พปชร. แถลงชัด มติให้ “ธรรมนัส” พร้อม 20 ส.ส. พ้นสมาชิกพรรค อ้างเหตุร้ายแรง เผย “บิ๊กป้อม” รับไม่ได้ ข้อเรียกร้องปรับโครงสร้างใหญ่ “ไพบูลย์” ยันร่วมงานกันอีกไม่ได้
วันนี้ (20 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงถึงการประชุมร่วมของกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.พปชร. เมื่อคืนวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า การประชุมเกิดขึ้นเนื่องจากมี ส.ส.นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มีการเสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค เรียกร้องให้ปรับโครงสร้างพรรคขนานใหญ่ ซึ่งหัวหน้าพรรคเห็นว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวสร้างปัญหามาก เกรงจะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ หัวหน้าพรรคจึงนัดประชุม กก.บห. และสมาชิกพรรค
นายไพบูลย์ กล่าวว่า กก.บห.หารือเรื่องที่ ร.อ.ธรรมนัส เรียกร้อง โดยเห็นว่า เป็นเรื่องที่พรรคไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะถ้าทำตาม จะเกิดความเสียหายของพรรคทั้งระบบ ดังนั้น เพื่อรักษาหลักการของพปชร. ทั้งเอกภาพและเสถียรภาพ อุดมการณ์ของพรรค กก.บห.เห็นว่ารับไม่ได้ ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าถ้าไม่รับข้อเสนอจะมีปัญหาแน่ในการบริหารพรรค จึงทำให้พรรคเห็นว่าเป็นเหตุที่ร้ายแรงที่กระทบกับเสถียรภาพและเอกภาพของ พปชร. กก.บห.จึงเห็นว่าเข้ากับข้อบังคับข้อที่ 54 (5) มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น พรรคจำเป็นต้องมีมติให้กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส รวม 21 คน น่าจะต้องพ้นจากพรรค เพื่อรักษาส่วนใหญ่ขับเคลื่อนตามอุดมการณ์ของพรรค
เมื่อ 17 กก.บห.มีมติเช่นนั้น จึงประชุมร่วมกับ ส.ส. 61 คน รวมทั้งสิ้น 78 คน ในที่ประชุม พล.อ.ประวิตร ร่วมอยู่ด้วย ตนได้ชี้แจงว่าเป็นเหตุร้ายแรง ให้มีมติตามข้อบังคับข้อที่ 54 (5) ประกอบวรรคท้าย ให้สมาชิกภาพสมาชิกสิ้นสุดลงเนื่องจากมีเหตุร้ายแรง เป็นเรื่องความมั่นคง เอกภาพ เสถียรภาพของพรรค
หากสมาชิกนั้นเป็น ส.ส. ต้องมีมติ 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วม กก.บห.และ ส.ส. ซึ่งที่ประชุมร่วมมีมติเห็นชอบให้ ส.ส. 21 คน ที่เป็นกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยมีคะแนนเสียงเห็นด้วย 63 เสียง เกิน 3 ใน 4 ของผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งก็คือ 59 คน จึงถือว่าได้รับเสียงจากที่ประชุมร่วม ดังนั้น ทั้ง 21 คน พ้นจากสมาชิกพรรค
ขั้นตอนต่อไป พรรคจะจัดเตรียมเอกสารและนำเสนอ กกต. ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับและมีผลในวันที่มีมติ ทั้งนี้ ทั้ง 21 คนต้องหาพรรคใหม่สังกัดตาม รธน.มาตรา 101 (9) ขณะนี้สมาชิกภาพ ส.ส. ยังคงอยู่ เว้นแต่พ้น 30 วันแล้วหาพรรคสังกัดไม่ได้
เมื่อถามว่าเหตุความผิดร้ายแรงคืออะไร นายไพบูลย์ กล่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส ได้เรียกร้องในเรื่องที่ทางพรรคไม่สามารถดำเนินการให้ได้ คือปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ส่วนเรื่องต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีนั้นไม่สำคัญเท่ากับการเรียกร้องปรับโครงสร้าง โดยบอกหากไม่ปรับจะเคลื่อนไหวให้เสียหาย เกิดแรงกระเพื่อมร้ายแรง ถือว่าร้ายแรงทั้งระบบ ทั้งส่วน กก.บห.และตำแหน่งต่างๆ จะกระทบทั้งหมดเลย ประเด็นนี้จึงถือว่าร้ายแรง และบอกว่าถ้าไม่ได้ก็จะไม่ยอม จะเคลื่อนไหวด้วยมาตรการต่างๆ ถือเป็นความขัดแย้งก่อให้เกิดความเสียหาย ความมั่นคงของ พปชร.
สรุปว่า มติร่วมของ กก.บห.กับ ส.ส. มีความเห็นตามข้อบังคับพรรคทุกประการ ก่อนหน้านี้มีเรื่องแต่ไม่ขับเพราะยังไม่ถึงกับพีก แต่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจ
เมื่อถามว่าร้ายแรงถึงสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องในพรรค และไม่มีพูดถึงเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ แค่พูดว่าจะเป็นปัญหาในพรรค และจะไม่มีผลต่อสภาล่ม เพราะทั้งหมดเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เราพยายามแก้ไขแล้ว แต่เมื่อแก้ไม่ได้ เรามีมติตามกฎหมาย เพื่อรักษาส่วนใหญ่ มั่นใจจะไม่ส่งผลให้สภาล่ม เรามั่นใจในสปิริตของ ส.ส.พปชร. ทุกคน
เมื่อถามว่า ยังสนับสนุนรัฐบาลอยู่หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า เอาไว้ถามอุดมการณ์ของ ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันเป็นเหตุร้ายแรง แตกแยกขนาดใหญ่ จึงทำงานร่วมกับพปชร. อีกไม่ได้ แต่ทำงานในสภาได้