน เขามีกลุ่มเขาอยู่

คนในกลุ่ม ชอบเรือนไหน ใครจะเวียนกันเอาไปใส่ เป็นเรื่องธรรมดา ผมก็เคยเห็น ยิ่งกลุ่ม ‘เซนต์คาเบรียล’ ของลุงป้อมด้วยแล้ว

ขอโทษ...ถ้าสังคมโลกนิยมนาฬิกาตีน กลุ่มบ้านาฬิกาของลุงป้อม ก็คงมีนาฬิกาตีนฝังเพชรให้ลุงป้อมยืมมาใส่

ถามว่า ลุงป้อมยากจน ไม่มีเงินแค่ซื้อนาฬิกาแพงๆ เองซักเรือนหรือ ถึงต้องเอาของคนโน้น-นี้มาใส่?

ซื้อซักกระสอบก็ได้

แต่คนมีสมองคิดจึงเป็นเศรษฐี ดังนั้น คนพวกนี้ เขารู้ว่านาฬิกาแพง ผลิตออกมาเพื่อเป็น ‘ของเล่นเศรษฐี’

เมื่อเป็นของเล่น จะบ้าซื้อกันทุกคนทำไม มึงซื้อโน่น-กูซื้อนี่ ใครพอใจใส่เรือนไหน ก็เอาไปใส่ เวียนกันไปในหมู่พวกเขา

เพราะคนส่วนหนึ่ง ไม่รู้วัฒนธรรมเศรษฐี แต่อีกส่วนรู้

จึงอาศัยช่องจากคนไม่รู้ หยิบตรงนั้น เป็นช่องทำลายผ่านตัวลุงป้อม ซึ่งเป็น ‘จุดสลบ’ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

การใส่ร้าย-ป้ายสี เพื่อทำลายคนน่ะ มันง่าย

เพราะพื้นฐานจริตมนุษย์.......

ไม่ชอบเห็น ‘ใครดี-ใครเด่น’ กว่าตัวเอง จะอิจฉา และมองในมุมร้ายไว้ก่อน

ฉะนั้น แค่ลุงป้อมใส่นาฬิกาแพง....

ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีเป้าหมาย ‘ทำให้ลุงป้อมฉิบหาย เท่ากับได้ทำลายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์’ มันก็แค่นั้น

แล้วเห็นไหม.....

วันต่อมา มีนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ขับรถเบนซ์และเบนท์ลีย์ ไปสภาหรือทำเนียบฯ นี่แหละ

นักข่าวไปถาม "แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินหรือเปล่า?"

คำตอบจากนักการเมืองนั้น คนหนึ่งบอก "เพื่อนเอามาให้ใช้" อีกคนบอก "ของลูก ยืมมาขับ"

เงียบฉี่ ไม่มีนักสืบโซเชียล ไม่มีสำนักข่าวไหนไปคุ้ยแคะว่าจริงมั้ย เหมือนกรณีนาฬิกาลุงป้อม!?

ไม่ต้องดูอื่นไกล อย่างตอนเศรษฐาเป็นนายกฯ ใหม่ๆ ขับรถป้ายแดงยี่ห้ออะไรก็ลืมไปแล้ว แต่เป็นยี่ห้อหรู-ราคาแพงไปทำเนียบฯ

นายกฯ บอกว่า "ของลูก เอามาขับ"

ก็จบ...ทุกคนเชื่อหมดว่า ‘เอารถลูกมาขับ’

มี ‘ลุงป้อม’ คนเดียวในโลกเท่านั้น ที่ประโคมข่าวกันจนไม่มีใครเชื่อว่า เอานาฬิกาเพื่อนมาใส่?

เพราะอะไร....?

เพราะลุงป้อมเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของอีก 2 ป.ที่คว่ำชามข้าวเพื่อไทยทิ้ง ในยุคยิ่งลักษณ์!

ตอนนี้ เมื่อพูดถึง ‘ลุงป้อม’ ลืมหมดแล้วเรื่อง ‘นาฬิกาเพื่อน’ เพราะลุงป้อม หมดความจำเป็นที่ต้องใช้เป็นสายชนวน ‘จุดระเบิด’ ใส่รัฐบาลประยุทธ์แล้ว

ทั้งเชื่อกันว่าลุงป้อม ‘หมดบุญ-หมดบารมี’ ที่จะมาแข่งเก้าอี้นายกฯ กับใครแล้ว

ฉะนั้น ถ้าได้ยินใครยกเรื่อง ‘นาฬิกาลุงป้อม’ มาพูดอีก ก็ขอให้เข้าใจว่า นั่น...รัศมีลุงป้อมกำลังทาบขึ้นมาแข่งอีกแล้ว

การเมืองน่ะ ตัวเองไม่ต้องเป็นนายกฯ ก็ใหญ่ได้

ดูอย่างทักษิณซิ

เป็นนายกฯ ซะที่ไหน นักโทษแท้ๆ แต่ทุกคนก็ให้เครดิตว่าใหญ่กว่าเศรษฐา ส่วนเศรษฐา แค่ ‘ม้าทรง’ ทักษิณ!

เนี่ย...พูดด้าน ‘วิบากกรรม’ ลุงป้อม

ก็ให้ถือซะว่า ‘กรรมเก่าชดใช้-กรรมใหม่ไม่ก่อ’ อย่าไป ‘ผูกพยาบาท-ฆาตพญาเวร’ กับใคร        ลุงป้อม แค่ ๗๘-๗๙ หนุ่มใหญ่ "เดอะ ยัง  วัน" ยังไม่ถึงขั้น "ใกล้ปลิดขั้ว" เหมือนผม

ท่านไม่ใช่ ‘คนขี่หลังเสือ’

แต่ท่าน ‘เป็นเสือ’ ฉะนั้น ทิ้งลายไม่ได้

ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ อายุ 82 ปี

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อายุ 78 ปี

เห็นประกาศ จะลงสู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กันอีก

ลุงป้อมแค่ 79 ถ้าถอดใจ ก็ไปบวชเป็นฤาษี ไกลๆ แม่ชีสาวๆ กินเผือก-กินกลอย อยู่ "บ้านป่ารอยต่อ 5 จังหวัด" โน่นซะ!     

‘ญี่ปุ่น’ น่ะก้าวหน้าวิทยาการระดับโลก แต่ก็ยังไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า "แผ่นดินจะไหวตรงไหน เมื่อไหร่ในญี่ปุ่น?"

‘การเมืองไทย’ ช่วงนี้ ก็ประมาณนั้น

ญี่ปุ่น ในภาพรวม ก็รู้ทั้งโลกแหละว่า อยู่ในแนวเลื่อนเปลือกโลก ไหวกันจนไม่ไหวจะใส่ใจแล้ว

การเมืองไทย ก็รู้กันทั้งโลกแหละว่า…

อยู่ในแนวเลื่อน ‘ประชาธิปไตยโจร-เผด็จการทหารปราบโจร’ จะไหวหรือไม่ไหวเมื่อไหร่-ตอนไหน ‘ค่าเท่ากัน’ ป่วยการจะใส่ใจแล้ว

เพราะ ‘แผ่นดินไหว’ เป็นเรื่องธรรมชาติเมืองญี่ปุ่น

‘ประชาธิปไตย-เผด็จการทหาร’ ก็เป็นธรรมชาติเมืองไทย!

วันนี้ คุยอะไรไม่เป็นเนื้อ-เป็นหนัง

ที่ ‘เป็นเนื้อ-เป็นหนัง’ เห็นจะเป็นเรื่อง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ 5 แสนล้านของรัฐบาลส่งคำถามไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาว่าทำได้-ไม่ได้แค่ไหนนั้น

นายกฯ เศรษฐาบอกว่า ทางกฤษฎีกาส่งคำตอบมาแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกรา.!

ลองนายกฯ เศรษฐาตอบสั้นๆ ก็ไม่ต้องสงสัยว่ากฤษฎีกาตอบว่าไง?

ถ้า Yes ละก็นะ

"เศรษฐา" น้ำท่วมทุ่งไปแล้ว!

-เปลว สีเงิน

8 มกราคม 2567

คนปลายซอย

‘เรืองไกร’ ยื่น ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ ซํ้า วอน กกต. รีบไต่สวนเป็นการเร่งด่วน

(1 ก.พ. 67) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จะเดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยื่นยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยไปยื่นร้องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว 2 รอบ เมื่อวันที่ 3 เมษายน และ 30 มิถุนายน 2566 กรณีพรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะนั้น กกต. บอกว่าไม่เข้าเงื่อนไข ไม่สามารถดำเนินการได้ 

แต่ล่าสุดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่าการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงถือว่าเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 92 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เรื่องการกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ โดยจะขอให้ กกต. รีบดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วน เพราะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

'ชัยวุฒิ' ยัน!! กระแส 'พปชร.’ ไม่แผ่ว นโยบายพรรคยังถูกจริต แต่จำนวน สส.คลาดเป้า เพราะเสียงแตก 2 พรรค มีผล

(5 ก.พ.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวตอนหนึ่งบนเวทีเสวนาหัวข้อ 'อนาคตประชาธิปไตยไทยในมิติพรรคการเมือง' ซึ่งจัดโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุถึงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้จำนวนสส.ต่ำกว่าเป้า ว่า ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพลาดเป้า ส่วนหนึ่งมาจากการแตกออกเป็น 2 พรรค 

ทั้งนี้ หากพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่แยกพรรคกันในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ สส.มากกว่านี้ เพราะคะแนนเสียงถูกหารไป ทั้ง ๆ ที่ยังมีคะแนนนิยมเหมือนเดิมในหลายพื้นที่ แต่เมื่อแยกพรรคกัน คะแนนนิยมก็ถูกแบ่ง และการหาเสียงก็มีความยากลำบากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า คะแนนนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานมายาวนาน ก็จะได้คะแนนนิยมค่อนข้างสูง จึงทำให้คะแนนเทไปทางพรรครวมไทยสร้างชาติมากกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่แยกพรรคกัน ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน ที่ส่งผลให้แพ้ทั้งคู่ ซึ่งถือเป็นบทเรียนของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังมีคะแนนนิยมอยู่ ซึ่งดูจากจำนวนคะแนนที่ได้รับจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ทางพรรคจะต้องทำกิจกรรมร่วมกับประชาชนและมีนโยบายที่ชัดเจน พร้อมทั้งต้องรวมคนและรวมพลังกันให้ได้ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากพร้อมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพียงแต่เราจะต้องเตรียมพร้อมและรองรับให้ดีกว่าครั้งที่ผ่านมา แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ จะต้องรวมกำลังคนที่เคยแยกออกไป กลับมารวมตัวกันเป็นพรรคใหญ่ให้ได้ เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ มองว่าการเลือกตั้งในอนาคตจะมี 2 เรื่องสำคัญที่ต้องติดตาม โดยเรื่องแรก เป็นเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง หรือ วิธีการเลือกตั้ง ซึ่งค่อนข้างมีผลต่อจำนวนสส.ของแต่ละพรรคอย่างมาก เพราะเมื่อเปลี่ยนวิธีนับคะแนนหรือเปลี่ยนวิธีเลือกตั้ง คะแนนย่อมเปลี่ยนไปด้วย รวมถึงการที่จำนวนพรรคการเมืองและผู้สมัครมีจำนวนมากขึ้น ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงเช่นกัน ซึ่งเห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คนที่ได้รับเลือกเป็นสส.เขตบางคนได้คะแนนเพียง 20-30% ของจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิเท่านั้น แต่ก็สามารถชนะเลือกตั้งได้เป็นสส. ซึ่งจะแตกต่างจากในอดีตที่คนชนะส่วนใหญ่ จะต้องได้คะแนนเกิน 50% ขึ้นไป 

ส่วนเรื่องที่สอง ที่มองว่าจะต้องได้รับการแก้ไข ก็คือ ในอดีตกลัวว่าจะมีการใช้สื่อในการชี้นำประชาชน จึงออกกฎหมายควบคุมสื่อดั้งเดิม อย่างสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์อย่างเข้มงวด แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่มีการควบคุมสื่อออนไลน์ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน แน่นอนว่า ในอนาคตทั้งนักการเมืองและพรรคการเมือง จะต้องปรับตัวรับมือกับโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายพรรคพยายามจะทำ ในขณะที่อีกหลายพรรคก็ยังตามไม่ทัน ดังนั้น ทั้ง 2 เรื่อง คือ กติกาการเลือกตั้ง และ โซเชียลมีเดีย จะมีผลอย่างมากต่อการเลือกตั้งในอนาคต

พร้อมกันนี้ นายชัยวุฒิ ยังได้ให้มุมมองทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยกล่าวถึงการผลักดันเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ว่า นโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ เป็นเรื่องที่จะต้องผลักดันกันต่อไป เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างการรับรู้วัฒนธรรมไทยไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ผ่านมาทางพรรคพลังประชารัฐ เคยมีแนวคิดที่จะตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งแต่เดิมจะมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลัก แต่ในอดีตที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีความชัดเจน และโดยส่วนตัวเห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลอย่างจริงจัง มีงบประมาณที่ชัดเจน และในอนาคตหากสามารถยกระดับเป็นองค์กรมหาชน หรือเป็นหน่วยงานด้านนี้โดยตรง เชื่อว่าจะช่วยยกระดับและผลักดันความเป็นไทยออกไปสู่ชาวโลกได้มากยิ่งขึ้น 

‘พปชร.’ เดินหน้าวางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน หวังเป็นที่ยอมรับของ ปชช. เตรียมให้ สส.ลงพื้นที่มากขึ้น - จ่อเป็นคนกลางเชื่อมการเมือง 2 ฝ่าย

(11 มี.ค. 67) สิ้นเสียงของ ‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ พปชร. ประกาศปรับลุคเคลื่อนทัพทางการเมืองใหม่ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถูกสังคมส่องสปอตไลต์ตลอด ไปถอดรหัสผ่านมุมมองของนักการเมืองระดับเก๋าเกม โลดแล่นอยู่บนถนนเส้นนี้กว่า 30 ปี โดย นายวราเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการ พปชร. และแกนนำอีกคนของ พปชร. สะท้อนให้เห็นถึงจุดประสงค์ของการประกาศดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับผู้สนับสนุนพรรค พปชร.

ขณะนี้กำลังวางยุทธศาสตร์ทำให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนมากขึ้น ทั้งฐานะพรรคร่วมรัฐบาล มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการ พปชร. เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้า พปชร. เป็น รมช.สาธารณสุข พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา พปชร. เป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยเฉพาะ 2 กระทรวงหลัก เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับนโยบายนำเสนอไปแล้วถูกใจประชาชนหรือไม่ แต่ไม่ได้ทิ้งด้านเศรษฐกิจ พลังงาน ท่องเที่ยว

ซึ่งมีผู้มีประสบการณ์ผ่านมาแล้วหลายกระทรวง มีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เข้ามาดูควบคู่กันไป อาจเรียกได้ว่าด้านเศรษฐกิจมีผู้เชี่ยวชาญไม่น้อยไปกว่าพรรคอื่น ไม่อยากพูดว่าเหนือกว่าพรรคอื่น

บนเป้าหมายสร้างความเข้มแข็งให้ พปชร. เพื่อกลับมาในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมืองต้องมีความพร้อม ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมตลอดเวลา เพราะไม่มั่นใจการเมืองในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ถึงขั้นว่าพร้อมวันนี้

ฉะนั้นเป้าหมายปี 67 ทำยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมคิดนโยบาย ปี 68 ประกาศชัดเจนเดินไปข้างหน้าอย่างไรให้ประชาชนยอมรับมากขึ้น

โดยให้ผู้สมัคร สส.ที่ไม่ได้รับเลือก ติดพื้นที่ใกล้ชิดประชาชน หลายเขตเป็นผู้ที่มีศักยภาพ มีโอกาสในการเลือกตั้งครั้งหน้า และ สส. 39 เขต กระจายทั่วทุกภาค ไปขยายฐานเพิ่ม

โดยเฉพาะความเห็นที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว ยังมองไม่เห็นคนกลางที่สามารถเชื่อมทั้ง 2 ฝ่าย และอาจมีฝ่ายที่ 3 ที่คิดว่าทั้ง 2 ขั้วก็ไม่ถูกต้อง

แต่รัฐบาลมีความตั้งใจ ถ้าไม่สำเร็จ ขอแค่ได้เริ่มสัก 50%

วางให้ชัดเจนในส่วนที่สามารถยอมรับกันได้ โดยเฉพาะการแก้ไขรธน. กติกาในการ บริหารประ เทศที่ออกมาเป็นที่ยอมรับแค่ไหน

ทั้งนี้ การสลายขั้วทางการเมืองกับการแสดงความคิดเห็นต้องแยกกัน สลายขั้วอาจเป็นพรรค และผู้สนับสนุน แต่สลายขั้วทางความคิด อาจเป็นเรื่องยาก

ฉะนั้นความคิดต่างกันได้ แต่ต้องยอมรับกติกาเลือกตั้ง ปล่อยฝ่ายชนะได้บริหารประเทศ ฝ่ายแพ้ก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ยกเว้นเกิดทุจริต คงต้องปล่อยให้ระบบจัดการ

ขณะนี้เริ่มเห็นปรากฏการณ์ที่ฝ่ายค้าน และรัฐบาลยอมรับในบางเรื่องที่ถูกต้อง ยอมรับความเห็นของพรรคตรงข้าม ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสังคมที่สามารถชี้นำ และบีบฝ่ายที่ไม่มีเหตุผลหรือทำไม่ถูกต้อง

ภาพรวมรัฐบาลอยู่ตลอดรอดฝั่งครบเทอม 4 ปี หรือไม่ นายวราเทพ บอกว่ารัฐบาล พรรคการเมือง สส. ล้วนอยากให้อยู่ครบวาระ รวมถึงผมด้วย เพื่อทำให้การเมืองต่อเนื่อง

เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นสภาฯ และรัฐบาลได้ทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชน มากกว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเร่งด่วนในขณะนี้

“ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน 4 ปี พรรคร่วมรัฐบาลยังสามัคคี ไม่มีความขัดแย้ง

แต่ปัจจัยภายนอกที่คนเห็นอยู่ และคิดได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ด้วยโครงสร้างปัจจุบันบอกว่าพรรคการเมืองยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะพรรคแกนนำมีเสียงไม่เกินกว่าครึ่งหนึ่ง”

‘รัฐบาลสลายขั้ว’ ตรงกับนโยบาย พปชร. ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ ทั้งรัฐบาล และ พปชร.ต้ องปรับบทบาทอย่างไร เพื่อให้เดินไปสู่รัฐบาลสลายขั้ว สร้างความปรองดอง นายวราเทพ บอกว่า เราเป็นพรรคอันดับ 3 สนับสนุนเต็มที่ และมีจุดยืน ทำให้สังคมเกิดความสงบ

แต่การขับเคลื่อนต้องรอพรรคเพื่อไทย แกนนำอันดับ 1 โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ที่กำลังดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับการแก้ รธน.หรือการทำประชามติแก้ รธน.

การเคลื่อนไหวของ ‘ลุงป้อม’ ยังถูกจับตามีโอกาสกลับมาเป็นรองนายกฯ เพราะตามโควตาพรรค พปชร.เหลืออีก 1 เก้าอี้รัฐมนตรี นายวราเทพบอกว่า มองเชิงการเมืองอาจคาดการณ์ได้ อาจมีการวิพากษ์วิจารณ์

แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหัวหน้า พปชร. และต้องหารือตกลงร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคแกนนำ ที่ยังไม่มีการพูดคุยอย่างเป็นทางการ หรือเป็นกิจจะลักษณะ

กระแสที่จะกลับมาเป็นนายกฯ ช่วงหลังวุฒิสภาอภิปรายทั่วไปรัฐบาล นายวราเทพบอกว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะมี อาจมีคนคิด แต่ในส่วนของ พปชร.ผมไม่เคยได้ยิน

เพราะทางการเมืองกำลังจะเกิดปรากฏการณ์ยุบ 2 พรรค มีการทาบทาม สส.ของทั้ง 2 พรรคเข้าร่วมงานกับพรรค พปชร.อย่างไร นายวราเทพ บอกว่า เรื่องนี้อยู่นอกเหนือจากความเป็นทางการ
ผมยังไม่ได้ยินกรณีนี้ มีหรือไม่มี เราพูดยาก อาจมีก็ได้ แต่เขาคงไม่อยากให้มีการพูดถึง มันเป็นเรื่องอนาคต ยังไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร

‘ลุงป้อม’ เคลื่อนไหวทางการเมืองลักษณะนี้ ได้รับสัญญาณพิเศษอะไร นายวราเทพ บอกว่า ไม่มีสัญญาณพิเศษ แต่อยากเห็นพรรคต่างจากในอดีต เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วทิ้งงานของพรรค ไม่มีใครรับผิดชอบ พอยุบสภาฯ ถึงกลับมาหาประชาชน หากผลงานรัฐบาลดีอาจได้รับการรับเลือก แต่ถ้าผลงานไม่ดีอาจแพ้เลือกตั้ง

คราวนี้เราต้องทำงานคู่ขนานกับการร่วมรัฐบาล พปชร.ต้องเคลื่อนไหวตลอดให้ประชาชนสัมผัสได้

‘ธรรมนัส’ บอกไม่รู้ สส.ก้าวไกล ดอดพบ ‘บิ๊กป้อม’ เคลียร์ปมหากจะขอเข้าพรรค ต้องให้ กก.บห.ตัดสินใจ

(25 มี.ค. 67) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าว สส.พรรคก้าวไกล เข้าพบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่บ้านมีนบุรีว่า ถ้าพูดตามตรง ตนเองไม่ทราบในเรื่องนี้

ถามว่าหากมีเหตุในอนาคตที่ทำให้ สส. ของพรรคก้าวไกลต้องไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องใหญ่ เราจะรับใครเข้าพรรคเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค จะต้องมีการประชุมร่วมกัน เราจะไม่ทำอะไรที่เคยเป็นบทเรียนในอดีตที่ทำให้เกิดความหมางใจกัน เราเคยเป็นผู้ถูกกระทำ เราอย่าเอาสิ่งที่เคยถูกกระทำนั้นมาทำเอง ฉะนั้น จะต้องมีการคุยกัน

เมื่อถามว่า มีการติดต่อจากกลุ่ม สส.ของพรรคก้าวไกล มาที่เครือข่ายของ ร.อ.ธรรมนัสหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเองไม่มีเครือข่าย มีแต่เครือข่ายภาคเกษตรฯ

ซักว่าที่ สส.ของพรรคก้าวไกลมีคนใดพอที่จะมีคุณสมบัติมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเห็นการทำงานของฝ่ายค้านก็เข้มข้น เพราะเราเป็น สส. เป็นถึงรัฐมนตรี เราก็เห็นการทำงานของเขาในการตรวจสอบการทำงานของเราอย่างเข้มข้น

เมื่อถามถึงในส่วนของ สส.พรรคก้าวไกลบางคน ที่มีทัศนคติที่ดีต่อพรรคพลังประชารัฐ จะมีการปิดประตูรับหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า จะต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการของพรรคก่อน จะตัดสินใจเองไม่ได้

‘บิ๊กป้อม’ ยิ้มแย้ม!! สมาชิก พปชร. เข้ารดน้ำขอพรอย่างอบอุ่น อวยพร “ขอให้ทุกคนเจริญรุ่งเรือง มีความสุข ร่วมงานกันอย่างเข้มแข็ง”

(2 เม.ย. 67) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข รองหัวหน้าพรรค พร้อมผู้บริหารพรรค นัดพบปะสังสรรค์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกพรรค โดยถือโอกาสเทศกาลวันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ไทย ได้ร่วมกันรดน้ำขอพรจาก พล.อ.ประวิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล 

ทั้งนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง โดยสมาชิกและผู้บริหารพรรคทุกคนต่างร่วมใจกันสวมเสื้อลายดอก สีสันสดใส มาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ให้พรสมาชิกทุกคน พบกับความเจริญรุ่งเรือง มีความสุข อยู่ร่วมงานกันอย่างเข้มแข็งเพื่อนำพาพรรคพลังประชารัฐไปสู่การเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน เพื่อจะได้ดูแลปากท้อง ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชน เพื่อให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองได้อย่างแท้จริง ภายใต้แนวทางการเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย ที่พร้อมเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนทำงานเพื่อประชาชน และประเทศชาติ ให้เกิดการพัฒนาร่วมกัน

พล.อ.ประวิตร ยังได้ย้ำให้สมาชิกพรรค ทุกคนเข้าร่วมประชุมสภาฯ ในการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ในวันที่ 3 - 4 เม.ย.นี้ อย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมทำงานและนำเสนอแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างสร้างสรรค์ และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นต่อไป

‘บิ๊กป้อม’ ประกาศ ‘พลังประชารัฐ’ เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย อุดมการณ์แน่วแน่ ‘ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส’

(26 เม.ย. 67) พรรคพลังประชารัฐ ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2567 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาพปชร., ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา, นายสกลธี ภัททิยกุล, นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์, นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดการประชุมว่า สวัสดี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกท่าน วันนี้เป็นการประชุมใหญ่สามัญของพรรคพลังประชารัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 43 กำหนดให้พรรคการเมืองต้องจัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา เพื่อเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองเพื่ออนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขา พรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมือง ประจำจังหวัด สมาชิกพรรค จำนวนทั้งหมด เกินกว่า 250 คนครบองค์ประชุม ตามที่กฎหมายกำหนด

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ช่วงเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ คณะกรรมการยุทธศาสตร์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามอุดมการณ์และเจตจำนงของพรรคทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ให้มีสวัสดิการที่ดี มีรายได้ มีความสุข ทุกครอบครัว และเพื่อเร่ง พัฒนาประเทศ ให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้พรรคฯ เป็นที่ศรัทธาของพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น พรรคจึงได้เตรียมปรับตัวเองให้สอดรับกับสถานการณ์ และเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ ของพี่น้องประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มอาชีพ ให้มากยิ่งขึ้น

”วันนี้พรรคพลังประชารัฐจึงขอประกาศตัวเองว่า เราขอเป็นพรรค ‘อนุรักษ์นิยมทันสมัย’ ที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ ในการปกป้องสถาบันและบริหารเศรษฐกิจ ที่ทันสมัยเพื่อสร้างชีวิตที่สดใส ให้กับคนไทย ทั้งประเทศ 66 ล้านคน ด้วยสโลแกนใหม่ ที่เห็นอยู่บนเวทีนี้ คือ ‘ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส’ โดยเมื่อถึงเวลา ที่เหมาะสมซึ่งอีกไม่นานนัก พรรคจะได้ประกาศรายละเอียดทั้งหมดอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง”

สำหรับการประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดให้พรรคการเมืองมีการจัดประชุมเพื่อรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีและงบการเงินของพรรคการเมือง ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาในหลายประเด็น โดยเฉพาะการแก้ไขข้อบังคับเรื่องระเบียบการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการขับเคลื่อนพรรคให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันตามแนวทาง ‘อนุรักษ์นิยมทันสมัย’

จากนั้น นายไพบูลย์ ได้แถลงผลการประชุม ซึ่งในการประชุมวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีวาระการพิจารณาที่สำคัญ เรื่องการแก้ไขข้อบังคับพรรคให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย แก้ไขข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. 2566 มีการแก้ไข 9 ข้อ และจากการพิจารณาตรวจสอบงบการเงินประจำปี 2566  ผลการดำเนินงานได้ดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐานการดำเนินงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ ซึ่งพรรคพปชร. มีรายได้ทั้งสิ้น 321.875 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 328 ล้านบาท ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 60,970 ราย

‘อรรถกร’ เผย 'บิ๊กป้อม' กำชับลุยงาน ‘รมช.เกษตร’ ให้เต็มที่สมที่ไว้วางใจ พร้อมอวยผลงาน ‘ธรรมนัส’ 7 เดือนชิ้นโบแดงทำกดดัน แต่พร้อมลุย

(2 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ เวลา 08.20 น. เป็นไปอย่างคึกคัก หลังรัฐมนตรีใหม่ได้ทยอยเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อตรวจคัดกรองเชื้อโควิด (RT PCR) ที่ห้องเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่วันที่ 3 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีใหม่เข้าถวายสัตย์ฯ ในเวลา 17.00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน อาทิ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. สาธารณสุข, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้เป็นการเตรียมตัวทำงาน และดีใจที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร และตั้งแต่วันที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งชื่อ และทราบว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี ก็ได้มีการคิดล่วงหน้าและเตรียมความพร้อม ว่าเมื่อเรามีโอกาสได้เข้ามาทำงานในฐานะรัฐมนตรีช่วย ก็จะทำให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามเมื่อได้มอบหมายให้รับผิดชอบมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถือเป็นกระทรวงใหญ่ เป็นกระทรวงที่ดูแลเกษตรกรที่มีจำนวนมากในประเทศไทย ยอมรับว่าก็อาจจะรู้สึกกดดันบ้าง อีกทั้งตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำงานไว้ผลงานระดับชิ้นโบแดง แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณบ้าง แต่ดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ก็เป็นเชิงบวกอย่างที่ทุกคนเห็นอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า การที่พรรคพลังประชารัฐ ได้ดูกระทรวงเกษตรทั้งหมด จะส่งผลอย่างไร? นายอรรถกร กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่เบื้องต้นเท่าที่ได้คุยกับ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไรกันอยู่แล้ว ตนเองตั้งใจที่จะทำงานเพื่อแบ่งเบาภารกิจของท่าน และพร้อมสนับสนุนในทุก ๆ เรื่องที่จะสามารถแบ่งเบาได้ และในฐานะคนรุ่นใหม่ ก็จะทำตามนโยบาย รมว.เกษตร ที่ได้วางนโยบายไว้ คือการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ และใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปทำงาน ดังนั้นการสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเกษตรกรที่สูงอายุ โดยเฉพาะเมื่อโลกเปลี่ยนไป หากเราใช้รูปแบบเดิม ๆ ผลลัพธ์อาจจะเป็นแบบเดิมหรือน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากทุกอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะภูมิอากาศซึ่งส่งกระทบกับผลผลิต จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งกระทรวงเกษตรก็มีหลายหน่วยงาน และนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถจะเข้าไปช่วยตรงนี้ได้"

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้ามาทำงานตรงนี้ พล.อ.ประวิตรได้ฝากฝังอะไรหรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ท่านบอกว่าอย่าให้เสียชื่อ ท่านมอบความไว้วางใจแล้ว ท่านให้โอกาสแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ครับ"

นายอรรถกร กล่าวว่า หลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบหมายงาน แต่ที่ตนตั้งใจไว้คือ ต้องการแบ่งเบาภารกิจของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ได้มากที่สุด 

ส่วนสาเหตุที่ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางพรรคพลังประชารัฐก็เสนอรายชื่อแคนดิเดตรัฐมนตรีหลายคนเพื่อให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ? นายอรรถกร กล่าวว่า "เท่าที่ทราบตามข่าว พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ ส่งรายชื่อไป 3-4 รายชื่อ หลังจากนั้นก็ขึ้นกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งกรุณาเลือกตนเข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรี เพื่อมาทำงานร่วมกับร.อ.ธรรมนัส และเชื่อว่าตัวเอง และ ร.อ.ธรรมนัส จะทำงานร่วมกันได้อย่างดี เพื่อประโยชน์ของประชาชนต่อไป โดยเป้าหมายส่วนตัว จะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่ท่านนายกรัฐมนตรี และ ร.อ.ธรรมนัส ได้มอบไว้ให้และจะทำให้บรรลุในทุกข้อ"

ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีเลือกเข้ามาเพราะมีภาพคนรุ่นใหม่เป็นองค์ประกอบร่วมด้วยใช่หรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ตนตอบแทนนายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ในเมื่อมีโอกาสมาทำงานตรงนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มีโอกาสเข้ามาทำงาน และทราบมาว่า ครม.ชุดนี้ มีคนรุ่นใหม่หลายคนเข้ามา ก็เชื่อว่าจะร่วมมือกันทำงานมิติใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น"

เมื่อถามว่าแต่งตั้งนายอรรถกรแล้ว ยังมีแรงกระเพื่อมในพรรคพลังประชารัฐอยู่หรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ต้องขอบคุณพี่น้องเพื่อนในพรรคพลังประชารัฐ หลังจากมีข่าวตนได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดี และตนจะตั้งใจทำงานในฐานะที่เป็นตัวแทนของพรรค และคนฉะเชิงเทราที่มีโอกาสเข้ามาทำงานฝ่ายบริหาร และให้สมกับที่นายกรัฐมนตรีให้ความไว้วางใจ"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top